Mais conteúdo relacionado
Semelhante a 9789740335726 (13)
9789740335726
- 3. 3
“พวกเจ้าเป็นไพร่หลวง ข้าเป็นพระราชวงศ์ แต่เจ้ากับข้า
เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเราเป็นไทย เป็นเจ้าของแผ่นดิน
เหมือนกัน รบวันนี้เราจะแสดงให้ผู้รุกรานเห็นว่าเราหวงแหนแผ่นดิน
แค่ไหน รบวันนี้เราจะไม่กลับมาค่ายนี้อีก จนกว่าจะขับไล่ศัตรูไปพ้น
ชายแดน ข้าจะไม่ขอให้พวกเจ้ารบเพื่อใครนอกจากรบเพื่อแผ่นดินของ
เจ้าเอง แผ่นดินที่เจ้าจะมอบให้ลูกหลานของเจ้าได้อยู่อาศัยอย่างเป็น
สุขสืบไป” นี่คือค�ำพูดของพระยาเสือหรือสมเด็จพระบวรราชเจ้า
มหาสุรสิงหนาท ก่อนเข้าตีค่ายพม่าในสงครามเก้าทัพ
ด้วยความดุดันเด็ดขาดองอาจในการรบของกรมพระราชวังบวรฯ
ข้าศึกจึงครั่นคร้ามจนได้รับพระสมัญญานามว่า “พระยาเสือ” ในค่าย
ทหารแห่งใดมีทหารหนีทัพ พระยาเสือจะทรงบัญชาให้สร้างครกขนาด
มหึมาเอาไว้ เพื่อใช้โขลกทหารหนีทัพ เพราะหากปล่อยให้ทหารหนีทัพ
กันหมดก็ไม่สามารถรักษาเอกราชของบ้านเมืองเอาไว้ได้ ในคราวหนึ่ง
มีพระบัณฑูรให้ตัดศีรษะพระยาสีหราชเดโชชัย พระยาท้ายน�้ำ และ
พระยาเพชรบุรี โทษฐานบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ทหารกองโจร
ปล่อยให้ข้าศึกเล็ดลอดน�ำเสบียงเข้ามาส่งทางช่องทับศิลา และในศึก
อะแซหวุ่นกี้เมื่อพระองค์รับสั่งให้ทหารไทยเป็นฝ่ายรุกเข้าไปเมื่อทหาร
ผู้นั้นไม่ท�ำตามที่พระองค์ทรงบัญชาจึงทรงใช้ดาบฟันศีรษะทหารขลาด
ผู้นั้นจนขาดกระเด็นเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น
พระยาเสือ
(สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท)
- 4. 4
พระราชประวัติส่วนพระองค์
ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๒๘๖ ณ
ต�ำบลป้อมเพชร พระนครศรีอยุธยา ทรงสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยา
โกษาธิบดี (ปาน) ผู้เป็น “ราชทูตลิ้นทอง” ของสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช
เจ้าพระยาโกษาปานมีบุตรคนโตชื่อทองค�ำ ต่อมาได้เป็นพระยา
ราชนิกูล ปลัดทูลฉลองในกรมมหาดไทย
พระยาราชนิกูลมีบุตรคนโตชื่อทองดี รับราชการเป็นเสมียนตรา
ในกรมมหาดไทย ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงพินิจอักษร
หลวงพินิจอักษร (ทองดี) มีบุตรกับนางดาวเรือง (หยก) ๕ คน
ดังมีรายนามต่อไปนี้
๑. พระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี (สา)
๒. ขุนรามณรงค์ (เสียชีวิตก่อนเสียกรุงครั้งที่ ๒)
๓. พระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว)
๔. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ทองด้วง)
๕. สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท (บุญมา)
ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือพระเจ้าเอกทัศน์
แห่งกรุงศรีอยุธยา กรมพระราชวังบวรฯ ทรงรับราชการเป็นมหาดเล็ก
หุ้มแพรต�ำแหน่งนายสุจินดา
ขณะที่กรุงศรีอยุธยาก�ำลังจะเสียเอกราชให้แก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒
ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ในสมัยนั้น กรมพระราชวังบวรฯ ด�ำรงต�ำแหน่งนาย
สุจินดามีความหวั่นเกรงว่าหากอยู่ในกรุงศรีอยุธยาต่อไปอาจจะถูก
พม่าจับตัวไปเป็นเชลยศึก เมื่อทราบว่าพระยาตากน�ำทหาร ๕๐๐ นาย
- 5. 5
ไปตั้งชุมนุมอยู่ที่เมืองจันทบุรีนายสุจินดาจึงหาโอกาสหลบหนีออกจาก
กรุงศรีอยุธยาพร้อมกับเพื่อนอีก ๓ คน
นายสุจินดาเตรียมเสบียงอาหารและฆ้องกระแตอันเป็นมรดก
ตกทอดมาจากบรรพบุรุษไปด้วย โดยใช้เรือโกลนเป็นพาหนะ พายหนี
พม่าไปจนถึงต�ำบลบางไทรสีกุก๑
ขณะนั้นมีค่ายพม่าตั้งอยู่เรียงราย
ตามริมฝั่งแม่น�้ำ
เมื่อถึงเวลาทุ่มกว่า ทหารพม่าเห็นเรือผ่านมาก็ตีฆ้องให้หยุดเรือ
นายสุจินดาจึงตีฆ้องกระแตตอบไป ทหารพม่าคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน
ก็ปล่อยให้เรือผ่านไปได้ เรือของนายสุจินดาล่องผ่านเมืองสามโคกไป
ยังเมืองนนทบุรี มีพม่าตั้งค่ายตามรายทางอีกหลายแห่ง นายสุจินดาก็
ใช้วิธีตีฆ้องตอบจึงผ่านไปได้ทุกด่านเรือของนายสุจินดาล่องมาถึงบ้าน
บางบัวทอง บริเวณอ้อมเกร็ด เป็นเวลาฟ้าสางพอดี นายสุจินดาแอบ
หลบซ่อนตัวอยู่รอจนพลบค�่ำจึงล่องเรือไปถึงวัดแจ้ง๒
เมืองธนบุรี เดิมที
นายสุจินดาวางแผนว่าจะพายเรือไปจนถึงราชบุรี แต่มีด่านของทหาร
๑
ต�ำบลสีกุกปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตอ�ำเภอบางบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ส่วนคลองสีกุก คือแม่น�้ำน้อยที่ไหลผ่านบริเวณอ�ำเภอเสนา จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา
แม่น�้ำน้อยเป็นแม่น�้ำสาขาแยกออกจากแม่น�้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท
ก่อนจะไหลผ่าน จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้ว
ไหลไปรวมกับแม่น�้ำเจ้าพระยาอีกครั้งที่อ�ำเภอบางไทรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
แม่น�้ำน้อยมีความยาวทั้งสิ้น ๑๔๕ กิโลเมตร มีชื่อเรียกต่างกันออกไปตาม
ท้องถิ่นที่ไหลผ่าน
๒
วัดแจ้ง คือ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
- 6. 6
พม่าเต็มไปด้วยแสงไฟ นายสุจินดาจึงเบนหัวเรือเข้าไปหลบในวัดสลัก๓
แล้วพลิกคว�่ำเรือครอบศีรษะตนเองกับพวก รอดสายตาของทหารพม่า
ไปได้
เมื่อพม่าผ่านไป นายสุจินดากับเพื่อนจึงกู้เรือพลิกหงายขึ้นมา
รอจนถึงเวลาเดือนตกจึงพายเรือข้ามจากวัดสลักไปยังฝั่งวัดแจ้ง
ขณะนั้นเสบียงอาหารจมน�้ำหมดเหลือแต่ฆ้องกระแตใบเดียว เมื่อถึง
หน้าวัดแจ้งก็จมเรือโกลนลงที่ท่าน�้ำแล้วพยุงเรือ เข้าไปซ่อนไว้ในคลอง
บางกอกใหญ่ แล้วพากันใช้สวะคลุมหัวพรางตัวจากสายตาข้าศึก
เมื่อว่ายน�้ำไปจนถึงวัดสังข์กระจาย๔
จึงกู้เรือโกลนขึ้นมาพาย โดยมี
จุดหมายปลายทางคือเมืองราชบุรี
ในสมัยนั้นนายทองด้วงพี่ชายของนายสุจินดา(บุญมา)มีต�ำแหน่ง
เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี นายสุจินดาพาเพื่อนไปหาหลวงยก-
กระบัตรเมืองราชบุรีซึ่งพาครอบครัวไปหลบซ่อนตัวจากทหารพม่าอยู่
ในป่าแล้วได้เล่าให้หลวงยกกระบัตรฟังว่าพระยาตากตั้งชุมนุมรวบรวม
ผู้คนเพื่อรอการกลับมากอบกู้กรุงศรีอยุธยาอยู่ทางภาคตะวันออก
หลวงยกกระบัตรแนะน�ำให้นายสุจินดาไปหานางนกเอี้ยงผู้เป็น
มารดาของพระยาตากซึ่งขณะนี้หนีพม่าไปอยู่กับญาติที่บ้านแหลม
ต�ำบลบางครก แขวงเมืองเพชรบุรี หลวงยกกระบัตรรู้จักมักคุ้นกับ
พระยาตากเพราะเคยบวชเรียนและรับราชการมาด้วยกัน จึงน�ำแหวน
๓
วัดสลัก คือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร
๔
วัดสังข์กระจายวรวิหาร ตั้งอยู่บนฝั่งเหนือคลองบางกอกใหญ่ กรุงเทพ-
มหานคร
- 7. 7
พลอยไพฑูรย์ไป ๑ วง พลอยบุษราคัมน�้ำทอง ๑ วง และดาบคร�่ำทอง
โบราณ ๑ เล่ม ฝากไปให้พระยาตาก และได้ก�ำชับฝากไปบอกว่า
ดาบนั้นเป็นของตนมอบให้พระยาตาก ส่วนแหวน ๒ วงนั้น เป็นของ
ภรรยา ขอฝากไปเป็นเครื่องร�ำลึกถึงกันในยามยาก
นายสุจินดาเดินทางไปตามหานางนกเอี้ยงที่เมืองเพชรบุรี
จนพบตัว นางนกเอี้ยงดีใจที่ได้พบนายสุจินดาเพราะคุ้นเคยกันมาก่อน
จึงตามนายสุจินดาไปหาพระยาตากที่เมืองจันทบุรี
พระยาตากดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้พบกับมารดาที่พลัดพราก
จากกันในช่วงกรุงแตก พระยาตากได้รับของฝากจากหลวงยกกระบัตร
ก็กล่าวกับนายสุจินดาว่า ขอบใจหนักหนาที่อยู่ไกลยังมีความอุตสาหะ
คิดถึงกันเช่นนี้ เขาเรียกว่า กัลยาณมิตร ทั้งยังยกย่องชมเชยความ
เฉลียวฉลาดของนายสุจินดาที่สามารถหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาและ
พานางนกเอี้ยงมาจันทบุรีได้อย่างปลอดภัย จึงปูนบ�ำเหน็จความดี
ความชอบโดยแต่งตั้งให้เป็นพระมหามนตรี เจ้ากรมพระต�ำรวจในขวา
ขณะนั้นนายสุจินดาอายุได้ ๒๔ ปี
ต่อมา พระมหามนตรี (บุญมา) ได้ขออนุญาตพระยาตากไปรับ
นายทองด้วงพี่ชายเข้ามารับราชการด้วยกัน
๒ พี่น้อง บุญมากับทองด้วงเป็นแม่ทัพคู่ใจของพระยาตากซึ่ง
ต่อมาปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
- 8. 8
การท�ำสงครามในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
การปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ ร่วมกับบรรดาทหารเสือของ
สมเด็จพระเจ้าตากสิน
ภายหลังสร้างกรุงธนบุรีแล้วยังมีชุมนุมซึ่งท�ำการซ่องสุมผู้คนอยู่
ตามหัวเมืองต่าง ๆ มาตั้งแต่คราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ สมเด็จพระเจ้า
ตากสิน ทรงใช้เวลาถึง ๓ ปี ปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ ในระหว่าง พ.ศ.
๒๓๑๑-๒๓๑๓ ในครั้งแรกทรงยกทัพไปปราบ ชุมนุมเจ้าพระยา
พิษณุโลก ซึ่งอยู่ใกล้กรุงธนบุรีมากที่สุด แต่ไม่ส�ำเร็จจึงเปลี่ยนแผนการ
ไปท�ำการปราบปรามชุมนุมเล็กก่อน แล้วจึงรวบรวมก�ำลังไปตีชุมนุม
ใหญ่
๏ ปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๓๑๑
ไม่สามารถเอาชนะได้ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๑๓ ยกไปปราบครั้งที่ ๒ จึง
ส�ำเร็จ
๏ ปราบชุมนุมเจ้าพิมาย ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ ได้ส�ำเร็จ
๏ ปราบชุมนุมเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ ได้
ส�ำเร็จ
๏ ปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ใน พ.ศ. ๒๓๑๓ ได้ส�ำเร็จ
- 9. 9
ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก
มีเจ้าพระยาพิษณุโลกเป็นหัวหน้า อยู่ที่เมืองพิษณุโลก ชุมนุมนี้มี
อาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัยลงไปถึงเมืองนครสวรรค์ เจ้าพระยาพิษณุโลก
เดิมมีนามว่า เรือง เป็นนายทหารที่มีฝีมือในการรบ เคยรบกับพม่ามา
หลายครั้ง จึงมีข้าราชการจากกรุงศรีอยุธยาหนีพม่ามาร่วมจ�ำนวนมาก
ชุมนุมเจ้าพิมายหรือชุมนุมกรมหมื่นเทพพิพิธ
มีกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นหัวหน้าอยู่ที่เมืองนครราชสีมากรมหมื่น
เทพพิพิธทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ใน
รัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์ต้องไปประทับในเมืองลังกาด้วยข้อหากบฏ
เพราะเคยสนับสนุนให้เจ้าฟ้าอุทุมพรแย่งชิงราชสมบัติเมื่อทราบข่าวว่า
กรุงแตก กรมหมื่นเทพพิพิธจึงเสด็จกลับเมืองไทย ไปรวบรวมผู้คนอยู่
ทางหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกตั้งแต่เมืองระยอง ชลบุรี ไปจนถึง
เมืองปราจีนบุรี มีกรมการเมืองและราษฎรเข้าร่วมจ�ำนวนมาก แต่เมื่อ
พม่ายกกองทัพเข้ามาโจมตีเพียงครั้งเดียว กรมหมื่นเทพพิพิธก็หนีเอา
ตัวรอด ทิ้งบริวารไปตั้งตนเป็นใหญ่ในเมืองนครราชสีมาหาทางเกลี้ย
กล่อมให้พระยานครราชสีมาเจ้าเมืองนครราชสีมาเป็นพวกแต่ไม่ส�ำเร็จ
จึงลอบสังหารพระยานครราชสีมาต่อมาได้รับการสนับสนุนจากเจ้าเมือง
พิมายเพราะเห็นว่ากรมหมื่นเทพพิพิธทรงเป็นพระโอรสของสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ กรมหมื่นพิพิธจึงซ่องสุมชุมนุมอยู่ที่เมืองพิมาย
มีอาณาเขตครอบคลุมเมืองนครราชสีมา
- 10. 10
ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช
มีพระปลัดเมืองนครศรีธรรมราช เป็นหัวหน้าอยู่ที่เมืองนครศรี-
ธรรมราช พระปลัดคนนี้เดิมมีนามว่า หนู เป็นผู้ส�ำเร็จราชการแทน
พระยาราชสุภาวดีที่เกิดคดีความถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวง พระปลัด
(หนู) จึงตั้งตนเป็นใหญ่ คนทั่วไปเรียกกันว่า เจ้านคร ชุมนุมของเจ้านคร
มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองชุมพรไชยาบ้านดอนถลางสงขลาตานี(ปัตตานี)
ไปจนถึงแหลมมลายู
ชุมนุมเจ้าพระฝาง
มีเจ้าพระฝางเป็นหัวหน้า อยู่ที่เมืองฝาง หรือสวางคบุรี เป็น
เมืองเล็กๆตั้งอยู่บนล�ำห้วยฝางต่อกับแม่น�้ำน่านอยู่เหนือเมืองอุตรดิตถ์
ขึ้นไปทางเหนือ (ปัจจุบันอยู่ในอ�ำเภอเมืองอุตรดิตถ์)
เจ้าพระฝางเดิมมีนามว่า เรือน เป็นชาวเหนือที่ได้ไปบวชเรียน
อยู่ในส�ำนักวัดแห่งกรุงศรีอยุธยาจนได้เป็นพระราชาคณะฝ่ายอรัญวาสี
มีฉายาว่า พระพากุลเถระ ต่อมาได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระสังฆ-
ราชาเจ้าคณะเมืองสวางคบุรี ชาวบ้านจึงเรียกว่าเจ้าพระฝาง ได้กลับ
ไปอยู่ที่วัดพระฝาง๕
ตั้งแต่รัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
เจ้าพระฝางเป็นผู้ทรงคุณวิทยาคม ชาวบ้านนับถือเล่าลือว่าเป็นตนบุญ
(ผีบุญ)
๕
วัดพระฝาง มีชื่อเต็มว่า วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ อยู่ที่บ้านฝาง
ต�ำบลผาจุก อ�ำเภอเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
เป็นวัดซึ่งเจ้าพระฝางเคยจ�ำพรรษาอยู่