Mais conteúdo relacionado
Semelhante a อานาปานสติ 16 ขั้น สอนโดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร (ป.ธ.6).pdf (20)
Mais de Totsaporn Inthanin (20)
อานาปานสติ 16 ขั้น สอนโดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร (ป.ธ.6).pdf
- 3. 1
• หายใจเข้ายาวก็รู้ หายใจออกยาวก็รู้
2
• หายใจเข้าสั้นก็รู้ หายใจออกสั้นก็รู้
3
• รู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า รู้กองลมทั้งปวงหายใจออก
4
• สาเหนียกว่าทากายสังขารให้ระงับหายใจเข้า สาเหนียกว่าทา
กายสังขารให้ระงับหายใจออก
กาย
อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้วอย่างไรเล่า?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ตั้งกายตรงดารงสติมั่น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
- 8. 1.หายใจเข้ายาวก็รู้ หายใจออกยาวก็รู้
2.หายใจเข้าสั้นก็รู้ หายใจออกสั้นก็รู้
เริ่มจากปรับร่างกายให้สบาย ปรับจิตใจให้สบาย ผ่อนคลาย
สบายๆ ปล่อยวางความคิดความกังวลต่างๆ วางอาการจด
จ่อออกไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หยุดลมหายใจสักเล็กน้อย
ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกสบายๆ ทาไปเรื่อยๆ จะเกิดการ
ทวนกระแสกลับเข้ามานิ่งรู้อยู่ภายใน นี้คือสภาวะของการ
ดารงสติมั่น ให้อยู่กับนิ่งรู้ไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกถึงลมหายใจ
ขึ้นมาได้เอง เข้าสู่อานาปานสติขั้นที่ 1,2
ผ่อนคลายสบายๆ
ปล่อยวาง
ความคิดความ
กังวลต่างๆ
ก็จะรู้สึกถึงลม
หายใจเข้าออก
ได้เอง
- 9. 3.รู้กายทั้งกาย หายใจเข้า รู้กายทั้งกาย หายใจออก
เมื่อสติมีกาลัง ก็จะเกิดการรู้ตัวขึ้นมา รู้การเต้นของหัวใจ ของชีพจร
รู้การกระเพื่อมของหน้าอก หน้าท้อง รู้กายทั้งกาย ก็จะเข้าสู่ขั้นที่ 3
รู้กายทั้งกายหายใจอยู่
รู้การกระเพื่อมของหน้าอกหน้าท้อง
รู้อัตราการเต้นของหัวใจ การไหลเวียนโลหิต
รู้สึกถึงการเกิดดับระหว่างเซลล์
- 10. 4.ทากายสังขารให้ระงับ หายใจเข้า ทากายสังขารให้ระงับ หายใจออก
ฐานกาย
ฐานเวทนา
เหลือแต่ความรู้สึกตัว
ทั่วพร้อมอยู่ รู้สึกทั้งตัว
รู้พร้อมทั้งกายทั้งใจ
รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้
จะเป็นสภาวะของ
สัมมาสมาธิ จะเกิดเมื่อ
มีสติมั่นคง มีจิตตั้งมั่น
เมื่อสติละเอียดขึ้น กายสังขารจะสงบระงับลงไป สติจะวางจากฐานกาย
เข้าสู่ฐานของเวทนา เกิดความรู้สึกตัว เข้าสู่ขั้นที่ 4
- 18. เมื่อสติละเอียดขึ้น ความรู้สึกตัวจางคลายลงไป ลมหายใจสงบระงับ
ลงไป สติจะวางจากฐานเวทนา เข้าสู่ฐานของจิต เกิดความรู้ตื่นอยู่
ภายใน เห็นกระแสธรรมารมณ์ที่ผุดจากใต้ลิ้นปี่ เข้าสู่ขั้นที่ 9
9.รู้จิต หายใจเข้า รู้จิต หายใจออก
จะเข้าสู่สภาวะของฌานที่ 3 ในขั้นต้น เป็นฌานที่
พระอริยเจ้าสรรเสริญว่าเป็นผู้อยู่ด้วยอุเบกขา
ทรงสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย
ลมหายใจจะละเอียดมาก จนไม่สามารถที่จะหายใจเข้าออก
ทางจมูก เกิดการกระเพื่อมหน้าอกหน้าท้องได้อีก จะเป็น
ลมปราณที่ละเอียด สภาวะตรงนี้จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าซึมเข้า
ออกตามรูขุมขนทั้งตัว จะเกิดสภาวะที่เรียกว่าหายใจทั้งตัว
ขึ้นมาแทน
สติตรงนี้จะมีความละเอียดมาก สามารถรู้การ
ทางานในระดับของวาระจิตได้
ถ้าพลิกเป็นญาณทัสสนะ จะเห็นสภาวะการทางานตรงนี้ได้
กิเลสผุดขึ้น
ผุดมาจากตรงนี้
- 20. เมื่อสติละเอียดขึ้น ความสุขจางคลายหายไป เกิดความเฉย ตั้งมั่น
สงบสงัด นิ่งรู้อยู่ภายใน เข้าสู่ขั้นที่ 11
11. รู้จิตที่ตั้งมั่น หายใจเข้า รู้จิตที่ตั้งมั่น หายใจออก
รู้จิตที่ตั้งมั่น คือสภาวะของสติในฌานที่ 4
ละสุข ละทุกข์ เหลือแต่สติเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์
เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่
สติเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ก็คือธรรมอันเอก
คือสภาวะรู้
ส่วนอุเบกขาคือจิตเจตสิก คือเนื้อสมาธิ
ที่บังสภาวะรู้ของจริงอยู่
ลมหายใจ
หมุนวน
อยู่ภายใน
อริยมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7
องค์แห่งการตรัสรู้จะเต็มตรงนี้
- 21. เมื่อจิตตั้งมั่น พระพุทธองค์ทรงสอนให้ยิ่งขึ้นไปว่า เปลื้องจิต สติกับ
จิตจะเกิดการแยกออก หลุดออกจากกัน เข้าสู่ขั้นที่ 12
12. เปลื้องจิต หายใจเข้า เปลื้องจิต หายใจออก จิตแยกกับสติ
จิตติดกับสติ
การรับรู้ของสติ
การรับรู้ของจิต
ข่ายการ
รับรู้ของสติ
มิติภายใน
(ว่างอยู่รู้อยู่)
มิติภายนอก
ภพภูมิ หยาบ
ภพภูมิ ละเอียด
ขยายข่ายการรับรู้
ของสติออกไป
คลุมทั้งตัว สิ่งที่อยู่
ในข่ายจะถูกรู้
- 23. เมื่อสติกับจิตเกิดการแยกออกจากกัน ธรรมทั้งหลายจะปรากฏตามความเป็นจริงเกิดการ แยกธาตุ แยกขันธ์
เป็นของใครของมัน มิติใครมิติมัน เกิดดับของใครของมัน เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริงเข้าสู่ขั้นที่ 13
เมื่อเห็นตามความเป็นจริงอยู่เนืองๆ ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย คลายกาหนัด เข้าสู่ขั้นที่ 14
13.เห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้า เห็นความไม่เที่ยง หายใจออก
14.เห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้า เห็นความไม่เที่ยง หายใจออก
จากสัมมาสมาธิ เข้าสู่สัมมาญาณ สภาวะตรงนี้
จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าญาณเห็นจิตขึ้นมา จะเห็นจิตเกิดดับตามความ
เป็นจริง เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นตั้งอยู่
ดับไป ตามความเป็นจริง เรียกว่า ยถาภูตะญาณทัศนะ สติปัฏฐาน4
สัมมัปปธาน4
อิทธิบาท4
อินทรีย์5
พละ5
โพชฌงค์7
อริยมรรคมีองค์8
โพธิปักขิยธรรม
37
สภาวะของญาณทัสสนะตรงนี้ เป็นการแทงตลอด
อริยสัจในภาคโลกุตระ ขันธ์ทั้ง5 จะไม่เป็นที่ตั้ง
แห่งความยึดมั่น ชื่อได้ว่าเจริญ
- 24. เมื่อเห็นตามความเป็นจริง เกิดความเบื่อหน่ายคลายกาหนัด จิตย่อมหลุดพ้นจากความยึด
มั่นถือมั่น อวิชชาดับลง คืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าสู่ขั้นที่ 15 นิโรธ
15.เห็นความดับ หายใจเข้า เห็นความดับ หายใจออก
ภายนอกจะเป็นแยกธาตุแยกขันธ์สักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ
ธาตุรู้กับ วิญญาณขันธ์หรือจิตเป็นคนละสิ่งกัน
ภายในจะเป็นความว่างที่บริสุทธิ์
จะเป็นเนื้อเดียวกับเนื้ออวกาศ
แต่ยังมีเหตุเกิดของอวิชชาอยู่
อนุภาคอิสระเคลื่อนที่
ท่ามกลางความว่าง
แห่งสภาวะรู้
เกิดการดู
เกิดการรวมตัวของอนุภาค
ประดุจเมฆหมอกเข้าบดบัง
ก่อกาเนิดขุมพลังจิต
ก่อกาเนิดวิญญาณขันธ์
จากนั้นจะเกิดการพัฒนา
เป็นไปตามกระแส
ปฏิจจสมุปบาท
อาการดูเป็นมหากาพย์แห่งวัฏสงสาร
- 27. พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
อานาปานะ 16 ขั้นที่เจริญแบบนี้แหละ
มีอานิสงส์มาก สามารถชาระบาป
และอกุศลธรรมให้หมดสิ้นไปได้
เข้าถึงสภาวะที่สุดแห่งทุกข์ได้
อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้ว
ทาให้มากแล้วอย่างนี้
ย่อมยังสติปัฏฐานสี่ให้บริบูรณ์
สติปัฏฐานสี่ที่บุคคลเจริญแล้ว ทาให้มากแล้ว
ย่อมยังโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์
โพชฌงค์ 7 ที่บุคคลเจริญแล้ว ทาให้มากแล้ว
ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้เกิดขึ้นได้