SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 22
Baixar para ler offline
เรื่ อง
การสื่ อสารข้อมูล

จัดทาโดย
นาย ธราเทพ ชุ่มชื่น ม.4/1 เลขที่6
เสนอ
คุณครู จุฑารัตน์ ใจบุญ

โรงเรี ยนรัษฎานุประดิษฐ์อนุสรณ์
ปี การศึกษา 2555
คานา
รายงานเล่มนี้เป็ นส่ วนหนึ่งของรายวิชา คอมพิวเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 จัดทาขึ้นเพื่อ
ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่ อง การสื่ อสารข้อมูล ซึ่งเป็ นกระบวนการถ่ายโอนหรื อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
ระหว่างผูส่งและผูรับ โดยผ่านช่องทางสื่ อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรื อคอมพิวเตอร์เป็ น
้
้
ตัวกลางในการส่ งข้อมูล เพื่อให้ผส่งและผูรับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ผูจดทาหวังเป็ นอย่างยิง
ู้
้
้ั
่
ั
ว่ารายงานเล่มนี้จะเป็ นประโยชน์กบเพื่อนๆไม่มากก็นอย
้
หากมีขอผิดพลาดประการใดผูจดทาต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ดวย
้
้ั
้

จัดทาโดย
นาย ธราเทพ ชุ่มชื่น ม.4/1 เลขที่ 6
การสื่ อสารข้อมูล
การสื่ อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรื อการ
แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผูส่งต้นทางกับผูรับปลายทาง ทั้งข้อมูลประเภท ข้อความ รู ปภาพ เสี ยง
้
้
หรื อข้อมูลสื่ อผสม โดยผูส่งต้นทางส่ งข้อมูลผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรื อคอมพิวเตอร์ ซึ่งมี
้
่
หน้าที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นให้อยูในรู ปสัญญาณทางไฟฟ้ า (Electronic data) จากนั้นถึงส่ งไปยัง
อุปกรณ์หรื อคอมพิวเตอร์ปลายทาง

1. ผู้ส่ง เป็ นสิ่ งที่ทาหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารออกไปยังจุดหมายปลายทางที่ตองการ ซึ่งอาจเป็ น
้
บุคคลหรื ออุปกรณ์ เช่น เครื่ องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็ นต้น
่
2. ข้ อมูลข่ าวสาร เป็ นสิ่ งที่ผส่งต้องการส่ งไปให้ผรับที่อยูปลายทางซึ่ งอาจเป็ นเสี ยง ข้อความ
ู้
ู้
หรื อภาพ เพื่อสื่ อสารให้เกิดความเข้าใจตรงกัน
3. สื่ อกลาง หรือช่ องทางการสื่ อสาร เป็ นสิ่ งที่ช่วยให้ขอมูลข่าวสารเดินทางจากผูส่งไปยังผูรับ
้
้
้
ได้โดยสะดวก ซึ่งมีหลายรู ปแบบ ดังนี้
* สายสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น สายโทรศัพท์ สายเคเบิล เส้นใยแก้วนาแสง เป็ นต้น
* คลื่นสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแสง คลื่นอินฟราเรด
* อุปกรณ์เสริ มชนิดต่างๆ เช่น เสาอากาศวิทยุ เสาอากาศโทรศัพท์ ดาวเทียม โมเด็ม
4. ผู้รับ เป็ นสิ่ งที่ทาหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากผูส่ง ซึ่งส่ งผ่านสื่ อกลางชนิด
้
ต่างๆ เช่น เครื่ องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ เป็ นต้น
การ ที่จะส่ งข้อมูลข่าวสารจากผูส่งไปยังผูรับได้อย่างมีประสิ ทธิภาพนั้น จะขาด
้
้
ส่ วนประกอบใดส่ วนประกอบหนึ่งที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ และต้องรู ้จกเลือกใช้อุปกรณ์และวิธีการให้
ั
เหมาะสมกับลักษณะงาน
5. โปรโตคอล (Protocol) เป็ นข้อกาหนดหรื อข้อตกลงถึงกฎระเบียบและวิธีการที่ใช้ในการ
สื่ อสารเพื่อให้ผส่งและผูรับมีความเข้าใจตรงกัน
ู้
้
ชนิดของการสื่ อสาร
การสื่ อสารข้อมูลระหว่างผูรับกับผูส่งสามารถแบ่งได้เป็ น 3 ประเภท
้
้
1. การสื่ อสารข้ อมูลทิศทางเดียว (Simplex Transmission) เป็ นการติดต่อสื่ อสารเพียง
ทิศทางเดียว คือผูส่งจะส่ งข้อมูลเพียงฝั่งเดียวและโดยฝั่งรับไม่มีการตอบกลับ เช่น การกระจายเสี ยง
้
ของสถานีวทยุ การส่ ง e-mail เป็ นต้น
ิ

2. การสื่ อสารข้ อมูลสองทิศทางสลับกัน (Half Duplex Transmission)
สามารถ ส่ งข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ทั้งฝ่ ายส่ งและฝ่ ายรับ หรื อพูดอีกนัย
หนึ่งคือ ผูส่งสามารถส่ งข้อมูลไปให้แก่ผรับ ส่ วนผูรับก็สามารถโต้ตอบกลับได้ แต่ไม่สามารถส่ ง
้
ู้
้
สวนทางกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่นการส่ งวิทยุของตารวจ

3. การสื่ อสารข้ อมูลสองทิศทางพร้ อมกัน (Full Duplex Transmission)
สามารถ ส่ งข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ได้ท้ ง2ทิศทาง ทั้งฝ่ ายส่ งและฝ่ ายรับ หรื อพูดอีกนัยหนึ่งคือ ผู ้
ั
ส่ งและผูรับ สามารถโต้ตอบสวนทางกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การส่ งสัญญาณโทรศัพท์ สนทนา
้
msn , Facebook
ประเภทของสั ญญาณ
่
ข้อมูลที่ใช้ในการสื่ อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต้องเป็ นข้อมูลที่อยูในรู ปสัญญาณ
ทางไฟฟ้ า ซึ่งสามารถจาแนกสัญญาณได้ 2 ลักษณะ
1. สั ญญาณแบบดิจิทล(Digitals signal)
ั
เป็ นสัญญาณที่ถูกแบ่งเป็ นช่วงๆ อย่างไม่ต่อเนื่อง (Discrete) โดยลักษณะของ
สัญญาณจะแบ่งออกเป็ นสองระดับเพื่อแทนสถานะสองสถานะ คือ สถานะของบิต 0 และสถานะ
ของบิต 1 โดยแต่ละสถานะคือ การให้แรงดันทางไฟฟ้ าที่แตกต่างกัน การทางานในคอมพิวเตอร์ใช้
สัญญาณดิจิทล
ั

2.

สั ญญาณอนาลอก(Analog Signal)
เป็ น สัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่มีความต่อเนื่องของสัญญาณ โดยไม่เปลี่ยนแปลง
แบบทันที่ทนใดเหมือนกับสัญญาณดิจิทล เช่นเสี ยงพูดหรื ออุณหภูมิในอากาศเมื่อเทียบกับเวลาที่
ั
ั
เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
พ.ศ.
2380

2453

2487

2503

2513

2514

ตาราง พัฒนาการสื่ อสารข้ อมูลทีสาคัญตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน
่
เทคโนโลยี
รายละเอียด
โทรเลข (telegram)
เป็ น อุปกรณ์สื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบแรก
ประดิษฐ์ข้ ึนที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งใช้อุปกรณ์ทาง
ไฟฟ้ าส่ งข้อความจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ถูกนามาใช้
อย่างกว้างขวางในการส่ งข่าวสาร
เครื่ องโทรพิมพ์
เป็ น อุปกรณ์สื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบ
(teleprinter)
เดียวกับโทรเลข แต่สามารถพิมพ์ขอความที่ได้รับลง
้
กระดาษได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็ นที่รู้จกกันทัวไปชื่อ
ั
่
เทเล็กซ์ (TELEX) ส่ วนใหญ่ในอเมริ กาเรี ยกว่า
TWX
มาร์ค 1 คอมพิวเตอร์
เป็ น เครื่ องคอมพิวเตอร์เครื่ องแรกของโลก สร้าง
(Mark I- Computer)
โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริ กา ใช้
หลอดสุ ญญากาศ ซึ่งใช้กาลังไฟฟ้ าสู ง จึงมีปัญหา
เรื่ องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย
ดาวเทียมสื่ อสารดวงแรก
ชื่อว่า เอคโค 1 (Echo 1) ถูก สร้างขึ้นเพื่อการ
ของสหรัฐอเมริ กา (first
ทดสอบระบบสื่ อสารผ่านดาวเทียมเท่านั้น ซึ่ง
U.S.satellite)
ดาวเทียมเป็ นโลหะมีรูปทรงกลม สามารถสะท้อน
คลื่นไมโครเวฟที่ส่งมาจากจุดใดจุดหนึ่งบนพื้นโลก
ไปยังอีกจุด หนึ่งได้
เลเซอร์ (laser)
คิดค้นโดย ทีโอดอร์ ไมแมน (Theodore Maiman) ที่
สถาบันวิจย ฮิวจ์ (Hughes Research Labaratories)
ั
เป็ นลาแสงขนานที่มีความเข้มสู ง และมีความยาว
คลื่นที่ตายตัว ซึ่งในช่วงแรกของการวิจยมีแนวโน้ม
ั
เพื่อนาไปใช้ทางการทหาร
อีเมล (e-mail)
มีการทดลองส่ งครั้งแรกในเครื อข่ายโดยเรย์ ทอมลิน
2515

2519
2526

2527
2533

2535

2541

2543

สัน (Ray Tomlinson)
อีเทอร์เน็ต (thernet)
บริ ษท ซี ร็อกซ์ (Xerox) ได้สร้างมาตรฐานสาหรับ
ั
การสื่ อสารข้อมูลบนเครื อข่ายเฉพาะบริ เวณ (LAN)
ขึ้น ซึ่งปัจจุบนเป็ นที่ยอมรับกันว่าเป็ นเทคโนโลยี
ั
เครื อข่ายที่เป็ นมาตรฐานหลักของเทคโนโลยี
สารสนเทศทั้งหมด
พีซี (personal computer:PC) คิดค้นขึ้นเพื่อให้ผใช้งานทัวไป สามารถใช้
ู้
่
คอมพิวเตอร์ได้อย่างสะดวกสบาย
อินเทอร์เน็ต (Internet)
เครื อ ข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่โยงใยกันทัวโลก
่
โดยเครื อข่ายดังกล่าวจะต้องมีมาตรฐานการรับส่ ง
ข้อมูลระหว่างกันเป็ นแบบเดียว กัน แม้คอมพิวเตอร์
ที่เชื่อมภายในเครื อข่ายดังกล่าวอาจจะแตกต่างชนิด
หรื อต่าง ขนาดกันก็สามารถสื่ อสารกันได้
เซลลูลาร์(cellular)
ระบบโทรศัพท์ไร้สายแบบเซลลูลาร์ได้เข้ามาแทนที่
ระบบโทรศัพท์ไร้สายแบบใช้คลื่นวิทยุ
ปรับปรุ งระบบอาร์พาเน็ต เครื อข่ายอาร์พาเน็ตถูกยกเลิกและถูกแทนที่ดวย
้
(ARPANET
ระบบเครื อข่ายไร้สายระดับชาติ
Reorganization)
เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wild เป็ นการบริ การข้อมูลแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext)
Web)
ที่ประกอบไปด้วยเอกสารจานวนมากที่มีการ
เชื่อมโยงกัน
โทรทัศน์แบบ HDTV
เป็ นโทรทัศน์ที่มีความละเอียดสู ง ให้ภาพคมชัด
มากกว่าปกติ เริ่ มจาหน่ายครั้งแรกในประเทศ
สหรัฐอเมริ กา
ระบบสื่ อสารแบบไร้สาย ระบบสื่ อสารแบบไร้สายเริ่ มเข้ามามีส่วนแบ่งทาง
(wireless technology)
การตลาดมากขึ้น
2545

ระบบสื่ อสารแบบบรอด
แบนต์(broadband access)

บริ การอินเทอร์เน็ตความเร็วสู งที่ใช้เทคโนโลยี
Asymmetric Digital Subscriber Line (ADSL) นัน
่
คือ การสื่ อสารข้อมูลความเร็วสู งบนข่ายสาย
ทองแดง หรื อคู่สายโทรศัพท์

2.เครือข่ ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ ายคอมพิวเตอร์ (computer network) เป็ น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อ
พ่วงเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถใช้ขอมูลร่ วมกันได้ เครื อข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งออกตามการเชื่อมโยง
้
ได้เป็ น 4 ชนิด ดังนี้
2.1 เครือข่ ายส่ วนบุคคล หรือ แพน (Personal Area Network : PAN) เป็ นเครื อข่ายที่ใช่ส่วน
บุคคล ซึ่งเป็ นการเชื่อมต่อแบบไร้สายในระยะใกล้ เช่น เช่น Bluetooth ตัวอย่าง เช่น การแลกเปลี่ยน
ข้อมูลระหว่าง PDA กับ Desktop โดยมีระยะทางไม่เกิน 1เมตร และมีอตราการรับส่ งข้อมูลความเร็ว
ั
ั
ั
สู งมาก (สู งถึง 480 Mbps)การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กบโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กบ
เครื่ องพีดีเอ เป็ นต้น
PDA ย่ อมาจาก Personal Digital Assistant หมายถึง คอมพิวเตอร์ แบบพกพาขนาดเล็กเท่ า
ฝ่ ามือ มีโปรแกรมพืนฐาน เช่ น Spread Sheet ต่ างๆ ช่ วยจดบันทึก และการนัดหมายต่ างๆ (Palm)
้
เกิน 1เมตร และมีอตราการรับส่ งข้อมูลความเร็ วสู งมาก (สู งถึง 480 Mbps)
ั
2.2 เครือข่ ายเฉพาะที่ หรือ (Local Area Network : LAN) เป็ น เครื อข่ายขนาดเล็กซึ่ง
่
เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยูในท้อง ที่บริ เวณเดียวกันเข้าด้วยกัน เช่น ภายใน
อาคาร หรื อภายในอง๕การที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เป็ นต้น โดยคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่ องจะต่อ
เข้ากับอุปกรณ์เครื อข่าย เช่น ฮับ สวิตช์ เป็ นต้น ซึ่งอุปกรณ์เครื อข่ายแต่ละตัวจะเชื่อมต่อกันโดยใช้
สายตีเกลียวคู่ สายใยแก้วนาแสงหรื อคลื่นวิทยุ และเครื อข่ายแลนจะเชื่อมต่อถึงกันด้วยอุปกรณ์จด
ั
เส้นทาง (router) การ สร้างเครื อข่ายแลนนี้แต่ละองค์กร สามารถดาเนินการเองได้ โดยการวาง
สายสัญญาณสื่ อสารภายในอาคารหรื อภายในพื้นที่ของตนเอง เครื อข่ายแลนมีต้ งแต่เครื อข่ายขนาด
ั
เล็กที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต้ งแต่สอง เครื่ องขึ้นไปภายในห้องเดียวกัน จนถึงเชื่อมโยงระหว่างห้อง
ั
หรื อองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ภายในสานักงาน ภายในโรงเรี ยนหรื อมหาวิทยาลัย เป็ นต้น ทาให้เครื่ อง
คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่ องที่เชื่อมต่อกัน สามารถส่ งข้อมูลแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ ว
และยังสามารถใช้ทรัพยากรร่ วมกันได้อีกด้วย

2.3 เครือข่ ายนครหลวง หรือแมน (Metropolitan Area Network : MAN) เป็ นเครื อข่ายที่เชื่อมโยง
่
่
แลนที่อยูห่างกัน เช่น ระหว่างสานัก งานที่อยูคนละอาหาร ระบบเคเบิลทีวตามบ้านในปัจจุบน เป็ น
ี
ั
ต้น โดยมีลกษณะการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีระห่ างไกลกันในช่วง 5-40 กิโลเมตร ผ่านสาย
ั
สื่ อสารประเภทสายใยแก้วนาแสงสายโคแอกเชียล หรื ออาจใช้คลื่นไมโครเวฟ
2.4 เครื อข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network : WAN) เป็ นเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะห่างไกล มีการติดต่อสื่ อสารกันในบริ เวณกว้าง เช่น เชื่อมโยง
ระหว่างจังหวัด ระหว่างประเทศ เป็ นต้น

3. โพรโทคอลและอุปกรณ์ สื่อสารในระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
การ สื่ อสารโดยผ่านระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ จะต้องมีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เครื อข่ายชนิดต่างๆ กัน ซึ่งไม่สามารถเชื่อมต่อกันโดยตรงได้ ดังนั้น จึง
ต้องการมีการเปลี่ยนรู ปแบบของข้อมูลที่ส่ง และกาหนดมาตรฐานทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
เพื่อให้อุปกรณ์สามารถติดต่อสื่ อสารกันได้
3.1 โพรโทคอล (protocol) คือ ข้อตกลงอย่างเป็ นทางการเกี่ยวกับวิธีที่คอมพิวเตอร์จะ
จัดรู ปแบบและตอบรับ ข้อมูลระหว่างการสื่ อสาร ซึ่งโพรโทคอลจะมีหลายมาตรฐาน และในแต่ละ
โพรโทคอลจะมีขอดีขอเสี ยต่างกันไป
้ ้
การ ติดต่อสื่ อสารข้อมูลผ่านทางเครื อข่ายนั้น จาเป็ นต้องมีโพรโทคอลที่เป็ นข้อกาหนด
ตกลงในการสื่ อสารขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบสองระบบที่แตกต่างกันสามารถสื่ อสารกันอย่างเข้าใจได้
โพรโทคอลนี้เป็ นข้อตกลงที่กาหนดเกี่ยวกับการสื่ อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่ งและ
รับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่ งและการรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่ งและ
รับกันระหว่างเครื่ องสองเครื่ อง ดังนั้น จะเห็นได้กว่าโพรโทคอลมีความสาคัญมากในการสื่ อสาร
บนเครื อข่าย ซึ่งหากไม่มีโพรโทคอลแล้ว การสื่ อสารบนเครื อข่ายคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ใน ปัจจุบนการทางานของเครื อข่ายใช้มาตรฐานโพรโทคอลต่าง ๆ ร่ วมกันทางาน
ั
มากมาย นอกจากโพรโทคอลระดับประยุกต์แล้ว การดาเนินการภายในเครื อข่ายยังมีโพรโทคอ
ลย่อยที่ช่วยทาให้
การทางานของเครื อข่ายมีประสิ ทธิภาพขึ้น ซึ่งโพรโทคอลที่ใช้ในการสื่ อสารในปัจจุบนมีหลาย
ั
ประเภท ตัวอย่างเช่น
1) โพรโทคอลเอชทีทพี (Hyper Tex Transfer Protocol : HTTP) เป็ นโพรโท
ี
คอลหลักในการใช้งานเวิลด์ไวด์เว็บ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็ นช่องทางสาหรับเผยแพร่ และ
แลกเปลี่ยนภาษาเอชทีเอ็มแอล (Hyper Text Markup Language : HTML) ใช้ร้องขอหรื อตอบกลับ
่
ระหว่างเครื่ องลูกข่าย ที่ใช้โปรแกรมค้นดูเว็บกับเครื่ องแม่ข่าย (web server) โดยทางานอยูบนโพร
โทคอลทีซีพี (Transfer Control Protocol : TCP)
2) โพรโทคอลทีซีพ/ี ไอพี (Transfer Control Protocol/Internet Protocol :
TCP/IP) เป็ น โพรโทคอลที่ใช้ในการสื่ อสารในระบบอินเทอร์เน็ต โดยมีการระบุผรับ ผูส่งใน
ู้ ้
เครื อข่าย และแบ่งข้อมูลออกเป็ นแพ็กเก็ตส่ งผ่านไปทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งหากการส่ งข้อมูลเกิดความ
ผิดพลาดจะมีการร้องขอให้ส่งข้อมูลใหม่
3) โพรโทคอลเอสเอ็มทีพี (Simple Mail Transfer Protocol : SMTP) คือ โพรโท
คอลสาหรับส่ งไปรษณี ยอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail) หรื ออีเมล (Email) ไปยังจุดหมาย
์
ปลายทาง
4) บลูทูท (Bluetooth) เป็ นโพรโทคอลที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz ในการ
รับส่ งข้อมูล คล้ายกับระบบแลนไร้สาย เพื่อได้ผใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่ อสารกับ
ู้
อุปกรณ์ต่อพ่วงไร้สาย เช่น เครื่ องพิมพ์ เมาส์ คียบอร์ด โทรศัพท์เคลื่อนที่ หูฟัง เป็ นต้น เข้าด้วยกัน
์
ได้สะดวก

ปัจจุบน มีโพรโทคอลในระดับประยุกต์ใช้งานมากมาย นอกจากโพโทคอลที่ก
ั
ล่าวมาข้างต้น เช่น การโอนย้ายแฟ้ มข้อมูลระหว่างกัน ใช้โพรโทคอลชื่อเอฟทีพี (File Transfer
Protocol : FTP) การโอนย้ายข่าวสารระหว่างกันใช้โพรโทคอลชื่อเอ็นเอ็นทีพี (Network News
่
Transfer Protocol : NNTP)เป็ นต้น จะเห็นได้วาการใช้เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ในทุกวันนี้ เป็ นผลมา
จากการพัฒนาโพรโทคอลต่างๆขึ้นใช้งาน ซึ่งการทางานอย่างใดอย่างหนึ่งจาเป็ นต้องผ่านการใช้
งานโพรโทคอลต่างๆ หลายโพรโทคอลร่ วมกัน
3.2 อุปกรณ์ สื่อสารในระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
การเชื่อมต่อเครื่ องคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็ นระบบเครื อข่ายได้น้ น จะต้องอาศัยอุปกรณ์
ั
สื่ อสารในระบบเครื่ องคอมพิวเตอร์ (network device) ซึ่ง ทาหน้าที่รับและส่ งข้อมูลโดยผ่านทาง
่
สื่ อกลาง ไม่วาจะเป็ นสื่ อกลางแบบใช้สาย และสื่ อกลางแบบไร้สาย ซึ่งอุปกรณ์สื่อสารในระบบ
เครื อข่ายคอมพิวเตอร์มีดงนี้
ั
1) เครื่องทวนสั ญญาณ (repeater) เป็ น อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รับสัญญาณดิจิทล
ั
แล้วส่ งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตวอื่น เหตุที่ตองใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ เนื่องจากการส่ งสัญญาณไป
ั
้
ในตัวกลางที่เป็ นสายสัญญาณนั้น เมื่อระยะทางมากขึ้นแรงดันของสัญญาณจะลดลงเรื่ อยๆ ทาให้ไม่
สามารถส่ งสัญญาณในระยะทางไกลๆ ได้ ดังนั้น การใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณจะทาให้สามารถส่ ง
สัญญาณไปได้ไกลขึ้น โดยสัญญาณไม่สูญหาย

2) ฮับ (hub) เป็ น อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่ ง หรื อ
เครื่ องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่ องเข้าด้วยกัน สัญญาณที่ส่งมาจากฮับจะกระจายไปยังทุกเครื่ องที่ต่อยู่
กับฮับ ซึ่งแต่ละเครื่ องจะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเองเท่านั้น

3) บริดจ์ (bridge) ใช้ ในการเชื่อมต่อเครื อข่ายหลายเครื อข่ายเข้าด้วยกัน โดยจะต้องเป็ นเครื อข่าย
ที่ใช้โพรโทคอลตัวเดียวกัน ซึ่งมีความสามารถมากกว่าฮับและอุปกรณ์ทวนสัญญาณ คือ สามารถ
่
กรองข้อมูลที่จะส่ งต่อได้ โดยการตรวจสอบว่า ข้อมูลที่ส่งนั้นมีปลายทางอยูที่ใด หากเครื่ อง
่
ปลายทางอยูภายในเครื อข่ายเดียวกันกับเครื่ องส่ ง ก็จะส่ งข้อมูลนั้นไปในเครื อข่ายเดียวกันเท่านั้น
่
ไม่ส่งไปยังเครื อข่ายอื่น แต่หากข้อมูลมีปลายทางอยูที่เครื อข่ายอื่น ก็จะส่ งข้อมูลไปในเครื อข่ายที่มี
เครื่ องปลายทางอยูเ่ ท่านั้น ทาให้สามารถจัดการกับความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ
มากขึ้น

4) อุปกรณ์ จัดเส้ นทาง (router) สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับบริ ดจ์ แต่จะ
มีความสามารถมากกว่า ตรงที่สามารถหาเส้นทางในการส่ งกลุ่มข้อมูล (data packer) ไปยังเครื่ อง
ปลายทางในระยะทางที่ส้ ันที่สุดได้

5) สวิตช์ (switch) นา ความสามารถของฮับกับบริ ดจ์มารวมกัน แต่การส่ ง
ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตวหนึ่งจะไม่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ทุก เครื่ องเหมือนกับฮับ เพราะสวิตช์
ั
จะทาหน้าที่รับกลุ่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็ นของคอมพิวเตอร์ เครื่ องใด แล้วนาข้อมูลนั้นส่ ง
ต่อไปยังคอมพิวเตอร์เป้ าหมาย ซึ่งช่วยลดปั ญหาการชนหรื อความคับคังของข้อมูล
่
่
6) เกตเวย์ (gateway) เป็ น อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เชื่อมต่อเครื อข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่วาเครื อข่าย
นั้นจะใช้โพรโทคอลตัวใดก็ตาม เนื่องจากเกตเวย์สามารถแปลงรู ปแบบแพ็กเก็ตของโพรโทคอลห
นึ่งไปเป็ นรู ป แบบของอีกโพรโทคอลหนึ่งได้ เพื่อให้เหมาะสามกับการใช้งานในเครื อข่าย ทาให้
สามารถเชื่อมต่อกับเครื อข่ายอื่นๆ ได้อย่างไม่มีขอจากัด แต่ในปัจจุบนนี้ได้รวมการทางานของเกต
้
ั
เวย์ไว้ในอุปกรณ์จดเส้นทาง (router) แล้ว ทาให้อุปกรณ์จดเส้นทางสามารถทางานเป็ นเกตเวย์ได้ จึง
ั
ั
ไม่จาเป็ นต้องซื้อเกตเวย์อีก

4. เทคโนโลยีการรับส่ งข้ อมูลในเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีในการส่ งข้อมูลผ่านเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็ น 2 ประเภทหลัก
ได้แก่ เทคโนโลยีการรับส่ งข้อมูลแบบใช้สาย และเทคโนโลยีการรับส่ งข้อมูลแบบไร้สาย ดังนี้
4.1 เทคโนโลยีการรับส่ งข้ อมูลแบบใช้ สาย เทคโนโลยีการส่ งข้อมูลแบบใช้สาย แบ่งออกตามชนิด
ของสายสื่ อสารได้ 3 ชนิด ดังนี้
1) สายตีเกลียวคู่ (twisted pair cable) ประกอบ ด้วยเส้นลวดทองแดง 2 เส้น ที่
หุมด้วยฉนวนพลาสติก พันบิดกันเป็ นเกลียว เพื่อลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าจากคู่สาย
้
ข้างเคียงภายในเคเบิลเดียว กัน หรื อจากภายนอก เนื่องจากสายตีเกลียวคู่น้ ียอมให้สัญญาณไฟฟ้ า
่ ั
ความถี่สูงผ่านได้ สาหรับอัตราการส่ งข้อมูลผ่านสายตีเกลียวคู่จะขึ้นอยูกบความหนาของสาย คือ
สายทองแดงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่ งสัญญาณไฟฟ้ ากาลังแรงได้ ทาให้สามารถส่ ง
ข้อมูลได้ดวยความเร็วสู ง โดยทัวไปใช้สาหรับส่ งข้อมูลดิจิทล สามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึง 100 เมกะ
้
ั
่
บิตต่อวินาที ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร เนื่องจากราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดีจึงมีการใช้งาน
อย่างกว้างขวาง สายตีเกลียวคู่มี 2 ชนิด ดังนี้
1. แบบไม่มีฉนวนหุม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
้
2. แบบมีฉนวนหุม (STP : Shielded Twisted Pair)
้
สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
้
สาย UTP เป็ น สายที่พบเห็นกันมาก มักจะใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์สื่อสารตาม
มาตรฐานที่กาหนด สาหรับสายประเภทนี้จะมีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร
และสาย UTP มีจานวนสายบิดเกลียวภายใน 4 คู่ คู่สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุมฉนวนคล้าย
้
สายโทรศัพท์ มีหลายเส้นซึ่งแต่ละเส้นก็จะมีสีแตกต่างกัน และตลอดทั้งสายนั้นจะถูกหุมด้วย
้
พลาสติก (Plastic Cover) ปัจจุบนเป็ นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากราคาถูกและติดตั้งได้
ั
ง่าย แสดงดังรู ป

รู ปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
้
สาย UTP
- ราคาถูก
- ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้ าหนักเบา
่
- มีความยืดหยุน และสามารถโค้งงอได้มาก
ข้อเสี ยของสาย UTP

ข้อดีของ
- ไม่เหมาะในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ห่างไกล มาก เพราะสัญญาณที่วงบนสาย
ิ่
จะถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย (มีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร)
สายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุม (STP : Shielded Twisted Pair)
้
่
สายสัญญาณ STP มี การนาสายคู่พนเกลียวมารวมอยูและมีการเพิ่มฉนวนป้ องกันสัญญาณรบกวน
ั
ซึ่งร่ างแหนี้จะมีคุณสมบัติเป็ นเกราะในการป้ องกันสัญญาณรบกวนจากคลื่นแม่ เหล็กไฟฟ้ าต่างๆ
่
เรี ยกเกราะนี้วา ชิลด์ (Shield) และเป็ นสายสัญญาณที่ได้รับการพัฒนาต่อจากสาย UTP โดยเพิ่มการ
ั
ชีลด์กนสัญญาณรบกวนเพื่อทาให้คุณสมบัติโดยรวมของสัญญาณดีมาก ขึ้น คุณลักษณะของสาย
STP ก็เหมือนกับสาย UTP คือมีเรื่ องเกี่ยวกับอัตราการบันทอนครอสทอร์ก
่

รู ปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุม (STP : Shielded Twisted
้
Pair)
ข้อดีของสาย STP
- ส่ งข้อมูลด้วยความเร็วสู งกว่า UTP
- ป้ องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า และคลื่นวิทยุ
ข้อเสี ยของสาย STP
่
- มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุนในการงอพับสายมากนัก
- ราคาแพงกว่าสาย UTP
1) สายโคแอซ์ ก (coaxial cable) มี ลักษณะเช่นเดียวกับสายที่ต่อมาจากเสา
อากาศประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็ นแกน หุมด้วยฉนวนชั้นหนึ่ง เพื่อป้ องกันกระแสไฟฟ้ ารั่ว
้
จากนั้นจะหุมด้วยตัวนาซึ่ งทาจากลวดทองแดงถักเป็ นเปี ยเพื่อป้ องกันการรบกวน ของคลื่น
้
แม่เหล็กไฟฟ้ าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ ก่อนจะหุ มชั้นนอกสุ ดด้วยฉนวนพลาสติก สัญญาณไฟฟ้ า
้
สามารถผ่านได้สูงมาก นิยมใช้เป็ นช่องสื่ อสารเชื่อมโยงผ่านใต้ทะเลและใต้ดิน สายโคแอกซ์ที่ใช้
ทัวไปมี 2 ชนิด คือ 50 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลดิจิทล และชนิด 75 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณอะ
ั
่
นาล็อก
2) สายใยแก้วนาแสง (fiber optic cable) หรื อ เส้นใยนาแสง แกนกลางของ
่
สายประกอบด้วยเส้นใยแก้วหรื อพลาสนิกขนาดเล็กภายในกลวง หลายๆ เส้น อยูรวมกัน เส้นใยแต่
ละเส้นมีขนาดเล็กประมาณเส้นผมของมนุษย์ เส้นใยแต่ละเส้นห่อหุมด้วยเส้นใยอีกชนิดหนึ่งก่อน
้
จะหุมชั้นนอกสุ ดด้วยฉนวน การส่ งข้อมูลผ่านทางสื่ อกลางชนิดนี้จะแตกต่างจากชนิดอื่นๆ ซึ่งจะใช้
้
เลเซอร์วงผ่านช่องกลวงของเส้นใยแต่ละเส้น และอาศัยหลักการหักเหของแสง โดยใช้เส้นใย
ิ่
ชั้นนอกเป็ นกระจกสะท้อนแสง สามารถส่ งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลที่สูง
มาก และไม่มีการก่อกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ทาให้สามารถส่ งข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพ กราฟิ ก
เสี ยง หรื อวีดีทศน์ได้ในเวลาเดียวกัน แต่ยงมีขอเสี ย เนื่องจากการบิดงอของสายสัญญาณจะทาให้
ั
ั ้
เส้นใยหัก จึงไม่สามารถใช้สื่อกลางนี้เดินทางตามมุมตึกได้ สายใยแก้ว นาแสง มีลกษณะพิเศษที่ใช้
ั
ั
สาหรับเชื่อมโยงแบบจุดไปจุด จึงเหมาะที่จะใช้กบการเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับอาคารหรื อ
ระหว่างเมืองกับ เมือง
4.1 เทคโนโลยีการรับส่ งข้ อมูลแบบไร้ สาย
เทคโนโลยี การส่ งข้อมูลแบบไร้สาย อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าเป็ นสื่ อกลาง
นาสัญญาณซึ่งสามารถแบ่งตามช่วงความถี่ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าได้ 4 ชนิด ดังนี้
1) อินฟราเรด (infrared) เป็ น ลักษณะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่ใช้ในการส่ ง
ั
ข้อมูลระยะใกล้ๆ ในช่วงความถี่ที่แคบมาก ใช้ช่องทางสื่ อสารน้อย มักใช้กบการสื่ อสารข้อมูลที่ไม่
มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่ งกับตัวรับสัญญาณ โดยต้องใช้วธีการสื่ อสารตามแนวเส้นตรง ระยะทาง
ิ
ไม่เกิน 1-2 เมตร ความเร็วประมาณ 4-16 เมกะบิตต่อวินาที เช่น การส่ งสัญญาณจากรี โมต
คอนโทรลไปยังโทรทัศน์ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สองเครื่ องโดยผ่านพอร์ตไออาร์ดีเอ เป็ นต้น

2) คลืนวิทยุ (radio frequency) ใช้ ส่ งสัญญาณไปในอากาศ โดยมีตวกระจาย
่
ั
สัญญาณส่ งไปยังตัวรับสัญญาณ และใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ต่างๆ กัน มีความเร็วต่าประมาณ 2
เมกะบิตต่อวินาที เช่น การสื่ อสารในระบบวิทยุเอฟเอ็ม (Frequency Modulation : FM) เอเอ็ม
(Amplitude Modulation : AM) การสื่ อสารโดยใช้ระบบไร้สาย (Wi-Fi) และบลูทูท

3) ไมโครเวฟ (microwave) จะ ใช้การส่ งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าไปใน
อากาศ พร้อมกับข้อมูลที่ตองการส่ ง และต้องมีสถานนีที่ทาหน้าทีส่งและรับข้อมูล และเนื่องจาก
้
สัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็ นเส้นตรงไม่สามารถเลี้ยวหรื อโค้งตาม ขอบโลกได้ จึงต้องมีการ
ตั้งสถานีรับ-ส่ งข้อมูลเป็ นระยะๆ และส่ งข้อมูลต่อกันเป็ นทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานี จนกว่าจะ
่
ถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะตั้งอยูในที่สูง เช่น ดาดฟ้ าของตึกสู ง ยอดเขา เป็ นต้น เพื่อ
หลีกเลี่ยงการชนสิ่ งกีดขวางในแนวการเดินทางของสัญญาณ เหมาะกับการส่ งข้อมูลในพื้นที่
ห่างไกล และทุรกันดาร

4) ดาวเทียม (satellite) เป็ น สถานีรับส่ งสัญญาณไมโครเวฟบนท้องฟ้ า ซึ่ง
ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจากัดของสถานีรับ-ส่ งไมโครเวฟบน ผิวโลก เพื่อใช้เป็ นสถานี
รับส่ งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ และทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลกซึ่งจะต้องมีสถานี
่
ภาคพื้นดิน ทาหน้าที่รับและส่ งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียมที่โคจรอยูสูงจากพื้นโลกประมาณ
35,600 ไมล์ โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ดวยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับ
้
่
ดาวเทียมนั้นอยูนิ่งกับที่ขณะโลกหมุนรอบตัวเอง ทาให้การส่ งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่ง
ขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณ จากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลก
เป็ นไปอย่างแม่นยา

5. ประโยชน์ ของการสื่ อสารข้ อมูลผ่ านเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
ความ สาคัญของการสื่ อสารข้อมูลผ่านเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เป็ นสิ่ งที่ตระหนักกันอย่าง
มากในปัจจุบน ด้วยเหตุว่าการสื่ อสารข้อมูลผ่านเครื อข่ายคอมพิวเตอร์มีประโยชน์หลายประการ
ั
ดังนี้
่
1. ความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลซึ่งอยูในรู ปของสัญญาณ
อิเล็กทรอนิกส์สามารถจัดเก็บไว้ในแผ่นบันทึก (diskette) ที่ มีความหนาแน่นสู งได้ แผ่นบันทึกแผ่น
หนึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ล้านตัวอักษร สาหรับการสื่ อสารข้อมูลนั้น ถ้าข้อมูลผ่าน
สายโทรศัพท์ได้ดวยอัตรา 120 ตัวอักษรต่อวินาที จะทาให้สามารถส่ งข้อมูล 200 หน้า ได้ในเวลา
้
เพียง 40 นาที โดยที่ไม่ตองเสี ยเวลาป้ อนข้อมูลเหล่านั้นซ้ าใหม่อีก
้
2. ความ ถูกต้องของข้อมูล โดยปกติมีการข้อมูลด้วยสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากจุด
หนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ด้วยระบบดิจิทล วิธีการรับส่ งนั้นจะมีการตรวจสอบข้อมูล หากมีขอมูล
ั
้
ผิดพลาดก็จะมีการรับรู ้และพยายามหาวิธีการแก้ไขให้ขอมูลที่ได้ รับมีความถูกต้อง โดยอาจให้ทา
้
การส่ งใหม่หรื อกรณี ผดพลาดไม่มาก ผูรับอาจใช้โปรแกรมของตนเองแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องได้
ิ
้
3. ความ เร็วของการทางาน สัญญาณทางไฟฟ้ าจะเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับแสง ทา
ให้การใช้คอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซี กโลกหนึ่ง หรื อการค้นหาข้อมูลจาก
ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถทาได้อย่างรวดเร็ว ความรวดเร็วของระบบจะทาให้ผใช้สะดวกสบาย
ู้
อย่างยิง เช่น บริ ษทสายการบินทุกแห่งสามารถทราบข้อมูลของทุกเที่ยวบินได้อย่างรวดเร็ ว ทาให้
ั
่
การจองที่นงของสายการบินสามารถทาได้ทนที
ั่
ั
ั
4. ประหยัด ต้นทุนในการสื่ อสารข้อมูล การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กนเป็ นเครื อข่าย เพื่อ
ส่ งหรื อสาเนาข้อมูล ทาให้ราคาต้นทุนของการใช้ขอมูลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการจัดส่ งแบบวิธี
้
่
อื่น เช่น การใช้อีเมล์ส่งข้อมูลในรู ปแบบอิเล็กทรอนิกส์ การใช้งานโทรศัพท์ผานเครื อข่าย
อินเทอร์เน็ต เป็ นต้น
5. สามารถ เก็บข้อมูลเป็ นศูนย์กลาง กล่าวคือ สามารถมีขอมูลเพียงชุดเดียวในระบบ
้
เครื อข่าย ซึ่งถือเป็ นข้อมูลส่ วนกลาง โดยที่แต่ละแผนกในบริ ษทสามารถดึงไปใช้ได้จากที่เดียวกัน
ั
ไม่ตองเก็บข้อมูลที่ซ้ าซ้อน กระจัดกระจายกันไปในคอมพิวเตอร์ทุกแผนก ซึ่งจะมีประโยชน์มากใน
้
กรณี ที่ขอมูลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถเปลี่ยน แปลงข้อมูลจากส่ วนกลางได้ทนที
้
ั
6. การ ใช้ทรัพยากรของระบบร่ วมกันได้ ในระบบเครื อข่ายนั้น จะทาให้สามารถใช้
่ ั
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกันได้ โดยที่อุปกรณ์น้ น อาจต่อยูกบเครื่ องใดเครื่ องหนึ่งในเครื อข่าย แต่
ั
สามารถให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่ องในเครื อข่ายใช้อุปกรณ์ตวนั้นได้ โดยตรง ทาให้สามารถลด
ั
่ ั
ค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในระบบ เช่น สามารถให้เครื่ องพิมพ์ตวเดียว ซึ่งต่ออยูกบ
ั
คอมพิวเตอร์เครื่ องหนึ่งในเครื อข่ายรับคาสังในการพิมพ์งาน จากทุกๆ เครื่ องในเครื อข่ายได้ทนที
ั
่
เป็ นต้น
7. การ ทางานแบบกลุ่ม สามารถใช้ประโยชน์ของระบบเครื อข่ายในการทางานใน
แผนกหรื อกลุ่มงานเดียวกันได้ เป็ นอย่างดี เช่น สามารถร่ วมแก้ไขเอกสารตัวเดียวกันตามแผนงาน
กล่าวคือในระบบงานเอกสารชนิดหนึ่งอาจจะต้องผ่านการแก้ไขหลายขั้นตอน ซึ่งจะทาให้
คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่ องทางานในขั้นตอนของตัวเองก่อนจะส่ งไฟล์ ข้อมูลของเอกสารนั้นไปให้
เครื่ องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครื อข่ายทาขั้นตอนต่อไป เป็ นต้น
อ้างอิง
http://koonkrujiraporn.blogspot.com/2011/07/2_20.html
https://mahara.org/artefact/file/download.php?file=162195&view...‎

Mais conteúdo relacionado

Mais procurados

ใบความรู้ที่ 1 อุปกรณ์เครือข่าย
ใบความรู้ที่ 1 อุปกรณ์เครือข่ายใบความรู้ที่ 1 อุปกรณ์เครือข่าย
ใบความรู้ที่ 1 อุปกรณ์เครือข่าย
Naruk Naendu
 
การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Krusine soyo
 
2.1 การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.1 การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์2.1 การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.1 การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Siratcha Wongkom
 
ใบงานที่ 2.1
ใบงานที่  2.1ใบงานที่  2.1
ใบงานที่ 2.1
Meaw Sukee
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
GRimoho Siri
 
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ธีรภัฎ คำปู่
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Sirinat Sansom
 

Mais procurados (19)

ใบความรู้ที่ 1 อุปกรณ์เครือข่าย
ใบความรู้ที่ 1 อุปกรณ์เครือข่ายใบความรู้ที่ 1 อุปกรณ์เครือข่าย
ใบความรู้ที่ 1 อุปกรณ์เครือข่าย
 
การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 5-5
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 5-5การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 5-5
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 5-5
 
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
2.1 การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.1 การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์2.1 การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.1 การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งานหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
 
ใบงานที่ 2.1
ใบงานที่  2.1ใบงานที่  2.1
ใบงานที่ 2.1
 
อุปกรณ์การสื่อสาร
อุปกรณ์การสื่อสารอุปกรณ์การสื่อสาร
อุปกรณ์การสื่อสาร
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.1
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.1เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.1
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.1
 
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
ระบบอินเตอร์เน็ต
ระบบอินเตอร์เน็ตระบบอินเตอร์เน็ต
ระบบอินเตอร์เน็ต
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
ระบบสื่อสารข้อมูลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารข้อมูลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
เทคโนโลยีสารสนเทศ บทที่ 4
เทคโนโลยีสารสนเทศ บทที่ 4เทคโนโลยีสารสนเทศ บทที่ 4
เทคโนโลยีสารสนเทศ บทที่ 4
 

Semelhante a การสื่อสารข้อมูล1

การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
Tharathep Chumchuen
 
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ธีรภัฎ คำปู่
 
การสื่อสารข้อมู1
การสื่อสารข้อมู1การสื่อสารข้อมู1
การสื่อสารข้อมู1
AdisukPuntong8
 
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เบญจมาศ คงดี
 
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
L'Lig Tansuda Yongseng
 
ใบงานหน่วยที่ 1
ใบงานหน่วยที่ 1ใบงานหน่วยที่ 1
ใบงานหน่วยที่ 1
watnawong
 
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
อยู่ไหน เหงา
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
sawalee kongyuen
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and network
Nidzy Krajangpat
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and network
kamol
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
Kanokwan Kanjana
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
leelawadeerattakul99
 
3.2 การใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต
3.2 การใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต3.2 การใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต
3.2 การใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต
Meaw Sukee
 

Semelhante a การสื่อสารข้อมูล1 (20)

การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
การสื่อสารข้อมู1
การสื่อสารข้อมู1การสื่อสารข้อมู1
การสื่อสารข้อมู1
 
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
รายงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์รายงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
 
รายงาน (1) (2)
รายงาน (1) (2)รายงาน (1) (2)
รายงาน (1) (2)
 
ใบงานหน่วยที่ 1
ใบงานหน่วยที่ 1ใบงานหน่วยที่ 1
ใบงานหน่วยที่ 1
 
เครือข่าย
เครือข่ายเครือข่าย
เครือข่าย
 
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
Unit2 communication
Unit2 communicationUnit2 communication
Unit2 communication
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and network
 
Network
NetworkNetwork
Network
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and network
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
หน่วยที่ 2 การสื่อสารข้อมูล และเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 2 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์หน่วยที่ 2 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 2 การสื่อสารข้อมูล และเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
3.2 การใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต
3.2 การใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต3.2 การใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต
3.2 การใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต
 
รายงาน การสื่อสารข้อมูล
รายงาน การสื่อสารข้อมูลรายงาน การสื่อสารข้อมูล
รายงาน การสื่อสารข้อมูล
 

การสื่อสารข้อมูล1

  • 1. เรื่ อง การสื่ อสารข้อมูล จัดทาโดย นาย ธราเทพ ชุ่มชื่น ม.4/1 เลขที่6 เสนอ คุณครู จุฑารัตน์ ใจบุญ โรงเรี ยนรัษฎานุประดิษฐ์อนุสรณ์ ปี การศึกษา 2555
  • 2. คานา รายงานเล่มนี้เป็ นส่ วนหนึ่งของรายวิชา คอมพิวเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 จัดทาขึ้นเพื่อ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่ อง การสื่ อสารข้อมูล ซึ่งเป็ นกระบวนการถ่ายโอนหรื อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ระหว่างผูส่งและผูรับ โดยผ่านช่องทางสื่ อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรื อคอมพิวเตอร์เป็ น ้ ้ ตัวกลางในการส่ งข้อมูล เพื่อให้ผส่งและผูรับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ผูจดทาหวังเป็ นอย่างยิง ู้ ้ ้ั ่ ั ว่ารายงานเล่มนี้จะเป็ นประโยชน์กบเพื่อนๆไม่มากก็นอย ้ หากมีขอผิดพลาดประการใดผูจดทาต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ดวย ้ ้ั ้ จัดทาโดย นาย ธราเทพ ชุ่มชื่น ม.4/1 เลขที่ 6
  • 3. การสื่ อสารข้อมูล การสื่ อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรื อการ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผูส่งต้นทางกับผูรับปลายทาง ทั้งข้อมูลประเภท ข้อความ รู ปภาพ เสี ยง ้ ้ หรื อข้อมูลสื่ อผสม โดยผูส่งต้นทางส่ งข้อมูลผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรื อคอมพิวเตอร์ ซึ่งมี ้ ่ หน้าที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นให้อยูในรู ปสัญญาณทางไฟฟ้ า (Electronic data) จากนั้นถึงส่ งไปยัง อุปกรณ์หรื อคอมพิวเตอร์ปลายทาง 1. ผู้ส่ง เป็ นสิ่ งที่ทาหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารออกไปยังจุดหมายปลายทางที่ตองการ ซึ่งอาจเป็ น ้ บุคคลหรื ออุปกรณ์ เช่น เครื่ องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็ นต้น ่ 2. ข้ อมูลข่ าวสาร เป็ นสิ่ งที่ผส่งต้องการส่ งไปให้ผรับที่อยูปลายทางซึ่ งอาจเป็ นเสี ยง ข้อความ ู้ ู้ หรื อภาพ เพื่อสื่ อสารให้เกิดความเข้าใจตรงกัน 3. สื่ อกลาง หรือช่ องทางการสื่ อสาร เป็ นสิ่ งที่ช่วยให้ขอมูลข่าวสารเดินทางจากผูส่งไปยังผูรับ ้ ้ ้ ได้โดยสะดวก ซึ่งมีหลายรู ปแบบ ดังนี้ * สายสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น สายโทรศัพท์ สายเคเบิล เส้นใยแก้วนาแสง เป็ นต้น * คลื่นสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแสง คลื่นอินฟราเรด * อุปกรณ์เสริ มชนิดต่างๆ เช่น เสาอากาศวิทยุ เสาอากาศโทรศัพท์ ดาวเทียม โมเด็ม 4. ผู้รับ เป็ นสิ่ งที่ทาหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากผูส่ง ซึ่งส่ งผ่านสื่ อกลางชนิด ้ ต่างๆ เช่น เครื่ องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ เป็ นต้น การ ที่จะส่ งข้อมูลข่าวสารจากผูส่งไปยังผูรับได้อย่างมีประสิ ทธิภาพนั้น จะขาด ้ ้ ส่ วนประกอบใดส่ วนประกอบหนึ่งที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ และต้องรู ้จกเลือกใช้อุปกรณ์และวิธีการให้ ั เหมาะสมกับลักษณะงาน 5. โปรโตคอล (Protocol) เป็ นข้อกาหนดหรื อข้อตกลงถึงกฎระเบียบและวิธีการที่ใช้ในการ สื่ อสารเพื่อให้ผส่งและผูรับมีความเข้าใจตรงกัน ู้ ้
  • 4. ชนิดของการสื่ อสาร การสื่ อสารข้อมูลระหว่างผูรับกับผูส่งสามารถแบ่งได้เป็ น 3 ประเภท ้ ้ 1. การสื่ อสารข้ อมูลทิศทางเดียว (Simplex Transmission) เป็ นการติดต่อสื่ อสารเพียง ทิศทางเดียว คือผูส่งจะส่ งข้อมูลเพียงฝั่งเดียวและโดยฝั่งรับไม่มีการตอบกลับ เช่น การกระจายเสี ยง ้ ของสถานีวทยุ การส่ ง e-mail เป็ นต้น ิ 2. การสื่ อสารข้ อมูลสองทิศทางสลับกัน (Half Duplex Transmission) สามารถ ส่ งข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ทั้งฝ่ ายส่ งและฝ่ ายรับ หรื อพูดอีกนัย หนึ่งคือ ผูส่งสามารถส่ งข้อมูลไปให้แก่ผรับ ส่ วนผูรับก็สามารถโต้ตอบกลับได้ แต่ไม่สามารถส่ ง ้ ู้ ้ สวนทางกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่นการส่ งวิทยุของตารวจ 3. การสื่ อสารข้ อมูลสองทิศทางพร้ อมกัน (Full Duplex Transmission) สามารถ ส่ งข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ได้ท้ ง2ทิศทาง ทั้งฝ่ ายส่ งและฝ่ ายรับ หรื อพูดอีกนัยหนึ่งคือ ผู ้ ั ส่ งและผูรับ สามารถโต้ตอบสวนทางกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การส่ งสัญญาณโทรศัพท์ สนทนา ้ msn , Facebook
  • 5. ประเภทของสั ญญาณ ่ ข้อมูลที่ใช้ในการสื่ อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต้องเป็ นข้อมูลที่อยูในรู ปสัญญาณ ทางไฟฟ้ า ซึ่งสามารถจาแนกสัญญาณได้ 2 ลักษณะ 1. สั ญญาณแบบดิจิทล(Digitals signal) ั เป็ นสัญญาณที่ถูกแบ่งเป็ นช่วงๆ อย่างไม่ต่อเนื่อง (Discrete) โดยลักษณะของ สัญญาณจะแบ่งออกเป็ นสองระดับเพื่อแทนสถานะสองสถานะ คือ สถานะของบิต 0 และสถานะ ของบิต 1 โดยแต่ละสถานะคือ การให้แรงดันทางไฟฟ้ าที่แตกต่างกัน การทางานในคอมพิวเตอร์ใช้ สัญญาณดิจิทล ั 2. สั ญญาณอนาลอก(Analog Signal) เป็ น สัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่มีความต่อเนื่องของสัญญาณ โดยไม่เปลี่ยนแปลง แบบทันที่ทนใดเหมือนกับสัญญาณดิจิทล เช่นเสี ยงพูดหรื ออุณหภูมิในอากาศเมื่อเทียบกับเวลาที่ ั ั เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
  • 6. พ.ศ. 2380 2453 2487 2503 2513 2514 ตาราง พัฒนาการสื่ อสารข้ อมูลทีสาคัญตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ่ เทคโนโลยี รายละเอียด โทรเลข (telegram) เป็ น อุปกรณ์สื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบแรก ประดิษฐ์ข้ ึนที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งใช้อุปกรณ์ทาง ไฟฟ้ าส่ งข้อความจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ถูกนามาใช้ อย่างกว้างขวางในการส่ งข่าวสาร เครื่ องโทรพิมพ์ เป็ น อุปกรณ์สื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบ (teleprinter) เดียวกับโทรเลข แต่สามารถพิมพ์ขอความที่ได้รับลง ้ กระดาษได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็ นที่รู้จกกันทัวไปชื่อ ั ่ เทเล็กซ์ (TELEX) ส่ วนใหญ่ในอเมริ กาเรี ยกว่า TWX มาร์ค 1 คอมพิวเตอร์ เป็ น เครื่ องคอมพิวเตอร์เครื่ องแรกของโลก สร้าง (Mark I- Computer) โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริ กา ใช้ หลอดสุ ญญากาศ ซึ่งใช้กาลังไฟฟ้ าสู ง จึงมีปัญหา เรื่ องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ดาวเทียมสื่ อสารดวงแรก ชื่อว่า เอคโค 1 (Echo 1) ถูก สร้างขึ้นเพื่อการ ของสหรัฐอเมริ กา (first ทดสอบระบบสื่ อสารผ่านดาวเทียมเท่านั้น ซึ่ง U.S.satellite) ดาวเทียมเป็ นโลหะมีรูปทรงกลม สามารถสะท้อน คลื่นไมโครเวฟที่ส่งมาจากจุดใดจุดหนึ่งบนพื้นโลก ไปยังอีกจุด หนึ่งได้ เลเซอร์ (laser) คิดค้นโดย ทีโอดอร์ ไมแมน (Theodore Maiman) ที่ สถาบันวิจย ฮิวจ์ (Hughes Research Labaratories) ั เป็ นลาแสงขนานที่มีความเข้มสู ง และมีความยาว คลื่นที่ตายตัว ซึ่งในช่วงแรกของการวิจยมีแนวโน้ม ั เพื่อนาไปใช้ทางการทหาร อีเมล (e-mail) มีการทดลองส่ งครั้งแรกในเครื อข่ายโดยเรย์ ทอมลิน
  • 7. 2515 2519 2526 2527 2533 2535 2541 2543 สัน (Ray Tomlinson) อีเทอร์เน็ต (thernet) บริ ษท ซี ร็อกซ์ (Xerox) ได้สร้างมาตรฐานสาหรับ ั การสื่ อสารข้อมูลบนเครื อข่ายเฉพาะบริ เวณ (LAN) ขึ้น ซึ่งปัจจุบนเป็ นที่ยอมรับกันว่าเป็ นเทคโนโลยี ั เครื อข่ายที่เป็ นมาตรฐานหลักของเทคโนโลยี สารสนเทศทั้งหมด พีซี (personal computer:PC) คิดค้นขึ้นเพื่อให้ผใช้งานทัวไป สามารถใช้ ู้ ่ คอมพิวเตอร์ได้อย่างสะดวกสบาย อินเทอร์เน็ต (Internet) เครื อ ข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่โยงใยกันทัวโลก ่ โดยเครื อข่ายดังกล่าวจะต้องมีมาตรฐานการรับส่ ง ข้อมูลระหว่างกันเป็ นแบบเดียว กัน แม้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมภายในเครื อข่ายดังกล่าวอาจจะแตกต่างชนิด หรื อต่าง ขนาดกันก็สามารถสื่ อสารกันได้ เซลลูลาร์(cellular) ระบบโทรศัพท์ไร้สายแบบเซลลูลาร์ได้เข้ามาแทนที่ ระบบโทรศัพท์ไร้สายแบบใช้คลื่นวิทยุ ปรับปรุ งระบบอาร์พาเน็ต เครื อข่ายอาร์พาเน็ตถูกยกเลิกและถูกแทนที่ดวย ้ (ARPANET ระบบเครื อข่ายไร้สายระดับชาติ Reorganization) เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wild เป็ นการบริ การข้อมูลแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext) Web) ที่ประกอบไปด้วยเอกสารจานวนมากที่มีการ เชื่อมโยงกัน โทรทัศน์แบบ HDTV เป็ นโทรทัศน์ที่มีความละเอียดสู ง ให้ภาพคมชัด มากกว่าปกติ เริ่ มจาหน่ายครั้งแรกในประเทศ สหรัฐอเมริ กา ระบบสื่ อสารแบบไร้สาย ระบบสื่ อสารแบบไร้สายเริ่ มเข้ามามีส่วนแบ่งทาง (wireless technology) การตลาดมากขึ้น
  • 8. 2545 ระบบสื่ อสารแบบบรอด แบนต์(broadband access) บริ การอินเทอร์เน็ตความเร็วสู งที่ใช้เทคโนโลยี Asymmetric Digital Subscriber Line (ADSL) นัน ่ คือ การสื่ อสารข้อมูลความเร็วสู งบนข่ายสาย ทองแดง หรื อคู่สายโทรศัพท์ 2.เครือข่ ายคอมพิวเตอร์ เครือข่ ายคอมพิวเตอร์ (computer network) เป็ น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อ พ่วงเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถใช้ขอมูลร่ วมกันได้ เครื อข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งออกตามการเชื่อมโยง ้ ได้เป็ น 4 ชนิด ดังนี้ 2.1 เครือข่ ายส่ วนบุคคล หรือ แพน (Personal Area Network : PAN) เป็ นเครื อข่ายที่ใช่ส่วน บุคคล ซึ่งเป็ นการเชื่อมต่อแบบไร้สายในระยะใกล้ เช่น เช่น Bluetooth ตัวอย่าง เช่น การแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่าง PDA กับ Desktop โดยมีระยะทางไม่เกิน 1เมตร และมีอตราการรับส่ งข้อมูลความเร็ว ั ั ั สู งมาก (สู งถึง 480 Mbps)การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กบโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กบ เครื่ องพีดีเอ เป็ นต้น PDA ย่ อมาจาก Personal Digital Assistant หมายถึง คอมพิวเตอร์ แบบพกพาขนาดเล็กเท่ า ฝ่ ามือ มีโปรแกรมพืนฐาน เช่ น Spread Sheet ต่ างๆ ช่ วยจดบันทึก และการนัดหมายต่ างๆ (Palm) ้ เกิน 1เมตร และมีอตราการรับส่ งข้อมูลความเร็ วสู งมาก (สู งถึง 480 Mbps) ั
  • 9. 2.2 เครือข่ ายเฉพาะที่ หรือ (Local Area Network : LAN) เป็ น เครื อข่ายขนาดเล็กซึ่ง ่ เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยูในท้อง ที่บริ เวณเดียวกันเข้าด้วยกัน เช่น ภายใน อาคาร หรื อภายในอง๕การที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เป็ นต้น โดยคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่ องจะต่อ เข้ากับอุปกรณ์เครื อข่าย เช่น ฮับ สวิตช์ เป็ นต้น ซึ่งอุปกรณ์เครื อข่ายแต่ละตัวจะเชื่อมต่อกันโดยใช้ สายตีเกลียวคู่ สายใยแก้วนาแสงหรื อคลื่นวิทยุ และเครื อข่ายแลนจะเชื่อมต่อถึงกันด้วยอุปกรณ์จด ั เส้นทาง (router) การ สร้างเครื อข่ายแลนนี้แต่ละองค์กร สามารถดาเนินการเองได้ โดยการวาง สายสัญญาณสื่ อสารภายในอาคารหรื อภายในพื้นที่ของตนเอง เครื อข่ายแลนมีต้ งแต่เครื อข่ายขนาด ั เล็กที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต้ งแต่สอง เครื่ องขึ้นไปภายในห้องเดียวกัน จนถึงเชื่อมโยงระหว่างห้อง ั หรื อองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ภายในสานักงาน ภายในโรงเรี ยนหรื อมหาวิทยาลัย เป็ นต้น ทาให้เครื่ อง คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่ องที่เชื่อมต่อกัน สามารถส่ งข้อมูลแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ ว และยังสามารถใช้ทรัพยากรร่ วมกันได้อีกด้วย 2.3 เครือข่ ายนครหลวง หรือแมน (Metropolitan Area Network : MAN) เป็ นเครื อข่ายที่เชื่อมโยง ่ ่ แลนที่อยูห่างกัน เช่น ระหว่างสานัก งานที่อยูคนละอาหาร ระบบเคเบิลทีวตามบ้านในปัจจุบน เป็ น ี ั ต้น โดยมีลกษณะการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีระห่ างไกลกันในช่วง 5-40 กิโลเมตร ผ่านสาย ั สื่ อสารประเภทสายใยแก้วนาแสงสายโคแอกเชียล หรื ออาจใช้คลื่นไมโครเวฟ
  • 10. 2.4 เครื อข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network : WAN) เป็ นเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะห่างไกล มีการติดต่อสื่ อสารกันในบริ เวณกว้าง เช่น เชื่อมโยง ระหว่างจังหวัด ระหว่างประเทศ เป็ นต้น 3. โพรโทคอลและอุปกรณ์ สื่อสารในระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ การ สื่ อสารโดยผ่านระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ จะต้องมีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่ อง คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เครื อข่ายชนิดต่างๆ กัน ซึ่งไม่สามารถเชื่อมต่อกันโดยตรงได้ ดังนั้น จึง ต้องการมีการเปลี่ยนรู ปแบบของข้อมูลที่ส่ง และกาหนดมาตรฐานทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อให้อุปกรณ์สามารถติดต่อสื่ อสารกันได้ 3.1 โพรโทคอล (protocol) คือ ข้อตกลงอย่างเป็ นทางการเกี่ยวกับวิธีที่คอมพิวเตอร์จะ จัดรู ปแบบและตอบรับ ข้อมูลระหว่างการสื่ อสาร ซึ่งโพรโทคอลจะมีหลายมาตรฐาน และในแต่ละ โพรโทคอลจะมีขอดีขอเสี ยต่างกันไป ้ ้ การ ติดต่อสื่ อสารข้อมูลผ่านทางเครื อข่ายนั้น จาเป็ นต้องมีโพรโทคอลที่เป็ นข้อกาหนด ตกลงในการสื่ อสารขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบสองระบบที่แตกต่างกันสามารถสื่ อสารกันอย่างเข้าใจได้ โพรโทคอลนี้เป็ นข้อตกลงที่กาหนดเกี่ยวกับการสื่ อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่ งและ รับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่ งและการรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่ งและ รับกันระหว่างเครื่ องสองเครื่ อง ดังนั้น จะเห็นได้กว่าโพรโทคอลมีความสาคัญมากในการสื่ อสาร บนเครื อข่าย ซึ่งหากไม่มีโพรโทคอลแล้ว การสื่ อสารบนเครื อข่ายคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ใน ปัจจุบนการทางานของเครื อข่ายใช้มาตรฐานโพรโทคอลต่าง ๆ ร่ วมกันทางาน ั มากมาย นอกจากโพรโทคอลระดับประยุกต์แล้ว การดาเนินการภายในเครื อข่ายยังมีโพรโทคอ ลย่อยที่ช่วยทาให้ การทางานของเครื อข่ายมีประสิ ทธิภาพขึ้น ซึ่งโพรโทคอลที่ใช้ในการสื่ อสารในปัจจุบนมีหลาย ั ประเภท ตัวอย่างเช่น
  • 11. 1) โพรโทคอลเอชทีทพี (Hyper Tex Transfer Protocol : HTTP) เป็ นโพรโท ี คอลหลักในการใช้งานเวิลด์ไวด์เว็บ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็ นช่องทางสาหรับเผยแพร่ และ แลกเปลี่ยนภาษาเอชทีเอ็มแอล (Hyper Text Markup Language : HTML) ใช้ร้องขอหรื อตอบกลับ ่ ระหว่างเครื่ องลูกข่าย ที่ใช้โปรแกรมค้นดูเว็บกับเครื่ องแม่ข่าย (web server) โดยทางานอยูบนโพร โทคอลทีซีพี (Transfer Control Protocol : TCP) 2) โพรโทคอลทีซีพ/ี ไอพี (Transfer Control Protocol/Internet Protocol : TCP/IP) เป็ น โพรโทคอลที่ใช้ในการสื่ อสารในระบบอินเทอร์เน็ต โดยมีการระบุผรับ ผูส่งใน ู้ ้ เครื อข่าย และแบ่งข้อมูลออกเป็ นแพ็กเก็ตส่ งผ่านไปทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งหากการส่ งข้อมูลเกิดความ ผิดพลาดจะมีการร้องขอให้ส่งข้อมูลใหม่ 3) โพรโทคอลเอสเอ็มทีพี (Simple Mail Transfer Protocol : SMTP) คือ โพรโท คอลสาหรับส่ งไปรษณี ยอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail) หรื ออีเมล (Email) ไปยังจุดหมาย ์ ปลายทาง 4) บลูทูท (Bluetooth) เป็ นโพรโทคอลที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz ในการ รับส่ งข้อมูล คล้ายกับระบบแลนไร้สาย เพื่อได้ผใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่ อสารกับ ู้ อุปกรณ์ต่อพ่วงไร้สาย เช่น เครื่ องพิมพ์ เมาส์ คียบอร์ด โทรศัพท์เคลื่อนที่ หูฟัง เป็ นต้น เข้าด้วยกัน ์ ได้สะดวก ปัจจุบน มีโพรโทคอลในระดับประยุกต์ใช้งานมากมาย นอกจากโพโทคอลที่ก ั ล่าวมาข้างต้น เช่น การโอนย้ายแฟ้ มข้อมูลระหว่างกัน ใช้โพรโทคอลชื่อเอฟทีพี (File Transfer Protocol : FTP) การโอนย้ายข่าวสารระหว่างกันใช้โพรโทคอลชื่อเอ็นเอ็นทีพี (Network News ่ Transfer Protocol : NNTP)เป็ นต้น จะเห็นได้วาการใช้เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ในทุกวันนี้ เป็ นผลมา จากการพัฒนาโพรโทคอลต่างๆขึ้นใช้งาน ซึ่งการทางานอย่างใดอย่างหนึ่งจาเป็ นต้องผ่านการใช้ งานโพรโทคอลต่างๆ หลายโพรโทคอลร่ วมกัน
  • 12. 3.2 อุปกรณ์ สื่อสารในระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ การเชื่อมต่อเครื่ องคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็ นระบบเครื อข่ายได้น้ น จะต้องอาศัยอุปกรณ์ ั สื่ อสารในระบบเครื่ องคอมพิวเตอร์ (network device) ซึ่ง ทาหน้าที่รับและส่ งข้อมูลโดยผ่านทาง ่ สื่ อกลาง ไม่วาจะเป็ นสื่ อกลางแบบใช้สาย และสื่ อกลางแบบไร้สาย ซึ่งอุปกรณ์สื่อสารในระบบ เครื อข่ายคอมพิวเตอร์มีดงนี้ ั 1) เครื่องทวนสั ญญาณ (repeater) เป็ น อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รับสัญญาณดิจิทล ั แล้วส่ งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตวอื่น เหตุที่ตองใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ เนื่องจากการส่ งสัญญาณไป ั ้ ในตัวกลางที่เป็ นสายสัญญาณนั้น เมื่อระยะทางมากขึ้นแรงดันของสัญญาณจะลดลงเรื่ อยๆ ทาให้ไม่ สามารถส่ งสัญญาณในระยะทางไกลๆ ได้ ดังนั้น การใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณจะทาให้สามารถส่ ง สัญญาณไปได้ไกลขึ้น โดยสัญญาณไม่สูญหาย 2) ฮับ (hub) เป็ น อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่ ง หรื อ เครื่ องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่ องเข้าด้วยกัน สัญญาณที่ส่งมาจากฮับจะกระจายไปยังทุกเครื่ องที่ต่อยู่ กับฮับ ซึ่งแต่ละเครื่ องจะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเองเท่านั้น 3) บริดจ์ (bridge) ใช้ ในการเชื่อมต่อเครื อข่ายหลายเครื อข่ายเข้าด้วยกัน โดยจะต้องเป็ นเครื อข่าย ที่ใช้โพรโทคอลตัวเดียวกัน ซึ่งมีความสามารถมากกว่าฮับและอุปกรณ์ทวนสัญญาณ คือ สามารถ ่ กรองข้อมูลที่จะส่ งต่อได้ โดยการตรวจสอบว่า ข้อมูลที่ส่งนั้นมีปลายทางอยูที่ใด หากเครื่ อง
  • 13. ่ ปลายทางอยูภายในเครื อข่ายเดียวกันกับเครื่ องส่ ง ก็จะส่ งข้อมูลนั้นไปในเครื อข่ายเดียวกันเท่านั้น ่ ไม่ส่งไปยังเครื อข่ายอื่น แต่หากข้อมูลมีปลายทางอยูที่เครื อข่ายอื่น ก็จะส่ งข้อมูลไปในเครื อข่ายที่มี เครื่ องปลายทางอยูเ่ ท่านั้น ทาให้สามารถจัดการกับความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ มากขึ้น 4) อุปกรณ์ จัดเส้ นทาง (router) สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับบริ ดจ์ แต่จะ มีความสามารถมากกว่า ตรงที่สามารถหาเส้นทางในการส่ งกลุ่มข้อมูล (data packer) ไปยังเครื่ อง ปลายทางในระยะทางที่ส้ ันที่สุดได้ 5) สวิตช์ (switch) นา ความสามารถของฮับกับบริ ดจ์มารวมกัน แต่การส่ ง ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตวหนึ่งจะไม่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ทุก เครื่ องเหมือนกับฮับ เพราะสวิตช์ ั จะทาหน้าที่รับกลุ่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็ นของคอมพิวเตอร์ เครื่ องใด แล้วนาข้อมูลนั้นส่ ง ต่อไปยังคอมพิวเตอร์เป้ าหมาย ซึ่งช่วยลดปั ญหาการชนหรื อความคับคังของข้อมูล ่
  • 14. ่ 6) เกตเวย์ (gateway) เป็ น อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เชื่อมต่อเครื อข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่วาเครื อข่าย นั้นจะใช้โพรโทคอลตัวใดก็ตาม เนื่องจากเกตเวย์สามารถแปลงรู ปแบบแพ็กเก็ตของโพรโทคอลห นึ่งไปเป็ นรู ป แบบของอีกโพรโทคอลหนึ่งได้ เพื่อให้เหมาะสามกับการใช้งานในเครื อข่าย ทาให้ สามารถเชื่อมต่อกับเครื อข่ายอื่นๆ ได้อย่างไม่มีขอจากัด แต่ในปัจจุบนนี้ได้รวมการทางานของเกต ้ ั เวย์ไว้ในอุปกรณ์จดเส้นทาง (router) แล้ว ทาให้อุปกรณ์จดเส้นทางสามารถทางานเป็ นเกตเวย์ได้ จึง ั ั ไม่จาเป็ นต้องซื้อเกตเวย์อีก 4. เทคโนโลยีการรับส่ งข้ อมูลในเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีในการส่ งข้อมูลผ่านเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็ น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีการรับส่ งข้อมูลแบบใช้สาย และเทคโนโลยีการรับส่ งข้อมูลแบบไร้สาย ดังนี้ 4.1 เทคโนโลยีการรับส่ งข้ อมูลแบบใช้ สาย เทคโนโลยีการส่ งข้อมูลแบบใช้สาย แบ่งออกตามชนิด ของสายสื่ อสารได้ 3 ชนิด ดังนี้ 1) สายตีเกลียวคู่ (twisted pair cable) ประกอบ ด้วยเส้นลวดทองแดง 2 เส้น ที่ หุมด้วยฉนวนพลาสติก พันบิดกันเป็ นเกลียว เพื่อลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าจากคู่สาย ้ ข้างเคียงภายในเคเบิลเดียว กัน หรื อจากภายนอก เนื่องจากสายตีเกลียวคู่น้ ียอมให้สัญญาณไฟฟ้ า ่ ั ความถี่สูงผ่านได้ สาหรับอัตราการส่ งข้อมูลผ่านสายตีเกลียวคู่จะขึ้นอยูกบความหนาของสาย คือ
  • 15. สายทองแดงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่ งสัญญาณไฟฟ้ ากาลังแรงได้ ทาให้สามารถส่ ง ข้อมูลได้ดวยความเร็วสู ง โดยทัวไปใช้สาหรับส่ งข้อมูลดิจิทล สามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึง 100 เมกะ ้ ั ่ บิตต่อวินาที ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร เนื่องจากราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดีจึงมีการใช้งาน อย่างกว้างขวาง สายตีเกลียวคู่มี 2 ชนิด ดังนี้ 1. แบบไม่มีฉนวนหุม (UTP : Unshielded Twisted Pair) ้ 2. แบบมีฉนวนหุม (STP : Shielded Twisted Pair) ้ สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุม (UTP : Unshielded Twisted Pair) ้ สาย UTP เป็ น สายที่พบเห็นกันมาก มักจะใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์สื่อสารตาม มาตรฐานที่กาหนด สาหรับสายประเภทนี้จะมีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร และสาย UTP มีจานวนสายบิดเกลียวภายใน 4 คู่ คู่สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุมฉนวนคล้าย ้ สายโทรศัพท์ มีหลายเส้นซึ่งแต่ละเส้นก็จะมีสีแตกต่างกัน และตลอดทั้งสายนั้นจะถูกหุมด้วย ้ พลาสติก (Plastic Cover) ปัจจุบนเป็ นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากราคาถูกและติดตั้งได้ ั ง่าย แสดงดังรู ป รู ปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุม (UTP : Unshielded Twisted Pair) ้ สาย UTP - ราคาถูก - ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้ าหนักเบา ่ - มีความยืดหยุน และสามารถโค้งงอได้มาก ข้อเสี ยของสาย UTP ข้อดีของ
  • 16. - ไม่เหมาะในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ห่างไกล มาก เพราะสัญญาณที่วงบนสาย ิ่ จะถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย (มีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร) สายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุม (STP : Shielded Twisted Pair) ้ ่ สายสัญญาณ STP มี การนาสายคู่พนเกลียวมารวมอยูและมีการเพิ่มฉนวนป้ องกันสัญญาณรบกวน ั ซึ่งร่ างแหนี้จะมีคุณสมบัติเป็ นเกราะในการป้ องกันสัญญาณรบกวนจากคลื่นแม่ เหล็กไฟฟ้ าต่างๆ ่ เรี ยกเกราะนี้วา ชิลด์ (Shield) และเป็ นสายสัญญาณที่ได้รับการพัฒนาต่อจากสาย UTP โดยเพิ่มการ ั ชีลด์กนสัญญาณรบกวนเพื่อทาให้คุณสมบัติโดยรวมของสัญญาณดีมาก ขึ้น คุณลักษณะของสาย STP ก็เหมือนกับสาย UTP คือมีเรื่ องเกี่ยวกับอัตราการบันทอนครอสทอร์ก ่ รู ปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุม (STP : Shielded Twisted ้ Pair) ข้อดีของสาย STP - ส่ งข้อมูลด้วยความเร็วสู งกว่า UTP - ป้ องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า และคลื่นวิทยุ ข้อเสี ยของสาย STP ่ - มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุนในการงอพับสายมากนัก - ราคาแพงกว่าสาย UTP 1) สายโคแอซ์ ก (coaxial cable) มี ลักษณะเช่นเดียวกับสายที่ต่อมาจากเสา อากาศประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็ นแกน หุมด้วยฉนวนชั้นหนึ่ง เพื่อป้ องกันกระแสไฟฟ้ ารั่ว ้ จากนั้นจะหุมด้วยตัวนาซึ่ งทาจากลวดทองแดงถักเป็ นเปี ยเพื่อป้ องกันการรบกวน ของคลื่น ้ แม่เหล็กไฟฟ้ าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ ก่อนจะหุ มชั้นนอกสุ ดด้วยฉนวนพลาสติก สัญญาณไฟฟ้ า ้ สามารถผ่านได้สูงมาก นิยมใช้เป็ นช่องสื่ อสารเชื่อมโยงผ่านใต้ทะเลและใต้ดิน สายโคแอกซ์ที่ใช้ ทัวไปมี 2 ชนิด คือ 50 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลดิจิทล และชนิด 75 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณอะ ั ่ นาล็อก
  • 17. 2) สายใยแก้วนาแสง (fiber optic cable) หรื อ เส้นใยนาแสง แกนกลางของ ่ สายประกอบด้วยเส้นใยแก้วหรื อพลาสนิกขนาดเล็กภายในกลวง หลายๆ เส้น อยูรวมกัน เส้นใยแต่ ละเส้นมีขนาดเล็กประมาณเส้นผมของมนุษย์ เส้นใยแต่ละเส้นห่อหุมด้วยเส้นใยอีกชนิดหนึ่งก่อน ้ จะหุมชั้นนอกสุ ดด้วยฉนวน การส่ งข้อมูลผ่านทางสื่ อกลางชนิดนี้จะแตกต่างจากชนิดอื่นๆ ซึ่งจะใช้ ้ เลเซอร์วงผ่านช่องกลวงของเส้นใยแต่ละเส้น และอาศัยหลักการหักเหของแสง โดยใช้เส้นใย ิ่ ชั้นนอกเป็ นกระจกสะท้อนแสง สามารถส่ งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลที่สูง มาก และไม่มีการก่อกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ทาให้สามารถส่ งข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพ กราฟิ ก เสี ยง หรื อวีดีทศน์ได้ในเวลาเดียวกัน แต่ยงมีขอเสี ย เนื่องจากการบิดงอของสายสัญญาณจะทาให้ ั ั ้ เส้นใยหัก จึงไม่สามารถใช้สื่อกลางนี้เดินทางตามมุมตึกได้ สายใยแก้ว นาแสง มีลกษณะพิเศษที่ใช้ ั ั สาหรับเชื่อมโยงแบบจุดไปจุด จึงเหมาะที่จะใช้กบการเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับอาคารหรื อ ระหว่างเมืองกับ เมือง
  • 18. 4.1 เทคโนโลยีการรับส่ งข้ อมูลแบบไร้ สาย เทคโนโลยี การส่ งข้อมูลแบบไร้สาย อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าเป็ นสื่ อกลาง นาสัญญาณซึ่งสามารถแบ่งตามช่วงความถี่ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าได้ 4 ชนิด ดังนี้ 1) อินฟราเรด (infrared) เป็ น ลักษณะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่ใช้ในการส่ ง ั ข้อมูลระยะใกล้ๆ ในช่วงความถี่ที่แคบมาก ใช้ช่องทางสื่ อสารน้อย มักใช้กบการสื่ อสารข้อมูลที่ไม่ มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่ งกับตัวรับสัญญาณ โดยต้องใช้วธีการสื่ อสารตามแนวเส้นตรง ระยะทาง ิ ไม่เกิน 1-2 เมตร ความเร็วประมาณ 4-16 เมกะบิตต่อวินาที เช่น การส่ งสัญญาณจากรี โมต คอนโทรลไปยังโทรทัศน์ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สองเครื่ องโดยผ่านพอร์ตไออาร์ดีเอ เป็ นต้น 2) คลืนวิทยุ (radio frequency) ใช้ ส่ งสัญญาณไปในอากาศ โดยมีตวกระจาย ่ ั สัญญาณส่ งไปยังตัวรับสัญญาณ และใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ต่างๆ กัน มีความเร็วต่าประมาณ 2 เมกะบิตต่อวินาที เช่น การสื่ อสารในระบบวิทยุเอฟเอ็ม (Frequency Modulation : FM) เอเอ็ม (Amplitude Modulation : AM) การสื่ อสารโดยใช้ระบบไร้สาย (Wi-Fi) และบลูทูท 3) ไมโครเวฟ (microwave) จะ ใช้การส่ งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าไปใน อากาศ พร้อมกับข้อมูลที่ตองการส่ ง และต้องมีสถานนีที่ทาหน้าทีส่งและรับข้อมูล และเนื่องจาก ้ สัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็ นเส้นตรงไม่สามารถเลี้ยวหรื อโค้งตาม ขอบโลกได้ จึงต้องมีการ ตั้งสถานีรับ-ส่ งข้อมูลเป็ นระยะๆ และส่ งข้อมูลต่อกันเป็ นทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานี จนกว่าจะ ่ ถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะตั้งอยูในที่สูง เช่น ดาดฟ้ าของตึกสู ง ยอดเขา เป็ นต้น เพื่อ
  • 19. หลีกเลี่ยงการชนสิ่ งกีดขวางในแนวการเดินทางของสัญญาณ เหมาะกับการส่ งข้อมูลในพื้นที่ ห่างไกล และทุรกันดาร 4) ดาวเทียม (satellite) เป็ น สถานีรับส่ งสัญญาณไมโครเวฟบนท้องฟ้ า ซึ่ง ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจากัดของสถานีรับ-ส่ งไมโครเวฟบน ผิวโลก เพื่อใช้เป็ นสถานี รับส่ งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ และทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลกซึ่งจะต้องมีสถานี ่ ภาคพื้นดิน ทาหน้าที่รับและส่ งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียมที่โคจรอยูสูงจากพื้นโลกประมาณ 35,600 ไมล์ โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ดวยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับ ้ ่ ดาวเทียมนั้นอยูนิ่งกับที่ขณะโลกหมุนรอบตัวเอง ทาให้การส่ งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่ง ขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณ จากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลก เป็ นไปอย่างแม่นยา 5. ประโยชน์ ของการสื่ อสารข้ อมูลผ่ านเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ ความ สาคัญของการสื่ อสารข้อมูลผ่านเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เป็ นสิ่ งที่ตระหนักกันอย่าง มากในปัจจุบน ด้วยเหตุว่าการสื่ อสารข้อมูลผ่านเครื อข่ายคอมพิวเตอร์มีประโยชน์หลายประการ ั ดังนี้ ่ 1. ความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลซึ่งอยูในรู ปของสัญญาณ อิเล็กทรอนิกส์สามารถจัดเก็บไว้ในแผ่นบันทึก (diskette) ที่ มีความหนาแน่นสู งได้ แผ่นบันทึกแผ่น หนึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ล้านตัวอักษร สาหรับการสื่ อสารข้อมูลนั้น ถ้าข้อมูลผ่าน สายโทรศัพท์ได้ดวยอัตรา 120 ตัวอักษรต่อวินาที จะทาให้สามารถส่ งข้อมูล 200 หน้า ได้ในเวลา ้ เพียง 40 นาที โดยที่ไม่ตองเสี ยเวลาป้ อนข้อมูลเหล่านั้นซ้ าใหม่อีก ้
  • 20. 2. ความ ถูกต้องของข้อมูล โดยปกติมีการข้อมูลด้วยสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากจุด หนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ด้วยระบบดิจิทล วิธีการรับส่ งนั้นจะมีการตรวจสอบข้อมูล หากมีขอมูล ั ้ ผิดพลาดก็จะมีการรับรู ้และพยายามหาวิธีการแก้ไขให้ขอมูลที่ได้ รับมีความถูกต้อง โดยอาจให้ทา ้ การส่ งใหม่หรื อกรณี ผดพลาดไม่มาก ผูรับอาจใช้โปรแกรมของตนเองแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องได้ ิ ้ 3. ความ เร็วของการทางาน สัญญาณทางไฟฟ้ าจะเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับแสง ทา ให้การใช้คอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซี กโลกหนึ่ง หรื อการค้นหาข้อมูลจาก ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถทาได้อย่างรวดเร็ว ความรวดเร็วของระบบจะทาให้ผใช้สะดวกสบาย ู้ อย่างยิง เช่น บริ ษทสายการบินทุกแห่งสามารถทราบข้อมูลของทุกเที่ยวบินได้อย่างรวดเร็ ว ทาให้ ั ่ การจองที่นงของสายการบินสามารถทาได้ทนที ั่ ั ั 4. ประหยัด ต้นทุนในการสื่ อสารข้อมูล การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กนเป็ นเครื อข่าย เพื่อ ส่ งหรื อสาเนาข้อมูล ทาให้ราคาต้นทุนของการใช้ขอมูลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการจัดส่ งแบบวิธี ้ ่ อื่น เช่น การใช้อีเมล์ส่งข้อมูลในรู ปแบบอิเล็กทรอนิกส์ การใช้งานโทรศัพท์ผานเครื อข่าย อินเทอร์เน็ต เป็ นต้น 5. สามารถ เก็บข้อมูลเป็ นศูนย์กลาง กล่าวคือ สามารถมีขอมูลเพียงชุดเดียวในระบบ ้ เครื อข่าย ซึ่งถือเป็ นข้อมูลส่ วนกลาง โดยที่แต่ละแผนกในบริ ษทสามารถดึงไปใช้ได้จากที่เดียวกัน ั ไม่ตองเก็บข้อมูลที่ซ้ าซ้อน กระจัดกระจายกันไปในคอมพิวเตอร์ทุกแผนก ซึ่งจะมีประโยชน์มากใน ้ กรณี ที่ขอมูลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถเปลี่ยน แปลงข้อมูลจากส่ วนกลางได้ทนที ้ ั 6. การ ใช้ทรัพยากรของระบบร่ วมกันได้ ในระบบเครื อข่ายนั้น จะทาให้สามารถใช้ ่ ั อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกันได้ โดยที่อุปกรณ์น้ น อาจต่อยูกบเครื่ องใดเครื่ องหนึ่งในเครื อข่าย แต่ ั สามารถให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่ องในเครื อข่ายใช้อุปกรณ์ตวนั้นได้ โดยตรง ทาให้สามารถลด ั ่ ั ค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในระบบ เช่น สามารถให้เครื่ องพิมพ์ตวเดียว ซึ่งต่ออยูกบ ั คอมพิวเตอร์เครื่ องหนึ่งในเครื อข่ายรับคาสังในการพิมพ์งาน จากทุกๆ เครื่ องในเครื อข่ายได้ทนที ั ่ เป็ นต้น
  • 21. 7. การ ทางานแบบกลุ่ม สามารถใช้ประโยชน์ของระบบเครื อข่ายในการทางานใน แผนกหรื อกลุ่มงานเดียวกันได้ เป็ นอย่างดี เช่น สามารถร่ วมแก้ไขเอกสารตัวเดียวกันตามแผนงาน กล่าวคือในระบบงานเอกสารชนิดหนึ่งอาจจะต้องผ่านการแก้ไขหลายขั้นตอน ซึ่งจะทาให้ คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่ องทางานในขั้นตอนของตัวเองก่อนจะส่ งไฟล์ ข้อมูลของเอกสารนั้นไปให้ เครื่ องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครื อข่ายทาขั้นตอนต่อไป เป็ นต้น