4. หลักการใช้ B. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเป็นนิสัยในปัจจุบันและ Adverb of Frequency ( กริยาวิเศษณ์ บอกความถี่ ) เช่น always, sometimes, usually, etc. อยู่ในประโยคด้วย เช่น Jane always wakes up late. I sometimes walk to school.
5. หลักการใช้ C: ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นกิจวัตรประจำวัน และจะมี Adverb of time ( กริยาวิเศษณ์บอกเวลา ) เช่น every day, every week, every ten minutes, etc. อยู่ในประโยคด้วย เช่น Moss’s father reads the newspaper every day. The bus leaves the terminal every ten minutes.
6. โครงสร้างประโยคบอกเล่า : ( Affirmative Sentence) Structure = Subject + verb 1 (s,es) Examples Sunee goes to school every weekday. Jenny always drinks milk before going to bed.
7. โครงสร้างประโยคปฏิเสธ : (Negative Sentence) Structure = Subject + does/do + not + verb1 (doesn’t/ don’t) Examples Sunee doesn’t go to school every weekday. Jenny doesn’t drink milk before going to bed.
8. Tip แต่ถ้าประโยคไหนที่มี Verb to be ( is, am, are) มาเป็นกริยามาในประโยค นักเรียนไม่ต้องเอาเจ้า Verb to do (do, does) เข้ามาช่วยนะขอรับ เดี๋ยวมันจะวางมวย เอ้ย ... จะผิดเอานะครับ ให้นักเรียนเพียงเติม not หลัง Verb to be (is, am, are) เท่านั้น เช่น Moss is a policeman. ถ้าจะทำเป็นประโยคปฏิเสธก็เพียงแค่เติม not เข้าไปหลัง is ก็เป็น Moss is not a policeman. แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อยโรงเรียนประถมสาธิต
9. โครงสร้างประโยคคำถาม : ( Interrogative Sentence) Structure = Do / Does + Subject + Verb1? Examples Does Sunee go to school every weekday? Does Jenny drink milk before going to bed?
10. การตอบคำถามใน Present Simple Tense Examples Does Sunee go to school every weekday? Yes, she does. No, she doesn’t.
11. Tip Persons ( บุรุษ ) Singular ( เอกพจน์ ) Plural ( พหูพจน์ ) First Person ( บุรุษที่ 1) I We Second Person ( บุรุษที่ 2) You You Third Person ( บุรุษที่ 3) He She It They
12. Tip เมื่อดูจากตารางดังกล่าว นักเรียนจะเห็นว่าเจ้าบุรุษที่ 3 ที่ครูกล่าวถึงนั้นมีอยู่ 4 ตัวด้วยกัน คือ He, She, It และ They แต่ตามหลักของการเติม s, es ที่กริยามีอยู่ว่า “ ถ้าประธานเป็น เอกพจน์ บุรุษที่ 3 กริยาต้องเติม s, หรือ es” ดังนั้นเราจะเห็นว่า กฎเน้นที่ ประธานเอกพจน์ บุรุษที่ 3 เท่านั้น เราจึงเหลือตัวเลือกเพียง He, She, It เท่านั้น คงจะเข้าใจบ้างแล้วนะครับ มาสรุปง่าย คือ
13. Tip I, We, You, They Verb 1 He, She, It Verb 1 เติม s, หรือ es
14. หลักในการเติม s และ es ที่กริยา A. กริยาธรรมดา ให้เติม s ที่กริยาได้เลย เช่น walk walk s ring ring s
15. หลักในการเติม s และ es ที่กริยา B: กริยาที่ลงท้ายด้วย ss, sh, ch, x, o ให้เติม es ที่กริยา เช่น pass pass es wash wash es watch watch es box box es go go es
16. หลักในการเติม s และ es ที่กริยา C: กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น cry cr ies try tr ies fly fl ies
17. หลักในการเติม s และ es ที่กริยา D: คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็น สระ (a, e, i, o, u) ให้เติม s ที่ท้ายกริยาตัวนั้นได้เลย เช่น stay stay s play play s lay lay s
18. Adverb of Frequency ( กริยาวิเศษณ์บอกความถี่ ) always เสมอ ๆ usually ตามปกติ sometimes บางครั้ง . บางเวลา often บ่อย ๆ generally โดยทั่วไป seldom นาน ๆ ครั้ง , ไม่ค่อยจะ never ไม่เคย
19. Adverb of Time กริยาวิเศษณ์บอกเวลา every day (week, month, year) ทุก ๆ วัน ( สัปดาห์ , เดือน , ปี ) every hour ทุกชั่วโมง once a day (week, month, year) หนึ่งครั้งต่อวัน ( สัปดาห์ , เดือน , ปี ) now and again ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
