Mais conteúdo relacionado Semelhante a 9789740329824 (20) 97897403298241. บทที่ 1
ภาษาญี่ปุนสไตลจีน :
การอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ (漢文訓読) か ん ぶ ん く ん ど く
1. การอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ (漢文訓読) คืออะไร
การอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ(漢文訓読)หรือเรียกสั้น ๆ วา คุนโดะกุ 訓読 1 หมายถึง
การอานคัมบุนและคันฌิ (ซึ่งเปนภาษาจีนโบราณ) โดยอานเปนภาษาญี่ปุนโบราณ เชน 花開
はなひら すんいん を
อานวา 花開く(ดอกไมบาน) 惜寸陰 อานวา 寸陰を惜しむ (เสียดายเวลาแมเพียงนอยนิด)
やまい り あを これ あゐ
利於病 อานวา 病 に利あり (รักษาโรคได) 青取之於藍而青於藍 อานวา 青は之を藍よ
と あゐ あを
2
り取りて藍よりも青し (สี น้ํ า เงิ น ได จ ากต น คราม แต เ ป น สี น้ํ า เงิ น ยิ่ ง กว า ต น คราม) การ
อานคัมบุนและคันฌิในลักษณะเชนนี้ดูเหมือนกับเปนการแปลคัมบุนและคันฌิเปนภาษาญี่ปุน
โบราณ และอาจจะถือวาเปนการแปลประเภทหนึ่งก็ได แตก็ตางจากการแปลทั่วไป เพราะ
เปนการแปลคําตอคําทุกตัวอักษร โดยไมมีความพยายามที่จะผละจากตนฉบับภาษาจีนโบราณ
ทําใหเกิดเปนภาษาญี่ปุนโบราณที่ตางจากภาษาญี่ปุนโบราณในงานเขียนอื่นๆ หรืออาจ
เรียกไดวาเปน “ภาษาญี่ปุนสไตลจีน”
1
คําวา คุนโดะกุ 訓読 ยังมีความหมายเหมือนคําวา คุนโยะมิ 訓読み ที่หมายถึงการอานอักษรคันจิดวยเสียงคุน 訓 เชน
อาน 人 วา ฮิโตะ (ไมอานวา จิน หรือนิน ซึ่งเปนอนโยะมิ 音読み)
2 じゆんし じゆんし
คํากลาวนี้อยูในหนังสือ สวินจื่อ『 荀子 』 ประพันธโดยสวินจื่อ 荀子 (298-238 ปกอนคริสตกาล) มีความหมาย
しゆつらん しゆつらん ほま
เชนเดียวกับ 出 藍 และ 出 藍の誉れ ในภาษาญี่ปุนปจจุบันซึ่งใชในเชิงอุปมาอุปไมยวาลูกศิษยอาจจะเกงกวาครู เอกสารบาง
あを あゐ い あゐ あを ひがき
เลมจะใชวา 青出于藍而青于藍 และอานวา 青は藍 より出でて藍より青し。ดังเชนที่พบในบทละครโนเรื่องฮิงะกิ 檜垣
2. คัมบุน ภาษาญี่ปุนสไตลจีน ภาษาจีนสไตลญี่ปุน
はなひら
ในตัวอยางที่ยกมาขางตนนั้น เพื่อชวยใหคนญี่ปุนรูวาควรอาน 花開 วา 花開く อาน 惜寸
すんいん を やまい り あを
陰 วา 寸陰を惜しむ อาน 利於病 วา 病 に利あり อาน 青取之於藍而青於藍 วา 青は
これ あゐ と あゐ あを
之を藍より取りて藍よりも青し และรูความหมายของภาษาจีนที่กําลังอานอยูนั้นไดมีการนํา
อักษรคะตะกะนะ อักษรคันจิ และเครื่องหมายตาง ๆ มากํากับเพี่อชวยการอาน ทําใหเกิดเปน
ประโยคที่มีเครื่องหมายกํากับการอานในรูปแบบตาง ๆ และนําประโยคที่มีเครื่องหมายกํากับการ
อานมาเขียนใหมเพื่อใหอานงายขึ้น โดยใชอักษรคันจิและฮิระงะนะ แลวเรียงลําดับอักษรคันจิ
ใหมตามไวยากรณภาษาญี่ปุนโบราณทําใหมีประโยคประเภทตาง ๆ ในคัมบุนดังตัวอยางตอไปนี้
はくぶん くんどくぶん くんどくぶん か くだ ぶん
a :白文 b : 訓読文 c : 訓読文 d: 書き下し文
28
3. บทที่ 1
あを これ あゐ と あゐ あを
ทั้ง a b c และ d ตางก็อานออกเสียงเหมือนกันวา 青は之を藍より取りて藍よりも青
し。และมีความหมายเหมือนกันคือ “สีนาเงินไดจากตนครามแตเปนสีน้ําเงินยิ่งกวาตนคราม”
้ํ
はくぶん
a:白文
ประโยคที่ประกอบดวยอักษรคันจิลวน และไมมีเครื่องหมายชวยการอานกํากับดังเชน
はくぶん
ตัวอยาง a เรียกวา ฮะกุบุน 白文 ซึ่งก็คือประโยคดั้งเดิมที่เปนภาษาจีนโบราณนั่นเอง
くんどくぶん
b : 訓読文
ประโยคที่มีลําดับอักษรคันจิเหมือนฮะกุบุน 白文 แตมีเครื่องหมายชวยการอานกํากับดวย
くんどくぶん
ดังตัวอยาง b และ c เรียกวา คุนโดะกุบุน 訓読文 แตตําราบางเลมก็ไมมีชื่อเรียกโดยเฉพาะ
และบางก็เรียกวา คัมบุน 漢文 ซึ่งทําใหคําวา คัมบุน 漢文 นอกจากจะมีความหมายทั้งหมด
ตามที่กลาวมาขางตนในบทนําแลวก็ยังมีความหมายแคบในการใชในกรณีนี้ดวย สําหรับหนังสือ
くんどくぶん
เลมนี้จะใชชื่อ 訓読文 เพราะนาจะเขาใจงายกวาและไมเกิดความสับสนกับคําวา คัมบุน 漢文
くんどくぶん
c : 訓読文
くんどくぶん
คุนโดะกุบุน 訓読文 จะมี 2 แบบ แบบแรกดังตัวอยาง b จะมีเครื่องหมายชวยการอาน (ซึ่ง
จะอธิบายโดยละเอียดในขอ 4-9) เฉพาะประเภทที่เรียกวาคะเอะริ-เต็น 返り点 เพื่อความสะดวก
รวดเร็วในการพิมพ แตทําความเขาใจไดยาก หนังสือเลมนี้จึงเปนแบบ c
แบบที่ 2 ดังตัวอยาง c จะมีเครื่องหมายกํากับเพื่อชวยการอาน ทั้งประเภทที่เรียกวา
おく が な かへ てん
โอะกุริงะนะ 送り仮名 (เชน ハ ที่อยูมุมขวาลางของ 青) และคะเอะริ-เต็น 返り点 (เชน ニ ที่อยู
มุมซายลางของ 取)
か くだ ぶん
d: 書き下し文
ประโยคที่มีท้ังอักษรคันจิและฮิระงะนะและเรียงลําดับอักษรคันจิตางจากฮะกุบุน 白文
โดยเรียงลําดับใหมตามไวยากรณภาษาญี่ปุนโบราณ ดังตัวอยาง d โดยทั่วไปเรียกวา คะกิกดะฌิ
ุ
29
4. คัมบุน ภาษาญี่ปุนสไตลจีน ภาษาจีนสไตลญี่ปุน
か くだ ぶん よ くだ ぶん
บุน 書き下し文 แตบางครั้งก็เรียกวา โยะมิกุดะฌิบุน 読み下し文 หรือคัมบุนคุนโดะกุบุน
かんぶんくんどくぶん か くだ ぶん
漢文訓読文 สําหรับหนังสือเลมนี้จะใชชื่อคะกิกุดะฌิบุน 書き下し文 ตามที่ใชกันสวนใหญ
くんどくぶん
วิธีการใชอักษรคะนะที่ใชในคุนโดะกุบุน 訓読文 และคะกิกุดะฌิบุน 書き下し文 ทีถกตอง ู่
จะเปนแบบเกาที่ใชกันมาในภาษาญี่ปุนทั่วไปจนถึง ค.ศ. 1946 ที่เรียกวา เระกิฌิ คะนะสุกะอิ
れ き し か な づ か
3 あを あお あゐ あい
歴史仮名遣ひ เชน 青 ไมใช 青 และ 藍 ไมใช 藍 แตปจจุบันมีตําราคัมบุนอยูไมนอยที่ใชแบบ
げんだいかなづか
ใหมหรือแบบปจจุบันที่เรียกวา เก็นดะอิ คะนะสุกะอิ 現代仮名遣ひ สําหรับหนังสือเลมนี้จะใช
เระกิฌิ คะนะสุกะอิ 歴史仮名遣ひ เพื่อคงแบบแผนเดิมที่ถูกตองไวและใชในทุกแหงตลอดทั้ง
เลมเพื่อฝกผูอานใหคุนเคย อันจะเปนประโยชนในการอานเอกสารภาษาญี่ปุนจํานวนมากที่ใช
เระกิฌิ คะนะสุกะอิ 歴史仮名遣ひ
か ん ぶ ん く ん ど く
2. ที่มาของการอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ( 漢文訓読)
เมื่อญี่ปุนเริ่มรูจักอักษรคันจิและคัมบุนและยังไมมีอักษรของตนเองนั้น คนญี่ปุนบันทึกสิ่ง
ตาง ๆ ดวยคัมบุนและอานออกเสียงเปนภาษาจีนตามที่ครูชาวจีนหรือชาวเกาหลี หรือชาวญี่ปุน
ที่อา นภาษาจี น เปน สอนให อ า น วะนิ ที่นํ า คัม ภี รห ลุ น อวี่ ม าก็ ไดเ ปน ครู ส อนคัม บุน ใหเ จ า ชาย
うじ の わ き い ら つ こ わうじんてんわう
อุจิโนะวะกิอิระทซุโกะ 莵道稚朗子 พระราชโอรสจักรพรรดิโอจิน (応神天皇) สวนการแปลคัม
な ら へいあん
บุนในระยะแรก ๆ คือชวงสมัยนาระ 奈良 (ค.ศ. 710-794) จนถึงประมาณตนสมัยเฮอัน平安
(ค.ศ. 794-1185) นั้น สันนิษฐานวาคนญี่ปุนแปลโดยใชภาษาญี่ปุนที่ใกลเคียงกับภาษาเขียน
ぶんご
หรือที่เรียกวา บุงโงะ 文語 ในยุคนั้น ๆ นับเปนการแปลเปนภาษาญี่ปุนที่คอนขางเสรีแลวแต
บุคคล
たう
แตหลังจากที่ราชวงศถัง 唐 (ค.ศ. 618-907) ลมสลาย และญี่ปุนเห็นวาการเดินทางไปจีน
ยากลําบากและอันตรายมาก จึงสงทูตไปเปนทางการเปนครั้งสุดทายใน ค.ศ. 894 หลังจากนั้น
จนถึงประมาณคริสตศตวรรษที่ 12 ญี่ปุนกับจีนแทบจะไมมีการติดตอกันเลย เมื่อเวลาผานไป
นานเขาก็แทบจะหาผูที่สามารถอานออกเสียงเปนภาษาจีนไดยาก นอกจากนี้การบันทึกความคิด
หรือการกระทําโดยใชสื่อภาษาจีนก็เปนเรื่องยุงยากสําหรับคนญี่ปุนมากทีเดียว เนื่องจากความ
3
ดูรายละเอียดที่ภาคผนวก หัวขอภาษาญี่ปุนโบราณ
30
5. บทที่ 1
แตกต า งที่ มี อ ยู ม ากมายระหว า ง 2 ภาษานี้ เช น ภาษาญี่ ปุ น มี คํ า ช ว ย มี ก ารผั น คํ า กริ ย า
คําคุณศัพทเปนรูปตาง ๆ มีการแสดงกาล ขณะที่ภาษาจีนแทบจะไมมี ลําดับคําก็ตางกัน เชน
กรรมในภาษาจีนจะตามหลังคํากริยา เปนตน (ดูขอ 3 โครงสรางภาษาจีนโบราณ)
ในที่สุดญี่ปุนจึงไดคิดวิธีอานคัมบุนและคันฌิในแบบของตนเอง คือไมอานออกเสียงเปน
ภาษาจีน แตอานออกเสียงเปนภาษาญี่ปุนทั้งหมด ตั้งแตออกเสียงอักษรคันจิเปนภาษาญี่ปุน
(เชนแทนที่จะอาน 花 ซึ่งเปนอักษรภาพที่มีความหมายวาดอกไม โดยใชคําภาษาจีนซึ่งคือ ฮวา ก็
ใชคําภาษาญี่ปุนที่มีความหมายวาดอกไมคือคําวา “ฮะนะ” มาอาน) และเติมคําชวย คําชวย
กริยา ไปจนถึงเปลี่ยนลําดับการอานอักษรคันจิใหเปนไปตามลําดับคําในภาษาญี่ปุนและใชวิธี
อื่น ๆ อีก (ดังที่จะอธิบายในบทตอ ๆ ไป) วิธีตาง ๆ เหลานี้สรางวิวัฒนาการทางภาษาญี่ปุนที่มี
รูปแบบเฉพาะสําหรับการอานคัมบุน เรียกวา “การอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ”(漢文訓読)โดย
มีเครื่องหมายตาง ๆ มากํากับเพี่อชวยใหรูวิธีการอาน
ในสมัยคะมะกุระ-มุโระมะชิ (ค.ศ. 1185-1573) ซึ่งเปนสมัยที่พระสงฆโดยเฉพาะที่วัด 5
แหงในกรุงเกียวโตเปนผูนําในการแตงคัมบุนและคันฌินั้น การอานจะมีกฎตายตัวและเปนการ
พยายามถอดตัวอักษรคันจิทุกตัวเปนภาษาญี่ปุน โดยมีหลักวาอักษรคันจิแตละตัวจะตองถอด
เปนภาษาญี่ปุนใหเหมือนกันทุกครั้งเทาที่จะทําได คลายกับการแปลแบบคําตอคําดวยเครื่อง
คอมพิวเตอร
“การอ า นคั ม บุ น แบบคุ น โดะกุ ” ในแต ล ะสมั ย จึ ง มี ค วามแตกต า งกั น รู ป แบบที่ ใ ช อ ยู ใ น
ป จ จุ บั น นั้ น เป น รู ป แบบที่ รั บ สื บ ต อ มาจากรู ป แบบที่ ใ ช อ ยู ใ นคริ ส ต ศ ตวรรษที่ 19 ซึ่ ง
กระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุนไดนํามาชําระและบัญญัติแบบแผนเพื่อใหใชเปนระบบเดียวกันใน
ค.ศ. 1912 รูปแบบที่ใชอยูในปจจุบันยังคงมีภาษาที่ใชอานคัมบุนตั้งแตชวงสมัยนาระ (ค.ศ. 710-
794) เปนตนมาหลงเหลืออยูบาง ดังนั้น คําบางคําและไวยากรณโบราณบางลักษณะที่ไมมีใน
ภาษาญี่ปุนปจจุบันแลวนั้นจะยังคงมีอยูในภาษาที่ใชอานคัมบุน4 ภาษาญี่ปุนในรูปแบบเฉพาะที่
ใชอานคัมบุนนี้ไดมีอิทธิพลตอภาษาเขียนทั่วไปในแตละสมัยเปนอยางมาก จนในสมัยเมจิ (ค.ศ.
1868-1912) ภาษาเขียนในเอกสารราชการจะใกลเคียงกับที่ใชในการอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ
4 たかはしのむしまろ
แมแตในบทกวีญี่ปุนของทะกะฮะฌิ โนะ มุฌิมะโระ 高橋虫麻呂 (ไมทราบปเกิดและตาย) ที่ไดรับการรวบรวมไวในชุมนุม
まんえふしふ
บทกวีมันโยฌู『 万葉集』 ชุมนุมบทกวีญี่ปุนเลมแรก (สันนิษฐานวาเรียบเรียงเสร็จหลัง ค.ศ. 759) ก็ยังพบอิทธิพลของ
いは たきぐち みどり む し ま ろ
ภาษาญี่ปุน แบบที่ใชใ นการอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ คือการใช คําวา 曰く ในความหมายวา พูดวา (ดู 滝口 翠 「虫麻呂
でんせつか こうせいほう ちょうか いんよう
伝説歌の構成法:長歌における<引用>」
31
6. คัมบุน ภาษาญี่ปุนสไตลจีน ภาษาจีนสไตลญี่ปุน
ในขณะที่ ภ าษาเขี ย นทั่ ว ไปเปลี่ ย นแปลงไปเรื่ อ ย ๆ จนถึ ง ป จ จุ บั น นั้ น ภาษาที่ ใ ช ใ นการอ า น
คั ม บุ น แบบคุ น โดะกุ ที่ ก็ เ ปลี่ ย นแปลงมาตามยุ ค สมั ย นั้ น แทบไม ไ ด เ ปลี่ ย นแปลงอี ก หลั ง
คริสตศตวรรษที่ 19
“คัมบุนคุนโดะกุ” ไมไดเปนเพียงรูปแบบการอานคัมบุนเทานั้น แตแทที่จริงแลวยังไดรับ
การสืบทอดตอมาเปนรูปแบบการเขียนภาษาญี่ปุนที่สําคัญมากดวย กลาวคือ ถึงแมวาใน
สมัยเฮอันเมื่อญี่ปุนประดิษฐอักษรฮิระงะนะของตนเองโดยดัดแปลงจากอักษรคันจิ และคนญี่ปุน
ก็ไดเริ่มมีรูปแบบการเขียนแบบญี่ปุนโดยใชอักษรฮิระงะนะดังเชนที่ใชในการเขียนวรรณคดีสําคัญ
げんじものがたり
คือ เก็นจิโมะโนะงะตะริ『源氏物語』และตอมารูปแบบการเขียนนี้ไดผสมผสานเขากับรูปแบบ
การเขียนแบบคัมบุนคุนโดะกุ แตทวาในงานเขียนวิชาการเชนงานเขียนดานศาสนา กฎหมาย
และหลาย ๆ ดาน ตั้งแตสมัยโบราณจนถึงประมาณสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจะพบรูปแบบ
การเขียนแบบคัมบุนคุนโดะกุเปนหลัก5 จึงอาจกลาวไดวา คัมบุนคุนโดะกุไมไดเปนเพียงรูปแบบ
การอานที่ญี่ปุนใชอานคัมบุนเทานั้น แตยังไดเปนรูปแบบการเขียนที่ไดชวยสนับสนุนศิลปะ
วิทยาการและความคิดของคนญี่ปุนมาตั้งแตยุคโบราณจนถึงยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
3. โครงสรางภาษาจีนโบราณ
ดังที่ไดกลาวแลวขางตน คนญี่ปุนอานคัมบุนและคันฌิ (ซึ่งเปนภาษาจีนโบราณ) โดยอาน
เปนภาษาญี่ปุนโบราณ และเรียกการอานเชนนี้วาการอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ(漢文訓読)
หรือเรียกสั้น ๆ วาคุนโดะกุ 訓読 ซึ่งก็คือสิ่งที่อยูในหนังสือเลมนี้และตําราคัมบุนในญี่ปุนนั่นเอง6
ในการอานเชนนี้คนญี่ปุนออกเสียงอักษรคันจิเปนภาษาญี่ปุน เติมคําชวย คําชวยกริยา รวมทั้ง
เปลี่ยนลําดับการอานอักษรคันจิใหเปนไปตามลําดับคําในภาษาญี่ปน และใชวิธีอื่น ๆ อีก
ุ
くんてん
ในหัวขอตอไปจะอธิบายเกี่ยวกับเครื่องหมายตาง ๆ ที่เรียกวา คุนเต็น 訓点 ที่ใชกํากับเพี่อ
ช ว ยให รูวิ ธี ก ารอา น แต ก อนที่จะอธิ บ ายเกี่ ย วกับ คุ น เต็น การมี พื้ น ความรู พ อสั ง เขปเกี่ย วกั บ
โครงสรางภาษาจีนโบราณเปรียบเทียบกับภาษาญี่ปุนและภาษาไทยก็จะชวยใหเขาใจการใช
เครื่องหมายเหลานั้นและเขาใจการอานคัมบุนแบบคุนโดะกุไดงายขึ้น
5 さとう すすむ かんぶんくんどくたい ふつうぶん げんだいにほんぶんごぶん
ดูรายละเอียดพรอมตัวอยางประกอบใน 佐藤 進 「漢文訓読体と普通文・現代日本文語文」
6 かんぶんくんどく
ตําราคัมบุนบางเลมจึงชื่อ คัมบุนคุนโดะกุ 漢文訓読
32
7. บทที่ 1
ความแตกตางประการสําคัญระหวางภาษาจีนโบราณกับภาษาญี่ปุนโบราณก็คือ การที่
ภาษาญี่ ปุน โบราณมีคําช วยและคํ าชวยกริย า ซึ่ง ทํา ใหรูวา คําใดเปนประธานหรือกรรมใน
ประโยคนั้น เปนตน (ซึ่งเปนลักษณะของภาษาญี่ปุนปจจุบันดวย) แตภาษาจีนโบราณมีคําที่
ทําหนาที่ทํานองเดียวกับคําชวยและคําชวยกริยาจํานวนนอยมาก และในกรณีที่มีใชก็ไมไดมี
หนาที่ที่ชัดเจนเหมือนในภาษาญี่ปน ุ
ในภาษาจีนโบราณสิ่งที่บอกใหรูวาคํานั้นทําหนาที่อะไรในประโยคก็คือ ตําแหนงของคํา
นั้น คําเดียวกันอาจเปนคํานามที่เปนประธานของประโยค แตในอีกประโยคคํานั้นอาจทําหนาที่
เปนคํากริยาโดยไมมีการเปลี่ยนรูป (ภาษาจีนไมมีการผันรูปคํา) หรือมีคําอื่นใดมาชวย แตจะรูได
จากตําแหนงของคํานั้นในประโยค ลําดับคําในประโยคภาษาจีนโบราณจึงเปนเรื่องสําคัญที่ตอง
ศึกษา จุดนี้นับวาภาษาจีนโบราณจะใกลเคียงภาษาไทยมากกวา ยกเวนกรณีของตําแหนงของ
สวนขยาย ซึ่งภาษาไทยจะตรงขามกับภาษาจีนและญี่ปุน แตในการอธิบายโครงสรางภาษาจีน
โบราณในที่นี้จําเปนตองอิงกับภาษาญี่ปุน เนื่องจากการอานคัมบุนแบบคุนโดะกุ คือการอาน
ภาษาจีนโบราณ โดยอานเปนภาษาญี่ปุนโบราณดังกลาวแลวนั่นเอง
เพื่อชวยใหเขาใจการใชเครื่องหมายคุนเต็น และเขาใจการอานคัมบุนแบบคุนโดะกุไดงาย
ขึ้น เราสามารถจัดกลุมโครงสรางหรือลําดับคําในภาษาจีนโบราณเปน 6 ประเภทดังตอไปนี้
โครงสรางภาษาจีนโบราณ
しゆ ご
7 8
じゆつご
1主語 + 述語
もくてきご
2主語 + 述語 + 目的語
お う こ ほ ご
3主語 + 述語 +(於・于・乎)+ 補語
4主語 + 述語 + 補語 + 目的語
お う こ
5主語 + 述語 + 目的語+(於・于・乎)+ 補語
お う こ
6主語 + 述語 + 補語 +(於・于・乎)+ 補語
อยางไรก็ตาม ภาษาจีนโบราณหรือคัมบุนที่จะพบในหนังสือเลมนี้หรือที่อื่น ๆ ไมใชวาจะมี
โครงสรางขางตนนี้อยางชัดเจน ทั้งนี้ก็เพราะวาภาษาจีนโบราณมีลักษณะสําคัญประการหนึ่งคือ
7
しゅご
8
じゅつご
33
8. คัมบุน ภาษาญี่ปุนสไตลจีน ภาษาจีนสไตลญี่ปุน
การละขอความ ที่พบไดบอยและคลายภาษาญี่ปุนและภาษาไทยก็คือ การละประธาน(主
語)นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีที่มี การสลับลําดับ โดยวางประธานของประโยคไวสวนทายและวาง
สวนที่ตองการเนนไวตนประโยค การสลับลําดับเชนนี้จะพบในประโยคแสดงการอุทาน เปนตน
ต อ ไปจะอธิ บ ายเกี่ ย วกั บ โครงสร า งหรื อ ลํ า ดั บ คํ า ในภาษาจี น โบราณแต ล ะประเภท
โดยสังเขปดังตอไปนี้
1主語 + 述語
主語 หมายถึง คํา หรือกลุมคําทีทําหนาที่เปนประธานของประโยค รวมทังคําหรือกลุมคําทีทา
่ ้ ่ ํ
หนาทีเ่ ปนสวนขยายประธาน ซึ่งเมื่ออานเปนภาษาญี่ปนโบราณจะเปน คํานาม หรือคําสรรพนาม
ุ
れんたいけい
หรือคําที่เปนเสมือนคํานาม (เชนคํากริยาในรูป 連体形 ตามดวย こと หรืออาจละ こと)
ในภาษาจีนโบราณสวนขยายจะวางอยูขางหนาคําทีถกขยายเชนเดียวกับในภาษาญี่ปน
ู่ ุ
แตตรงขามกับภาษาไทย
述語 หมายถึง คํา หรือกลุมคําที่ทําหนาที่อธิบายวา ประธานของประโยคทํากิริยาอาการอะไร
หรือเปนอยางไร หรือเปนอะไร ซึ่งเมื่ออานเปนภาษาญี่ปุนโบราณจะไดแก คํากริยา (ตัวอยาง a
b) คําคุณศัพท (形容詞) (ตัวอยาง c) 形容動詞9 (ตัวอยาง d e) หรือคํานามกับคําชวยกริยา
けいようし けいようどうし
なり(ตัวอยาง f) รวมทั้งคําที่ทําหนาที่เปนสวนขยายของคําเหลานี้
เพื่อไมใหเกิดความเขาใจคลาดเคลื่อนจะขอใชคําวา 述語 โดยไมแปล ขอใหสังเกตวา 述
語 ตางจากคําวา ภาคแสดง ที่ใชในการอธิบายไวยากรณภาษาไทย เนื่องจากภาคแสดงจะรวม
ทุกคําที่ไมไดอยูในภาคประธาน เชน รวมคําที่เปนกรรมของประโยคดวย แต 述語 ไมรวม ขอใหดู
โครงสรางตอไปก็จะเขาใจได10
9
ดูคําอธิบายที่ภาคผนวกหัวขอภาษาญี่ปุนโบราณ
10 やまもと
述語 อาจแปลตามตัวอักษรไดวา คําบรรยาย คือเปนคําที่บรรยายวา ประธานทําอะไร เปนอยางไร หรือเปนอะไร ซึ่ง 山本
てつお
哲夫『古典漢文の基礎』หน า 26 เที ย บเท า กั บ คํ า ว า predicate ในไวยากรณ ภ าษาอั ง กฤษ ซึ่ ง ผู เ ขี ย นไม เ ห็ น ด ว ย เพราะ
predicate หมายถึง swim ในประโยค Fishes swim. หรือ is an artist ในประโยค She is an artist. (Longman Dictionary of
Contemporary English ป 1995) พจนานุกรมภาษาอังกฤษบางเลม เชน Oxford Advanced Learner’s Dictionary ป 2000
ใหคําจํากัดความของ predicate วาเปนสวนที่มีคํากริยา โดยไมไดครอบคลุมไปถึงสวนบรรยายที่เปนคําคุณศัพท หรือคํานาม
Password English Dictionary for Speakers of Thai ป 2537 ใหคําแปลของ predicate วา ภาคแสดง และยกตัวอยางวา live
34
9. บทที่ 1
การใชเครื่องหมายกํากับการอาน
ลําดับคําในลักษณะนี้เปนโครงสรางที่เขาใจงายมาก เนื่องจากเหมือนกับทั้งภาษาไทย
ญี่ปุน และอังกฤษ การที่ลําดับคําในภาษาจีนและญี่ปุนตรงกัน ทําใหไมมีความจําเปนที่จะตองใช
เครื่องหมายกํากับการอานประเภทแสดงลําดับคําที่เรียกวาคะเอะริ-เต็น 返り点 จะใชก็เฉพาะ
โอะกุริงะนะ 送り仮名 เพื่อแสดงคําชวย คําชวยกริยา และอื่น ๆ ที่ไมปรากฏในอักษรคันจิ
โครงสรางนี้เปนเพียงโครงสรางเดียวที่มีลําดับคําเหมือนภาษาญี่ปุน จึงเปนเพียงโครงสราง
เดียวที่ไมตองใชเครื่องหมายกํากับการอานประเภทแสดงลําดับคํา
ตัวอยางโครงสราง 主語 + 述語
คุนโดะกุบุน 訓読文
a b c d e f
คะกิกุดะฌิบน 書き下し文
ุ
a b c d e f
in London ในประโยค We live in London เปน predicate ซึ่งทําให predicate ไมมีความหมายตรงกับ 述語(ดูโครงสราง 3)
35
10. คําแปลและคําอธิบาย
a เมฆขาวลอยละลอง
• 白雲 เปนประธานของคํากริยา 飛
• ในภาษาญี่ ปุ น โบราณจํ า เป น ต อ งเติ ม ブ หลั ง 飛 เพื่ อ ให อ า นเป น คํ า กริ ย าในรู ป
しゆうしけい
11
終止形 (รู ป จบประโยค) การเติ ม ブ เช น นี้ คื อ การใช เ ครื่ อ งหมายช ว ยการอ า น
おく が な
ประเภทที่เรียกวา โอะกุริงะนะ 送り仮名 ซึ่งจะเขียนดวยอักษรคะตะกะนะ
b ดวงอาทิตยโคจร
• 日 เปนประธานของคํากริยา 運行
• ในภาษาญี่ ปุ น โบราณมี คํ า กริ ย าประเภทที่ เ กิ ด จากการเติ ม คํ า กริ ย า す หลั ง
คํานาม (ในทํานองเดียวกับการใช する ในภาษาญี่ปุนปจจุบัน) 運行 ในภาษาจีนจึง
うんかう
อานวา 運行す ในภาษาญี่ปุนโบราณ การเติม ス เชนนี้คือการใชเครื่องหมายชวย
おく が な
การอานประเภทที่เรียกวา โอะกุริงะนะ 送り仮名
c ภูเขาสูง
• 山 เปนประธานของคําคุณศัพท 高
たか しゆうしけい
• ในภาษาญี่ปนโบราณอาน 高 วา 高シ ซึ่งเปนรูป 終止形 (รูปจบประโยค)
ุ
d (การ) กระโดด/บินโฉบ (มีลักษณะที่) ทํามุมลาดชัน
• 飛 เปนประธานของประโยค 急 แสดงลักษณะของ 飛
• ในตั ว อย า ง a 飛 เป น คํ า กริ ย า แต ใ นประโยคนี้ 飛 เป น ประธานของประโยค
れんたいけい
ภาษาญี่ปุนโบราณจึงใชรูป 連体形 ตามดวย コト เพื่อทําใหเปนเสมือนหนึ่งคํานาม
め い し か
(名詞化)ในบางกรณี อ าจละ コト เพื่ อ ความไพเราะสละสลวยในการอ า นออก
เสียง
• ภาษาญี่ปนโบราณใช 急 เปน 形容動詞 ประเภทที่ผนแบบ なり
ุ ั
e ทองทะเลกวางใหญสดลูกหูลูกตา
ุ
やうやう
• ภาษาญี่ปุนโบราณใช 洋洋 เปน 形容動詞 ประเภทที่ลงทายดวย タリ กลาวคือ ในตําแหนง
ที่เปน 述語 ในภาษาจีนนั้น ถาเปนคําที่เกิดจากการใชอักษรเดียวกันซอน
11
しゅうしけい