Mais conteúdo relacionado
Semelhante a กลุ่มตนเป็นที่พึ่งแห่งตน --นิเวศวิทยากับศาสนา (20)
กลุ่มตนเป็นที่พึ่งแห่งตน --นิเวศวิทยากับศาสนา
- 2. คานา
นิเวศวิทยากับศาสนา
นิ เ ว ศ วิ ท ย า กั บ ศ า ส น า
จิตวิญญาณเชิงนิเวศในมุมมองต่างวัฒนธรรมนาเสนอแนวคิดที่ทาให้วงถกเถียงอภิปรายในเรื่อง
"นิ เ ว ศ วิ ท ย า แ ล ะ ศ า ส น า " ใ น อ เ ม ริ ก า เ ห นื อ ปั จ จุ บั น ลึ ก ซึ้ ง ม า ก ขึ้ น
โดยได้เพิ่มมิติด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลายเข้าไปประกอบการพิจารณา
ห นั ง สื อ เ ล่ ม นี้ ใ ห้ ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ น ป ร ะ เ ด็ น ต่ า ง ๆ อ า ทิ
การล่าสัตว์ซึ่งเป็นเสมือนพิธีกรรมทางศาสนา ความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน ศาสนาในเอเชีย
ค ริส ต ศ าส น าใน ด้ าน ที่ เป็ น อัน ต ราย แ ล ะด้ าน ที่ แ ส ด งค ว าม รับ ผิ ด ช อ บ ต่ อ นิ เว ศ
ตลอดจนการกดขี่ขูดรีดต่อธรรมชาติและต่อผู้หญิง ไม่ว่าคุณจะถือว่า “โลกคือบ้าน” หรือว่าเป็นเพียง
"ที่พักแรม" นิเวศวิทยากับศาสนาเล่มนี้จะทาให้คุณเห็นคุณค่าของโลกใบนี้มากขึ้น
- 3. ส่วนที่ 1 วัฒนธรรมพื้นเมือง
บทที่ 1 มิสตัสชินี ครี
บทที่ 2 ศาสนาชนเผ่าพื้นเมืองออสเตรเลีย
บทที่ 3 ศาสนาของชาวไอนุ และชาวโคยุคอน: คัดบ่างเรื่อง
บทที่ 4 ศาสนาชาวอเมริกันพื้นเมือง: แก่นความคิดเชิงนิเวศ
ส่วนที่ 2 ธรรมเนียมศาสนาเอเชีย
บทที่ 5 ศาสนาฮินดู: แก่นความคิดด้านนิเวศ
บทที่ 6 ศาสนาของจีน: แก่นความคิดด้านนิเวศ
บทที่ 7 ศาสนาพุทธ: แก่นความคิดด้านนิเวศ
ส่วนที่ 3 ภูมิหลังของการถกเถียงอภิปรายร่วมสมัยว่าด้วยนิเวศวิทยากับศาสนา
บทที่ 8 ศาสนาคริสต์ที่เป็นภัยเชิงนิเวศ
บทที่ 9 ศาสนาคริสต์ที่รับผิดชอบเชิงนิเวศ
บทที่10 ธรรมชาติเสื่อมมนต์ขลัง: ทัศนะสมัยใหม่ว่าด้วยธรรมชาติ
บทที่11 จิตวิญญาณเชิงนิเวศในความคิดของธอโร มูร์และลีโอโปลด์
ส่วนที่ 4 การถกเถียงอภิปรายร่วมสมัยเกี่ยวกับนิเวศวิทยาและศาสนา
บทที่ 12 เทววิทยาเชิงนิเวศร่วมสมัย
บทที่ 13 สิทธิสัตว์และจริยธรรมด้านนิเวศวิทยา
บทที่ 14 นิเวศวิทยาแนวลึก: จากการเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางสู่การเอาชีวิตเป็นศูนย์กลาง
บทที่ 15 การเคลื่อนไหวด้านนิเวศ
บทที่ 16 สตรีนิเวศนิยม: การขูดรีดประโยชน์จากธรรมชาติกับผู้หญิง
บทที่ 17 สี่นักวิสัยทัศน์ทางนิเวศ
- 4. บทที่ 1 มิสตัสชินี ครี
เ มื่ อ พู ด ถึ ง ปั ญ ห า ท า ง ด้ า น สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ห รื อ นิ เ ว ศ วิ ท ย า
ส่ ว น ให ญ่ แล้วผู้ค น มัก นึ ก ถึงแ ต่ เฉ พ าะใน แง่ก าย ภ าพ เช่ น ผ ล ก ระท บ ต่ อ สุ ข ภ าพ
ห รื อ ก า ร แ ก้ ไ ข ด้ ว ย เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ ม า ต ร ก า ร ท า ง เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ทั้ ง ๆ
ที่ปัญ หาสิ่งแวดล้อมมีมิติทางด้านจิตวิญ ญ าณ มาเกี่ยวข้องด้วยไม่ต่างจากปัญ หาอื่น ๆ
ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่จาต้องคานึงในการถกเถียงทางด้านนิเวศวิทยา
นั่นคือการนามิติทางด้านจิตวิญญาณหรือศาสนามาเชื่อมโยงกับมุมมองทางด้านนิเวศวิทยา
ความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์มักจะมาควบคู่กับการเหินห่างและแปลกแยกจากธรรมชาติมากขึ้น
จ น ถึ ง ขั้ น เ ป็ น ป ฏิ ปั ก ษ์
ดังปรากฏให้เห็นเด่นชัดในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ความสัมพันธ์ในลักษณะปฏิปักษ์ดังกล่าวนับว่าแตกต่างอย่างมากกับท่าทีของมนุษย์เมื่อครั้งยังอยู่ในป่าเขาแ
ละล้าหลังทางเทคโนโลยี เผ่ามิสตัสซินี ครีในอเมริกาเหนือ อะบอริจิ้นในออสเตรเลีย ไอนุในญี่ปุ่น
และโค ยุค อ น ใน อลาสก้า มีอย่างห นึ่ งที่ เห มือ น กัน ได้แก่ ค วาม เค ารพ ใน ธรรม ชาติ
แ ม้ ก ร ะ ทั่ ง กั บ สั ต ว์ ที่ ต น ล่ า ม า เ ป็ น อ า ห า ร
ก็ต้ อ งเค ารพ ด้ ว ย ก ารป ฏิบัติต าม พิ ธีก รรม อ ย่ างเค ร่งค รัด ทั้งก่ อ น แ ล ะห ลังก ารล่ า
ก ารล่ าสัต ว์มิอ าจ แ ย ก จาก พิ ธีก รรม ท างศ าส น ารว ม ทั้งก าร “ช าระต น ”ให้ บ ริสุ ท ธิ์
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือการมองว่าสัตว์ที่ถูกล่านั้นมอบตัวเองเป็น “ของขวัญ”แก่ผู้ล่า
เ นื้ อ ที่ ไ ด้ ม า จึ ง มิ ไ ด้ เ กิ ด จ า ก ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง ม นุ ษ ย์
หากเป็นความกรุณาของสัตว์หรือเทพที่แปลงร่างเป็นสัตว์
เมื่ อ ม นุ ษ ย์ ก้ า ว ห น้ า ใน ท า ง ส ติ ปัญ ญ า จ น พั ฒ น า ศ า ส น า ที่ ซั บ ซ้ อ น ขึ้ น
ส า ย สั ม พั น ธ์ อั น ใ ก ล้ ชิ ด ร ะ ห ว่ า ง ธ ร ร ม ช า ติ กั บ ม นุ ษ ย์ ก็ ยั ง ด า ร ง อ ยู่
พุ ท ธ ศ าส น าถื อ ว่าสัต ว์ทั้งห ล าย ไม่ เพี ย งเป็ น เพื่ อ น ร่ว ม ทุ ก ข์ใน วัฏ ส งส ารเท่ านั้น
ห า ก ยั ง มี ส า ย สั ม พั น ธ์ ฉั น ญ า ติ พี่ น้ อ ง อ ย่ า ง น้ อ ย ก็ ใ น ช า ติ ก่ อ น ๆ
เพ ราะม นุ ษ ย์แ ล ะสัต ว์ส าม ารถ เลื่ อ น ภ พ ภู มิห รือ ก ลับ ม าเกิ ด ให ม่ ข้าม พั น ธุ์กัน ได้
แต่ทัศนะดังกล่าวได้ลางเลือนไปในปัจจุบันโดยเฉพาะเมื่อวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้นาเอาแนวคิดแบบวัตถุนิย
- 5. ม เ ข้ า ม า แ พ ร่ ห ล า ย จ น เ ป็ น ก ร ะ แ ส ห ลั ก
ถึงตอนนี้ธรรมชาติได้แปรสภาพเป็นสินค้าและวัตถุสาหรับสนองความต้องการของมนุษย์อย่างเดียว
ผลคือความเสื่อมโทรมทางด้านสิ่งแวดล้อมจนเป็นวิกฤตของโลก
ท่ า ม ก ล า ง วิ ก ฤ ต ดั ง ก ล่ า ว ข บ ว น ก า ร นิ เ ว ศ วิ ท ย า ไ ด้ เติ บ ใ ห ญ่ ขึ้ น
ด้านหนึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เห็นธรรมชาติเป็นเพียงวัตถุที่มีขึ้นเพื่อปรนเปรอมนุษย์เท่า
นั้น แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความเชื่อมโยงกับศาสนาดั้งเดิม ชีวิตและผลงานของบุคคลที่ยืนหยัดอย่างโดดเด่น
อาทิ เฮนรี เดวิด ธอโร, จอห์น มูร์ และอัลโด ลีโอโปลด์ เป็นต้น เป็นรากฐานสาคัญให้แก่ขบวนการ
นิเวศ วิท ยาร่วมสมัย ไม่ว่าขบ วนการสิท ธิสัตว์ ขบ วน การนิเวศวิท ยาแน วลึก
ข บ ว น ก า ร ก รี น พี ซ แ ล ะ เ อิ ร์ ธ เ ฟิ ส ต์ แ ล ะ ข บ ว น ก า ร ส ต รี นิ เ ว ศ นิ ย ม
ทั้งหมดนี้ ได้สร้างความหลากหลายและรุ่มรวยให้แก่ขบวนการนิเวศวิทยาในปัจจุบัน
ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงขบวนการนิเวศวิทยาในตะวันออก เช่น ขบวนการชิปโกในอินเดีย
การเกิดขึ้นของขบวนการนิเวศวิทยาแนวลึก ซึ่งไม่เพียงเคารพสิทธิของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
ห า ก ยั ง เ ค า ร พ สิ ท ธิ ข อ ง แ ม่ น้ า ป่ า เ ข า ท ะ เ ล แ ล ะ ร ะ บ บ นิ เ ว ศ ทั้ ง ม ว ล
ขณ ะที่ขบวนการสตรีนิเวศนิยมสนับสนุ นการบูชาเทพีซึ่งเป็ นตัวแทนของธร รมชาติ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะบอกเราว่าหลังจากที่มนุษย์วิวัฒน์พัฒนาจนห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้นเ
รื่อย ๆ ในที่สุดเราก็อาจจะหวนกลับมาสู่จุดเดิมที่เคารพธรรมชาติและนับเอาสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
มาเป็นเครือญาติกับมนุษย์ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์คงไม่กลับมาบรรจบที่จุดเดิม
หากก้าวไปสู่จุดใหม่โดยอาศัยภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นพื้นฐาน
กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาสังคมพอ ๆ กับปัญหาทางจิตวิญญาณ
นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแล้ว เราจาต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสานึกควบคู่ไปด้วย
ดังนั้นศาสนาจึงมีบทบาทสาคัญมากในการพามนุษย์พ้นจากวิกฤตทางนิเวศวิทยา
อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ค า ถ า ม ห นึ่ ง ที่ อ า จ เ กิ ด ขึ้ น ม า ใ น ใ จ ก็ คื อ ทั้ ง ๆ
ที่ ศ า ส น า ก ร ะ แ ส ห ลั ก ส่ ว น ใ ห ญ่ มี ท่ า ที ที่ เ ป็ น มิ ต ร กั บ ธ ร ร ม ช า ติ
แต่เหตุใดจึงไม่สามารถต้านทานแนวคิดหรือกระแสที่มุ่งครอบงาและทาร้ายธรรมชาติได้
ไ ม่ ว่ า จ ะ เ ป็ น ทุ น นิ ย ม บ ริ โ ภ ค นิ ย ม ห รื อ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ บ บ วั ต ถุ นิ ย ม
ป ราก ฏ ก า รณ์ ดั ง ก ล่ า ว ย่ อ ม ฟ้ อ ง ว่ า ศ า ส น า ก ระ แ ส ห ลั ก นั้ น อ่ อ น พ ลัง ล ง ไป ม า ก
ใน ขณ ะเดียวกัน เมื่อ ม อ งไป ยังขบ วน ก ารอ นุ รัก ษ์ ธรรม ช าติที่ มีอ ยู่เป็ น จาน วน ม าก
เ ร า ก ลั บ พ บ ว่ า มี ค ว า ม เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ศ า ส น า น้ อ ย ม า ก
- 6. แ ต่ นั่น ก็ ไม่ ได้ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ข บ ว น ก า ร เห ล่ า นี้ เป็ น ข บ ว น ก า รท า งโล ก ล้ ว น ๆ
เพราะเมื่อพิจารณาลงไปถึงรากฐานทางปรัชญาของขบวนการเหล่านี้ เราจะพบแนวคิดทางด้านจิตวิญญาณ
อย่างชัดเจน ดังขบวนการกรีนพีซ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบรหัสนัยของอินเดียนแดง อาทิ
ความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนมีจิตใจที่มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารได้ และโลกเป็นส่วนหนึ่งของ
“ร่างกาย” ของเรา หากรักตัวเรา ก็ต้องรักปลาวาฬ แมวน้า ป่าเขา และทะเลด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ขบวนการศาสนา แต่ก็ใช่ว่าจะไร้มิติทางด้านจิตวิญญาณ
ในทางตรงกันข้ามแม้เป็นขบวนการศาสนา แต่ก็อาจไร้มิติทางจิตวิญญาณก็ได้ นั่นหมายความว่า
ศาสนากับมิติทางจิตวิญ ญ าณ ไม่จาต้องเป็ นเรื่องเดียวกันเสมอไป ในยุคโลกาภิวัตน์
เร า ไ ด้ พ บ ข บ ว น ก า ร จ า น ว น ม า ก ที่ ไ ม่ มี รู ป ลั ก ษ ณ์ ท า ง ด้ า น ศ า ส น า เล ย
แต่มีมิติทางด้านจิตวิญญาณอย่างเด่นชัด อันแสดงออกด้วยการเสียสละอุทิศตนเพื่อเพื่อนร่วมโลก
ชนิดที่ไปพ้นเส้นแบ่งทางด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา เผ่าพันธุ์ หรือแม้กระทั่งชนิดพันธุ์ (species) ด้วยซ้า
(ต ร ง กั น ข้ า ม กั บ ข บ ว น ก า ร ท า ง ศ า ส น า จ า น ว น ไ ม่ น้ อ ย ที่ มี ค ว า ม คิ ด ที่ คั บ แ ค บ
และรังเกียจเดียดฉันท์หรือเลือกปฏิบัติเพียงเพราะความต่างทางศาสนา ภาษา เชื้อชาติ หรือผิวสี
จนเป็นสาเหตุแห่งความรุนแรงนานาชนิดในปัจจุบัน)
ในขณะที่ศาสนาซึ่งไร้มิติทางจิตวิญญาณกาลังมีบทบาทเด่นชัดโดยเฉพาะในด้านลบ อาทิ
การเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการก่อการร้ายทั้งในรูปขบวนการก่อการร้ายและการก่อการร้ายโดยรัฐ
สิ่ ง ท้ า ท า ย ส า ห รั บ ศ า ส น า ที่ ยั ง มี มิ ติ ท า ง จิ ต วิ ญ ญ า ณ อ ยู่ ก็ คื อ
จะฟื้ นตัวจากความอ่อนแอและกลับมีพลังในการสร้างสรรค์โลกได้อย่างไร นิมิตดีก็คือ
ข บ ว น ก า ร ท า ง นิ เ ว ศ วิ ท ย า ที่ ท ร ง พ ลั ง ใ น ปั จ จุ บั น
ห ล า ย ข บ ว น ก า ร ไ ด้ รับ แ ร ง บั น ด า ล ใ จ ท า ง จิ ต วิ ญ ญ า ณ จ า ก ศ า ส น า ดั้ ง เดิ ม
นั่นหมายความว่าศาสนาที่มีจิตวิญญาณ กาลังฟื้นตัวขึ้นมาใหม่เพื่อสร้างประโยชน์แก่โลกอีกครั้งหนึ่ง
สรุปบทที่ 2
เรื่อง ศาสนาชนพื้นเมืองออสเตเรีย
ในบทที่สองนี้จะกล่าวในส่วนของเรื่องศาสนาความเชื่อและประเพณีของชาวพื้นเมืองของออสเตเรีย
หรือที่เรารู้จักในชื่อของอะบอริจิ้นโดยความเชื่อแรกของชาวอะบอริจิ้นคือจะเป็นความเชื่อในจิตวิญญานแห่ง
ธรรมที่แทรกซึมอยุในรอบๆของแผ่นดินของพวกเขาอาศัยอยู่โดยรอบๆและมีความเชื่อในเรื่องโลกแห่งความ
- 7. ฝันซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักในความเชื่อของชาวอะบอริจิ้นในการดาเนินชีวิตโดยพวกเขายังมีความเชื่อที่ว่าโ
ลกของเรากาเนิดจากบรรพบุรุษในยุคแห่งความฝันร้องเพลงให้โลกกาเนิดขึ้นมาความเชื่อในการให้กาเนิดลู
กหลานชาวอะบอริจิ้นจะให้ความสาคัญต่อสถานที่ในการถือกาเนิดไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า
ล้วนแต่มี จิตวิญญาณแห่งบรรพบุรุษมาสิงสถิตอยู่โดยพวกเขาเหล่านั้นยังมีความเชื่อที่ว่าหาก
ไปยังสถานที่ศักศิทธิ์เหล่านี้ จะทาให้เหล่าจิตวิญญาณในยุคแห่งความฝันมาสถิตในครรรภ์ของตน
จนให้กาเนิดบุตรที่แข็งแรงและเมื่อพ วกเขาจะอาลาจากโลกใบนี้ไปแล้วชาวอะบอริจิ้น
จ ะ ยั ง ค ง เ ชื่ อ ว่ า วิ ญ ญ า ณ ข อ ง พ ว ก เ ข า จ ะ เ ข้ า ไ ป
หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาตลอดกาล
บทที่ 3
เรื่องศาสนาของชาวไอนุและชาวโคยุคอน
ในส่วนนี้ผมจะกล่าวถึงเรื่องของชนเผ่าไอนุและชนเผ่าโคยุคอนโดยจะขอกล่าวในส่วนของชนเผ่าไอ
นุก่อนโดยชนเผ่าโคยุคอนจะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของประเทศญี่ปุ่นโดยจะอยู่ตอนเหนือในป่าของเกาะฮอกไก
โด พ ว ก เข า จ ะ มี ค ว า ม เชื่ อ ใน เรื่ อ ง ข อ ง เท พ เจ้ า โด ย พ ว ก เข า รีย ก ว่ า “ค า มู อิ ”
แม้ว่าคามูอิจะไม่ใช่มนุษย์แต่พวกก็มีชีวิตในโลกของเทพพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ทุกประการโดยปกติแล้วมนุษ
ย์จะมองไม่เห็นคามูอิแต่พวกเขาจะมาอยู่กับมนุษย์บ้างเป็นครั้งคราวพวกชาวชนเผ่าไอนุยังมีความเชื่อในเรื่อ
งมนุษย์กับสัตว์พวกเขาคิดว่ามนุษย์กับสัตว์ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอดร่วมกันในธ
รรมชาติ แล้วต่อมาก็จะเป็น ของ ชาวโคยุคอนมีทัศนะต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่เรียกว่า
มีความเป็นบุคคล มีความรู้สึก มีสานึก การไม่เคารพโดยการ เมิน เฉย การแสดง ออกทาง พฤติกรรมที่
แส ด ง อ อ ก ม า มัก จะน าม าสู่ค วาม โช ค ร้าย ส าห รับ ช าวโค ยุค อ น ธรรม ช าติ แล ะ
สิ่งแวดล้อมนั้นตระหนักถึงพฤติกรรม และ แรงจูงใจของมนุษย์ สาหรับชนเผ่าโคยุคอน
ร ะ บ บ จ ริย ธ ร ร ม เป็ น พื้ น ฐ า น ข อ ง พ ฤ ติ ก ร ร ม แ ล ะ ท่ า ที ข อ ง เข า ต่ อ ธ ร ร ม ช า ติ
เป็นระบบจริยธรรมซึ่งแสดงเรื่องเล่าเกี่ยวกับยุคอันไกลโพ้นสาหรับชาวโคยุคอนแล้วการดารงชีวิตอย่างของ
- 8. มนุษย์อย่างที่ควรเป็นจะเป็นการเคารพต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นและรวมไปถึงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเร
า
บทที่ 4
ศาสนาชาวอเมริกันพื้นเมือง
การล่าสัตว์ถือเป็นอาชีวะอันศักดิ์สิทธ์
ชาวอเมริกันพื้นเมืองเชื่อกันว่าการล่าสัตว์นั้นเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธ์ พวกเขามองว่า
สัตว์เองก็มีชีวิตและจิตใจ จึงควรปฏิบัติต่อพวกมันอย่างสุภาพ ก่อนการล่าสัตว์จะต้องมีการทาพิธีกรรม เช่น
ชาวควาคิอูเติ้ล จะต้องมีการอ้อนวอน นอบน้อม และบอกกล่าวสัตว์ที่เป็นเหยื่อ เป็นต้น
นอกจากนี้หลังจากการล่าพวกเขาก็ยังมีการสวดมนต์เพื่อขอขมาสัตว์ที่ตายอีกด้วย
สัมพันธไมตรีกับสัตว์
ใ น วั ฒ น ธ ร ร ม ก า ร ล่ า ใ น อ เ ม ริ ก า เ ห นื อ ห ล า ย ๆ วั ฒ น ธ ร ร ม
การบ่มเพาะสัมพันธไมตรีกับสัตว์ถือเป็นแก่นความคิดที่เชื่อมโยงและเสริมแก่นความคิดที่เชื่อมโยงและเสริม
แก่นความคิดที่เชื่อมโยงและเสริมแก่นความคิดหลักที่ว่าการล่าสัตว์ถือเป็นอาชีวะอันศักดิ์ เช่น
ในกระบวนการแสวงหานิมิต ซึ่งเป็นพิธีกรรมเพื่อการก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มสาวหรือพิธีการรับเข้ากลุ่ม
การที่จะได้เป็ นผู้ใหญ่ เต็มตัวหรือการถูกยอมรับ ต้องได้รับวิญ ญ าณ ของผู้พิทักษ์ก่อน
การทาเช่นนี้ถือเป็นการขยายทัศนะหรือความเข้าใจไปสู่เขตแดนของสัตว์
ความสัมพันธ์กับแผ่นดิน
ใ น ศ า ส น า ข อ ง ช า ว อ เ ม ริ ก า เ ห นื อ จ า น ว น ม า ก
แก่นความคิดเรื่องความสัมพันธ์กับสัตว์ได้ขยายขอบเขตออกไปยังทุกแง่มุมของโลกธรรมชาติ
เมื่อจาเป็นจะต้องใช้สิ่งของจากธรรมชาติ จะต้องมีพีธีการเช่นเดียวกับการล่าสัตว์ และในทุกๆ
ขั้นตอนของการปลูกพืชจะต้องมีการทาพิธีกรรม ซึ่งพืชพวกนี้จะถูกเรียกว่าเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 5
ศาสนาฮินดู
ศาสนาฮินดูถูกมองว่าเป็นพวกปฏิเสธโลก แต่จริงๆแล้วแนวโน้มการปฏิเสธโลกของศาสนาฮินดูคือ
มายา และ ปรากฤติ มายาจะสอนให้มองทุกสิ่งบนโลกเป็นภาพลวงตา (จิตนิยม) อคติต่อโลก ส่วน ปรากฤติ
- 9. คือ ก ารม อ งธ รรม ช าติ เป็ น เป็ น ศู น ย์ก ล าง แ ล ะว่ าร้าย โล ก ท างวัต ถุ (ส ส ารนิ ย ม )
ซึ่งจริงๆแล้วศาสนาฮินดูยังมีส่วนที่เป็นส่วนบวกอยู่มากมาย
การบูชาพลังและวัตถุในธรรมชาติเป็นเทพเจ้า
ใ น ศ า ส น า ฮิ น ดู มี ค ว า ม เ ชื่ อ ที่ ว่ า
โล ก ธ รรม ช าติ นั้น แ ท รก ซึ ม ไป ด้ ว ย พ ลังอ าน าจ ที่ พึ งได้ รับ ค ว าม เค ารพ ย าเก รง
และสิ่งที่พลังนั้นสาแดงออกมาจะเรียกว่าปรากฏการทางธรรมชาติ
จักรวาล/โลกที่มีชีวิต
ศาสนาฮินดูถือว่าความจริงหรือจักรวาลนั้นเป็นสิ่งมีชีวิต โลกสร้างมาจา ก ปุรุษะ
ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับมนุษย์แต่ใหญ่กว่า เท้าของเขาจะเป็นพื้นโลก ลาตัวจะเป็นท้องฟ้ า
ศรีษะคือสวรรค์ ตาคือพระอาทิตย์ ใจเป็นพระจันทร์ ปากเป็นพระอินทร์และเทพอัคนี ลมหายใจคือลม
น อ ก จาก นี้ ยังมี หิรัญ -ค รรภ (ไข่ สีท อ ง) ซึ่ งก่ อ ก าเนิ ด เป็ น จัก รว าล เมื่ อ ฟัก เป็ น ตัว
เป ลือ ก ไข่ ส่ ว น บ น จ ะเป็ น ส ว รรค์ ส่ ว น ล่ างเป็ น พิ ภ พ ระห ว่ างก ล างเป็ น ท้ อ งฟ้ า
ในเขตระหว่างกลางนี้เนื้อเยื่อด้านนอกจะเป็นภูเขา ด้านในเป็นหมอก เส้นเลือดในไข่เป็ นแม่น้า
น้าในใข่คือน้าและมหาสมุทร เป็นต้น
ภูมิประเทศอันศักดิ์สิทธิ์: อินเดียที่เป็นเทวะสถาน
ชาวฮินดูเชื่อว่าภูมิประเทศของเขามีชีวิต ปฐวี คือโลก ภารตะ-มา เป็นแผ่นดินอินเดีย
สตี คือภูมิประเทศอินเดีย ติรถา สถานที่บนฝั่งแม่น้าและจุดข้ามแม่น้า เป็นต้น
บทที่ 6 ศาสนาจีน
นิเวศกับศาสนาจีน ที่เด่นชัดจะมีการเปลี่ยนแปลงอันประสานสอดคล้อง(หยิน-หยาง)
จะบอกธรรมชาติเป็นลักษณะสองขั้ว ที่สุดโต่ง หยางจะเป็นสีขาว และหยินจะเป็นสีดาแสดงถึงสิ่งไม่ดี
มองตามธรรมชาติได้แก่ ความดี-ความชั่ว ความสว่าง-ความมืด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกลมกลืน
ศาสนาจีนยังมองความต่อเนื่อง ว่าสรรพสิ่งสรรพชีวิต ต้องสัมพันธ์อาศัยซึ่งกันและกัน
มองความเป็นองค์รวม จักรวาลมิใช่ส่วนหนึ่งของสิ่งอื่นใด โลกก็ไม่ใช่ถูกสร้างขึ้นมาโดยสิ่งใด และฮวงจุ้ย
คือศาสตร์แห่งการเข้าใจจิตวิญ ญ าณ ของภูมิประเทศแบบจีน ฮวงจุ้ยแปลว่า ลมและน้ า
โดยจะมองว่าบ้านหรือสุสานปลูกสร้างเหมาะสมจะนามาซึ่งความรุ่งเรืองโชคดี จึงมีฮวงจุ้ย
- 10. มาช่วยในการเลือกภูมิประเทศ ในการจัดว่างบ้านเรือนของเรา โดยจะมองทิศทางน้า และลม
ให้เกิดความสัมพันธ์สูงสุด เพราะทาเลที่ดีนั้นสาคัญที่สุด
บทที่ 7 ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธกับแนวคิดนิเวศ ที่เด่นชัดคือ อหิงสา หรือการไม่ใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น
หรือการไม่ทาร้ายผู้อื่น ในหลักศาสนาพุทธจะมองว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ความทุกข์เกิดจากความไม่รู้ เราจึงต้องฝึ กตนเพื่ อตรัสรู้จะได้แก้ไข หาวิธีดับทุกข์ได้
ศาสนาพุทธมองในเรื่องการมีชัยเหนือตนเอง คือการทาลายปรารถนาตนเอง ไม่ควรอยากมีอยากได้
หลงในกิเลศ ให้เคารพ รักในตัวเอง ศาสนาพุ ทธเป็ นศาสนาที่ทวนกระแสวัฒ นาธรรม
ในช่วงแรกๆของศาสนาพุทธ พระสงฆ์ทั้งหมดจะได้รับแต่อาหารเหลือของผู้อื่นมาเป็นอาหารของตน
สวมใส่ได้แต่เฉพาะเศษผ้าทิ้งแล้วของคนอื่น พระสงฆ์จะจาริกจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง
เราจะเห็นว่าการปฏิบัติเช่นนี้ของชุมชน เป็นตัวอย่างการหมุนเวียนนาของกลับมาใช้ (Recycle)
ในแบบโบราณ ซึ่งสามารถช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม ชาวพุทธยุคแรกมุ่งปรารถนาจะต่ออายุสิ่งแวดล้อม
โดยการเปลี่ยนแปลงสังคมกระแสหลักที่สร้างความสิ้นเปลืองสูญเปล่า
บทที่ 8 ศาสนาคริสต์ที่เป็นภัยเชิงนิเวศ
การครอบครองธรรมชาติและการถือเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางในศาสนาคริสต์
โดยบทนี้จะเกี่ยวกับนิเวศวิทยาและการครอบครองธรรมชาติของมนุษย์ในแง่มุมของศาสนาคริสต์
ในมุมมองนี้ พระคัมภีร์ไบเบิลและศาสนาต่างๆ ที่อ้างอิงพระคัมภีร์นี้ มีทัศนะต่อโลกอย่างต่อต้านธรรมชาติ
เป็ น ทัศ น ะต่ อ โล ก ที่ อ้างว่ ามีเท พ เจ้าผู้ อ ยู่ เห นื อ ทุ ก สิ่งทุ ก อ ย่ าง ผู้ ส ร้างโล ก ขึ้น ม า
แต่ไม่ได้เอาพระองค์เป็นจุดศูนย์กลางอยู่บนโลกเพื่อให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นที่สักการะบูชา
ผู้ วิ จ า ร ณ์ แ น ว คิ ด นี้ ม อ ง ว่ า ก า ร ต่ อ ต้ า น ก า ร บู ช า เท พ เจ้ า ใน พ ร ะ คั ม ภี ร์ไ บ เบิ ล
- 11. คือการต่อต้านการบูชาธรรมชาติโดยสาวกแห่งเทพตามพระคัมภีร์ไบเบิลองค์ใหม่ ผู้อยู่เหนือธรรมชาติ
แ ล ะ ไ ม่ ค ว ร น า ม า ป ะ ป น กั น ค า วิ จ า ร ณ์ ก ล่ า ว ว่ า
เพ ร า ะ อ ค ติ ข อ ง พ ร ะ คั ม ภี ร์ ไ บ เบิ ล ภ า ค พั น ธ สั ญ ญ า เดิ ม ต่ อ ธ ร ร ม ช า ติ นี้
ศ าส น าค ริส ต์ จึงโน้ ม เอีย งไป สู่ ทัศ น ะต่ อ ธรรม ช าติแ บ บ ที่ ไม่ เห็ น ถึงค วาม ศัก ดิ์สิท ธิ์
อันเป็นพื้นฐานสาหรับการจัดการและควบคุมธรรมชาติในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
บทที่ 9 ศาสนาคริสต์ที่รับผิดชอบเชิงนิเวศ
ปัญหาเกี่ยวกับสมมติฐานว่าด้วยการเป็นนายเหนือ
ก า ร ท า ใ ห้ ธ ร ร ม ช า ติ ค ล า ย ค ว า ม ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์
ผู้ที่เสนอสมมติฐานว่าด้วยการเป็นนายเหนือให้เหตุผลว่าการที่พระคัมภีร์ไบเบิลไม่ทาให้ธรรมชาติเป็นสิ่งศัก
ดิ์ สิ ท ธิ์ ท า ใ ห้ เ กิ ด ก า ร ข า ด ค ว า ม ย า เ ก ร ง ต่ อ ธ ร ร ม ช า ติ
โลกธรรมชาติอาจจะไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นเทพในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่ว่ามันไม่ตาย ไร้ชีวิต
หรืออยู่นอกขอบเขตทางศีลธรรมแห่งพระเจ้ามันอาจจะถูกละเมิดคุกคามและถูกทาให้มัวหมองโดยมนุษย์
ก า ร ค ร อ บ ค ร อ ง ธ ร ร ม ช า ติ
ผู้เสนอสมมติฐานว่าด้วยการเป็นนายเหนือให้ความสาคัญกับแนวคิดเกี่ยวกับการที่มนุษย์เข้าไปครอบครองธ
รรมชาติในพระคัมภีร์ไบเบิล ปัญหาของแนวคิดก็คล้ายกับประเด็นการไม่ทาให้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
การครอบครองธรรมชาติเป็ นแก่นความคิดที่พ บง่ายในลัทธิศาสนานอกศาสนาคริสต์
และมีหลักฐานจานวนมากกว่าอารยธรรมเหล่านั้นดาเนินกิจกรรมเพื่อพยายามจะเป็นนายเหนือธรรมชาติอย่
างแข็งขัน ถึงแม้ว่าโลกจะต้องเผชิญกับผลสืบเนื่องทางลบที่เกิดจากการตกต่าของมวลมนุษย์ก็ตาม
พ ร ะ คั ม ภี ร์ ไ บ เ บิ ล ก็ ยั ง มี ก า ร ชื่ อ ช ม ค ว า ม เ ม ต ต า ข อ ง โ ล ก อ ยู่
ถึงแม้ว่าจะมีตัวอย่างนักคิดชาวคริสต์ยุคหลังพระคัมภีร์ไบเบิลหลายคนที่มองจิตและวัตถุว่าเป็นทวิภาค
ม อ ง วั ต ถุ แ ล ะ ก า ย ว่ า เ ป็ น ก า ร ส า แ ด ง ข อ ง เ ท พ ที่ ต่ า ก ว่ า จิ ต วิ ญ ญ า ณ
บางวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงข้อเท็จจริงที่ว่าจารีตทางศาสนาคริสต์ไม่ได้รับเอาท่าทีที่เป็นลบต่อธรรมชาติมาอ
ย่ า ง เ ป็ น ไ ป ใ น ท า ง เ ดี ย ว กั น ต ล อ ด แ ล ะ อ ย่ า ง เ ป็ น เ อ ก ฉั น ท์
ก็คือการยกตัวอย่างนักคิดบางคนที่สรรเสริญธรรมชาติว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรังสรรค์ของพระเจ้าอันเป็นสิ่ง
ดีงาม
บทที่ 10 ธรรมชาติเสื่อมมนต์ขลัง
ทัศนะสมัยใหม่ว่าด้วยธรรมชาติ
- 12. ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติเสื่อมมนต์ขลังนั้น มีแนวโน้มว่าในยุคสมัยใหม่นี้พวกเรากาลังมองว่าธรรมชาติ
ไม่มีมนต์ขลังหรือได้เสื่อมคลายลงแล้ว เป็นการยืนยันว่ามนุษย์เป็นนายเหนือทุกสิ่งในธรรมชาติโดยสมบูรณ์
เราสามารถย้อนกลับไปดูได้โดยมีมาตั้งแต่ ในคัมภีร์ไบเบิ้ลและจารีตธรรมเนียมในศาสนาคริสต์ ในหนังสือ
เล่มนี้จะกล่าวว่า ความเหนือกว่าและความสูงส่งกว่าตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร ธรรมชาติเสื่อม
มนต์ขลังได้อย่างไร การเสาะหาความรู้และการครอบครองธรรมชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร อันตาภาวะ
(Infinity)คืออะไร ความก้าวหน้าของมนุษย์ ธรรมชาติคือขุมทรัพย์ ชาร์ลส์ ดาร์วินกับการดิ้นรนเพื่อการอยู่
รอดของมนุษย์ และเรื่องเทคโนโลยีและฉนวนป้องกัน
การอนุมานว่าโลกทัศน์สมัยใหม่ที่เราได้กล่าวในบทนี้ได้รับแรงบัลดาลใจและพึ่งทัศนะต่อความจริง
แบบพระคัมภีร์ไบเบิลหรือศาสนาคริสต์เป็นสิ่งผิดอย่างไม่ต้องสงสัย ทัศนะที่เราได้รับมานี้มีหลากหลายแลใน
ตอนแรกก็ถูกต่อต้านจากสถาบันศาสนาคริสต์ อย่างไรก็ดี เป็นที่ชัดเจนเช่นกันว่าในที่สุดแล้วศาสนาคริสต์
แบบที่นับถือกันทั่วไปก็ได้รับเอาโลกทัศน์แบบสมัยใหม่ อันที่จริงคนจานวนมากในทุกวันนี้ร้องทุกข์ว่า
วิกฤติการณ์ด้านนิเวศที่กาลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ เกิดขึ้นเพราะศาสนาที่ปึกแผ่นแล้วหนุนหลังอยู่ และยอมรับ
การเอาชนะธรรมชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นักวิจารณ์กล่าวว่า แม้ศาสนาคริสต์มิได้นามาซึ่ง
ทัศนะต่อธรรมชาติแบบสมัยใหม่ก็ตามที แต่มันก็ได้กระทาการน้อยนิดจริงๆที่จะท้าทายวิธีคิดเช่นนี้ จนถึง
เมื่อไม่นานนี้นี่เอง
บทที่ 11 จิตวิญญาณเชิงนิเวศ
ในความคิดของธอโร มูร์ และ ลีโอโปลด์
ศ า ส น า ค ริส ต์ ที่ ย อ ม รับ กั น อ ย่ า ง เป็ น ท า ง ก า ร ใ น ยุ ค นั้ น ไ ด้ ส นั บ ส นุ น
ห รื อ นิ่ ง เ ฉ ย ต่ อ ก า ร ค ว บ คุ ม ธ ร ร ม ช า ติ อ ยู่ เ ป็ น อั น ม า ก
และนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ดึงเอาสิ่งที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นคาสอนและแก่นความคิดของศาสนาคริสต์แ
ละพระคัมภีร์ไบเบิลมาสนับสนุนความพยายามของพวกเขา สาหรับนักเทววิทยา
และนักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายคนในยุคนั้น ความพยายามจะควบคุธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมนุษย์
ถือกันว่าเป็นประกาศิตอันศักดิ์สิทธิ์เป็นการทาให้เป้าประสงค์ของพระเจ้าต่อเผ่าพันุ์มนุษย์นั้นสมบูรณ์
แน่นอนว่าย่อมมีเสียงคัดค้านกระแสเช่นนี้ในเช่นชาติตะวันตกที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ และในบท
ต่อไปนี้เราจะศึกษานักคิดสามคน นั่นคือ เฮนรี เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) จอห์น มูร์ (John Muir)
และอัลโด ลีโอโปลด์ (Aldo Leopold) ผู้คนทีเกี่ยวข้องในประเด็นจิตวิญญาณเชิงนิเวศร่วมสมัยหลายคนถือ
ว่าบุคคลทั้งสามเป็นนักบุญด้านนิเวศวิทยา และเป็นแรงบันดาลใจแก่ความคิดในทางนิเวศวิทยาร่วมสมัย
หลายด้าน
บทที่ 12 เทววิทยาเชิงนิเวศร่วมสมัย
- 13. มุมมองของ: เวสลีย์ แกรนเบิร์ก-ไมเคิลสัน ความบาปต่อการรังสรรค์
เ ข า ม อ ง ว่ า ม นุ ษ ย์ ไ ด้ เ อ า ตั ว เ อ ง เ ข้ า ไ ป แ ท น ที่ พ ร ะ เ จ้ า
และความพ ยายามของมนุ ษย์ที่จะครอบครองโลกธรรมชาติ ก็ได้นาอันตรายมาสู่โลก
ม นุ ษ ย์ ไ ด้ คิ ด จ ะ เ อ า ต า แ ห น่ ง ก า ร เ ป็ น น า ย เ ห นื อ ธ ร ร ม ช า ติ
ที่มีความสามารถและมีชะตากรรมที่จะต้องจัดการธรรมชาติเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและวัตถุประสงค์
ข อ ง ม นุ ษ ย์ ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร เ ช่ น นี้
ธรรมชาติได้กลายเป็ น ที่รองรับ ท รัพ ยากรอัน เฉื่ อยชาที่มนุ ษ ย์จะสามารถ ใช้สร้างที่
ที่ แ ส น ส บ า ย เ พื่ อ ป ก ป้ อ ง ต น เ อ ง จ า ก อั น ต ร า ย
และตั้งแต่ที่การเติบโตของเทคโนโลยีอุตสาหกรรมศาสนาคริสต์โดยส่วนใหญ่แล้วหมายถึงการเอาชนะธรรม
ชาติและการสร้างอารยธรรมที่ซับซ้อนที่เป็นเชิงอุตสาหกรรม มีเทคโนโลยีอย่ างซับซ้อน
ก ร ะ บ ว น ก า ร นี้ เ รี ย ก ว่ า “ค ว า ม ก้ า ว ห น้ า ” แ ล ะ ช า ว ค ริ ส ต์ จ า น ว น ม า ก
มันคือสิ่งเดียวกันกับการบรรลุวัตถุประสงค์ของพระเจ้าบนโลก สาหรับ แกรนเบิร์กปัญหาสิ่งแวดล้อม
ภ า ร กิ จ เ ฉ พ า ะ ห น้ า ที่ ส า คั ญ ที่ สุ ด คื อ
การนาความคิดในพระคัมภีร์ไบเบิลและศาสนาคริสต์ที่มองโลกในฐานะการสร้างของพระเจ้ากลับมาใหม่
แทนที่ทัศนะต่อธรรมชาติอย่างโลกย์ๆที่ห่อหุ้มด้วยภาพว่าเป็ นแนวคิดทางจิตวิญ ญ าณ
ในโลกทัศน์เชิงจิตวิทยาและไม่อาจถือว่าเหนือกว่าหรอแยกออกจากธรรมชาติได้ ในความเห็นของ เวสลีย์
แกรนเบิร์ก-ไมเคิลสัน “มนุษย์ถือกาเนิดจากโลก ไม่ได้ถูกส่งลงมาจากสวรรค์ เราเห็นสิ่งสร้างจากธรรมชาติ
ไม่ใช่เจ้านายของธรรมชาติ”
มุมมองของ: แมทธิว ฟอกซ์ และพระคริสต์แห่งสากลจักรวาล
ข้อวิพากษ์หลักๆของฟอกซ์ต่อการขาดความสานึกเชิงนิเวศของศาสนาคริสต์ร่วมสมัยเกี่ยวกับแง่มุม
ทางจิตวิญญาณแบบศาสนาคริสต์มีสามประการคือ
- ความโน้มเอียงไปสู่การบ่มเพาะความรอดส่วนบุคคล
- ความโน้มเอียงของระบบคริสตจักรที่จะบ่มเพาะการครอบงาตามลาดับขั้นอานาจ
- ความโน้มเอียงที่จะไม่สนับสนุนสานึกแบบรหัสนัย
เนื่องจากคริสตจักรและชาวคริสต์ส่วนมากไม่ได้ตระหนักในวิกฤติการณ์ด้านนิเวศและวิกฤติการณ์ศรัทธาที่มั
น ไ ด้ ห นุ น อ ยู่
- 14. และเนื่องจากคริสตจักรยังคงยืนยันอย่างดื้อดึงถึงเทววิทยาตกยุคที่เต็มไปด้วยภาพลักษณ์และสัญลักษณ์ล้า
สมัย ดังนั้นเทววิทยาแบบใหม่จึงจาเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฟอกซ์เรียกว่า “การเปลี่ยนกระบวนทัศน์”
การเปลี่ยนดังกล่าวคือ การเปลี่ยนไปสู่การยืนยันซ้าในสิ่งที่เรียกว่า พระคริสต์แห่งสากลจักรวาลนั่นคือ
ทัศนคติทางเทววิทยาที่มีหลักสาคัญ ที่ภาพ ของพ ระคริสต์ ในความคิดของฟ อกซ์นั้น
พ ร ะ ค ริ ส ต์ แ ห่ ง ส า ก ล จั ก ร ว า ล เ ช่ น นี้ ไ ม่ ใ ช่ สิ่ ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ์ ใ ห ม่
แต่เป็นภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ๋ที่พบได้ในพระคัมภีร์ไบเบิลแต่ก็ได้ถูกละเลยและเลือนลางไปตามยุคสมัยที่เปลี่ย
นไป
มุมมองของ: โทมัส เบอร์รี วิวรณ์ครั้งใหม่
จารีตประเพณีทางศาสนาในตะวันตกแบบดั้งเดิมไม่ได้ปรับให้เข้ากับทัศนะต่อความจริงแบบวิทยาศ
าส ต ร์ส มัย ให ม่ อ ย่ างได้ ผ ล สิ่งที่ ม นุ ษ ย์รู้ใน ข ณ ะนี้ เกี่ ย ว กับ ลัก ษ ณ ะข อ งจัก รว าล
ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ศาสนาตะวันตกแบบดั้งเดิมบอกเกี่ยวกับธรรมชาติและตาแหน่งที่ของมนุษย์ในแบบแผ
น ที่ สิ่ ง ต่ า ง ๆ ใ น จั ก ร ว า ล
เมื่อคิดถึงปัญหารุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมาจากความสาเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอั
น ยิ่ ง ใ ห ญ่ ข อ ง อ า ร ย ธ ร ร ม ต ะ วั น ต ก เ บ อ ร์ รี ก ล่ า ว ว่ า
“มีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทัศนะแบบใหม่ที่ทั้งเรียกร้องศักด์ศรีของมนุษย์ในฐานะสิ่งสร้างโลกและสะก
ดข่มแนวโน้มของมนุษย์ที่จะปล้นสะดมโลก
มุ ม ม อ ง ข อ ง : แ ซ ล ลี แ ม ค เ ฟ ก โ ล ก อั น เ ป็ น ก า ย ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า
ความคิดหลักในเทววิทยาของแมคเฟกอีกประการหนึ่งที่อาจสร้างความขุ่นเคืองในบริบทศาสนาคริส
ต์แบบดั้งเดิมก็คือการระบุอัตลักษณ์ของพระเจ้าว่าเป็นแม่ คือการตอกย้าความคิดที่ว่าโลกคือกายขอพระเจ้า
ในเทววิทยาของแมคเฟกมองโลกที่เป็นกายของพระเจ้าว่าเป็นอู่ เป็นมดลูก ซึ่งทุกอย่างถือกาเนิดขึ้น
เป็ น แ ผ่ น ดิน ที่ เลี้ย งทุ ก ชีวิต ซึ่ งห าก ข าด ไป แ ล้ว ชีวิต ก็ ไม่ ส าม ารถ อ ยู่ ต่ อ ไป ได้ อีก
ภ า พ ลั ก ษ ณ์ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า ที่ เ ป็ น แ ม่ แ ล ะ โ ล ก คื อ ก า ย ข อ ง แ ม่
ได้ทาลายจารีตธรรมเนียมของความคิดแบบศาสนาคริสต์ที่ว่าพระเจ้าเป็นชายผู้ห่างเหินจากโลก
และภาพลักษณ์นี้ได้ลดทอนการจัดลาดับชั้นในความคิดแบบศาสนาคริสต์ลงให้เหลือน้อย ในฐานะที่เป็นแม่
พระเจ้าพร้อมเสมอเพื่อบุตรของนาง ผู้ซึ่งนางจะหล่อเลี้ยงบารุงอยู่ทุกวันด้วยธาตุจากกายของนาง
บทที่13 สิทธิสัตว์และจริยธรรมด้านนิเวศวิทยา
- 15. แนวคิดของ: เฮนรี เอส. ซอลต์
ส า ห รั บ ซ อ ล ต์
วิวัฒนาการทางจริยธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในที่สุดแล้วจะนามาซึ่งความตระหนักว่าสัตว์ก็สมควรได้ได้รับสิ
ท ธิ์ พื้ น ฐ า น เ ช่ น กั น เ ฮ น รี ไ ด้ ก ล่ า ว ไ ว้ ดั ง นี้
“การปลดเปลื้องมนุษย์ออกจากความทารุณและความอยุติธรรมจะนามาซึ่งการปลกเปลื้องสัตว์เช่นกันในไม่ช้
า ก า ร ป ฏิ รู ป ทั้ ง ส อ ง ป ร ะ ก า ร เชื่ อ ม โ ย ง กั น อ ย่ า ง ไ ม่ อ า จ แ ย ก จ า ก กั น ไ ด้
แ ล ะ ไ ม่ มี ป ร ะ ก า ร ใ ด ที่ ส า ม า ร ถ เ ป็ น จ ริ ง อ ย่ า ง ส ม บู ร ณ์ ไ ด้ อ ย่ า ง โ ด ด ๆ ”
เพี ย งเพื่ อ ม นุ ษ ย์ ป ระส บ ค ว าม ส าเร็จ ใน ก ารบ รรลุ ถึ งม นุ ษ ย ธ รรม อ ย่ างส ม บู รณ์
เมื่อนั้นขอบเขตทางจริยธรรมของพวกเขาจะเหยียดออกจนรวมเอาความตระหนักถึงความจาเป็นที่ต้องมีสิท
ธิสัตว์ โดยการปฏิเสธที่จะยอมรับสิทธิสัตว์ก็คือการที่ยังคงมีความเป็นมนุษย์น้อยอยู่
คาอธิบายที่พบทั่วไปและมีประสิทธิภาพมากที่สุดที่เสนอโดยนักสนับสนุนสิทธิสัตว์เพื่อต้านกับเผ่าพั
น ธุ์ นิ ย ม เกี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ข้ อ เ ท็ จ จ ริ ง ว่ า ม นุ ษ ย์ โ ด ย พื้ น ฐ า น แ ล้ ว ก็ คื อ สั ต ว์
แ ล ะด้ ว ย เห ตุ ผ ล นี้ จึงมีส่ ว น ที่ ร่ว ม กัน กับ เผ่ า พั น ธุ์อื่ น อีก ใน ก ารก ล่ าว ถึ งสิท ธิ สัต ว์
สั ต ว์ ก็ มี จิ ต ใ จ มี ค ว า ม เ จ็ บ ป ว ด มั น ส า ม า ร ถ ทุ ก ข์
ดั ง นั้ น เ ร า จึ ง ต้ อ ง ย อ ม ว่ า มั น มี ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ เ ห ล่ า นี้ อ า จ ถู ก ล ะ เ มิ ด ไ ด้
เราก็ควรจะขยายสิทธิให้กับสิ่งที่มีความรู้สึกที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วย เราจึงควรยอมรับว่าสัตว์มีสิทธิอย่างที่มนุษย์มี
บทที่ 14 นิเวศวิทยาแนวลึก
จากการเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง สู่การเอาชีวิตเป็นศูนย์กลาง
โ ด ย บ ท นี้ ก ล่ า ว ห ลั ก จ ะ เ กี่ ย ว กั บ นิ เ ว ศ วิ ท ย า แ น ว ลึ ก
ซึ่งเป็นมุมมองทางปรัชญาหรือจริยธรรมที่อ้างว่าสร้างจุดยืนของอยู่บนรากฐานของความรู้หรือปัญญาหรือจริ
ย ธ รรม ท างนิ เว ศ วิท ย าที่ เพิ่ งได้ รับ ก ารรับ เมื่ อ ไม่ น าน นี้ จ าก วิช าวิท ย า ศ าส ต ร์
เป็ น เรื่อ งเกี่ ย ว กั บ ทั ศ น ะที่ ให้ ค ว าม ส าคัญ กั บ ค ว าม เชื่ อ ม สัม พั น ธ์ต่ อ กั น แ ล ะกั น
และคุณลักษณะที่สัมพันธ์กันของโลก โดยประการแรกคือ เคารพสิทธิของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
นิ เว ศ วิท ย าแ น วลึก มีค วาม ใก ล้ชิด ม าก กับ แ น วคิด เรื่อ งสัต ว์ ว่าด้วย สิท ธิข อ งสัต ว์
ไ ม่ ไ ด้ มี เ พี ย ง แ ค่ เ ผ่ า พั น ธุ์ ม นุ ษ ย์ เ ผ่ า เ ดี ย ว เ ท่ า นั้ น ป ร ะ ก า ร ที่ ส อ ง คื อ
เคารพความเป็นบูรณาการณ์ขององค์ประกอบในโลกธรรมชาติที่ไร้ชีวิต เช่น แม่น้า และภูเขา
โดยมีความสนใจเป็นพิเศษในสิทธิของโลกที่ไม่ใช่มนุษย์ ที่จะอิสระจากการแทรกแซงของมนุษย์มากเกินไป
- 16. และประการสุดท้าย ประการที่สามคือ การให้ความสาคัญ กับประการนี้เป็ นลาดับต้นๆ
เกี่ยวกับระบบเหนือถิ่นอาศัยเป็นแห่งๆ นิเวศทุกระบบมีทั้งผู้ล่าและเหยื่อ และสิทธิของสิ่งใดๆ
ที่จะมีชีวิตและแสดงหาความสุขต้องถูกผ่อนปรนลงด้วยความจาเป็นของระบบนิเวศเพื่อรักษาบูรณภาพของ
ตนเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดหลักการของการถือว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน องค์รวมนั้นใหญ่กว่าองค์ประกอบ
และสมมติฐานไกย่า โลกคือเทพี โดยเน้นความสาคัญและคุณค่าสูงสุดต่อระบบนิเวศโดยรวม
และการยืนยันว่าโลกเป็นถิ่นอาศัยของสรรพสิ่งมีคุณค่าสูงสุด
บทที่ 15 การเคลื่อนไหวด้านนิเวศ
กรีนพีซ นักรบสายรุ้ง
นิเวศวิทยาเป็นความสนใจสาคัญของนักคิดทางศาสนาและกลุ่มทางศาสนาหลายกลุ่มในอเมริกาเหนื
อ มีผู้นาทางศาสนาจานวนมากซึ่งได้กลายเป็นรากฐานทัศนะของบางคน นิเวศวิทยาในฐานะที่เป็นศาสนา
ก็ คื อ ก ลุ่ ม ก รี น พี ซ นั่ น เ อ ง โ ด ย ช่ ว ง แ ร ก ๆ ข อ ง ก า ร เ ค ลื่ อ น ไ ห ว คื อ
การยึดหลักสันติภาพการรณรงค์ชิ้นแรกของกรีนพีซคือความพยายามหยุดการทดลองใต้ดินของสหรัฐอเมริก
าที่เกาะอัมชิตกา แม้ว่าในทุกวันนี้กรีนพีซจะให้น้าหนักไปทางกรปกป้องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
และลดการเคลื่อนไหวด้านสันติภาพลงไป โดยผลงานที่เด่นที่สุดในการเคลื่อนไหวของกลุ่มกรีนพีซ ได้แก่
ตานานแห่งนักรบสายรุ้ง ค้นพบเรื่องนี้ในหนังสือรวบรวมตานานของชาวอินเดียพื้นเมือง
ตานานนี้เกี่ยวกับคาทานายของสตรีเผ่าครีชื่อว่า อายส์ ออฟ ไฟร์ หรือดวงตาแห่งไฟ เมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว
โ ด น ร ะ บุ ว่ า นั ก ร บ จ ะ ส อ น ผู้ อื่ น ถึ ง วิ ธี ท า ง ที่ จ ะ รัก แ ล ะ เค า ร พ พ ร ะ แ ม่ ธ ร ณี
ก ารป ก ป้ อ งพ ระแ ม่ ธ รณี เป็ น แ น ว คิ ด ที่ ก ล่ าว ถึ ง บ่ อ ย ๆ ใน ป รัช ญ า ข อ ง ก รีน พี ซ
กรีนพีซได้หยิบเอาสื่งที่เคยเป็นแก่นความคิดสาคัญของชาวอินเดียพื้นเมืองมาอย่างมากทีเดียว
เพื่อแสดงออกถึงความเข้าใจตันตนในทางรหัสยะหรือปรัชญานั่นเอง
บทที่ 16 สตรีนิเวศนิยม: การขูดรีดประโยชน์จากธรรมชาติกับผู้หญิง
เชื่อว่าผู้หญิงมีความแตกต่างจากผู้ชายและดีกว่าโดยธรรมชาติ และโดยเงื่อนไขทางชีวภาพ
(เช่นการให้กาเนิดลูก) ทาให้ผู้หญิ งมีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เชื่อมโยงกับโลก
ป ฏิ เ ส ธ ค ว า ม เ ชื่ อ ที่ ว่ า ผู้ ห ญิ ง แ ล ะ ธ ร ร ม ช า ติ เ ป็ น ป ริ ม ณ ฑ ล ที่ ด้ อ ย
และปฏิเสธความเชื่อว่าปริมณ ฑลของเหตุผลและวัฒนธรรมมีความเหนือกว่าธรรมชาติ
- 17. ดังนั้ น จึงค ว รชื่ น ช ม ยิน ดี แ ล ะค ว รป ฏิ เส ธ เท ค โน โล ยีต่ า งๆ ที่ ท าล าย ธ รรม ช า ติ
นาไปสู่การฟื้นฟูความรู้ความเชื่อพิธีกรรมโบราณที่ให้ความสาคัญกับการบูชาพระแมเจ้า พระจันทร์
สัตว์ต่างๆ รวมทั้งระบบการสืบพันธุ์ ของผู้หญิงแต่ถูกต่อต้านว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลอง
เหมือนเป็นการยอมรับระบบคิดแบบคู่ตรงข้ามของผู้ชาย เป็นการสืบเนื่องของการกดขี่ของผูชาย
โดยการขูดรีดประโชยน์จากผู้หญิงโดยอาศัยประโยชน์จากธรรมชาติ โดยเน้นระบบชายเป็ นใหญ่
จ น ท า ให้ เกิ ด เป็ น น า ม ธ ร ร ม มี ลั ก ษ ณ ะ ทั่ว ไ ป ไ ม่ แ ส ด ง ใ ห้ เห็ น ก ล ไ ก ต่ า ง ๆ
ท างสังค ม ที่ ท าให้ ระบ บ นี้ ด าเนิ น ไป แ ล ะแ ป รเป ลี่ ย น ไป อ ย่ างไรใน แ ต่ ล ะยุ ค ส มัย
ม อ ง ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ เ ป็ น ห นึ่ ง เ ดี ย ว
ก ารให้ ค ว าม ส าคัญ ใน เรื่อ งชีว ภ าพ แ ล ะเรื่อ งก ารสืบ พั น ธุ์ถู ก ม อ งว่ าไม่ รอ บ ด้ าน
เพราะผู้หญิงไม่ได้ถูกกดขี่เพียงเรื่องนี้ ยังมีเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ประวัติศาสตร์ด้ วย
ดังนั้นต้องพิจารณาเรื่อง การผลิต/บทบาททางการ ผลิตของผู้หญิง การสืบพันธ์กาเนิดลูก
กามารมณ์และกฎเกณฑ์การควบคุมเรื่องกามารมณ์ และการขัดเกลาทาง สังคมประกอบไปด้วย
ซึ่งถูกกล่าวไว้ว่า เมื่อสิ้นระบบชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงจะเข้ามามีอิทธิพลแทน
บทที่ 17 สี่นักวิสัยทัศน์ทางนิเวศ
เป็นการรวมความคิดเห็นของนักวิสัยทัศน์ทางนิเวศทั้ง 4 คนที่มีอิทธิพลในปัจจุบัน
ว่ามีความคิดเห็นต่อนิเวศต่างๆอย่างไรบ้าง ในอดีตและในปัจจุบันแตกต่างกันอย่างไร
โดยแต่ละนักวิสัยทัศน์จะได้หัวข้อที่แตกต่างตามกันไป บอกถึงข้อดีข้อเสีย ประโยชน์ต่างๆ
และสิ่งที่เราจะประยุกต์มาใช้ได้โดยตรงหรือทางอ้อม แสดงให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
สรุปความเชื่อมโยงระหว่างสาระสาคัญของหนังสือกับแนวคิดทางจริยศาสตร์
จากหนังสือเล่มนี้นั้นเราจะเห็นได้ว่าในหลายๆบทจะกล่าวถึงความสอดคล้องในของหลายศาสนาจะ
มีความเชื่อมโยงในส่วนของธรรมชาติมาเป็นส่วนเกี่ยวข้องด้วยเสมอซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโ
ยงของธรรมชาติ และ ศาสนา ว่ามันจะเชื่อมโยงกับแนวคิดทางจริยศาสตร์ ในเรื่องของ ธรรมชาตินิยม
เพราะ ว่าตามหลักของธรรมชาตินิยมแล้วจะยึดถือธรรมชาติ เท่านั้นคือสิ่งที่เป็นจริงนิรันดร์
มีพลังกระตุ้นในตัว จาก ตัว อย่างใน บทที่ 2 และ บทที่ 3 จะเห็นได้ว่า ชนเผ่า อะบอริจิ้น
จ ะ มี ค ว า ม เ ชื่ อ ใ น เ รื่ อ ง ข อ ง ธ ร ร ม ช า ติ
และจิตวิญญาณที่สอดแทรกอยู่ในธรรมชาติรอบตัวซึ่งเป็นไปตามหลักธรรมชาตินิยม หรือในส่วนของบทที่
12 เทววิทยาเชิงนิเวศร่วมสมัยที่เป็นการชี้ให้เห็นถึงการดารงอยู่คู่กันของศาสนาและธรรมชาติ และยังมีบทที่
- 18. 13 ที่ เ ป็ น เ รื่ อ ง ข อ ง สิ ท ธิ สั ต ว์ แ ล ะ จ ริ ย ธ ร ร ม ด้ า น นิ เ ว ศ วิ ท ย า
เป็นหัวข้อที่ต้องการให้มีสิทธิสัตว์เพื่อคุ้มครองสัตว์ให้มีความเท่าเทียมพอๆกับมนุษย์ ส่วนในบทที่ 10
จะมีการว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติเสื่อมมนต์ขลัง ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่แตกแขนงมาอีกทางหนึ่ง
ในทางที่มนุษย์นั้นคิดว่าตัวเองเหนือทุกสิ่ง ทาให้ธรรมชาติเสื่อมถอย ส่งผลต่อระบบนิเวศ
ซึ่ ง มี ค ว า ม เชื่ อ ม โ ย ง ไ ป ใ น บ ท ที่ 11 ว่ า ด้ ว ย เรื่ อ ง จิ ต วิ ญ ญ า ณ เ ชิ ง นิ เ ว ศ
ซึ่งในบทนี้จะบอกถึงการที่มนุษย์นั้นพยายามจะควบคุมธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมนุษย์
ในความเป็นจริงนั้น มนุษย์ต้องอาศัยธรรมชาติในการดารงชีวิตไม่ว่าจะเป็น อาหาร อากาศ น้า
สิ่งพ วก นี้ ถ้ าม นุ ษ ย์ข าด ไป ก็จะไม่ ส าม ารถ ด ารงชีวิต อ ยู่ได้ ม นุ ษ ย์จึงต้ อ งมีล่ าสัต ว์
เ พื่ อ น า เ นื้ อ ข อ ง พ ว ก มั น ม า เ ป็ น อ า ห า ร
ใน ห นั งสือ เล่ ม นี้ ก็ ได้มีก ารก ล่ าวถึงก ลุ่ ม ค น ที่ ม อ งเห็ น คุ ณ ค่ าข อ งชีวิต สัต ว์พ ว ก นี้
จึงมีการจัดพิธีกรรมทั้งก่อนและหลังฆ่า เพื่อเป็นการเคารพแก่สัตว์ที่ตายเพื่อให้มนุษย์ดารงชีวิตอยู่ได้
พืชเองก็เช่นกันพวกมันก็ถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิต และมีการทาพิธีกรรมหลังจากการเก็บเกี่ยว
ส่วนนี้น่าจะเข้าข่ายมโนธรรมสัมบูรณ์ เนื่องจากผู้ล่ามีการรับรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองล่ามีชีวิตจิตใจเหมือนกัน
นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังมีการกล่าวถึง การบูชาธรรมชาติของศาสนาฮินดูอีกด้วย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีสิ่งหนึ่ง
มั น ก็ เ ห มื อ น กั บ ก า ร เ ค า ร พ ต่ อ ธ ร ร ม ช า ติ แ ต่ ถ้ า จ ะ ม อ ง ใ น อี ก มุ ม
การบูชาอะไรแบบนี้ก็ดูเหมือนจะงมงายเกินไปเช่นกัน
ประโยชน์ของจริยศาสตร์
ก า ร ศึ ก ษ า วิ ช า ก า ร ทุ ก แ ข น ง ย่ อ ม มี ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ ผู้ ศึ ก ษ า ทั้ ง นั้ น
การศึกษาวิชาจริยศาสตร์ก็ย่อมมีประโยชน์มากมายซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1. ทาให้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด สามารถเลือกปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร
จากที่แต่ละศาสนาหรือแต่ละเผ่าได้ทาแต่ละอย่างล้วนมองว่าถูกในมุมมองของแต่ละศาสนา
แต่ละเผ่า
- 19. 2. ทาให้รู้ทางดาเนินชีวิตทั้งในส่วนตัวและสังคม การที่เราศึกษาศาสนาอื่นๆ หรือชนเผ่าอื่นๆ
ทาให้เราดาเนินชีวิตอยู่กับคนต่างเผ่าได้ถูกวิธี เช่น คนอิสลาม จะไม่กินหมู เราก็ไม่ชวนเค้ากินหมู
3. ทาให้เข้าใจกฎความจริงของชีวิตเป็นสิ่งที่ชีวิตต้องการทาให้ชีวิตสมบูรณ์การศึกษาจริยธรรมจึงเป็น
การศึกษาถึงกฏธรรมชาติให้รู้ว่าชีวิตที่แท้จริงคืออะไรต้องการอะไร
4. ก า ร ป ร ะ พ ฤ ติ ห ลั ก จ ริย ธ ร ร ม เป็ น ก า ร พั ฒ น า สิ่ ง มี ชี วิ ต ให้ สู ง ขึ้ น เรีย ก ว่ า
มี วั ฒ น ธ ร ร ม ท า ใ ห้ ชี วิ ต ม นุ ษ ย์ เ ป็ น ชี วิ ต ที่ ป ร ะ เ ส ริ ฐ ก ว่ า สั ต ว์
ถ้าขาดด้านจริยธรรมแล้วคนไม่ต่างจากสัตว์แต่อย่างใด
5. ท า ใ ห้ รู้ จั ก ค่ า ข อ ง ชี วิ ต ว่ า ค่ า ข อ ง ชี วิ ต อ ยู่ ที่ ไ ห น
ทาอย่างไรชีวิตจะมีค่าและก็เลือกทางที่ดีมีค่าชีวิตก็มีค่าตามที่ต้องการ
เกณฑ์ตัดสินการกระทา
จริยศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยคุณค่า คือเรื่องความดี ไม่ดี แต่ก็เป็นการยากที่จะชี้ขาดลงไปว่าอะไรดี
อ ะ ไ ร ไ ม่ ดี อ ะ ไ ร ถู ก อ ะ ไ ร ผิ ด อ ะ ไ ร ค ว ร อ ะ ไ ร ไ ม่ ค ว ร
นักปรัชญ าด้านนี้จึงพ ยายามหาหลักเกณ ฑ์เพื่ อเป็ นแนวทางในการตัดสินการกระทา
ในที่นี้จะขอเสนอแนวคิดใหญ่ๆดังนี้
1.สัมพัทธนิยม
สัมพัทธ์ (Relative) หมายความว่า สิ่งนั้นขึ้นอยู่กับหรือเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งอื่น เช่น รูปร่าง
ลัก ษ ณ ะข อ งน้ าเป็ น สิ่งสัม พั ท ธ์ เพ ราะรูป ร่างลัก ษ ณ ะข อ งน้ า ไม่ แ น่ น อ น ต าย ตัว
แต่เปลี่ยนไปหรือขึ้นอยู่กับภาชนะที่บรรจุ ถ้าเราเอาน้าใส่แก้ว น้าก็มีรูปร่างอย่างแก้วถ้าเราเอาน้าใส่โอ่ง
น้ าก็มีรูป ร่างอย่างโอ่ง ถ้าเราเอาน้ าใส่ขัน น้ าก็มีรูป ร่างอ ย่างขัน เราจึงก ล่าวได้ว่า
รูปร่างของน้าสัมพัทธ์กับพาชนะที่บรรจุ
ส่วนพวกสมบูรณ์นิยม ถือว่าความดี ความชั่ว เป็นของมีค่าแน่นอนตายตัว ไม่ขึ้นอยู่กับอะไร
ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
2.มโนธรรมสัมบูรณ์
- 20. เ ก ณ ฑ์ ตั ด สิ น ค ว า ม ดี อี ก ป ร ะ ก า ร ห นึ่ ง คื อ ลั ท ธิ ม โ น ธ ร ร ม สั ม บู ร ณ์
ลั ท ธิ นี้ ถื อ ว่ า ก า ร ตั ด สิ น คุ ณ ค่ า ท า ง จ ริ ย ะ นั้ น ท า ไ ด้ ต า ม จิ ต ส า นึ ก
เกณฑ์มาตรฐานในการตัดสินคุณค่าตามความต้องตัดสินคุณค่าทางจริยะนั้นทาได้ตามจิตสานึก
เกณฑ์มาตรฐานในการตัดสินคุณค่าตามความคิดของนักปรัชญากลุ่มนี้เรียกว่า มโนธรรม
ม โ น ธ ร ร ม ห ม า ย ถึ ง ส า นึ ก ที่ ม นุ ษ ย์ ทุ ก ค น มี โ ด ย ธ ร ร ม ช า ติ ที่ ม นุ ษ ย์
เป็นเสียงในจิตใจมนุษย์ที่ทาให้ตัดสินอะไรได้ว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิดอย่างไร
ความสานึกในเรื่องความดี ความชั่ว ไม่จาเป็นต้องอธิบายเหตุผล เรารู้ว่าสิ่งนั้นผิด
เพราะมันผิดไม่ดีในตัวของมันเองจึงไม่ควรทา
ลั ท ธิ ม โ น ธ ร ร ม สั ม บู ร ณ์ เ ชื่ อ ว่ า
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกต้องมีลักษณ ะที่เป็นแก่นแท้ของสิ่งทั้งหลายที่มีในสิ่งๆนั้นเสมอไป
เกลือย่อมรักษาความเค็มเสมอ ทุกกาละเทศ ไฟย่อมร้อนทุกกาละเทศะความรู้สึกคนอาจต่างกันเช่นคน 2
คน อยู่ข้างกองไฟลุกโพรงยิ่งขึ้น จะได้อบอุ่นมากขึ้น ความจริงแล้วไฟย่อมร้อนเท่าเดิม
มโนธรรมไม่ใช่อารมณ์ แต่มโนธรรมเป็นสานึกในส่วนลึกของหัวใจ มโนธรรมเป็นอินทรีย์พิเศษ
ไม่ใช่อินทรีย์ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางปาก ทางกาย
แ ต่ เป็ น อิ น ท รีย์ ที่ เรีย ก ว่ า ปัญ ญ า ห รือ ม โน ธ ร ร ท ห รือ อิ น ท รีย์ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม
เป็นส่วนหนึ่งทางจิตหรือวิญญาณเป็นตัวตัดสินชี้ขาดความดีความถูก ความผิดเป็นเรื่องนามธรรม
บัทเลอร์ นักจริยศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งกล่าวว่า “ในตัวคนเรามีสิ่งที่เหนือกว่าความรู้สึกธรรมดาคือ
มโนธรรมที่เป็นตัวชี้ขาดเกณฑ์ที่อยู่ในใจเราและตัดสินหลักแห่งการกระทามโนธรรมจะตัดสินตัวของมันเอาเ
อ ง แ ล ะ ก า ร ก ร ะ ท า ข อ ง ม นุ ษ ย์ มั น ป ร ะ ก า ศ ล ง ไ ป โ ด ย ไ ม่ มี ค า แ น ะ น า ใ ด ๆ
มโนธรรมนั้นแสดงอานาจของมันออกมาเพื่อให้ได้ความเห็นชอบหรือประณามผู้กระทาตามแต่กรณี”
ม โ น ธ ร ร ม ห รื อ อิ น ท รี ย์ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม นั้ น
มนุษย์มีอยู่ด้วยกันทุกคนในฐานะที่เป็นมนุษย์เป็นสิ่งติดตัวของมนุษย์แต่เขาเกิดมา มโนธรรมมี 2 ภาค คือ
1.ภาคชี้ขาดความดีที่ถูกต้อง
2.ภาคชี้ขาดความงามที่ถูกต้อง
มโนธรรมที่มนุษย์มีติดตัวนี้เป็นสิ่งสากล แม้จะมีในทุกคนก็มีลักษณะรวมเป็นสากล คือ
ทุกคนที่อยู่มนภาวะปกติจะมีความรู้สึกคล้ายกัน เช่น ความรู้สึกว่าการช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเป็นสิ่งที่ดี
แต่อย่างไรก็ตามคนทั้งหลายก็ยังคิดเห็นต่างกันอยู่เพราะความโลภความหลงมาปิดบังเอาไว้