Mais conteúdo relacionado
Semelhante a วิทย์พลิกชุมชน: ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (20)
วิทย์พลิกชุมชน: ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
- 3. วิทย์พลิกชุมชน:
ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีท�ำ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ISBN 978-616-584-002-6
พิมพ์ครั้งที่ 1 (พฤษภาคม 2564)
จ�ำนวน 1,000 เล่ม
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2560 ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) 2558
ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ไม่อนุญาตให้คัดลอก ท�ำซ�้ำ และดัดแปลง ส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้
นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น
จัดท�ำโดย
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.)
ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถนนพหลโยธิน
ต�ำบลคลองหนึ่ง อ�ำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
โทรศัพท์ 0 2564 7000
โทรสาร 0 2564 7004
www.nstda.or.th/agritec อีเมล agritec@nstda.or.th
วิทย์พลิกชุมชน: ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีท�ำ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน/โดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและ
นวัตกรรมเกษตร ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 1. -- ปทุมธานี :
ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2564.
89 หน้า : ภาพประกอบสี
ISBN: 978-616-584-002-6
1. วิทยาศาสตร์ 2. วิทยาศาสตร์ -- แง่สังคม 3.วิทยาศาสตร์การเกษตร 4. เทคโนโลยีการเกษตร
I. สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร II. ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แห่งชาติ III. ชื่อเรื่อง
Q175.5 303.483
- 4. ทิศทางการพัฒนาประเทศสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ได้ใช้กลไก BCG Model พัฒนา
เศรษฐกิจ 3 มิติไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจ
หมุนเวียน(CircularEconomy) เศรษฐกิจสีเขียว(GreenEconomy)โดยมีนวัตกรรม
เป็นเครื่องมือสู่การยกระดับรายได้ชุมชน ลดความเหลื่อมล�้ำ ชุมชนเข้มแข็ง และ
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันน�ำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ได้ด�ำเนินงานภายใต้
กลไก BCG Model โดยร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย
และชุมชน ท�ำงานแบบจตุภาคี ถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
สู่เกษตรกรและชุมชน เกิดการน�ำไปประยุกต์ปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของพื้นที่
สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรท้องถิ่น น�ำไปสู่ความมั่นคงทางด้านอาหาร รายได้
คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
หนังสือ วิทย์พลิกชุมชน: ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีท�ำ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
รวมเรื่องราวของเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกรส่วนหนึ่งที่สท.และพันธมิตรได้ร่วมท�ำงาน
พัฒนาก�ำลังคนที่เป็นฐานรากส�ำคัญของการพัฒนาประเทศ โดยน�ำองค์ความรู้
เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสมาร์ทเทคโนโลยีเกษตรอินทรีย์เทคโนโลยีสิ่งทอ
เทคโนโลยีการผลิตอาหารโคคุณภาพ ตลอดจนการด�ำเนินโครงการอื่นๆ เพื่อ
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากที่จะเป็นแรงกระเพื่อมสู่การพัฒนาและการเติบโต
ทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป
สารจากผู้อำ�นวยการ
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์
ผู้อ�ำนวยการ
สถาบันการจัดการเทคโนโลยี
และนวัตกรรมเกษตร (สท.)
- 5. ติดอาวุธเกษตรกรไทย ด้วย ‘สมาร์ทเทคโนโลยี’
• ปลูก ‘มะยงชิดคุณภาพ’ ให้ ‘สมาร์ทเทคโนโลยี’ เป็นตัวช่วย
• รู้ใช้ ‘ข้อมูลสภาวะแวดล้อม’ ท�ำสวนทุเรียนได้ ‘ประหยัด ปลอดภัย’
• ‘เทคโนโลยี IoT’ เสริมศักยภาพ ‘การพึ่งพาตนเองด้านอาหาร’
• เรียนรู้ ‘สมาร์ทเทคโนโลยี’ ที่แปลงล�ำไย
• หอมขจรฟาร์ม: แปลงสาธิตเกษตรปลอดภัยอัจฉริยะ
ปลูก “ปลอดภัย-อินทรีย์” สร้างสมดุล รักษ์ทรัพยากรชุมชน
• เสริมแกร่งชาวนาใต้ ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี
รักษ์ ‘ข้าวพันธุ์พื้นเมือง’
• จากถิ่น คืนถิ่น ...เมื่อเมล็ดพันธุ์งอกงามในชุมชน
• “ไข่เน่า” ฟักทองพื้นเมือง หัวเรือเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
• (ต้น) กล้า สร้างสุข
• ฝนแปดแดดสี่ ปลูกผักให้ได้ราคาด้วย ‘ความรู้และเทคโนโลยี’
6
10
14
18
22
25
28
32
40
44
48
52
สารบัญ
- 6. 56
60
64
68
72
76
80
82
84
86
‘เทคโนโลยีและนวัตกรรม’ ยกระดับ ‘สิ่งทอพื้นเมือง’
• ‘จกโหล่งลี้’ ลายผ้าโบราณ เพิ่มคุณค่าด้วยนวัตกรรม
• ‘ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ’ ผลิตภัณฑ์ Zero waste จากสวนมะพร้าว
ยกระดับอาชีพ ‘การเลี้ยงโค’ ด้วยวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรม
• โคขุน ขุนโค ด้วยอาหาร TMR คุณภาพ
• โคขุน ขุนโค สร้างอาชีพที่ชายแดนใต้
โครงการอื่นๆ
• เพิ่มประสิทธิภาพผลิตมันส�ำปะหลัง ด้วยกลไก ‘ตลาดน�ำการผลิต’
(Inclusive Innovation)
• แหล่งท่องเที่ยวไม้ดอกแห่งใหม่ ชู “ปทุมมาห้วยส�ำราญ”
สายพันธุ์ใหม่จากงานวิจัย
• โครงการสนับสนุนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
เพื่อชุมชน (Community based Technology and Innovation
Assistance Project: CTAP)
- 8. หนึ่งในเครื่องมือที่ภาคเกษตรจะก้าวสู่วิถีการท�ำ “เกษตรสมัยใหม่”
คือการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เกิดการท�ำเกษตรที่แม่นย�ำ น�ำไปสู่การ
เพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิตจนได้ผลผลิตคุณภาพจาก
“ท�ำน้อย แต่ได้มาก”
สวทช.โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร(สท.)น�ำ
องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้าน ‘สมาร์ทเทคโนโลยี’ หรือ ‘เกษตร
อัจฉริยะ’ ถ่ายทอดสู่เกษตรกรมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี
โรงเรือนอัจฉริยะเทคโนโลยีระบบควบคุมการให้น�้ำอัจฉริยะส�ำหรับพืช
แปลงเปิด ระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการ
จัดการและควบคุมอัตโนมัติ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT ร่วม
กับโรงเรือนพลาสติกเพื่อการผลิตพืชผักคุณภาพ โดยผ่านการให้ความรู้
สร้างความเข้าใจ เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและน�ำไปสู่การปรับ
ประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับตนเองและบริบทของพื้นที่อีกทั้งสท.ได้ร่วมมือกับ
ภาคีพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการเอกชน
กลุ่มเครือข่ายเกษตรกร พัฒนา ‘สถานีเรียนรู้ด้านสมาร์ทเทคโนโลยี’
ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศสร้างโอกาสการเข้าถึงความรู้และการน�ำเทคโนโลยี
ไปใช้ประโยชน์
นอกจากนี้ ในปี 2563 สท. ได้ก�ำหนดเป้าหมายกระจายการเข้าถึง
สมาร์ทเทคโนโลยี 30 จุดในสวนทุเรียนจังหวัดระยอง เพื่อให้เกิดการเข้าถึง
และเรียนรู้การใช้สมาร์ทเทคโนโลยีเก็บข้อมูล คาดการณ์และจัดการ
สภาวะแวดล้อม เนื่องจากสภาพอากาศแต่ละปีไม่เหมือนกันการมีชุดข้อมูล
และน�ำมาประยุกต์ใช้จัดการสวนผลไม้จะลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ และ
ยังรวบรวมข้อมูลเป็นBigDataของพื้นที่ที่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ต่อได้
ติดอาวุธเกษตรกรไทย
ด้วย ‘สมาร์ทเทคโนโลยี’
7
- 11. Smart IoT
ปลูก ‘มะยงชิดคุณภาพ’
ให้ ‘สมาร์ทเทคโนโลยี’
เป็นตัวช่วย
“เทคโนโลยีช่วยทุ่นเวลาและให้ความรู้” ค�ำตอบสั้นๆ จาก ฉัตรชนก ทองเรือง หรือ
ลุงแดง วัย 59 ปี เจ้าของสวนมะยงชิด “ทองเรือง” เมื่อพูดถึงเทคโนโลยี
การให้น�้ำอัจฉริยะส�ำหรับพืชแปลงเปิดที่เขาได้คลุกคลีมาเกือบ 2 ปี
- 12. “มะยงชิด” เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดนครนายก
และเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัด ซึ่ง
สวนทองเรืองแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตมะยงชิดพันธุ์ทูลเกล้า
ที่คว้ารางวัลการประกวดมานับไม่ถ้วนผลผลิตของสวน
เฉลี่ยปีละ 2 ตัน ถูกจับจองล่วงหน้าและจ�ำหน่ายที่
หน้าสวนเท่านั้น ในราคากิโลกรัมละ 350-400 บาท
ด้วยความชอบรสชาติที่หวานและหอมกรอบของ
มะยงชิด ท�ำให้ ลุงแดง หันมาปลูกมะยงชิดอย่างจริงจัง
“ที่นี่ปลูกแบบยกโคก มะยงชิดชอบน�้ำผ่าน
แล้วให้แห้ง ไม่ชอบแฉะ เราต้องรู้สรีระของ
ต้นมะยงชิด ท�ำให้ต้นสมบูรณ์ และยังสัมพันธ์
กับความชื้นในดิน อากาศ ต้นถึงจะออกดอก”
บนพื้นที่ของสวนขนาด2ไร่ที่มีต้นมะยงชิดกว่า
100 ต้น ถูกปกคลุมด้วยมอส สะท้อนถึงปริมาณ
ความชื้นและการให้น�้ำของสวนแห่งนี้ ซึ่ง ลุงแดง
มองว่า ผลผลิตที่สมบูรณ์ของสวนส่วนหนึ่งมาจาก
การให้ความชื้นที่มาก และกลายเป็นโจทย์ร่วม
ของ ลุงแดง และเจ้าหน้าที่ สวทช. เมื่อครั้งมา
ประเมินพื้นที่เพื่อติดตั้งระบบการให้น�้ำอัจฉริยะว่า
ความต้องการน�้ำและความชื้น สัมพันธ์ต่อการ
ติดดอกออกผลของต้นมะยงชิดอย่างไร
“แต่ก่อนรดน�้ำสายยางก็ดูจากหน้าดิน ถ้าน�้ำ
หน้าดินไม่ค่อยซึมแสดงว่าน�้ำในดินเยอะแล้ว
ก็รู้ว่ารดแค่นี้ล่ะ ความชื้นได้แล้ว หรือความชื้น
ในอากาศของสวนผม ไม่มีใครเชื่อว่าเท่ากัน
ทุกต�ำแหน่ง เขาบอกว่าเอาความรู้สึกมาวัด
หรือช่วงติดดอก ไม่รู้เลยว่าดินต้องชื้นเท่าไหร่
ต้องมีความชื้นในอากาศเท่าไหร่ถึงออกดอก
รู้แต่ว่าถ้าอุณหภูมิสัก17-18องศา ติดกันสามวัน
แล้วอากาศอุ่นขึ้น มะยงชิดจะออกดอก”
เมื่อ “ความรู้สึก” ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้และ
ไม่สามารถเป็นตัวแทนของข้อมูล การเข้ามาของ
เทคโนโลยีการให้น�้ำอัจฉริยะส�ำหรับพืชแปลงเปิด
จึงช่วยคลายความคาใจให้ลุงแดง
ตั้งแต่ปี 2535 เรียนรู้ สังเกต จดบันทึกการปลูก
และพัฒนาการปลูกมะยงชิดของตนเอง จนได้
ผลผลิตที่ “รสชาติหวาน หอมกรอบ สีเหลืองส้ม”
เป็นที่หมายปองของผู้นิยมบริโภคมะยงชิด
11
- 13. การใช้ระบบให้น�้ำอัจฉริยะ
ท�ำให้รู้ว่ามะยงชิดจะออกดอก
ต้องใช้ค่าต่างๆ เท่าไหร่
ซึ่งใช้เป็นข้อมูลปีต่อไปได้
“ผมไม่เป็นเลยกับเทคโนโลยีแบบนี้ ยังไม่รู้ว่า
ต้องท�ำอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่ก็สอนแล้ว แต่เราเอง
ยังไม่คล่อง ต้องท�ำความเข้าใจ เข้าไปดูค่าต่างๆ
ในระบบอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ไม่ยากแล้ว”
เทคโนโลยีการให้น�้ำอัจฉริยะส�ำหรับพืชแปลงเปิด
เป็นเทคโนโลยีตรวจวัดและควบคุมแบบไร้สายที่
ติดตามสภาวะแวดล้อมของพืช พร้อมทั้งควบคุมการ
ให้น�้ำตามความต้องการพืชด้วยระบบอัตโนมัติตั้งเวลา
และควบคุมตรง ประกอบด้วยเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ
และความชื้นสัมพัทธ์ เซนเซอร์วัดความเข้มแสง และ
เซนเซอร์วัดความชื้นดิน
“จากเดิมที่เคยใช้สายยางรดน�้ำ 1 ชั่วโมง ก็
เปลี่ยนมาเป็นระบบน�้ำแบบสปริงเกอร์ ส่วนการสั่ง
งานตอนแรกตั้งเป็นแบบอัตโนมัติ ทดลองตั้งการ
ให้น�้ำที่ความชื้นในดิน 60% เมื่อค่าความชื้นลด
ลง ระบบท�ำงานอัตโนมัติให้น�้ำเพื่อเพิ่มความชื้น
กลับมาที่ 60% ซึ่งแบบนี้จะท�ำให้รากเน่าได้ เพราะ
มะยงชิดไม่ชอบน�้ำขัง ชอบน�้ำผ่าน ผมก็เปลี่ยนมา
สั่งแบบก�ำหนดเอง โดยดูที่การดูดซึมของน�้ำที่หน้า
ดินคู่กันไป”
หลังจากเรียนรู้การใช้งานระบบควบคู่กับการ
เปรียบเทียบข้อมูลแปลงที่จดบันทึกไว้ ท�ำให้ ลุงแดง
รู้ค่าตัวเลขที่แทนความรู้สึกได้ว่า ค่าความชื้นในดิน
ของต้นมะยงชิดตั้งแต่ฝนทิ้งช่วง-ก่อนเก็บเกี่ยว ต้องมี
ความชื้นดินอย่างน้อย 80%
Smart IoT
12
- 14. “ผมจดบันทึกข้อมูลท�ำสวนมะยงชิดทุกปี
ใส่ปุ๋ยเมื่อไหร่ รดน�้ำวันไหน พอใช้ระบบให้น�้ำ
ของ สวทช. ผมก็จดตัวเลขที่ได้จากระบบ
ก่อนออกดอก วันที่ออกดอก อุณหภูมิ ค่าแสง
เป็นอย่างไร ค่าความชื้นในอากาศ ความชื้น
ในดินเป็นเท่าไหร่ การใช้ระบบฯ ท�ำให้รู้ว่า
มะยงชิดจะออกดอกต้องใช้ค่าต่างๆ เท่าไหร่
ซึ่งใช้เป็นข้อมูลปีต่อไปได้”
ประสบการณ์เกือบ 30 ปีกับการปลูกมะยงชิด
ค�ำแนะน�ำที่ให้กับสวนต่างๆ ว่าความชื้นในสวนต้อง
เท่านี้ตามความรู้สึก มาวันนี้ไม่เพียง ลุงแดง มีค่า
ตัวเลขที่สามารถบอกแทนค่าความรู้สึกได้แล้ว เขา
ยังเห็นความส�ำคัญของการใช้เทคโนโลยีกับการท�ำ
สวนมะยงชิด
“การรู้ค่าตัวเลขท�ำให้เรามีความรู้กับการท�ำสวน
เพิ่มขึ้น เป็นข้อมูลให้ที่อื่นได้ แล้วยังช่วยทุ่นเวลา
ก็คือ เราสั่งรดน�้ำได้ ไม่ต้องลากสายยางรด
ลดปริมาณการใช้น�้ำเพราะมีตัวเลขที่เรารู้ความชื้น
ที่เหมาะ และประหยัดค่าไฟฟ้า แทนที่รดด้วย
สายยาง 1 ชั่วโมง เปลี่ยนมารดด้วยสปริงเกอร์
ใช้เวลา 10นาทีใช้ปั๊มวันละ1ชม.กับวันละ10นาที
แตกต่างกันเยอะเลยนะ”
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564)
การรู้ค่าตัวเลข
ท�ำให้เรามีความรู้
กับการท�ำสวนเพิ่มขึ้น
เป็นข้อมูลให้ที่อื่นได้
แล้วยังช่วยทุ่นเวลา
ลดปริมาณการใช้น�้ำ
ประหยัดค่าไฟฟ้า
สวนทองเรือง ต.ดอนยอ อ.เมือง
จ.นครนายก มีพื้นที่ปลูกมะยงชิด 2 ไร่
มีแรงงาน 2 คน ได้ผลผลิต 2 ตัน/ปี
รายได้ไม่ต�่ำกว่า 300,000 บาท/ตัน
จ�ำหน่ายกิ่งพันธุ์มะยงชิดพันธุ์ทูลเกล้า
และให้ค�ำแนะน�ำการปลูกมะยงชิดกับ
สวนต่างๆ
โทรศัพท์ 064 9146559
facebook: ฉัตรชนกสวนทองเรือง
ฉัตรชนก ทองเรือง
13
- 15. รู้ใช้ ‘ข้อมูลสภาวะแวดล้อม’
“ท�ำให้รู้สภาพอากาศสวนของเราเป็นอย่างไร แล้วก็
ประหยัดและปลอดภัย” ค�ำบอกเล่าจาก นัทธี
สุวรรณจินดา เกษตรกรรุ่นใหม่ เมื่อพูดถึง ระบบ
ตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการ
จัดการและควบคุมอัตโนมัติ หรือ ไวมาก (WiMaRC)
ทำ�สวนทุเรียนได้
“สมัยพ่อแม่ท�ำสวนอาศัยประสบการณ์
จัดการแปลง อย่างช่วงพฤศจิกายนลมหนาวเริ่ม
มา จะอดน�้ำทุเรียนเพื่อให้ทุเรียนออกดอก แต่
บางปีก็ไม่เป็นตามนั้น ถ้าอากาศไม่ได้ ก็ต้องอด
น�้ำทุเรียน จนใบเหลือง ถ้าไม่หนาวก็ต้องรดน�้ำ”
นัทธี เล่าถึง “การคาดเดาสภาพอากาศไม่ได้”
ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่คนท�ำสวนทุเรียนประสบ
นัทธี เบนเข็มจากอาชีพครูมาช่วยพ่อแม่ท�ำสวน
ทุเรียน “สุวรรณจินดา” ได้ราว 10 ปี ด้วยเป็น
คนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายเขาจึงหาข้อมูล
สภาพอากาศจากแหล่งอื่นๆ นอกเหนือจากข้อมูล
สภาพอากาศจากหน่วยงานรัฐที่ชาวสวนคุ้นเคย
เพื่อมาช่วยตัดสินใจจัดการสวนทุเรียนพื้นที่ 30 ไร่
ของครอบครัว
“ข้อมูลจากเว็บไซต์อากาศหรือจากเฟซบุ๊ก
มีมากขึ้น ดูง่ายและดูผ่านมือถือได้ ท�ำให้เรา
รู้ว่าต้องเตรียมสวนอย่างไร อย่างรู้ว่าอาทิตย์
หน้าอากาศจะเริ่มหนาว เราจะต้องตัดแต่งกิ่ง
ในทรงพุ่ม ใส่ปุ๋ย รดน�้ำให้ต้นทุเรียนกินอาหาร
เต็มที่ พออากาศหนาวมาก็อดน�้ำทุเรียนให้อยู่
ในสภาวะเครียดเพื่อออกดอก”
แม้จะมีข้อมูลสภาพอากาศจากหลายแหล่ง
แล้วก็ตาม แต่ นัทธี กลับสนใจเทคโนโลยีไวมากที่
เจ้าหน้าที่ สวทช. ลงพื้นที่แนะน�ำให้ “กลุ่มปรับปรุง
คุณภาพทุเรียนวังจันทร์” ที่เขาเป็นสมาชิก และเขา
‘ประหยัด ปลอดภัย’
Smart IoT
- 16. ปีแรกที่ใช้ข้อมูล
จากไวมากมาจัดการ
เห็นความแตกต่างได้ชัด
ร้อยละ 70
ของต้นทุเรียนในสวน
ออกดอกพร้อมกัน
ได้ขออาสาเป็นจุดติดตั้งเทคโนโลยีไวมากของกลุ่มฯ
“ตอนแรกยังไม่เข้าใจเทคโนโลยีมากนัก แต่สนใจ
เพราะเห็นว่ามีเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์
และความชื้นดิน ที่จะท�ำให้รู้ข้อมูลสภาวะอากาศใน
สวนเราเอง ไม่ต้องใช้ข้อมูลอ้างอิงจากที่อื่น”
นอกจากเทคโนโลยีไวมาก ท�ำให้ นัทธี ได้รู้ข้อมูลสภาวะ
อากาศในพื้นที่สวนของตัวเองแล้ว การรู้ค่าความชื้นดิน
ที่ไม่เพียงท�ำให้รู้ว่ารดน�้ำแค่ไหนถึงเพียงพอ หากยังช่วย
แก้ปัญหาการดูดซึมน�้ำของต้นทุเรียนในสวน
“ปกติจะรดน�้ำต้นทุเรียนครึ่งชั่วโมงก็สังเกตและสงสัย
ว่าท�ำไมหน้าดินแห้งเร็ว ต้นไม่งาม พอได้เซนเซอร์มาวัด
ความชื้นดิน ท�ำให้รู้ว่าหัวสปริงเกอร์ที่ใช้อยู่ ให้เม็ดน�้ำ
ใหญ่ น�้ำที่ลงดินเหมือนน�้ำหลากหน้าดิน ไหลผ่านเฉยๆ
น�้ำไม่ซึมลงดิน พอรู้แบบนี้ก็เลยเปลี่ยนหัวสปริงเกอร์
ที่ให้เม็ดน�้ำเล็กลง ผลที่ได้ตัวเลขความชื้นในดินเพิ่มขึ้น”
การใช้งานเทคโนโลยีไวมากในปีแรก นัทธี ใช้ข้อมูล
จากเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์อากาศควบคู่กับ
เซนเซอร์ความชื้นดิน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นทุเรียน
พร้อมออกดอก
“ข้อมูลอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ความชื้นดิน
สัมพันธ์กัน ถ้าเราคุมความชื้นดิน ความชื้นสัมพัทธ์ได้
ตามที่คิดไว้ เมื่ออากาศหนาวมา ทุเรียนจะติดดอกได้
ง่ายและสม�่ำเสมอ จากเดิมที่ทยอยออกดอก ซึ่งปีแรกที่
ใช้ข้อมูลจากไวมากมาจัดการ เห็นความแตกต่างได้ชัด
ร้อยละ 70 ของต้นทุเรียนในสวนออกดอกพร้อมกัน”
15
- 17. นัทธีศึกษาข้อมูลค่าความชื้นดินและความชื้นสัมพัทธ์
จากสวนอื่นๆและมาปรับใช้กับสวนตัวเองเขาพบว่าช่วงที่
จะท�ำให้ติดดอก ค่าความชื้นสัมพัทธ์ 50-60% ค่าความ
ชื้นดินอยู่ที่ 70-75% โดยใช้เวลารดน�้ำครึ่งชั่วโมง วันเว้น
วัน ถ้าให้น�้ำมากกว่านี้จะท�ำให้รากเน่าโคนเน่าได้ ถ้าให้
น้อยกว่านี้ท�ำได้แต่จะมีผลต่อค่าความชื้นสัมพัทธ์ในโคนต�่ำ
ซึ่งจะท�ำให้ทุเรียนเครียดน้อยและไม่ออกดอก
ประสบการณ์ที่ได้จากการใช้งานในปีแรก นัทธี ยังน�ำ
มาใช้ส�ำหรับผลิตทุเรียนในปีถัดมา แม้ว่าเทคโนโลยีไวมาก
ที่เขาได้รับติดตั้งจะยังไม่มีระบบสั่งการรดน�้ำอัตโนมัติ ซึ่ง
สามารถเพิ่มฟังก์ชั่นนี้ได้ แต่เขาเห็นว่า ขึ้นอยู่กับความ
เหมาะสมของแต่ละสวน และอยู่ที่การเอาข้อมูลจาก
เทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ให้หลากหลายแค่ไหน ส�ำหรับ
การใช้เทคโนโลยีไวมากนัทธีมองว่าไวมากสั่งให้เราไปท�ำ
ท�ำให้ประหยัดและปลอดภัย
“ข้อมูลจากเทคโนโลยีไวมาก ท�ำให้เราคาดการณ์
ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเราจะจัดการหรือป้องกัน
อย่างไร เช่น ช่วงที่อากาศร้อนต่อเนื่อง มีลมพัด เป็น
จังหวะที่อาจจะมีไรแดงลงใบทุเรียน ข้อมูลจากไวมาก
เป็นสัญญาณเตือนเราว่าแนวโน้มอากาศร้อนมีลม เรา
จ�ำเป็นต้องตรวจแปลงว่ามีไรแดงหรือยัง ถ้าเราพบ
ไรแดงน้อย เราก็ฉีดยาปริมาณไม่มาก จัดการตั้งแต่
ต้นทาง ท�ำให้เราประหยัดและปลอดภัย จากที่ต้องใช้
สารเคมี 6 ขวด ก็เหลือ 2-3 ขวด หรือการรู้ค่าความชื้น
ในดินก็มีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายยาก�ำจัดเชื้อราจากโรค
รากเน่าโคนเน่าได้”
ข้อมูลจากเทคโนโลยี
ไวมาก ท�ำให้เราคาดการณ์ได้ว่า
จะเกิดอะไรขึ้น แล้วเราจะจัดการ
หรือป้องกันอย่างไร ท�ำให้เรา
ประหยัดและปลอดภัย
Smart IoT
นัทธี สุวรรณจินดา
16
- 19. Smart IoT
‘เทคโนโลยี IoT’ เสริมศักยภาพ
‘การพึ่งพาตนเองด้านอาหาร‘
สร้างชุมชนตัวอย่างของการพึ่งพาตนเอง เป็นแหล่งผลิต
อาหารอินทรีย์ของคนเมือง สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติ คือ
หนึ่งในเป้าหมายที่ คมสัน หุตะแพทย์ ผู้อ�ำนวยการชุมชนนิเวศน์
สันติวนา ก�ำลังขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นบนพื้นที่กว่า 30 ไร่
ย่านดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยมีแปลงผักอินทรีย์เป็นจุดเริ่มต้น
ของการพึ่งพาตนเองในด้านอาหาร
- 20. เป็นความยากของ
เกษตรกรที่จะรู้ว่า
สภาพแวดล้อมแต่ละช่วง
เป็นอย่างไร ยิ่งในสภาวะ
อากาศที่แปรปรวนสูง
ในปัจจุบัน ซึ่งไวมาก
ตอบโจทย์ตรงนี้
ค่อนข้างเยอะ”
คมสัน เป็นผู้บุกเบิก “สวนผักบ้านคุณตา”
ศูนย์อบรมเกษตรและแหล่งเรียนรู้การพึ่งพาตนเองที่
ขึ้นชื่อของเมืองกรุง และได้ขยายภารกิจสร้างความรู้
การพึ่งพาตนเองในพื้นที่แห่งใหม่นี้ “เดิมเราปลูกผัก
อินทรีย์ในพื้นที่ขนาดเล็ก แต่พื้นที่ขนาด 2 ไร่ เรา
เพิ่งท�ำได้ 2 ปี ปลูกผักทั้งในโรงเรือนของ สวทช.
โรงเรือนหลังคาโค้งทั่วไป และแปลงปลูกนอก
โรงเรือน”
พืชผักที่คมสัน ปลูกในพื้นที่2ไร่เช่นสลัดเรดโอ๊ค
กรีนโอ๊ค เคล กวางตุ้ง มะเขือเทศ คะน้า โดยปลูกใน
โรงเรือนพลาสติกของ สวทช. ได้ 8 รอบ ใช้ระยะเวลา
ปลูก30-40วัน/รอบขณะที่ปลูกนอกโรงเรือนได้4-6รอบ
ใช้ระยะเวลาปลูก 30-45 วัน/รอบ ซึ่งผลผลิตผักที่ได้
น�ำไปแบ่งปันผ่านกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนฯ จ�ำหน่าย
รอบพื้นที่และจ�ำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยให้เข้ามาตัดผัก
ในแปลงด้วยตนเอง
ชุมชนนิเวศน์สันติวนาได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี
โรงเรือนพลาสติกเพื่อการผลิตพืชผักคุณภาพ
ของ สวทช. ร่วมกับระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์
แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุม
อัตโนมัติ หรือ ไวมาก (WiMaRC) เพื่อเป็นอีกหนึ่งจุด
เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีของ สวทช. ซึ่งการปลูกผักใน
โรงเรือนไม่เพียงช่วยเพิ่มรอบการผลิตพืชผักได้ผลผลิต
ที่มีคุณภาพกว่าปลูกนอกโรงเรือนการติดตั้งเทคโนโลยี
ไวมากยังท�ำให้คมสัน ได้เรียนรู้ข้อมูลสภาวะแวดล้อม
ที่ส�ำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชผักอีกด้วย
“การปลูกผักต้องรู้จักผัก การเจริญเติบโต ดิน
ความต้องการน�้ำ ความต้องการแสงแดด ซึ่งเป็น
กุญแจส�ำคัญที่จะท�ำให้ผักเติบโตสอดคล้องกับ
ช่วงอายุ แต่เป็นความยากของเกษตรกรที่จะรู้ว่า
สภาพแวดล้อมแต่ละช่วงเป็นอย่างไร ยิ่งในสภาวะ
อากาศที่แปรปรวนสูงในปัจจุบัน คนที่เชี่ยวชาญ
ปลูกผักก็ยังประสบปัญหา ซึ่งไวมากตอบโจทย์
ตรงนี้ค่อนข้างเยอะ”
คมสัน หุตะแพทย์
19
- 21. เทคโนโลยีไวมากประกอบด้วย สถานีตรวจวัด
สภาวะแวดล้อม2ชุดแต่ละชุดประกอบด้วยเซนเซอร์
วัดค่าความชื้นดิน ความชื้นอากาศ ปริมาณแสง และ
อุณหภูมิโดยสถานีแม่ข่ายจะเพิ่มอุปกรณ์วัดความเร็ว
ลมและปริมาณน�้ำฝน ติดตั้งอยู่นอกโรงเรือนเพื่อเก็บ
ข้อมูลสภาวะอากาศภายนอกโรงเรือนเปรียบเทียบ
กับข้อมูลจากสถานีลูกข่ายที่อยู่ในโรงเรือน นอกจากนี้
ยังได้เพิ่มเซนเซอร์วัดค่าการใช้ไฟฟ้าและการใช้น�้ำ
เพื่อเก็บข้อมูลเป็นต้นทุนการผลิตของสวน และยังมี
กล้องบันทึกภาพการเจริญเติบโตของพืชผักที่ช่วยให้
เห็นการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชได้
“การใช้งานไวมากไม่ยุ่งยาก ตัวหลักที่ใช้คือ
ควบคุมการเปิดปิดการให้น�้ำอัตโนมัติ ไม่ว่าอยู่
ที่ไหนก็สั่งเปิดปิดปั๊มเพื่อให้น�้ำได้ ที่นี่จะตั้งการ
ให้น�้ำไว้ 2 ครั้ง คือเช้าและเย็น วันที่อากาศ
ร้อนมาก ก็เปิดให้น�้ำตอนกลางวันเพิ่ม ส่วน
ระยะเวลาให้น�้ำขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการ
ของผักในแต่ละช่วงการเติบโต การใช้เทคโนโลยี
ไวมาก 1. ประหยัดเวลา ในพื้นที่ขนาดใหญ่
สามารถสั่งการผ่านมือถือได้ 2. ให้น�้ำในช่วงเวลา
ที่แน่นอนและในปริมาณที่เราก�ำหนดได้แน่นอน
และ 3. ประหยัดทรัพยากร เช่น ปริมาณน�้ำ
บางช่วงที่แล้ง การให้น�้ำที่สอดคล้องกับทั้งพืช
และปริมาณน�้ำที่มีอยู่ มีความจ�ำเป็น จะช่วย
ประหยัดไฟที่เปิดปั๊ม ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต
และก�ำไรขาดทุนของการปลูกผัก”
นอกจากการรู้สภาวะแวดล้อมในโรงเรือนที่จะ
ช่วยให้จัดการพืชผักได้อย่างเหมาะสมแล้ว ข้อมูล
และภาพที่เก็บไว้ในระบบ ยังเป็นตัวช่วยจดบันทึก
สภาวะแวดล้อมให้เกษตรกรซึ่งเมื่อน�ำมาใช้ร่วมกับ
ข้อมูลกิจกรรมการปลูกและดูแลแปลงแล้วจะท�ำให้
ได้ปฏิทินการจัดการแปลงปลูกของตนได้
การใช้เทคโนโลยีไวมาก
ประหยัดเวลา ให้น�้ำในช่วง
เวลาที่แน่นอนและในปริมาณ
ที่ก�ำหนดได้แน่นอน และ
ประหยัดทรัพยากร
Smart IoT
20
- 22. “ในพืชชนิดเดียวกัน ถ้าเป็นฤดูกาลใกล้เคียงกัน การ
จัดการปัญหาก็ใกล้เคียงกัน ข้อมูลจากไวมากที่บันทึก
เก็บไว้บนเน็ตพาย (NETPIE) เป็นประโยชน์มากส�ำหรับ
วางแผนการปลูกรอบต่อไป ซึ่งข้อมูลเก็บได้เป็นปี
เป็นข้อดีของระบบที่มาปิดข้ออ่อนของเกษตรกร ซึ่ง
ไม่ค่อยจดบันทึกข้อมูล แม้แต่ผมที่ท�ำงานข้อมูล ก็ยัง
ไม่ค่อยได้จด การไปสั่งงานคนในสวนให้จดเป็นเรื่อง
ยากมากข้อมูลในระบบช่วยให้เราวางแผนและประเมิน
สาเหตุได้ จากเดิมที่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาตอบ
ว่าปัญหาที่เจอเกิดจากอะไร เช่น บางช่วงผักเป็นโรคที่
เกิดจากเชื้อรา ก็สัมพันธ์กับการให้น�้ำเยอะแสงแดดน้อย”
การเป็นตัวอย่างชุมชนที่พึ่งพาตนเองด้านอาหาร เป็น
หนึ่งในแนวทางการด�ำเนินงานเกษตรของชุมชนนิเวศน์
สันติวนาภายใต้แนวคิด Permaculture หรือ Permanent
Agriculture ที่ค�ำนึงถึงความสัมพันธ์และการรักษาสมดุล
ชุมชนนิเวศน์สันติวนา
เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิอุร์สุลินเพื่อการศึกษาและ
มูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา ร่วมกันรักษาและพัฒนาให้เป็นพื้นที่
แห่งความยั่งยืน ชุมชนเรียนรู้แห่งนี้เป็นพื้นที่ตัวอย่างของการรักษา
สมดุลทางระบบนิเวศในเมือง พื้นที่ของการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร
และพลังงาน และเป็นพื้นที่ส�ำหรับฝึกฝนด้านจิตวิญญาณในการ
ใช้ชีวิต ซึ่ง สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เกษตร (สท.) ได้ร่วมสนับสนุนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการพัฒนาเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และ
พึ่งพาตนเอง
โทรศัพท์ 095 0672728
facebook: Santi Wana Eco Community ชุมชนนิเวศสันติวนา
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564)
ของระบบนิเวศในพื้นที่ เมื่อเกิดการน�ำเทคโนโลยี
IoT ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชใน
โรงเรือนมาใช้ในพื้นที่ คมสัน จึงมองไปถึงการ
สร้างระบบนิเวศวิทยา(ecology)ในโรงเรือนที่ไม่ใช่
แค่พืชผักชนิดใดชนิดเดียวหรือสองสามชนิด แต่
ต้องหลากหลายเพื่อสร้างความแข็งแรงให้พืชผัก
ด้วยตัวมันเอง โดยมีเทคโนโลยี IoT เป็นเครื่องมือ
“เราเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ที่จะพึ่ง
ตนเองและอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้
การมีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเป็นเครื่องมือ
ช่วยเพิ่มศักยภาพของเรา อย่างไรก็ตาม
เราต้องตระหนักว่า ความรู้ของเราและความ
สามารถของเทคโนโลยีก็เป็นเพียงการส่งเสริม
กระบวนการธรรมชาติให้ท�ำงานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพมากขึ้น”
21
- 23. Smart IoT
เรียนรู้ ‘สมาร์ทเทคโนโลยี’
ที่แปลงล�ำไย
จากประสบการณ์การท�ำงานวิจัยและคลุกคลี
กับเกษตรกรชาวสวนล�ำไยภาคเหนือมากว่า
25 ปี ผศ.ดร.วินัย วิริยะอลงกรณ์ ประธาน
อาจารย์ประจ�ำหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต
(เกษตรศาสตร์) สาขาวิชาพืชสวน (ไม้ผล)
คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า องค์ประกอบที่ท�ำให้ล�ำไย
มีคุณภาพ คือ น�้ำ การตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งช่อผล
การให้ปุ๋ย และการจัดการโรคและแมลงศัตรู
อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่เกษตรกรส่วนใหญ่
ยังปฏิบัติไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง และยังมีความเชื่อ
ในวิถีการจัดการและดูแลแปลงล�ำไยแบบเดิมๆ
ที่ปฏิบัติกันมาช้านาน ซึ่งกลุ่มนี้เปลี่ยนความคิด
ค่อนข้างยากอย่างไรก็ตามยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่พร้อม
จะรับเทคโนโลยี แต่ความรู้ต่างๆ ยังเข้าไปไม่ถึง
ตัวเกษตรกรอย่างแท้จริง ปัจจุบันกลุ่มที่ยอมรับและ
น�ำเทคโนโลยีไปใช้ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรวัยหนุ่มสาว
มีความรู้พอสมควร ไม่ได้จบด้านเกษตรหรือไม่มี
พื้นฐานด้านเกษตร แต่มีใจรักอาชีพเกษตร กลุ่มนี้
เปิดใจยอมรับความรู้และเทคโนโลยี สามารถท�ำได้
ดีจนเป็นเกษตรกรผู้น�ำเกษตรกรกลุ่มเดิมๆ และ
สามารถพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้ก้าวล�้ำหน้าไปไกล
รวมทั้งผลผลิตมีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ
แต่เกษตรกรกลุ่มนี้ยังมีอยู่น้อยมากในปัจจุบัน
22
- 24. แปลงเรียนรู้ล�ำไย มหาวิทยาลัยแม่โจ้:
ศาสตร์แห่งล�ำไยเป็นสถาบันการเกษตรที่ร่วมบุกเบิก
ล�ำไยพร้อมๆ กับเกษตรกรมาช้านาน มีองค์ความรู้
ด้านล�ำไยครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ส่งเสริมให้
เกษตรกรชาวสวนล�ำไยได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดการ
ผลิตล�ำไยเพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพและลดต้นทุน
การผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะสภาพอากาศ
แปรปรวนที่ยากต่อการควบคุมแต่สามารถจัดการได้
โดยอาศัยความรู้และเทคโนโลยี
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เกษตร (สท.) ภายใต้ สวทช. ได้น�ำเทคโนโลยี IoT
(Internet of Things) ประยุกต์ใช้ร่วมกับข้อมูลจาก
งานวิจัยเรื่องล�ำไยของ ผศ.ดร.วินัย เพื่อบริหาร
จัดการแปลงล�ำไยให้ได้คุณภาพ โดยเฉพาะการ
จัดการให้น�้ำในแปลงล�ำไยอย่างอัจฉริยะและ
เหมาะสม
“การให้น�้ำเป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้ผลผลิต
ล�ำไยไม่เสียหาย ซึ่งผลผลิตล�ำไยที่เสียหายใน
ปัจจุบันเกิดจากฝนหลงฤดู เกษตรกรไม่มีน�้ำให้
หรือให้ไม่สม�่ำเสมอ เมื่อฝนหลงฤดูมาในช่วงที่
ล�ำไยสร้างเนื้อ ผลล�ำไยจึงแตก”
การให้น�้ำของเกษตรกรสวนล�ำไยนิยมให้น�้ำเต็ม
พื้นที่ทรงพุ่มหรือร่องที่ท�ำไว้ใต้ต้นล�ำไย โดยเชื่อว่า
ล�ำไยจะได้รับน�้ำจนอิ่ม ซึ่งท�ำให้เกษตรกรต้องใช้
น�้ำในปริมาณมาก ขณะที่แปลงเรียนรู้แห่งนี้วาง
ระบบน�้ำและให้น�้ำผ่านสปริงเกอร์
ผศ.ดร.วินัย วิริยะอลงกรณ์
- 25. “ถ้ามีล�ำไย 100 ต้น เกษตรกรชาวเหนือให้น�้ำอยู่
3 วัน แต่จากงานวิจัย 1 ต้นล�ำไย ใช้หัวสปริงเกอร์
1-2 หัว ขนาดของปั๊มไม่เกิน 2 แรงม้า ให้น�้ำไม่ถึง
ชั่วโมง ความรู้เรื่องระบบน�้ำเป็นปัญหาของชาวสวน
ล�ำไยทางภาคเหนือเกษตรกรยังวางระบบน�้ำไม่เหมาะสม
หรือใช้ปั๊มผิดประเภทเช่นใช้ปั๊ม 2-3 แรงให้น�้ำล�ำไย
ได้ประมาณครั้งละ 6-10 ต้น ขณะที่แปลงจุดเรียนรู้
ที่เดินระบบน�้ำร่วมกับเทคโนโลยี IoT รดน�้ำได้ 109
ต้น/ครั้ง และน�้ำออกสม�่ำเสมอ”
แปลงเรียนรู้ล�ำไยแห่งนี้ไม่เพียงเป็นจุดเรียนรู้
การจัดการแปลงและการวางระบบน�้ำที่เหมาะสมแล้ว
ยังได้ติดตั้ง เทคโนโลยีระบบควบคุมการให้น�้ำ
อัจฉริยะส�ำหรับพืชแปลงเปิด ครอบคลุมพื้นที่ 1 ไร่
เพื่อก�ำหนดการให้น�้ำอัตโนมัติ โดยใช้ข้อมูลความต้องการ
น�้ำของล�ำไยจากงานวิจัยของ ผศ.ดร.วินัย เป็นตัวก�ำหนด
การสั่งการให้น�้ำตามระยะการเจริญเติบโตของล�ำไย
“จากงานวิจัยท�ำให้มีข้อมูลความต้องการน�้ำ
ในแต่ละช่วงการเจริญเติบโตของล�ำไย ข้อมูลที่มีน�ำ
ไปตั้งค่าในระบบให้น�้ำอัจฉริยะฯเพื่อสั่งการให้น�้ำเช่น
ช่วงออกดอกติดผล ต้องเพิ่มปริมาณน�้ำและความชื้น
ในดิน ช่วงหน้าร้อน น�้ำระเหยมาก ความชื้นในดิน
ไม่ควรต�่ำกว่า 40% ถ้าความชื้นดินต�่ำ ระบบให้น�้ำ
อัจฉริยะฯจะท�ำงานเพื่อเพิ่มปริมาณความชื้นให้ถึง50%”
จากการทดลองใช้เทคโนโลยีฯพบว่าการเจริญเติบโต
การออกดอก ติดผล และผลผลิตของล�ำไยที่ได้สมบูรณ์
กว่าแปลงที่ให้น�้ำแบบทั่วไป (ให้น�้ำเมื่อเห็นว่าดินแห้ง)
ท�ำให้ได้ผลผลิตล�ำไยต่อต้นประมาณ 70-80 กก./ต้น
(ขนาดทรงพุ่มกว้าง 3-4 เมตร)
การวางระบบน�้ำที่ถูกต้อง การเลือกใช้ระบบให้น�้ำ
แบบสปริงเกอร์ การตัดแต่งกิ่งล�ำไย เป็นเรื่องที่เกษตรกร
ที่มาดูงานที่แปลงล�ำไยแห่งนี้ได้มีโอกาสศึกษาเรียน
รู้ ขณะเดียวกันยังได้ท�ำความรู้จักเทคโนโลยี IoT หรือ
สมาร์ทเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยเกษตรกร
นอกจากเทคโนโลยีระบบควบคุมการให้น�้ำอัจฉริยะ
ส�ำหรับพืชแปลงเปิดแล้ว แปลงเรียนรู้แห่งนี้ยังได้
ติดตั้ง เทคโนโลยีระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบ
เครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุม
อัตโนมัติ หรือ ไวมาก (WiMaRC) เป็นเสมือนสถานี
วัดอากาศที่เก็บข้อมูลสภาวะอากาศโดยมีเซนเซอร์วัด
อุณหภูมิเซนเซอร์วัดความชื้นอากาศเซนเซอร์วัดความ
เข้มแสง เซนเซอร์วัดความชื้นดิน อุปกรณ์วัดความเร็ว
ลม และอุปกรณ์วัดปริมาณน�้ำฝน ซึ่งเป็นอีกเทคโนโลยี
ที่ช่วยบริหารจัดการแปลงปลูก
“เกษตรกรให้ความสนใจการให้น�้ำด้วย
เทคโนโลยี IoT สอบถามการใช้งาน การลงทุนติด
ตั้ง แต่เกษตรกรชาวสวนล�ำไยต้องเข้าใจเรื่องระบบ
น�้ำและการให้น�้ำแบบสปริงเกอร์ ซึ่งเป็นเรื่องพื้น
ฐานที่ส�ำคัญก่อนขยับไปใช้เทคโนโลยี IoT”
Smart IoT
สวทช. และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ลงนามความร่วมมือ “การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี
เกษตรและเกษตรอัจฉริยะ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน” โดยมีแผนทดสอบและขยายผล
เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะในฟาร์มเปิดและการผลิตในระบบโรงเรือน
24
- 26. หอมขจรฟาร์ม: แปลงสาธิตเกษตร
ปลอดภัยอัจฉริยะ
“การท�ำอาหารให้ได้คุณภาพ วัตถุดิบเป็นสิ่งส�ำคัญ ซึ่งต้นทางวัตถุดิบมาจากการท�ำเกษตร
ที่ดี” มหาวิทยาลัยสวนดุสิตเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอัตลักษณ์อันโดดเด่นด้านอาหาร
มาเนิ่นนาน นับตั้งแต่ก่อตั้งเป็นโรงเรียนการเรือนจวบจนกระทั่งปัจจุบัน มหาวิทยาลัยได้ท�ำหน้าที่
สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอาหารออกสู่สังคมโดยค�ำนึงความอร่อย คุณค่าและความปลอดภัย
ของผู้บริโภคเป็นส�ำคัญ จากแนวคิดดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อน โครงการ
แปลงสาธิตเกษตรปลอดภัยอัจฉริยะ หรือ หอมขจรฟาร์ม บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ ที่วิทยาเขต
สุพรรณบุรี เพื่อด�ำเนินงานส่งเสริมคุณค่าห่วงโซ่การผลิตอาหารปลอดภัยจากต้นน�้ำไปถึง
ปลายน�้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการและชุมชน
“เราไม่ได้ต้องการท�ำเกษตรดั้งเดิม แต่จะน�ำ
เทคโนโลยีมาบูรณาการกับการเกษตรที่ดีและ
ความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปที่เป็นมาตรฐาน
ของมหาวิทยาลัย” รศ.ดร.ชนะศึก นิชานนท์
รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลัย
สวนดุสิต กล่าวถึงความตั้งใจของมหาวิทยาลัยต่อการ
ขับเคลื่อนโครงการแปลงสาธิตเกษตรปลอดภัย
อัจฉริยะ ที่ไม่ใช่แค่การด�ำเนินงานเพื่อยกระดับห่วงโซ่
คุณค่าด้านการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยเท่านั้น
หากยังบูรณาการการด�ำเนินงานของแปลงสาธิตเกษตร
ปลอดภัยอัจฉริยะเป็นฐานการสร้างประสบการณ์
เรียนรู้ให้บุคคลทุกช่วงวัย ทั้งนักเรียน นักศึกษา
คณาจารย์ เกษตรกร และผู้ประกอบการในจังหวัด
สุพรรณบุรี
รศ.ดร.ชนะศึก นิชานนท์
25
- 27. เฉลิมชัย แสงอรุณ ผู้จัดการแปลงสาธิตเกษตร
ปลอดภัยอัจฉริยะและผู้เชี่ยวชาญด้านพืชสวน เล่าว่า
ที่ผ่านมาหอมขจรฟาร์มได้ทดลองปลูกเมล่อนมาแล้ว
จ�ำนวน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ทิเบต พันธุ์กาเรีย และ
พันธุ์ออเร้นจ์แมน โดยปลูกในโรงเรือน 3 รูปแบบได้แก่
โรงเรือนอัจฉริยะ เป็นโรงเรือนที่มีระบบเซนเซอร์ส�ำหรับ
วัดความชื้นดิน อุณหภูมิ ความชื้นอากาศ และความเข้มแสง
มีระบบสเปรย์หมอก สามารถควบคุมการให้น�้ำหรือลด
อุณหภูมิภายในโรงเรือนได้ผ่านทางมือถือได้ โรงเรือนกึ่ง
อัตโนมัติเป็นโรงเรือนที่ควบคุมการให้น�้ำและปุ๋ยได้ผ่านมือถือ
แต่ไม่มีระบบสเปรย์หมอก และโรงเรือนที่ติดตั้งเฉพาะ
เซนเซอร์ เพื่อดูค่าสภาวะแวดล้อมแต่ไม่สามารถควบคุม
หรือสั่งงานได้
“ระบบในโรงเรือนอัจฉริยะบริหารจัดการปัญหาได้
ดีพอสมควร ในหน้าหนาวไม่ค่อยเจอปัญหา แต่หน้า
ร้อนที่มีเพลี้ยไฟ ไรแดงระบาด สามารถใช้สเปรย์หมอก
ช่วยได้ รวมทั้งกรณีที่สังเกตเห็นเซนเซอร์อุณหภูมิเตือน
ว่าอากาศอบอ้าว ก็สามารถสั่งให้สเปรย์หมอกท�ำงาน
หรือสั่งให้พัดลมระบายอากาศท�ำงาน เพื่อสร้างสภาวะ
แวดล้อมให้เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่
อย่างไรก็ตามการท�ำเกษตร นอกจากจะมีอุปกรณ์หรือ
เทคโนโลยีช่วยแล้ว เกษตรกรต้องมีความรู้ในการดูแล
พืช แม้จะสามารถสั่งงานผ่านแอพได้ แต่ก็ควรต้องไป
คลุกคลีสังเกตในโรงเรือนอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน”
โรงเรือนเพาะปลูกพืชขนาด 6x20x5.6
เมตร จ�ำนวน 3 โรงเรือนตั้งเรียงตระหง่าน
บนพื้นที่หอมขจรฟาร์ม เป็นหนึ่งในเทคโนโลยี
ด้านการเกษตรที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง
สวทช. กับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยมี
เป้าหมายเพื่อ “พัฒนางานวิจัยและถ่ายทอด
องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ
นวัตกรรม เพื่อพัฒนาอาชีพและยกระดับ
คุณภาพชีวิตในชุมชน” ซึ่งทั้งสามโรงเรือน
ดังกล่าวมีความต่างเรื่องโครงสร้าง อุปกรณ์ ฟังก์ชั่น
การใช้งานและราคา ที่สามารถใช้ในการด�ำเนิน
การวิจัยและสาธิตการผลิตพืชมูลค่าสูงและเป็น
ตัวอย่างของโรงเรือนปลูกพืชให้แก่เกษตรกร
ในการเรียนรู้และประยุกต์ให้เหมาะกับตนเอง
แปลงสาธิตเกษตรปลอดภัย
อัจฉริยะ ไม่เพียงยกระดับ
ห่วงโซ่คุณค่าด้านการผลิต
สินค้าเกษตรปลอดภัย แต่ยัง
เป็นฐานสร้างประสบการณ์
เรียนรู้ให้บุคคลทุกช่วงวัย
เฉลิมชัย แสงอรุณ
Smart IoT
26
- 28. รศ.ดร.ชนะศึก และ เฉลิมชัย ได้วางแผนการปลูก
เมล่อนทั้ง 3 สายพันธุ์ ให้ครบทุกฤดูกาลในวงรอบ 1 ปี
เพื่อเรียนรู้ถึงสภาวะแวดล้อมและการจัดการเมล่อนใน
แต่ละช่วงฤดูได้อย่างเหมาะสม และรวบรวมองค์ความรู้
จากการผลิตเมล่อนในระบบโรงเรือนส่งต่อให้เกษตรกร
ได้น�ำไปปรับใช้ได้จริงในชุมชน นอกจากเมล่อนแล้วยังได้
วางแผนปลูกพืชมูลค่าสูงอื่นๆ ที่ต้องการดูแลพิเศษใน
โรงเรือน เช่น ไม้ดอก มะเขือเทศ
“โครงการแปลงสาธิตเกษตรปลอดภัยอัจฉริยะ
เป็นการท�ำงานในรูปแบบของเครือข่ายความร่วมมือ
ระหว่างมหาวิทยาลัยสวนดุสิตกับหน่วยงานต่างๆ
ที่เป็นพันธมิตรต่อกัน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้
และเทคโนโลยีตลอดห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตร
สู่ชุมชนโดยไม่หวังผลก�ำไร ยกตัวอย่างเช่น
โรงเรือนของ สวทช. ก็ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็น
ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต หากแต่ทั้ง
สวทช. และมหาวิทยาลัยสวนดุสิตมีเจตนารมณ์
ร่วมกันที่จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ส�ำหรับ
เกษตรกรซึ่งจะพัฒนาหลักสูตรจัดอบรมร่วมกันต่อไป”
รศ.ดร.ชนะศึก กล่าวทิ้งท้าย
รศ.ดร.ชนะศึก เล่าถึงผลผลิตเมล่อนที่ได้จาก
โรงเรือนปลูกพืชของสวทช.เมื่อบวกกับการวางแผน
การตลาดและความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูป
ของมหาวิทยาลัย จะเป็นตัวอย่างให้เกษตรกรได้
มองเห็นถึงการผลิตที่เน้นท�ำในปริมาณน้อย
แต่มีคุณภาพสามารถสร้างมูลค่าให้แก่ผลผลิตและ
สร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกรได้
“ผลผลิตเมล่อนจากทั้งสามโรงเรือนได้
รับรองมาตรฐาน GAP และจ�ำหน่ายภายใต้
แบรนด์หอมขจร ซึ่งเมล่อนเกรดพรีเมี่ยม
(น�้ำหนักเกิน 3 กก. ร้อยละ 85 ของผลผลิต)
จัดส่งขายที่ตลาด อตก. ราคาลูกละ 399 บาท
เกรด B วางขายที่ปั๊มปตท. จังหวัดสุพรรณบุรี
ราคาลูกละ 250 บาท (น�้ำหนัก 2-3 กก. ร้อยละ 10
ของผลผลิต) ส่วนเกรด C (น�้ำหนักต�่ำกว่า 2 กก.
ร้อยละ5ของผลผลิต)น�ำไปแปรรูปเป็นไอศกรีม
และเครื่องดื่มขายในโรงแรมสวนดุสิตเพลส
และเรายังน�ำผลอ่อนหรือลูกที่คัดทิ้งไปท�ำ
เมนูเมล่อนผัดไข่ ซึ่งกลายเป็น signature ของ
โรงแรมที่ถูกพูดถึง”
ผลผลิตเมล่อนที่ได้จาก
โรงเรือน สวทช. บวกกับ
การตลาด ความเชี่ยวชาญ
การแปรรูปของมหาวิทยาลัย
เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงการ
ผลิตที่เน้นท�ำปริมาณน้อย
แต่มีคุณภาพ
27
- 30. ‘เกษตรปลอดภัยเกษตรอินทรีย์’เป็นระบบการท�ำเกษตรที่ไม่เพียงสร้าง
ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ
20 ปี หากยังเป็นระบบการท�ำเกษตรที่เป็นมิตรต่อทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค
ทรัพยากรท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม
การเพิ่มศักยภาพกลุ่มผู้ผลิตข้าวแบบครบวงจรด้วยกระบวนการ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพื้นที่จังหวัดสงขลา การพัฒนาทักษะ
ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ การพัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ผู้ผลิต
ผักสดและเมล็ดพันธุ์ในชุมชน ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยี
โรงเรือนพลาสติกส�ำหรับการปลูกพืชผักและการบริหารจัดการแบบ
ครบวงจร เป็นโครงการส่วนหนึ่งที่สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและ
นวัตกรรมเกษตร(สท.)สวทช.ได้น�ำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรได้ตระหนัก ปรับเปลี่ยน และ
ยืนหยัดในการท�ำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ตามบริบทพื้นที่
ของตนเอง ซึ่งไม่เพียงได้ผลผลิตคุณภาพ สร้างสุขภาวะที่ดีให้เกษตรกร
สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้ครอบครัว คืนความสมบูรณ์ให้สิ่งแวดล้อม หาก
ยังน�ำไปสู่การอนุรักษ์พันธุ์พืชประจ�ำถิ่นที่จะเป็นคลังทรัพยากรชีวภาพ
ให้กับประเทศ
ปลูก “ปลอดภัย-อินทรีย์”
สร้างสมดุล
รักษ์ทรัพยากรชุมชน
29
- 33. แม้การท�ำนาไม่ใช่อาชีพหลักของคนใต้ แต่ภาคใต้กลับอุดมด้วย
สายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองกว่า 160 สายพันธุ์ ด้วยวิถีการท�ำนาที่ปลูก
เพื่อบริโภค เนื้อสัมผัสหรือรสชาติของข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่คุ้นเคย
จึงครองใจคนในพื้นที่ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ
และสังคม ท�ำให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวในภาคใต้ลดน้อยลง ความพยายาม
ในการรักษาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองและผลักดันให้ข้าวพื้นเมืองเป็นที่นิยม
มากขึ้น กลายเป็นโจทย์ของชาวนาใต้ในหลายพื้นที่
เสริมแกร่งชาวนาใต้
ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี
รักษ์ ‘ข้าวพันธุ์พื้นเมือง’
เกษตรอินทรีย์
32
- 35. “แต่ก่อนเก็บเมล็ดพันธุ์เป็นรวงแล้ววางเรียง
ถึงหน้าหว่านก็นวดๆ แล้วไปหว่านเลย ไม่ได้
เลือกรวง พอมาร่วมโครงการกับ สท. ก็ได้
ความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการคัดเมล็ด
ถ้าคัดรวงดี รวงโต ไม่มีโรค ผลผลิตที่ออกมา
จะดีเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยรู้ชอบและเห็นจริง
จากผลผลิตที่ออกมา”
วิถีการปลูกข้าวอาศัยประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น
แม้มีหน่วยงานมาให้ความรู้การท�ำนาต้นเดียว
แต่ชาวบ้านไม่นิยมท�ำ จนได้มาร่วมโครงการกับ สท./
สวทช. ซึ่งมี ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา นักวิจัยอิสระ
และดร.ภัทรพร ภักดีฉนวน มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา
เป็นผู้ให้ความรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี โดยการ
เพาะกล้าแบบวางรวงและปักด�ำแบบรวงต่อแถว ปักด�ำ
กล้าต้นเดียวร่วมกับการตรวจตัดพันธุ์ปนอย่างสม�่ำเสมอ
ทั้ง5ระยะ(ระยะกล้าระยะแตกกอระยะออกดอกระยะ
โน้มรวง และระยะสุกแก่) และปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์
(ท�ำความสะอาดและลดความชื้น) สามารถยกระดับ
คุณภาพเมล็ดพันธุ์ให้ดีขึ้นได้
“วชช.สงขลา เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกข้าวพันธุ์ช่อขิง
เพื่อให้เป็นข้าวสุขภาพและปลูกข้าวเป็นการค้า ซึ่งข้าว
ช่อขิงมีวิตามินอีสูงกว่าข้าวพื้นเมืองอื่นที่เรียกว่าช่อขิง
เพราะลักษณะรวงเป็นแง่ง คล้ายขิง” กะย๊ะ เล่าถึงที่มา
ของการปลูกข้าวพันธุ์ช่อขิงในพื้นที่บ้านกระอานซึ่งผลผลิต
ช่วงแรกส่งจ�ำหน่ายที่กรุงเทพฯปัจจุบันกลุ่มฯหาตลาดและ
จ�ำหน่ายเอง
ข้าวช่อขิง เป็นข้าวสีม่วงแดงคล้ายข้าวสังข์หยด มีกลิ่น
หอมเป็นลักษณะเฉพาะตัวมีความนุ่มเหนียวปลูกง่ายและ
ทนต่อสภาพแวดล้อม
เกษตรอินทรีย์
เพาะกล้าแบบวางรวง
แล้วด�ำต้นเดียว
ได้รวงข้าวสวย
เมล็ดเป่ง เป็นลูกคุณหนู
ท�ำแบบหว่าน
มันดูกระด้างๆ
34