Mais conteúdo relacionado
ชีพจร
- 1. ชีพจร
ชีพจรเป็ นแรงสะเทือนของกระแสเลือด ซึงเกิดจากการบีบตัวของหัวใจห้องล่างด้านซ้าย ทําให้ผนัง
ของหลอดเลือดแดงขยายออกเป็ นจังหวะ เป็ นผลให้สามารถจับชีพจรได้ตลอดเวลา
ปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อชีพจร
- อายุ เมืออายุเพิ มขึนอัตราการเต้นของชีพจรจะลดลง ในผูใหญ่อตราการเต้นของชีพจร 60-100 (เฉลีย
้ ั
80 b/m)
- เพศ หลังวัยรุ่ น ค่าเฉลียของอัตราการเต้นของชีพจรของผูชายจะตํากว่าหญิงเล็กน้อย
้
- การออกกําลังกาย อัตราการเต้นของชีพจรจะเพิ มขึนเมือออกกําลังกาย
- ไข้ อัตราการเต้นของชีพจรเพิ มขึน เพือปรับตัวให้เข้ากับความดันเลือดทีตําลง ซึงเป็ นผลมาจากเส้น
เลือดส่วนปลายขยายตัวทําให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึน (เพิ ม metabolic rate)
- ยา ยาบางชนิด ลดอัตราการเต้นของชีพจร เช่น ยาโรคหัวใจ เช่น digitalis ลดอัตราการเต้นของชีพจร
(กระตุน parasympathetic)
้
- Hemorrhage การสูญเสียเลือดจะมีผลทําให้เพิ มการกระตุนระบบประสาทซิมพาธิติค ทําให้อตราการ
้ ั
เต้นของชีพจรสูงขึน, ในผูใหญ่มีเลือดประมาณ 5 ลิตร การสูญเสียเลือดไป <10% จึงจะปราศจากผลข้างเคียง
้
- ความเครียด เมือเครี ยดจะกระตุน sympathetic nervous เพิ ม การเต้นของชีพจร ความกลัว, ความวิตก
้
กังวล และอาการเจ็บปวด กระตุนระบบประสาทซิมพาธิติค
้
- ท่ าทาง เมืออยูในท่ายืนหรื อนังชีพจรจะเต้นเพิ มขึน (เร็ วขึน) ท่านอนชีพจรจะลดลง (ช้า)
่
กลไกการควบคุมชีพจร
อัตราการเต้นของชีพจรขึนอยูกบระบบประสาทอัตโนมัติ 2 ส่วน คือ
่ ั
1. parasympathetic nervous system ถูกกระตุน อัตราการเต้นของชีพจรลดลง
้
2. sympathetic nervous system ถูกกระตุน เพิ มอัตราการเต้นของชีพจร
้
สิ งทีต้องสังเกตในการจับชีพจร
1. อัตราการเต้นของชีพจร จํานวนครังของความรู้สึกทีได้จากคลืนบนเส้นเลือดแดงกระทบนิ วหรื อการฟัง
ที apex ของหัวใจในเวลา 1 นาที หน่วยเป็ นครังต่อวินาที (bpm)
1.1 อัตราการเต้นของชีพจรปกติอยูในช่วง
่
ทารกแรกเกิด ถึง 1 เดือน ประมาณ 120-160 bpm
1-12 เดือน ประมาณ 80 – 140 bpm
12-2 ปี ประมาณ 80 – 130 bpm
- 2. 2 – 6 ปี ประมาณ 75 – 120 bpm
6 – 12 ปี ประมาณ 75 – 110 bpm
วัยรุ่ น-วัยผูใหญ่
้ ประมาณ 60 – 100 bpm
1.2 ภาวะอัตราการเต้นของชีพจรผิดปกติ
Tachycardia: ภาวะทีอัตราการเต้นของหัวใจในผูใหญ่มากกว่า 100 b/m
้
Bradycardia: ภาวะทีอัตราการเต้นของหัวใจในผูใหญ่นอยกว่า 60 b/m
้ ้
2. จังหวะชีพจร (pulse rhythm)
จังหวะและช่วงพักของชีพจร ชีพจรจะเต้นเป็ นจังหวะ และมีช่วงพักระหว่างจังหวะ
2.1 จังหวะของชีพจรปกติ จะมีช่วงพักระหว่างจังหวะ เท่ากัน เรี ยกว่า ชีพจรสมําเสมอ (pulse
regularis)
2.2 จังหวะของชีพจรผิดปกติ (dysrhythmias , arrhythmia, irregular)
ชีพจรทีเต้นไม่เป็ นจังหวะแต่ละช่วงพักไม่สมําเสมอ เรี ยกว่า ชีพจรไม่สมําเสมอ หรื ออาจจะมีจงหวะการเต้น
ั
สมําเสมอสลับกับไม่สมําเสมอ
ถ้าพบว่า Pt มีจงหวะของชีพจรไม่ สมําเสมอ
ั
ประเมิน apical pulse 1 นาที
ประเมิน apical - radial pulse เพือประเมินชีพจรทีผิดปกติ
electrocardiogram (EKG)
3. ปริ มาตรแรงชีพจร (Pulse volume)
ขึนอยูกบความแรงของเลือดในการกระทบ ชีพจรปกติรู้สึกได้ดวยการกดนิ วลงตรงบริ เวณทีจะวัดด้วยแรง
่ ั ้
พอประมาณแต่ถา กดแรงมากเกินไปจะไม่ได้รับความรู้สึก ถ้าแรงดันเลือดดี ชีพจรจะแรง แรงดันเลือดอ่อน
้
ชีพจรจะเบา
ปริ มาตรของชีพจร วัดเป็ นระดับ 0 ถึง 4
ระดับ 0 ไม่มีชีพจร คลําชีพจรไม่ได้
ระดับ 1 (thready) คลําชีพจรยาก
ระดับ 2 weak ชีพจรแรงกว่า threedy pulse คลําชีพจรยาก
ระดับ 3 ปกติ
ระดับ 4 bounding pulse ชีพจรเต้นแรง
หรื ออาจมี 0 ถึง 3 scale
- 3. ความยืดหยุ่นของผนังของหลอดเลือด
ปกติผนังหลอดเลือดจะตรงและเรี ยบมีความยืดหยุนดี ในผูสูงอายุผนังหลอดเลือดแดงมีความ ยืดหยุนน้อย
่ ้ ่
ขรุ ขระ และไม่สมําเสมอ
วิธีประเมินชีพจร
peripheral
- ใช้นิ วชี กลาง นาง วางตรงตําแหน่งเส้นเลือดแดง กดแรงพอประมาณ ให้ความรู้สึกของการขยายและ
หดตัวของผนังหลอดเลือดได้ ไม่ใช้นิ วหัวแม่มือสัมผัส เพราะ หลอดเลือดทีนิ วหัวแม่มือเต้นแรง อาจทําให้
สับสนกับชีพจรของตนเองได้
apical
- ฟังด้วยหูฟัง (stethoscope)
- ใช้ doppler ultrasound
- electrocardiogram (EKG)
ตําแหน่งชีพจร
1. peripheral
1.1 Temporal เส้นเลือดเท็มพอรัสทอดผ่านเหนือกระดูก เท็มพอรัลของศีรษะ
1.2 Carotid อยูดานข้างของคอ คลําได้ชดเจนจุดบริ เวณมุมขากรรไกรล่าง
่ ้ ั
1.3 Brachial อยูดานในของกล้ามเนือ biceps ของแขน
่ ้
1.4 Radial อยูขอมือด้านในบริ เวณกระดูกปลายแขนด้านนอกหรื อด้านหัวแม่มือ เป็ นตําแหน่งที
่ ้
นิยมจับชีพจรมากทีสุด เพราะเป็ นทีทีจับได้ง่ายและไม่รบกวนผูป่วย
้
1.5 Femoral อยูบริ เวณขาหนีบ
่
1.6 Popliteal อยูบริ เวณข้อพับเข่า อยูตรงกลางข้อพับเข่า, หาค่อนข้างยาก แต่ถางอเข่าก็สามารถคลํา
่ ่ ้
ได้ง่ายขึน
1.7 Posterior tibial อยูบริ เวณหลังปุ่ มกระดูกข้อเท้าด้านใน
่
1.8 Dorsalis pedis อยูบริ เวณหลังเท้าให้ดูตามแนวกลางตังแต่หวเข่าลงไป ชีพจรทีจับได้จะอยูกลาง
่ ั ่
หลังเท้าระหว่างนิ วหัวแม่เท้ากับนิ วชี
2. Apical pulse
ฟังทียอดหัวใจ (Apex) ในผูใหญ่จะอยูที 5th intercostal space, left mid clavicular line
้ ่
- 4. ข้อควรจําในการวัดชีพจร
1. ไม่ใช้นิ วหัวแม่มือคลําชีพจร เพราะหลอดเลือดทีนิ วหัวแม่มือเต้นแรงอาจทําให้สบสนกับชีพจรของ
ั
ตนเอง
2. ไม่ควรวัดชีพจรหลังผูป่วยมีกิจกรรม ควรให้พก 5-10 นาที
้ ั
3. อธิบายผูป่วยว่าไม่ควรพูดขณะวัดชีพจร เพราะจะรบกวนการได้ยนเสียงชีพจรและอาจทําให้สบสน
้ ิ ั
- 5. ภาวะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น
ภาวะหยุดหายใจ (respiratory arrest) และภาวะหัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest) - เป็ นภาวะทีมีการหยุด
การทํางานของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจและการไหลเวียน เลือด ส่วนมากมักจะพบว่ามีการหยุดหายใจ
ก่อนเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น และ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือทีถูกต้อง จะทําให้เสียชีวิตได้
สาเหตุของการหยุดหายใจ
- ทางเดินหายใจอุดตันจากสาเหตุต่างๆ เช่น จากสิ งแปลกปลอมอุดกันทางเดินหายใจ การแขวนคอ
การถูกบีบรัดคอ การรัดคอ เป็ นต้น ในเด็กเล็กสาเหตุจากการหยุดหายใจทีพบได้มากทีสุดคือ การสําลักสิ ง
แปลกปลอมเข้าหลอดลม เช่น ของเล่นชิ นเล็ก ๆ เมล็ดถัว เป็ นต้น
- มีการสูดดมสารพิษ แก็สพิษ ควันพิษ
- การถูกกระแสไฟฟ้ าแรงสูงดูด
- การจมนํา
- การบาดเจ็บทีทรวงอก ทําให้ทางเดินหายใจได้รับอันตรายและเนือเยือได้รับบาดเจ็บ
- โรคระบบประสาท เช่น บาดทะยัก ไขสันหลังอักเสบ ทําให้กล้ามเนือหายใจเป็ นอัมพาต
- การได้รับสารพิษจากแมลงสัตว์กดต่อย เช่น ผึง ต่อ แตน ต่อยบริ เวณคอ หน้า ทําให้มีการบวมของ
ั
เนือเยือของทางเดินหายใจและหลอดลมมีการหดเกร็ ง
- การได้รับยากดศูนย์ควบคุมการหายใจ เช่น มอร์ฟีน ฝิ น โคเคน บาร์บิทเู รต ฯลฯ
- โรคหัวใจ เช่น กล้ามเนือหัวใจขาดเลือดไปเลียงอย่างเฉียบพลัน
- มีการติดเชือของระบบทางเดินหายใจ และมีภาวะหายใจวายจากสาเหตุต่างๆ
สาเหตุของหัวใจหยุดเต้น
- หัวใจวายจากโรคหัวใจ จากการออกกําลังกายมากเกินปกติ หรื อตกใจหรื อเสียใจกระทันหัน
- มีภาวะช็อคเกิดขึนอย่างเฉียบพลัน จากการสูญเสียเลือดมาก ทําให้กล้ามเนือหัวใจขาดเลือด หรื อมี
เลือดมาเลียงไม่เพียงพอ
- ทางเดินหายใจอุดกัน ทําให้กล้ามเนือหัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
- การได้รับยาเกินขนาดหรื อการแพ้
ข้ อบ่งชีในการปฏิบัตการช่ วยฟื นคืนชีพ
ิ
1.ผู้ ทีมีภาวะหยุดหายใจ โดยทีหัวใจยังคงเต้นอยูประมาณ 2-3 นาที ให้ผายปอดทันที จะช่วยป้ องกัน
่
ภาวะหัวใจหยุดเต้นได้ และช่วยป้ องกันการเกิดภาวะเนือเยือสมองขาดออกซิเจนอย่างถาวร
- 6. 2.ผู้ ทีมีภาวะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นพร้อมกัน ซึงเรี ยกว่า clinical death การช่วยฟื นคืนชีพทันทีจะ
ช่วยป้ องกันการเกิด biological death คือ เนือเยือโดยเฉพาะเนือเยือสมองขาดออกซิเจน ระยะ เวลาของการ
เกิด biological death หลังจาก clinical death ยังไม่มีใครทราบแน่ชด แต่โดยทัวไป มักจะเกิดช่วง 4-6 นาที
ั
หลังเกิด clinical death ดังนันการปฏิบติการช่วยฟื นคืนชีพจึงควรทําภายใน 4 นาที
ั
ขันตอนการช่ วยฟื นคืนชีพขันพืนฐาน (CPR)
หมายถึง การปฏิบติเพือช่วยชีวิตคนหัวใจหยุดเต้นหรื อ คนทีหยุดหายใจอย่างกะทันหันโดยไม่ตอง
ั ้
ใช้เครื องมือทางการแพทย์แต่อย่างไร แต่เพียงใช้แรงมือกดทีหน้าอก และเป่ าลมเข้าปากผูป่วย ก็สามารถ
้
ทําให้หวใจทีหยุดเต้น สามารถกลับมาเต้นใหม่ได้ เลือดไปเลียงสมองได้ ทําให้เราสามารถช่วยชีวิตคนทีเรา
ั
รักหรื อคนทีเราพบเห็นได้
1. ตรวจดูระดับความรู้สึกตัว ให้เรี ยกหรื อเขย่าตัวผูป่วย ขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉินโทร.1669
้
2. จัดให้ ผ้ป่วยนอนหงาย คุกเข่าข้างตัวผูป่วยใช้มือหนึงประคองศีรษะ อีกมือหนึงอ้อมรักแร้มาทีไหล่ พลิก
ู ้
ผูป่วยนอนหงาย
้
3. เปิ ดทางเดินหายใจ ใช้มือกดหน้าผาก อีกมือหนึงดันคางให้หน้าแหงนขึน ถ้ามีสิ งขัดขวางทางเดินหายใจ
เช่น เศษอาหาร หรื อ สิ งแปลกปลอมอยูในปากให้ใช้มือล้วงออกเพือทําให้ทางเดินหายใจโล่ง
่
- 7. 4. ตรวจดูการหายใจ มองไปทางปลายเท้าผูป่วยให้หูชิดกับปากผูป่วย เพือฟังเสียงหายใจ แก้มสัมผัสลม
้ ้
หายใจ ตาดูการเคลือนไหวของทรวงอก ประเมินว่า ผูป่วยหายใจได้เองหรื อเปล่า ถ้าผูป่วยหายใจเองได้จดให้
้ ้ ั
นอนตะแคงกึงควําเพือพัก
5. ช่ วยหายใจด้ วยการเป่ าปาก ถ้าผูป่วยไม่หายใจให้เป่ าปาก โดยใช้นิ วหัวแม่มือและนิ วชีของมือทีอยูเ่ หนือ
้
ศีรษะ บีบจมูกให้แน่น ฝ่ ามือกดหน้าผากให้หน้าแหงนขึน นิ วชีและนิ วกลางของมืออีกข้างเชยคางผูป่วยขึน้
ผูช่วยเหลือสูดหายใจเข้าเต็มทีประกบปากกับผูป่วยให้สนิท แล้วเป่ าลมเข้าปากผูป่วยช้าๆ แต่แรง ประมาณ
้ ้ ้
10-12 ครังใน 1 นาที สังเกตดูว่าขณะทีเป่ าลมเข้า หน้าอกของผูป่วยจะกระเพือมขึน
้
6. ตรวจชีพจรในเวลา 5-10 นาที วางนิ วชีและนิ วกลางบนหลอดลมของผูป่วยแล้วเลือนลงไปด้านข้าง
้
ระหว่างหลอดลมกับกล้ามเนือคอ คลําการเต้นของชีพจรเส้นเลือดใหญ่ทีคอ พร้อมสังเกตการหายใจของ
ผูป่วย
้
- 8. - ถ้าคลําชีพจรได้ แต่ไม่หายใจ ให้ช่วยหายใจด้วยการเป่ าปากทุก 5 วินาที โดยนับหนึง...และสอง...
และสาม...และสี...และห้า... เป่ าปาก 1 ครัง (10-20 ครัง ใน 1 นาที)
- ถ้าคลําชีพจรไม่ได้หรื อหัวใจหยุดเต้น ให้ช่วยกดหน้าอก
7. การกดหน้ าอก คุกเข่าข้างตัวผูป่วย วางนิ วชีและนิ วกลาง(มือขวา) บริ เวณปลายกระดูกหน้าอก วางฝ่ ามือ
้
ซ้ายต่อจากนิ วชีบนกระดูกหน้าอก เอามือขวาทับมือซ้าย
วิธีกดหน้ าอก
ผูช่วยเหลือเหยียดแขนตรง โน้มตัวตังฉากกับหน้าอก ทิ งนําหนักลงบนแขนออกแรงกดทีฝ่ ามือให้
้
หน้าอกยุบลงประมาณ 1.5-2 นิ ว กดหน้าอกสมําเสมอ 15 ครัง ใน 10 วินาที โดยนับหนึง...และสอง...และสาม
...และสี...จนครบ 15 ครัง สลับกับเป่ าปาก 2 ครัง นับเป็ น 1 รอบ ทํา 4 รอบใน 1 นาที (อัตราประมาณ 80 ครัง
ใน 1 นาที)
สําหรับผูช่วยเหลือ 2 คน คนหนึงกดหน้าอก 5 ครัง สลับกับคนทีสองเป่ าปาก 1 ครัง (อัตราประมาณ 60
้
ครังใน 1 นาที)
- 9. 8. ตรวจชีพจรและหายใจซํา ทุก 3-4 นาที และให้การช่วยเหลือ
ถ้ าไม่มชีพจรและไม่หายใจ
ี
- ผูช่วยเหลือ 1 คน กดหน้าอก 15 ครัง
้ รอจนกว่ามีคนมาช่วยหรื อหน่วยแพทย์
เป่ าปาก 2 ครัง ทํา 4 รอบ ใน 1 นาที ฉุกเฉินมาถึง
- ผูช่วยเหลือ 2 คน กดหน้าอก 5 ครัง
้
เป่ าปาก 1 ครัง
- ตรวจชีพจรและการหายใจซําทุก
3-4 นาที
ถ้ ามีชีพจรและไม่หายใจ
- ช่วยเป่ าปาก 15 ครัง ใน 1 นาที รอจนกว่ามีคนมาช่วยหรื อหน่วยแพทย์
- ตรวจชีพจรและการหายใจซําทุก ฉุกเฉินมาถึง
3-4 นาที
ถ้ ามีชีพจรและหายใจได้ เอง
- เฝ้ าดูอาการอย่างใกล้ชิด รอจนกว่ามีคนมาช่วยหรื อหน่วยแพทย์
- ตรวจชีพจรและการหายใจซําทุก ฉุกเฉินมาถึง
3-4 นาที
ผู้ป่วยกระดูกหัก
กระดูกหัก (fracture) หมายความถึงกระดูกแยกออกจากกัน ก่อให้เกิดความเจ็บปวด บวม เคลือนไหว
ไม่ได้หรื อเคลือนไหวผิดปกติ เนืองจากอุบติเหตุ เช่น ถูกรถชน หกล้ม ตกจากทีสูง หรื อกระดูกเป็ นโรคไม่
ั
แข็งแรงอยูแล้ว กระดูกเปราะเมือถูกแรงกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยก็อาจหักได้
่
ประเภทของกระดูกหัก
๑. กระดูกหักแบบสามัญ (simple fracture) หมายถึง กระดูกหักแล้วไม่ปรากฏแผลให้เห็นบนผิวหนัง
๒. กระดูกหักแผลเปิ ด (compound fracture) หมายถึง กระดูกทีหักทิ มแทงผิวหนังออกมาภายนอก
๓. กระดูกหักแตกย่อย (comminuted fracture) หมายถึง ชิ นส่วนของกระดูกทีหักปรากฏออกมา
มากกว่า ๒ ชิ นขึนไป
- 10. อาการของกระดูกหัก มีดงนีั
๑. มีความเจ็บปวดบริ เวณทีมีกระดูกหัก
๒. มีอาการบวมรอบๆ บริ เวณทีกระดูกหัก
๓. รู ปร่ างของแขนขาหรื อหัวไหล่อาจเปลียนแปลงไปจากรู ปร่ างปกติ
๔. บริ เวณนันเคลือนไหวไม่ได้ หรื อเคลือนไหวแล้วจะเจ็บปวดมาก
๕. อาจได้ยนเสียงกระดูกหักเมือประสบอุบติเหตุบาดเจ็บ
ิ ั
๖. หากกดเบาๆ ลงบนกระดูกบริ เวณทีหัก อาจได้ยนเสียงกรอบแกรบ
ิ
การปฐมพยาบาลผู้ป่วยกระดูกหัก
วิธีปฏิบติ
ั
การปฐมพยาบาลทีดีทีสุด คือ ให้ผป่วยนอนอยูกบทีห้ามเคลือนย้ายโดยไม่จาเป็ น เพราะหากทําผิดวิธี
ู้ ่ ั ํ
อาจบาดเจ็บมากขึน ถ้าผูป่วยมีเลือดออกให้หามเลือดไว้ก่อน หากมีอาการช็อกให้รักษาช็อกไปก่อน ถ้า
้ ้
จําเป็ นต้องเคลือนย้ายผูป่วย
้
ให้เข้าเฝื อกชัวคราว ณ ทีผูป่วยนอนอยู่ ถ้าบาดแผลเปิ ด ให้หามเลือดและปิ ดแผลไว้ชวคราวก่อนเข้าเฝื อก สิ งที
้ ้ ั
ควรระวังมากทีสุดคือกระดูกสันหลังหักหรื อกระดูกต้นคอหัก ถ้าเคลือนย้ายผิดวิธี อาจทําให้ผป่วยพิการ
ู้
ตลอดชีวิต หรื อถึงแก่ชีวิตได้ทนทีขณะเคลือนย้าย
ั
การเข้าเฝื อกชัวคราว เป็ นวิธีการบังคับให้กระดูกส่วนทีหักได้อยูนิ งไม่เคลือนไหว เพือลดความ
่
เจ็บปวดและป้ องกันมิให้เกิดความพิการเพิ มขึน มีหลักอยูว่าหากหาสิ งทีใกล้มือเพือเข้าเฝื อกไม่ได้ ให้มดส่วน
่ ั
ทีกระดูกหักไว้ ไม่ให้เคลือนไหว เช่นกระดูกขาข้างหนึงหัก ก็ให้มดขาข้างทีหักให้ชิดแน่นกับขาข้างดี หาก
ั
กระดูกแขนหัก หรื อกระดูกไหปลาร้าหักก็มดแขนข้างนันให้อยูแน่นติดกับลําตัว เรี ยกว่า "เข้าเฝื อก
ั ่
ธรรมชาติ"
สิ งทีอยูใกล้มือพอให้เป็ นเฝื อกได้คือ แผ่นกระดานท่อนไม้ กิ งไม้ ไม้บรรทัด หมอน ผ้าห่ม ผ้าขาวม้า
่
ด้ามร่ ม ม้วนกระดาษหนังสือพิมพ์ ใช้ได้ดีคือแผ่นไม้ ทีเหมาะควรยาวเกินกว่าข้อต่อ (joints) ซึงอยูส่วนบน
่
และส่วนล่างของกระดูกทีหักและควรมีสิ งนุ่มๆ รองรับผิวหนังของอวัยวะส่วนนันอยูเ่ สมอควรใช้ไม้ ๒ แผ่น
ขนาบสองข้างของส่วนทีหักแล้วมัดด้วยผ้าหรื อเชือกให้แน่นพอควร
หากไม่แน่ใจว่ากระดูกหักจริ งหรื อไม่ ให้ปฏิบติตามวิธีกระดูกหักไว้ก่อนเพือความปลอดภัย
ั
- 11. กระดูกสันหลังหัก
สมอง ไขสันหลัง และส่วนต้นๆ ของเส้นประสาทใหญ่ๆ อยูภายในกะโหลกศีรษะและกระดูกสันหลัง
่
เมือได้รับบาดเจ็บอย่างหนึงอย่างใดต่อกะโหลกศีรษะ และกระดูกสันหลัง ย่อมกระทบกระเทือนต่อสมอง
และไขสันหลังไปด้วย
อาการ
เมือกระดูกสันหลังหัก หรื อแม้แต่ขอต่อกระดูกสันหลังเคลือน ไขสันหลังจะถูกกดหรื อถูกตัดขาด เป็ น
้
ผลทําให้เกิดอัมพาตและหมดความรู้สึกของเส้นประสาทต่างๆ ทีอยูตากว่าระดับไขสันหลังทีได้รับอันตราย
่ ํ
ลงมา ถ้ากระดูกสันหลังหักทีคอ แขนและขาของผูป่วยจะเป็ นอัมพาตและหมดความรู้สึก ชาไปทังตัว ยกเว้น
้
ศีรษะเท่านัน ผูป่วยอาจหยุดหายใจ เพราะกล้ามเนือทรวงอกและกะบังลมหยุดทํางานเพราะเป็ นอัมพาต ถ้า
้
กระดูกสันหลังหักทีหลัง ขาทังสองข้างของผูป่วยจะชาและเป็ นอัมพาต
้
- 12. การช่ วยเหลือผู้ป่วยกระดูกสันหลังหักทีคอ
ให้ผป่วยนอนรอบโดยมีศีรษะอยูนิ งและจัดให้เป็ นแนวตรงกับลําตัวโดยใช้หมอน หรื อของแข็งๆ
ู้ ่
ขนาบศีรษะข้างหูทงสองด้าน ถ้าผูป่วยประสบเหตุขณะขับรถยนต์อยู่ ก่อนเคลือนย้ายผูป่วยทีกระดูกสันหลัง
ั ้ ้
ส่วนคอหักออกจากทีนังในรถ ผูช่วยเหลือควรให้ผป่วยนังพิงแผ่นไม้กระดานทีมีระดับสูงจากสะโพกขึนไป
้ ู้
จนเหนือศีรษะ ใช้เชือก หรื อผ้ามัดศีรษะและลําตัวของผูป่วยให้ติดแน่นกับแผ่นไม้ไม่ให้ขยับเขยือน เป็ น
้
เปลาะๆ แล้วจึงเคลือนย้ายผูป่วยออกมา
้
ถ้าผูป่วยหยุดหายใจ ผูช่วยเหลือควรรี บผายปอดด้วยวิธีเป่ าลมเข้าปาก หากต้องเคลือนย้ายผูป่วย เช่น
้ ้ ้
นําส่งโรงพยาบาลควรหาผูช่วยเหลืออย่างน้อย ๔ คน ให้ผช่วยเหลือยกผูป่วยขึนจากพืนพร้อมๆ กัน ให้ศีรษะ
้ ู้ ้
และลําตัวเป็ นแนวตรง ไม่ให้คองอเป็ นอันขาด แล้วจึงวางผูป่วยลงบนแผ่นกระดาน หรื อเปลพยาบาลต่อไป
้
การช่ วยเหลือผู้ป่วยกระดูกสันหลังหักทีหลัง
ให้ผป่วยนอนราบอยูบนพืน ไม่ให้เคลือนไหว หาผูช่วยเหลือ ๓-๔ คน และแผ่นกระดานขนาดยาวเท่า
ู้ ่ ้
ผูป่วย เช่น บานประตู หรื อเปลพยาบาล ค่อยๆ เคลือนตัวผูป่วยในท่าแนวตรงทังศีรษะและลําตัว ไม่ให้หลังงอ
้ ้
เป็ นอันขาด วางผูป่วยลงบนไม้กระดานหรื อบนเปลพยาบาล ใช้ผารัดตัวผูป่วยให้ติดกับแผ่นกระดานเป็ น
้ ้ ้
เปลาะๆ ไม่ให้เคลือนไปมาแล้วจึงนําส่งแพทย์
- 13. การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ
การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ
การ ปฐมพยาบาล คือ การช่วยเหลือขันต้นแก่ผบาดเจ็บจากอุบติเหตุหรื อการล้มป่ วยอย่างกะทันหัน ปัจจุบน
ู้ ั ั
ทันด่วน โดยการใช้สิ งต่างๆเท่าทีจะหาได้ในขณะนันเพือให้ผบาดเจ็บรอดชีวิตอยู่ ได้ หรื อยังมีอาการเดิมไม่
ู้
ทรุ ดลงหรื อหายป่ วยหรื อทุเลาได้เร็ วขึน แล้วรี บนําส่งสถานพยาบาลทีมีอุปกรณ์ เครื องมือและบุคลากรที
สามารถให้การรักษาทีดีต่อไป ความรู้เรื องการปฐมพยาบาลจึงเป็ นสิ งทีสําคัญทีทุกคนจําเป็ นต้องรู้เพือนํา ไป
ช่วยเหลือผูอืนได้อย่างถูกต้อง เพือประโยชน์ดงทีกล่าวไปแล้ว
้ ั
หลักในการปฐมพยาบาล
เนือง จากอุบติเหตุมกทําให้เกิดการบาดเจ็บได้ในหลายอวัยวะ ซึงมีความรุ นแรงและอันตรายต่างกัน หัวใจ
ั ั
สําคัญของการปฐมพยาบาลคือการเรี ยงลําดับความสําคัญของอวัยวะทีได้รับบาด เจ็บเพือให้การปฐมพยาบาล
ในการบาดเจ็บทีรุ นแรงก่อน ดังนี
1. การช่วยเหลือด่วนทีสุด เป็ นการช่วยเหลือเพือให้มีชีวิตรอดหรื อเพือรักษาชีวต
ิ
- การช่วยหายใจ
- การช่วยนวดหัวใจ
- การช่วยห้ามเลือดจากบาดแผลภายนอก
2. การช่วยเหลือด่วน เป็ นการช่วยเหลือเพือป้ องกันความพิการต่ออวัยวะต่างๆ ลดความรุ นแรงของการ
บาดเจ็บทีเกิดขึน
-การปกปิ ดแผลด้วยผ้าสะอาด
-การเข้าเฝื อกชัวคราว ( Emergency splints )
-การจัดท่าให้เหมาะสมก่อนเคลือนย้ายผูป่วย้
3. การช่วยเหลือรอง เป็ นการเคลือนย้ายผูบาดเจ็บส่งสถานพยาบาลและการแจ้งข่าว
้
ข้อควรปฏิบติสาหรับผูปฐมพยาบาล
ั ํ ้
1. ต้องควบคุมสติอารมณ์ให้สงบ
2. ต้องให้กาลังใจแก่ผบาดเจ็บทีรู้สึกตัวอยู่
ํ ู้
3. ต้องตรวจตราสิ งต่างๆต่อไปนี
- ความปลอดภัยของผูบาดเจ็บและการเข้าไปช่วยเหลือ
้
- การหายใจ การตกเลือดและระดับความรู้สติของผูบาดเจ็บ
้
4. ต้องขอความช่วยเหลือต่างๆ
การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บทีช็อก
ผูบาดเจ็บทีช็อกเกิดได้หลายสาเหตุแต่ส่วนใหญ่มกเกิดจากการเสียเลือด การปฐมพยาบาลควรทําดังนี
้ ั
- 14. 1. ห้ามเลือดจากบาดแผลภายนอก
2. จัดท่าให้ผบาดเจ็บนอนราบ หัวตํา ยกขาขึนสูงกว่าลําตัว
ู้
3. รี บนําผูบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลให้เร็ วทีสุด
้
การปฐมพยาบาลบาดแผลภายนอก
บาดแผลภายนอก จะเห็นได้ชด การปฐมพยาบาลจะไม่ยงยากมากนัก โดยมีจุดประสงค์ ดังนี
ั ุ่
1. เพือทําให้บาดแผลสะอาด โดยการล้างด้วยนําสะอาดจํานวนมากๆแล้วใช้ผาสะอาดปิ ดและพันไว้
้
2. เพือห้ามเลือด ซึงมี 3 วิธีง่ายๆดังนี
-การพันผ้าให้แน่น จะใช้ได้ดีถาเลือดทีออกมาจากหลอดเลือดดํา
้
-การใช้ผาสะอาดวางบนแผลและใช้ฝ่ามือหรื อนิ วกดไว้ จะใช้ได้ดีถาเลือดทีออกจากเส้นเลือด แดง
้ ้
-การ ขันชะเนาะ การใช้เชือกหรื อผ้ารัดบริ เวณเหนือต่อบาดแผลแล้วขันให้แน่นพอทีทําให้ เลือดหยุดไหลได้
แต่ไม่ควรแน่นมาก เพราะอาจทําให้เส้นประสาทถูกทําลายได้ และควร คลายทุกๆ 30 นาทีเพือป้ องกันการ
ขาดเลือดไปเลียง
การดูแลรักษาบาดแผลภายนอก
1.ล้างแผลให้สะอาดด้วยนําเกลือล้างแผล ( Irrigation )
2.ห้ามเลือดทีบาดแผล ( Stop bleeding )
3.การตกแต่งบาดแผล ( Debridement )
-ตัดเอาเนือทีตายและชอกชํามาก ๆ ออก
-ตัดเอาเนือทีแม้ยงไม่ตายแต่เลือดไปเลียงไม่เพียงพอ และคิดว่าถ้าปล่อยเอาไว้คงจะตายออก
ั
-ตัดเนือทีมีสิ งสกปรกติดอยูมาก ไม่สามารถจะเอาสิ งสกปรกออกได้โดยวิธีอืนออก
่
-ขอบแผลทีกระรุ่ งกระริ งเมือเย็บเข้าหากันแล้วจะมีแผลเป็ นทีน่าเกลียด ควรเจียนให้เรี ยบ
-ขอบแผลชอกชํา ถ้าเย็บเข้าหากันจะติดได้ไม่ดี ควรตัดออก
4.การซ่อมแซมส่วนทีฉีกขาด
-ผิวหนัง (Skin ) การตัดตกแต่งต้องดูบริ เวณทีเป็ นบาดแผลด้วย ไม่ตดออกมากเกินไปจน เย็บไม่ได้หรื อเย็บ
ั
แล้วตึงเกินไป
-ไขมัน( Fat ) สามารถตัดออกได้แต่ตองระวังเลือดออกเพราะมักจะออกได้มากและนาน
้
-พังผืด ( Fascia ) ไม่ควรตัดออกมากเกินความจําเป็ น
-กล้ามเนือ (Muscle ) ถ้าตายแล้วต้องตัดทิ งหากไม่ฉีกขาดมากไม่จาเป็ นต้องเย็บ แต่ถาขาด ตามขวางของใย
ํ ้
กล้ามเนือควรเย็บเข้าหากัน
-เอ็น( Ligament and tendon ) ถ้าขาดบางเส้นใยอาจไม่ตองเย็บซ่อม แต่ถาขาดหมดทัง เส้นต้องเย็บซ่อมโดย
้ ้
หาส่วนต้นทีขาดให้พบและเย็บต่อดังเดิมโดยห้ามตัดออกมาก เกินความ จําเป็ น
-เส้นประสาท (Nerve ) ถ้าเป็ นเส้นใหญ่และมีหน้าทีมากถ้าเสียไปจะมีผลเสียต่อการเคลือน ไหวต้องเย็บซ่อม
- 15. โดยผูชานาญ
้ํ
-เส้น เลือด ( Vessels ) ถ้าเป็ นเส้นเล็กอาจผูกเพือห้ามเลือด ถ้าเป็ นเส้นใหญ่และไม่มีแขนง อืนมาร่ วมเลียง
เนือเยือบริ เวณนันต้องเย็บซ่อมโดยผูชานาญ้ํ
การปฐมพยาบาลบาดแผลไฟไหม้นําร้ อนลวก
1. ล้างด้วยนําสะอาดมากๆและห้ามลอกตุ่มใสออก
2. ใช้ผาชุบนําเย็นประคบหรื อใช้ถุงพลาสติกสะอาดใส่นาแข็งวางตรงบริ เวณบาดแผล เพือลดอาการ ปวด
้ ํ
แสบปวดร้อนและลดการอักเสบ
ข้อบ่งชีในการรับผูป่วย Burn รักษาในโรงพยาบาล
้
ผูป่วยทีมีบาดแผลไฟไหม้นาร้อนลวกทีจะต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล คือผูป่วยทีจัดอยูใน Modurate and
้ ํ ้ ่
Majer Burns ได้แก่
1.Moderate burns
- Second degree burns 15 - 25 % ในผูใหญ่ หรื อ 10 - 20 % ในเด็ก
้
- Third degree burns 2 - 10 %
2.Major burns
- Second degree burns มากกว่า 25 % ในผูใหญ่ หรื อ 20 % ในเด็ก
้
- Third degree burns มากกว่า 10 %
- แผลไฟไหม้นาร้อนลวกของตา หู หน้า มือ เท้า และบริ เวณหัวหน่าว
ํ
- ผูป่วยไฟไหม้นาร้อนลวกทีมี Inhalation injury ร่ วมด้วย
้ ํ
- ผูป่วยไฟไหม้นาร้อนลวกจาก High - voltage electrical injury
้ ํ
- ผูป่วยไฟไหม้นาร้อนลวกทีมีกระดูกหัก หรื อการบาดเจ็บรุ นแรงอย่างอืนร่ วมด้วย
้ ํ
- ผูป่วยไฟไหม้นาร้อนลวกทีเป็ น Poor - risk group
้ ํ
โดย ทัวไปแล้วการให้สารนําทดแทนทางเส้นเลือดจะเริ มให้ในผูป่วยทีมีแผลไฟไหม้ นําร้อนลวกมากกว่า 15
้
- 20 % ของผิวหนังทังหมดในผูใหญ่และมากกว่า 10 - 15 % ในเด็ก
้
การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บกระดูกหักและข้อเคลือน
การปฐมพยาบาลผูบาดเจ็บกลุ่มนีทีสําคัญคือ การดามส่วนทีได้รับบาดเจ็บโดยใช้ Splint
้
Splint คือ อุปกรณ์ทีวางไว้ดานใดด้านหนึงหรื อหลายด้านของส่วนของร่ างกาย เพือทําหน้าที Immobilization
้
, Protection , Supportive and Correction ต่ออวัยวะส่วนนัน ๆ โดยอาศัยการยึดติดกับอวัยวะนัน ๆ ด้วย
Elastic bandage , สายเข็มขัด หรื ออุปกรณ์อืน ๆ
Splint สามารถทําได้จากสารหลาย ๆ อย่าง เช่น ไม้ , อลูมิเนียม , เฝื อกปูน หรื อพลาสติกแข็ง Splint ทีดีควรมี
คุณสมบัติดงต่อไปนี
ั
1.พอเหมาะพอดีกบส่วนทีได้รับอันตราย
ั
- 16. 2.สะอาดและจัดทําได้เร็ ว
3.ปรับง่าย
4.สามารถพยุงส่วนนันได้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ
5.ปรับตามรู ปร่ างของส่วนของร่ างกายได้ง่าย
6.นําหนักเบา
7.ไม่แพง
8.ให้ความพึงพอใจด้านความสวยงามแก่ผป่วย ู้
9.สะดวกในการใช้
10.ไม่มีผลกดทับต่อเนือเยืออืน
Splint แบ่งตามจุดประสงค์ของการใช้เป็ น 2 กลุ่ม คือ
1. Splint for correction of deformity
2. Splint for immobilization มีจุดประสงค์เพือยึดหรื อดามส่วนของกระดูกทีหัก หรื อข้อทีได้รับ อันตรายหรื อ
เนือเยืออืน ๆ ให้อยูกบที แบ่งได้ 2 ชนิด คือ
่ ั
1) Splints for treatment of fractur and soft tissue injury
2) Emergency splints เป็ นการใช้อุปกรณ์ในการดามกระดูก หรื อเนือเยือทีได้รับบาดเจ็บในบริ เวณทีเกิด
อุบติเหตุ หรื อระหว่างคอยการรักษาต่อไป มีวตถุประสงค์คือ
ั ั
-เพือลดอาการเจ็บปวด
-เพือลดอันตรายต่อเนือเยืออืน ๆ จากการทิ มแทงของกระดูกทีหัก
-เพือป้ องกันการเคลือนทีของกระดูกทีหักเพิ มมากขึน
-เพือสะดวกต่อการเคลือนย้ายผูป่วย ้
-เพือป้ องกันการช็อก
สําหรับ Emergency splints ทีพอทําได้ในบริ เวณทีเกิดเหตุอาจจะเป็ นไม้กระดาน , คันร่ ม , กระดาษ
หนังสือพิมพ์ , ไม้พลอง ,ผ้าพันคอลูกเสือ , ผ้าห่ม , ผ้าถุง และอืน ๆ สุดแต่จะหาได้บริ เวณนันแล้วนํามา
ประยุกต์ใช้
การช่วยพืนคืนชีพหรื อปฏิบติการกูชีวต ( Cardiopulmonary resuscitation )
ั ้ ิ
ปฏิบติ การกูชีวิต หมายถึง การทําให้ผป่วยทีมีภาวะหัวใจหยุด ( Cardiac arrest ) หรื อการหายใจหยุด (
ั ้ ู้
Respiratory arrest ) เพือให้หวใจกลับเต้นเป็ นปกติหรื อการหายใจกลับมาปกติ
ั
ภาวะหัวใจหยุด คือ หัวใจหยุดทํางานหรื อทํางานอย่างไม่มประสิทธิภาพ เป็ นเหตุให้ไม่สามารถนําออกซิเจน
ี
ไปเลียงส่วนต่าง ๆ ของร่ างกายได้ วินิจฉัยจาก
-ผูป่วยไม่รู้สึกตัว
้
-คลําชีพจรทีคอหรื อขาหนีบไม่ได้
- 17. -หายใจหยุดหรื อหายใจเป็ นเฮือก ๆ
-ฟังเสียงหัวใจไม่ได้ยน
ิ
เมือพบผูป่วยไม่รู้สึกตัวหรื อหมดสติ การเข้าไปช่วยเหลือผูป่วยในทีเกิดเหตุควรกระทําดังนี
้ ้
1.ระวัง อันตรายทีจะเกิดกับผูช่วยเหลือและผูป่วย เช่น ผูป่วยอาจหมดสติจากถูกไฟฟ้ าดูด หรื อก๊าซรั ว ให้
้ ้ ้
แก้ไขสาเหตุของภยันตรายเสียก่อน เช่น ตัดไฟฟ้ า ปิ ดแก๊ส หรื อนําผู้ ป่ วยออกมาอยูในทีปลอดภัย
่
2.พยายามปลุกผูป่วยให้รู้สึกตัวด้วยเสียงดัง ๆ และจับเขย่าบริ เวณต้นแขนโดยอย่าลืมว่าอาจมี การบาดเจ็บที
้
คอหรื อทีร่ างกายส่วนบนอยู่
3.จัด ให้ผป่วยนอนอยูในท่าหมดสติ ( Recovery position ) จากท่านอนหงายเมือตรวจแล้ว พบว่าไม่มีการ
ู้ ่
บาดเจ็บอืน ๆ ของร่ างกายให้จดท่าผูป่วยนอนดังนี
ั ้
-กางแขนซ้ายออกตังฉากกับลําตัว จับแขนขวาพาดกับหน้าอก
-ยกเข่าขวางอตังตรงขึน ขาซ้ายเหยียดตรงตามเดิม ถ้ามีผช่วยเหลืออีกคนให้ช่วยจับศีรษะ เพือจัดให้ทางเดิน
ู้
หายใจเปิ ดโล่งไว้
-ผูช่วยเหลือคุกเข่าข้าง ๆ ผูป่วยดันตัวบริ เวณไหล่และสะโพกให้พลิกตะแคงไปทางซ้าย
้ ้
-แขนขวางอทับแขนซ้าย มือขวาอยูบริ เวณข้อศอกซ้าย
่
-ศีรษะจัดอยูในท่าแหงนหน้า โดยการช่วยดึงกระดูกขากรรไกรไปข้างหน้า ถ้าจําเป็ นอาจ จะต้องช่วยประคอง
่
ศีรษะไว้ในอุงมือ ้
-เอียงให้หน้าผูป่วยควําลงเล็กน้อย เพือให้นาลายและเศษอาหารทีอาเจียนไหลออกมา
้ ํ
4.วินิจฉัย ว่าผูป่วยหายใจหรื อหัวใจเต้นหรื อไม่ โดยตรวจง่าย ๆ ด้วยการเอียงหน้ามองไปทีหน้าอก หูและ
้
แก้มชิดกับจมูกและปากผูบาดเจ็บ หูฟังเสียงลมหายใจ ตาดูการเคลือนไหวของทรวงอก แก้มสัมผัสลมหายใจ
้
ออก ถ้าพบว่าผูป่วยมีภาวะหัวใจหยุดหรื อการหายใจหยุดให้ช่วยให้ทาการช่วยฟื นคืน ชีพทันที
้ ํ
หลักการเคลือนย้ายผู้บาดเจ็บ
1. ควบคุมสติอารมณ์ให้สงบไม่ตืนเต้นตกใจ
2. ทําการเคลือนย้ายผูบาดเจ็บในกรณี ทีจําเป็ นเท่านัน
้
3. ปฏิบติอย่างรวดเร็ ว ถูกต้อง ปลอดภัยและมีไหวพริ บ
ั
4. ต้องทราบว่าผูบาดเจ็บมีการบาดเจ็บทีอวัยวะใด
้
5. พิจารณาถึงวิธีการเคลือนย้ายผูบาดเจ็บ
้
6. จัดหาสถานทีพักรอไว้ในทีปลอดภัยเพือนําส่งแพทย์
7. จัดนําส่งโรงพยาบาลทีใกล้ทีสุดและเร็ วทีสุด
ข้ อควรระวังในการเคลือนย้ายผู้บาดเจ็บ
1. อย่าเคลือนย้ายผูบาดเจ็บในขณะทีกําลังเสียเลือดอยูตองห้ามเลือดก่อน
้ ่ ้
- 18. 2. อย่าเคลือนย้ายผูบาดเจ็บในขณะทีหายใจไม่ปกติ หายใจขัดหรื อหยุดหายใจต้องช่วยหายใจก่อน
้
3. เคลือนย้ายผูบาดเจ็บโดยไม่ให้เกิดอันตรายเพิ มขึน
้
4. นําผูบาดเจ็บส่งแพทย์ทุกราย อย่าคิดว่าไม่เป็ นอะไร
้
5. ใช้วิธีการเคลือนย้ายทีสะดวก ง่ายและปลอดภัย
6. ขณะเคลือนย้ายต้องดูแลผูบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด ถ้าหัวใจหยุดเต้นต้องให้การช่วยเหลือทันที
้
การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บจากอุบัตเิ หตุหมู่
อุบติเหตุ หมู่ หมายถึง อุบติเหตุทีเกิดขึนกับกลุ่มคนหลายๆคนผูบาดเจ็บจะมีระดับความรุ นแรงของ การ
ั ั ้
บาดเจ็บต่างๆกันมากบ้างน้อยบ้าง เหตุการณ์มกจะยุงเหยิงชุลมุน การช่วยเหลือผูบาดเจ็บกลุ่มนี มีขนตอนใน
ั ่ ้ ั
การช่วยเหลือดังนี
1. ช่วยชีวิตผูบาดเจ็บ
้
2. การนําผูบาดเจ็บออกจากทีเกิดเหตุ
้
3. ป้ องกันไม่ให้ผบาดเจ็บได้รับอันตรายต่อไปหรื อมากขึนและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายผูบาดเจ็บ
ู้ ้
4. การแยกผูบาดเจ็บออกจากผูเ้ สียชีวิต
้
5. กันฝูงชนอย่าให้เข้ามาในทีเกิดเหตุ จนเป็ นอุปสรรคต่อการปฏิบติงาน ั
6. การเลือกสรรผูบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
้
7. การส่งข่าวและการหารถลําเลียง
การแบ่งกลุ่มผูได้รับอุบติเหตุ
้ ั
อุบติเหตุ หมู่ ทําให้มีผได้รับบาดเจ็บหลายคน การให้การช่วยเหลือจะต้องดูความรุ นแรงของการบาดเจ็บเพือ
ั ู้
การตัดสินใจให้การ ช่วยเหลือทีถูกต้อง รวดเร็ ว จําเป็ นต้องแบ่งกลุ่มผูป่วยออกเป็ นกลุ่ม ดังนี
้
ประเภทผูป่วย การปฐมพยาบาล เหตุผล
้
1. กลุ่มบาดเจ็บรุ นแรง ช่วยเหลือด่วนทีสุด เพือรักษาชีวิตไว้/ให้ยงมีชีวิตอยู่
ั
2. กลุ่มบาดเจ็บปานกลาง ช่วยเหลือด่วน เพือป้ องกันไม้ให้ผบาดเจ็บมี อาการทรุ ดลง
ู้
3. กลุ่มบาดเจ็บเล็กน้อย ช่วยเหลือรอง เพือให้หายป่ วยหรื อทุเลาเร็ วขึน
4. กลุ่มผูเ้ สียชีวิตหรื อหมดหวัง ไม่ตองช่วยเหลือ ไม่มีประโยชน์
้
เมือจัดแบ่งกลุ่มผูป่วยได้แล้วก็ให้การปฐมพยาบาลและรี บนําส่งสถานพยาบาลเพือการรักษาต่อไปตามกลุ่ม
้
ความรุ นแรง