Mais conteúdo relacionado
ข้อ 1
- 1. กฎหมายมหาชนมีความเกี่ยวข้อง มีความสาคัญ กับการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร
ข้อ 1. กฎหมายมหาชนคืออะไร มีความสาคัญกับศาสตร์อื่นเช่นรัฐศาสตร์และปรัชญาอย่างไร จงอธิบาย
ธงคาตอบ
กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กล่าวกาหนดถึงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทัง้ที่เกี่ยวข้องกับ สถานะ
และ อานาจ ของรัฐและผู้ปกครองกับพลเมือง
ผู้อยู่ใต้ปกครองในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมือง ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเอกชน
ส่วนรัฐศาสตร์นัน้คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของรัฐ อานาจ และการปกครอง รัฐศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับรัฐ
กาเนิด และวิวัฒนาการของรัฐ รัฐในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและยังศึกษาองค์การทางการเมือง
สถาบันทางปกครองตลอดจนในการปกครองรัฐ วิธีการดาเนินการต่างๆของรัฐ
รวมทัง้แนวคิดทางการปกครองและการเมืองในรัฐด้วย
กฎหมายมหาชนและรัฐเป็นศาสตร์ 2 ศาสตร์ ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก
เพราะกฎหมายมหาชนจะศึกษา
เรื่อง รัฐ อานาจของรัฐ รัฐธรรมนูญ และศึกษาสถาบันการเมืองของรัฐ ซึ่งก็ต้องเกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์
แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายมหาชนยังต้องศึกษาในด้านนิติศาสตร์อยู่อีกมาก
ศึกษาบัญญัติของกฎหมายมิใช่เป็นการศึกษาทางรัฐศาสตร์ล้วนๆ
กฎหมายมหาชนสัมพันธ์กับปรัชญา กล่าวคือ กฎหมายแต่ละอย่างจะมีปรัชญาที่แตกต่างกัน ปรัชญาของ
กฎหมายเอกชน ปรัชญากฎหมายมหาชนเป็นต้น
ดังนัน้ ปรัชญาซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการวิเคราะห์ความรู้ยอดสรุปของวิชากฎหมายมหาชน
จึงสัมพันธ์กับปรัชญา
สาธารณประโยชน์หรือประโยชน์สาธารณะ และการประสานดุลภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะ
กับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของเอกชน
ข้อ 2. จงทาตามคาสั่งต่อไปนี้
1) ยกตัวอย่างกฎหมายเอกชน 5 ฉบับ
2) หน่วยงานทางปกครองได้แก่หน่วยงานใดบ้าง
- 2. 3) เจ้าหน้าที่ของรัฐคือใคร
4) การใช้อานาจทางปกครองมีลักษณะเป็นอย่างไร
และจงอธิบายถึงความหมายสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายมหาชน หน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ
การใช้
อานาจการปกครอง และศาลปกครอง
ธงคาตอบ
1) กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ได้แก่
กฎหมายที่ดินและพระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต่างๆ เช่น
พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคาแหง พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตัง้ เป็น
ต้น
2) หน่วยงานการปกครอง ได้แก่
- หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีสถานภาพเป็นนิติบุคคล
- หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัด และอาเภอ จังหวัดเป็นนิติบุคคลแต่อาเภอไม่
เป็นนิติบุคคล
- หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อ.บ.จ.) เทศบาล องค์การ
บริหารส่วนตาบล (อ.บ.ต.) กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา
- รัฐวิสาหกิจ เช่น ไฟฟ้า การประปา การรถไฟ ฯลฯ
- หน่วยงานเอกชนที่ใช้อานาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อานาจในทางปกครองตามกฎหมาย เช่น สภา
ทนายความ สถานที่ตรวจสภาพรถยนต์ ฯลฯ
3) เจ้าหน้าที่ของรัฐคือ บุคคล หรือคณะบุคคลที่ใช้อานาจหรือได้รับมอบให้ใช้อานาจในทางปกครองตาม
กฎหมาย ได้แก่ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่คณะกรรมการที่จัดตัง้ขึน้ตามกฎหมาย
4) การใช้อานาจทางการปกครอง คือ การใช้อานาจของเจ้าหน้าที่รัฐอันทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โอน
สงวน หรือระงับต่อสถานภาพหรือสิทธิของบุคคลรวมทัง้การออกกฎออกคาสั่งด้วย
- 3. กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อานาจหน้าที่ในทางปกครองแก่รัฐแก่หน่วยงานทางปกครองแล
ะ
แก่ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนัน้ หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะดาเนินการใดๆ
ได้จะต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อานาจหน้าที่ไว้
ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อานาจหน้าที่ในการปกครองไว้ทาไม่ได้ และเมื่อดาเนินการใดๆ
แล้วเกิดกรณีพิพาทจะเป็นกรณีพิพาททางปกครองจะต้องนาคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง
ข้อ 3.
ให้นักศึกษาอธิบายความสัมพันธ์ของการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินการควบคุมการใช้อานาจ
รัฐโดยละเอียด พร้อมยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์กันดังกล่าว
ธงคาตอบ
การบริหารราชการแผ่นดินของไทยเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายมหาชน คือ รัฐธรรมนูญ
และ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเช่น พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
บัญญัติให้อานาจและหน้าที่ในทางปกครอง ได้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเป็น 3 ส่วน คือ
1, การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
2. การจัดระเบียบบริหารส่วนภุมิภาค ได้แก่ จังหวัดและอาเภอ กฎหมายบัญญัติให้จังหวัดเป็นนิติบุคคล
ส่วนอาเภอไม่เป็นนิติบุคคล
3. การจัดระเบียบบริหารส่วนท้องถิ่น ได้แก่
- องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อ.บ.จ.)
- เทศบาล
- องค์การบริหารส่วนตาบล (อ.บ.ต.)
- เมืองพัทยา
- กรุงเทพมหานคร
การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นเป็นการกระจายอานาจทางปกครองให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วน
ร่วมในการปกครองตนเองตามความประสงค์ของประชาชนเอง
- 4. และการเกิดขึน้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนีเ้กิดขึน้จาก
บทบัญญัติของกฎหมาย และกฎหมายที่ทาให้เกิดองค์กรดังกล่าวเป็นกฎหมายมหาชน ซึ่งได้แก่
- พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด
- พ.ร.บ. เทศบาล
- พ.ร.บ. สภาตาบล และองค์กรบริหารส่วนตาบล
- พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
- พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา
พระราชบัญญัติดังกล่าวนัน้เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อานาจหน้าที่ในทางปกครองและบริการสาธารณะแก่
องค์กรดังกล่าวซึ่งเป็นนิติบุคคลตามบทบัญญัติของกฎหมาย
อานาจบังคับบัญชา กับ อานาจกากับการดูแล
อานาจบังคับบัญชา คือ อานาจที่ผู้บังคับบัญชาใช้ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น รัฐมนตรี ใช้อานาจบังคับ
บัญชา เหนือเจ้าหน้าที่ทัง้หลายในกระทรวง เป็นต้น เป็นอานาจที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการใดๆ
ก็ได้ตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสม สามารถกลับ แก้ ยกเลิก เพิกถอน คาสั่งหรือการกระทาใดๆ
ของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นประการอื่นทัง้นกี้ารใช้อานาจ
บังคับบัญชาต้องชอบด้วยกฎหมาย ใช้ในทางที่เหมาะสม จะขัดต่อกฎหมายไม่ได้
ส่วน อานาจกากับดูแล นัน้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผุ้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
แต่ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกากับดูแลกับองค์กรภายใต้กากับดูแล เป็นอานาจที่มีเงื่อนไข
กล่าวคือ จะใช้ได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อานาจไว้ และต้องเป็นตามรูปแบบที่กฎหมายกาหนด
ไม่มีอานาจสั่งการให้ปฏิบัติการตามที่ตนเห็นสมควร
ทาได้แต่เพียงกากับดูแลให้ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านัน้
แต่ในบางกรณีองค์กรกากับดูแลอาจยกเลิก เพิกถอนหรือเข้าสั่งการแทนองค์กรภายใต้กากับดูแล
แต่ก็เฉพาะกรณีที่กฎหมายยกเว้นไว้เท่านัน้
เพราะโดยหลักแล้วองค์กรกากับดูแลไม่มีอานาจที่จะกระทาเช่นนัน้
ความแตกต่างระหว่าง อานาจบังคับบัญชา กับ อานาจกากับดูแล
- 5. 1) อานาจบังคับบัญชาเป็นอานาจทั่วไป ไม่จาเป็นต้องมีกฎหมายให้อานาจ เป็นอานาจที่ผู้บังคับบัญชาใช้
กับ ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการใดๆก็ได้ตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสม คือสามารถปรับแก้ ยกเลิก
เพิกถอนคาสั่งของผู้ใต้ บังคับบัญชาได้เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายไว้เป็นอย่างอื่น
แต่ในการใช้อานาจบังคับบัญชานัน้จะต้องชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนอานาจกากับดุแลนัน้เป็นอานาจที่มีเงื่อนไข
ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับ
บัญชา จะใช้อานาจได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อานาจและต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมาย กาหนดเท่านัน้
กล่าวคือกฎหมายจะกาหนดรูปแบบไว้ว่าใครจะเป็นผู้ใช้อานาจ เช่น
การสั่งยุบสภาท้องถิ่นต้องมีรายงานเสนอจากผู้ว่าราชการจังหวัดขึน้ไป
ดัง นัน้ อานาจยุบสภาท้องถิ่นจึงอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ฉะนัน้
ในการควบคุมกากับดูแลจึงไม่มีการสั่งการตามที่ผู้กากับดูแลนัน้เห็นสมควร
แม้อาจมีบางกรณีที่ผู้กากับดูแลอาจจะยกเลิก เพิกถอนได้ แต่ก็ต้องมีเรื่องที่กฎหมายได้กาหนดไว้
2) อานาจบังคับบัญชาเป็นอานาจในระบบการการบริหารในนิติบุคคลหนึ่งๆ เช่น ภายในรัฐ หรือภายใน
องค์ กระจายอานาจอื่นๆ เช่น ภายในเทศบาลเองก็มีอานาจบังคับบัญชา
นายกเทศมนตรีสามารถออกคาสั่งหรือสั่งการใดๆที่ตนเห็นว่าเหมาะสมได้
ส่วนการบริหารภายในรัฐก็คือราชการบริหารส่วนกลาง
เมื่อบริหารองค์กรที่อยู่ภายใต้อานาจในราชการบริหารส่วนกลางก็คือ กระทรวง ทบวง กรม นัน้
ก็ใช้อานาจบังคับบัญชาเช่นกัน
อนึ่ง หลักการควบคุมการใช้อานาจรัฐ แบ่งได้ ดังนกี้ล่าวคือ
- ระหว่างราชการส่วนกลางกับราชการส่วนภูมิภาค ใช้หลักการควบคุมบังคับบัญชา
- ระหว่างราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาคกับราชการส่วนท้องถิ่นใช้หลักการกากับดูแล
ทัง้นี้การควบคุมการใช้อานาจรัฐ หรือฝ่ายปกครอง แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
(1) การควบคุมฝ่ายปกครองแบบป้องกัน (แบบก่อน) หมายถึง
กฎหมายกาหนดกระบวนการต่างๆก่อนจะมี
- 6. การกระทาการปกครอง เพื่อคุ้มครองและให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมมากขึน้
กระบวนการควบคุมในกฎหมายต่างประเทศ มี
ตัวอย่างเช่น
- การโต้แย้งคัดค้าน
ผู้ที่อาจเสียหายจากการกระทาของฝ่ายปกครองจะต้องสามารถแสดงข้อโต้แย้งของตน
ได้ก่อนมีการกระทานัน้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปกครองที่ดือ้ดึง
-การปรึกษาหารือ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
-การให้เหตุผล เพื่อเป็นหลักประกันในการควบคุมการใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครอง
-หลักการไม่มีส่วนได้เสีย ผู้มีอานาจสั่งการทางปกครองต้องไม่มีส่วนได้เสีย
-การไต่สวนทวั่ไป เป็นวิธีการที่กาหนดให้ฝ่ายปกครองต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยทาการรวบรวมความ
คิดเห็นของบุคคลที่มีส่วนได้เสีย
แล้วทาเป็นรายงานก่อนที่ฝ่ายปกครองจะตัดสินใจกระทาการที่จะมีผลกระทบผู้มีส่วนได้เสีย
ประเทศไทยในปัจจุบันมี พ.ร.บ, วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
กาหนดหลักเกณฑ์นเี้ป็นกฎหมาย
กลาง แต่ก็มีกฎหมายเฉพาะที่อาจกาหนดหลักเกณฑ์เหล่านไี้ว้ในกฎหมายเฉพาะนัน้ด้วยก็ ได้ อนึ่งใน
พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
มีหลักเกณฑ์ที่เป็นลักษณะของการแก้ไขอยู่ด้วยเช่นกัน เช่น การอุทธรณ์ภายใน เป็นต้น
(2) การควบคุมฝ่ายปกครองแบบแก้ไข (แบบหลัง) หมายถึง
การควบคุมตรวจสอบการใช้อานาจทางปกครอง หลังการใช้อานาจทางปกครองไปแล้วเรียกว่า การควบคุม
แบบแก้ไข ซึ่งกระทาได้หลายวิธีดังนี้
2.1 การควบคุมโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหารเอง เช่น
- การร้องทุกข์ การอุทธรณ์คาสั่งทางปกครอง
2.2 การควบคุมองค์ภายนอกของฝ่ายบริหารเช่น
- การควบคุมโดยทางการเมืองได้แก่การตัง้กระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
- 7. - การควบคุมโดยองค์กรพิเศษได้แก่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
- การควบคุมโดยศาลปกครอง
การควบคุมแบบแก้ไขนเี้ป็นการใช้อานาจทางปกครองไปแล้ว
และเกิดปัญหาจากการใช้อานาจทางปกครอง
นัน้ขึน้ จึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีตามขัน้ตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้
ระบบการควบคุมการใช้อานาจรัฐที่ดี ประกอบด้วย
(1) ต้องครอบคลุมในกิจการของรัฐทุกด้านให้เป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างทั่วถึง
(2) เหมาะสมกับสภาพของกิจกรรมของรัฐที่ควบคุม (มีสมดุล)
(3) องค์กรที่ทาหน้าที่ตรวจสอบนัน้ ๆ ต้องอิสระ และองค์กรนัน้ๆ จะต้องถูกตรวจสอบได้
(4) การเข้าถึงระบบการตรวจสอบควบคุมนตี้้องเป็นไปโดยกว้างขวาง
สาหรับในด้านความสัมพันธ์ของการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินกับการควบคุมการใช้อานาจรัฐ นัน้
เป็น ไปดังนี้กล่าวคือ โดยเหตุที่หน่วยงานของรัฐมีบรรจุในราชการแผ่นดิน ทัง้ 3 ส่วน
ไม่ว่าจะเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัด อาเภอ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ดังนัน้
ทุกส่วนราชการจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุมการใช้อานาจรัฐทัง้สิน้ซึ่งก็แล้วแต่กรณีว่าจะตกอยู่ภายใน
การใช้อานาจ แบบใด ทัง้นกี้็เป็นไปตามเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างต้น