Mais conteúdo relacionado
Semelhante a งานคอมนางสาว มลทิรา เอกกุล เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร (20)
งานคอมนางสาว มลทิรา เอกกุล เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร
- 1. วิชา คอมพิวเตอร์
จัดทาโดย
นางสาว มลทิรา เอกกุล
มัธยมศึกษาปีที่ 5 เลขที่ 23
เสนอ
อาจารย์ ธิติพร ไหวดี
- 3. การเรียนรู้ที่ 1วัตถุประสงค์ของการจัดการข้อมูล หน่วยข้อมูลและ
เขตข้อมูลคีย์ .
ในปัจจุบันสังคมเป็นสังคมสารสนเทศ ข้อมูลถือเป็น
ทรัพยากรที่มีค่าของทุก ๆ หน่วยงาน ไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่
หน่วยงานที่ สามารถจัดการข้อมูลได้ดีกว่าย่อมได้เปรียบกว่า
ในทุก ๆ ด้าน ดังนั้นจึงได้มความพยายามนาเทคโนโลยีด้าน
ี
คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการจัดการข้อมูล โดยมีจุดประสงค์
เพื่อให้ข้อมูลของหน่วยงานมีความถูกต้อง แม่นยา ทันสมัย และ
สะดวกต่อการเรียกใช้งานมากที่สุด หากจะพิจารณาถึงการจัดการ
ข้อมูลย่อมจะหมายถึง การจัดเก็บข้อมูล การเรียกใช้ข้อมูล รวมถึง
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนามาใช้งาน ลองพิจารณาถึงคลินิกแห่ง
หนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานเล็ก ๆ ก็ยังต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูล
คนไข้ที่มารับการรักษา ข้อมูลที่ต้องการเก็บ ได้แก่ ประวัติส่วนตัว
ของคนไข้ อาการที่มารับการรักษา วิธีการรักษา และผลการรักษา
วิธีหนึ่งที่ทากันก็คือการจดบันทึกข้อมูลทั้งหมดลงบนกระดาษ
และเก็บกระดาษนั้นไว้ ซึ่งมีหัวข้อที่ซ้ากัน เช่น ข้อความของ
หัวข้อ ชื่อคนไข้ และที่อยู่ ฯลฯ หากเจ้าหน้าที่ต้องเขียนทุกใบก็
จะเป็นการเสียเวลา ดังนั้นทางคลินิกอาจใช้วิธีจ้างโรงพิมพ์พิมพ์
แบบฟอร์มขึ้นมา เพื่อให้การกรอกข้อมูลง่ายขึ้น รูปที่ 2.8 แสดง
ตัวอย่างของแบบฟอร์มที่คลินิกแห่งหนึ่งใช้
- 5. รูปที่ 2.8 ตัวอย่างแบบฟอร์มบัตรคนไข้
เมื่อพิจารณาบัตรคนไข้ จะเห็นว่า ข้อมูลที่อยู่บนบัตรมี
ความหมายต่าง ๆ กัน การที่ข้อมูลแสดงความหมายได้ จะต้องประกอบด้วย
ส่วนข้อมูลที่พมพ์บนบัตรกับส่วนข้อมูลที่กรอกเพิ่มเติม ข้อมูลที่พิมพ์บนบัตร
ิ
คือส่วนที่อธิบายลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ ทาให้ส่วนข้อมูลที่กรอกเพิ่มเติม
ชัดเจน การจะใช้งานข้อมูลให้ได้ผลดี จึงต้องมีทั้งตัวข้อมูลและคาอธิบาย
ลักษณะของข้อมูล
ในการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ ทางคลินิกใช้ตเก็บเอกสารขนาด
ู้
ใหญ่สาหรับเก็บแบบฟอร์มและเรียงไว้ในลิ้นชัก เมื่อมีคนไข้ใหม่เพิ่มขึ้นก็เพิ่ม
แบบฟอร์มแผ่นใหม่เข้าไป และในการเรียกใช้ข้อมูลเมื่อมีคนไข้มาติดต่อ
เจ้าหน้าที่ต้องค้นหาข้อมูลเดิมของคนไข้ วิธีหนึ่งที่ทาได้คือตรวจดูข้อมูลบน
บัตรคนไข้ทีละใบตั้งแต่ใบแรกจนพบ การค้นหาวิธีนี้อาจเสียเวลามาก แต่ถ้า
จัดเก็บข้อมูลโดยเรียงชื่อตามตัวอักษรไว้แล้วจะทาได้รวดเร็วขึ้น
การจัดการข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่จาเป็นและเกี่ยวข้องกับการใช้งาน
ในชีวิตประจาวัน และมีการนาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยประมวลผล เพื่อได้ขอมูล ้
ที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์จาเป็นต้องมีหลักการ
และวิธีการที่เป็นระบบ และการเก็บข้อมูลควรพยายามลดขนาดของข้อมูลให้
เล็กที่สด แต่ยังคงความหมายในตัวเองมากที่สด
ุ ุ
- 6. ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการจัดเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์นั้น
เป็นการเก็บข้อมูลไว้ในสื่อบันทึก เช่น เทปแม่เหล็ก แผ่นบันทึก หรือจาน
แม่เหล็ก โดยที่ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปของเลขฐานสองหลายบิตเรียงกัน ดังนั้น
ในการนาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการประมวลผลจึงต้องกาหนดรูปแบบหรือ
โครงสร้างของข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
ตรงกัน โดยโครงสร้างของข้อมูลจะประกอบด้วย 5 ลาดับ ดังนี้
(1) บิต (Bit) ดังที่เคยกล่าวไปแล้วว่า บิต คือตัวเลขโดดใน
ระบบเลขฐานสอง ซึ่งมีค่าได้เพียง 0 หรือ 1 บิต เป็นหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด
ในการแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์
(2) ตัวอักขระ (Character) หมายถึง ตัวอักขระแต่ละตัว ซึ่งอาจ
เป็นตัวเลข ตัวอักษร หรือเครื่องหมายใด ๆ การแทนตัวอักขระแต่ละตัวใน
คอมพิวเตอร์ใช้เลขฐานสองจานวน 8 บิต ซึ่งเราเรียกอีกอย่างว่า “ไบต์”
(Byte)
(3) เขตข้อมูล (Field) หมายถึง หน่วยข้อมูลหน่วยหนึ่งที่
กาหนดขึ้นมาแทนความหมายใดความหมายหนึ่ง เขตข้อมูลแต่ละเขต
ประกอบด้วยตัวอักขระตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป
(4) ระเบียนข้อมูล (Record) หมายถึงกลุ่มของเขตข้อมูลที่มี
ความเกี่ยวข้องกัน ระเบียนข้อมูลประกอบด้วยเขตข้อมูลตั้งแต่ 1 เขตขึ้นไป
(5) แฟ้มข้อมูล (File) หมายถึง กลุ่มของระเบียนข้อมูลแบบ
เดียวกัน ซึ่งประกอบด้วยระเบียนข้อมูลตั้งแต่หนึ่งระเบียนขึ้นไป
- 7. เนื้อหา ข้อมูล ลักษณะของข้อมูล
รหัสลูกค้า 832501 ตัวอักษร 6 ตัว
ชื่อลูกค้า บริษัท ร่วมค้า จากัด ตัวอักษร 30ตัว
ที่อยู่ 235/8 ถนนเพชรบุรี ตัวอักษร 30ตัว
โทรศัพท์ 2253581 ตัวอักษร 7ตัว
หนี้ค้างชาระ 4000 ตัวอักษร 8ตัว
การมองลักษณะของเอนทิตดังได้กล่าวนี้อาจมองในรูปแบบ
ี
ของแฟ้มข้อมูลก็ได้ รายละเอียดของข้อสนเทศที่จะนามาใช้ได้ต้องประกอบด้วย
เนื้อหา ข้อมูล และลักษณะของข้อมูล สาหรับลักษณะของข้อมูลในแฟ้มข้อมูล
เรียกว่า โครงสร้างแฟ้ม (file structure) ส่วนตัวข้อมูลที่เก็บนี้จะเป็นข้อมูลที่เก็บไว้
ในหน่วยความจานั่นเอง
การจัดเก็บข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ถือว่ามีประสิทธิภาพ
คือ การใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลน้อยที่สด และจะต้องเรียกค้นหาข้อมูลได้ง่าย
ุ
ดังนั้นจึงมีการแบ่งเอนทิตีออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อใช้เรียกข้อมูลย่อย ส่วนย่อยของ
เอนทิตีนี้เรียกว่า เขตข้อมูล (field) ดังตัวอย่างโครงสร้างแฟ้ข้อมูลลูกค้าใน
- 8. เนื้อหา ลักษณะของข้อมูล
ข้อมูล
จานวน
ชื่อเขตข้อมูล ความหมาย ชนิด
ตัวอักษร
IDNO รหัสลูกค้า 832501 ตัวอักษร 6
NAME ชื่อลูกค้า บริษัท ร่วมค้า ตัวอักษร 30
ADDR ที่อยู่ 235/8 ถนนเพชรบุรี ตัวอักษร 30
TELNO โทรศัพท์ 2253581 ตัวอักษร 7
DEBT หนี้ค้างชาระ 4000 ตัวเลข 8
เมื่อนาเขตข้อมูลทั้งหมดของแฟ้มมาวางเรียงกัน จะเกิด
รูปแบบที่ทางคอมพิวเตอร์มองเห็น เรียกว่า ระเบียน (record) ซึ่งสามารถ
ใช้เป็นเครื่องบ่งบอกถึงโครงสร้างของแฟ้มนั้นได้ เช่น แฟ้มลูกค้า มี
โครงสร้างระเบียนตามตารางที่ 3.5
- 10. รูปที่ 3.4 ตัวอย่างโครงสร้างข้อมูลในระบบฐานข้อมูลที่สัมพันธ์กัน
โครงสร้างข้อมูลในฐานข้อมูลตามรูปที่ 3.4
ประกอบด้วย 3 แฟ้ม ในแต่ละแฟ้มมีความสัมพันธ์ถึงกัน เช่น ข้อมูล
ในแฟ้มนักเรียนจะมีส่วนที่เป็นกุญแจที่ชี้บอกความสัมพันธ์กับแฟ้ม
อาจารย์ว่าอาจารย์ประจาชั้นชื่ออะไร
กรณีทการหาข้อมูลของนักเรียน เช่น นักเรียน
ี่
รหัสประจาตัว 008 มีชื่อว่าอะไร มีใครเป็นอาจารย์ประจาชั้น และ
เรียนวิชาอะไร ลักษณะการค้นหาคือ ค้นหาในแฟ้มนักเรียนทีละ
ระเบียนจนพบระเบียนที่มระรหัสเป็น 008 ก็จะทราบชื่อนักเรียนและ
ี
มีกุญแจที่เป็นตัวชี้ว่าข้อมูลนี้สัมพันธ์กบข้อมูลในแฟ้มอาจารย์ ทาให้
ั
โยงต่อว่าอาจารย์ชื่ออะไร และจะทราบกุญแจซึ่งเป็นตัวชี้ว่าอาจารย์
สอนวิชาอะไร เป็นต้น การค้นหาข้อมูลที่มีกุญแจเป็นตัวชี้ข้อมูลจะ
ทาให้เราเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น
- 11. การแบ่งประเภทแฟ้ม
ในการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ในรูปแบบแฟ้มนั้น
ต้องประกอบด้วยเขตข้อมูลหลาย ๆ เขตรวมกันเป็นระเบียน การ
เก็บและการเรียกข้อมูลจะกระทาทีละระเบียน การแบ่งประเภท
ของแฟ้มจึงมักแบ่งแยกตามรูปแบบลักษณะการเรียกค้นหา ซึง ่
แบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกันคือ แฟ้มลาดับ (sequential file)
แฟ้มสุ่ม (random file) และ แฟ้มดัชนี (index file) ดังนี้
1) แฟ้มลาดับ เป็นแฟ้มที่มีโครงสร้างการเก็บข้อมูล
แบบพื้นฐานที่สุด กล่าวคือ เมื่อมีการเพิ่มข้อมูลลงในแฟ้มทีละ
ระเบียน ข้อมูลจะเข้าต่อท้ายเรียงกันไป ในการย้ายข้อมูลก็จะอ่าน
ข้อมูลที่ละระเบียน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายอาจเปรียบเทียบได้กับการ
เก็บข้อมูลเพลงในเทปคาสเซต ซึ่งสมมติว่าในม้วนเทปหนึ่งมีการ
เก็บเพลงได้ 10 เพลง ความยาวเพลงละ 3 นาที ซึ่งหากต้องการ
ค้นหาเพลงใดก็ต้องเริ่มต้นจากเพลงแรกไปเป็นลาดับจนกว่าจะ
พบ
- 12. 2) แฟ้มสุ่ม เป็นแฟ้มที่มีคุณสมบัติทผู้ใช้สามารถ
ี่
อ่านหรือเขียนที่ตาแหน่งใด ๆ ก็ได้โดยไม่ต้องเรียงลาดับจากต้น
แฟ้ม เช่น กรณีของการเก็บข้อมูลเพลงในเทปคาสเซต ถ้าต้องการ
อ่นเพลงที่ 5 ก็จะคานวณความยาวของสายเทป เพื่อให้มีการเคลื่อน
สายเทปไปยังตาแหน่งที่ต้องการแล้วจึงเริ่มอ่าน กรณีนี้จะทาได้เร็ว
กว่าสแบบลาดับ
3) แฟ้มแบบดัชนี แฟ้มแบบนี้จาเป็นต้องมีการ
จัดเรียงข้อมูลในเขตข้อมูลที่เป็นดัชนีเสียก่อน เพื่อประโยชน์ในการ
ค้นหา การหาตาแหน่งในการเขียนการอ่านในระเบียนที่ต้องการปกติ
จะใช้ข้อมูลที่เป็นกุญแจสาหรับการค้นหา เพื่อความสะดวกในการ
กาหนดตาแหน่งการเขียนอ่าน ดังตัวอย่างเช่น ถ้าใช้ชื่อเพลงเป็น
กุญแจสาหรับการค้นหา จะมีการเก็บชื่อเพลงโดยมีการจัดเรียงตาม
ตัวอักษร เมื่อค้นหาชื่อเพลงได้ ก็ได้ลาดับเพลง ซึ่งสามารถนาไป
คานวณหาตาแหน่งที่ต้องการเขียนอ่านได้ต่อไป
- 13. การเรียนรู้ที่ 2 ชนิดข้อมูลและประเภทของแฟ้มข้อมูล
ประเภทของแฟ้มข้อมูล
แฟ้มข้อมูลหลัก (master file)แฟ้มข้อมูลหลักเป็น
แฟ้มข้อมูลทีบรรจุข้อมูลพื้นฐานที่จาเป็นสาหรับระบบงาน และเป็น
่
ข้อมูลหลักทีเก็บไว้ใช้ประโยชน์ข้อมูลเฉพาะเรื่องไม่มีรายการ
่
เปลี่ยนแปลงในช่วงปัจจุบัน มีสภาพค่อนข้างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือ
เคลื่อนไหวบ่อยแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการสิ้นสุดของข้อมูล เป็น
ข้อมูลที่สาคัญที่เก็บไว้ใช้ประโยชน์ ตัวอย่าง เช่น แฟ้มข้อมูลหลักของ
นักศึกษาจะแสดงรายละเอียดของนักศึกษา ซึ่งมี ชื่อนามสกุล ที่อยู่
ผลการศึกษา แฟ้มข้อมูลหลักของลูกค้าในแต่ละระเบียนของ
แฟ้มข้อมูลนีจะแสดงรายละเอียดของลูกค้า เช่น ชื่อสกุล ที่อยู่ หรือ
้
ประเภทของลูกค้า
- 14. 6.2 แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลง (transaction file)
แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลงเป็นแฟ้มข้อมูลที่ประกอบด้วย
ระเบียนข้อมูลที่มีการเคลื่อนไหว ซึ่งจะถูกรวบรวมเป็นแฟ้มข้อมูล
รายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละงวดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
ข้อมูลนั้น แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลงนี้จะนาไปปรับรายการใน
แฟ้มข้อมูลหลัก ให้ได้ยอดปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น แฟ้มข้อมูล
ลงทะเบียนเรียนของนักศึกษา
6.3 แฟ้มข้อมูลตาราง (table file)แฟ้มข้อมูลตารางเป็น
แฟ้มข้อมูลทีมีค่าคงที่ ซึ่งประกอบด้วยตารางที่เป็นข้อมูลหรือชุดของ
่
ข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกันและถูกจัดให้อยู่รวมกันอย่างมีระเบียบ
โดยแฟ้มข้อมูลตารางนี้จะถูกใช้ในการประมวลผลกับแฟ้มข้อมูลอื่น
เป็นประจาอยู่เสมอ เช่น ตารางอัตราภาษี ตารางราคาสินค้า
- 16. ในแฟ้มข้อมูลนี้จะประกอบด้วยระเบียนแฟ้มข้อมูล
ตารางของสินค้าที่มีฟลด์ต่าง ๆ ได้แก่ รหัสสินค้า รายชื่อ สินค้า และราคา
ิ
สินค้าต่อหน่วย แฟ้มข้อมูลตารางรายการสินค้า จะใช้ร่วมกับแฟ้มข้อมูลหลาย
แฟ้มข้อมูลในระบบสินค้า ได้แก่ แฟ้มข้อมูลคลังสินค้า (inventory master
file) แฟ้มข้อมูลใบสั่งซื้อของลูกค้า (customer order master file) และ
แฟ้มข้อมูลรายการสิตค้าของฝ่ายผลิต (production master file) มีข้อควร
สังเกตว่าแฟ้มข้อมูลตาราง แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลง และแฟ้มข้อมูล
หลัก ทั้ง 3 แฟ้ม จะมีฟิลด์ที่เกี่ยวกับตัวสินค้าร่วมกัน คือ ฟิลด์รหัสสินค้า
(product code) ฟิลด์ร่วมกันนี้จะเป็นตัวเชื่องโยงระหว่างแฟ้มข้อมูลตาราง
กับฟ้มข้อมูลอื่น ๆ ทั้งหมดที่ต้องการจะใช้ค่าของฟิดล์รายชื่อสินค้า
(product description) และราคาสินค้า (product price) จากแฟ้มข้อมูล
ตาราง การจัดแฟ้มข้อมูลแบบนี้จะทาให้ประหยัดเนื้อที่ในอุปกรณ์เก็บข้อมูล
ของแฟ้มข้อมูลหลัก กล่าวคือในแฟ้มข้อมูลหลักไม่ต้องมี 2 ฟิลด์ คือ ฟิลด์
รายการสินค้าและฟิลด์ราคาสินค้า มีแต่เพียงฟิลด์รหัสสินค้าก็เพียงพอแล้ว
เมื่อใดที่ต้องการใช้ฟิลด์รายการสินค้าในการแสดงผลก็อ่านค่าออกมาจาก
แฟ้มข้อมูลตารางได้ นอกจากนั้นยังเป็นการลดความซ้าซ้อนของข้อมูลและ
เมื่อผู้ใช้ระบบต้องการเปลี่ยนแปลงรายการสินค้าหรือราคาสินค้าก็จะเปลี่ยน
ในแฟ้มข้อมูลตารางทีเดียว โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงในแฟ้มข้อมูลอื่น
- 17. การออกแบบตาราง(TABLE)
หมายถึง การออกแบบโครงสร้างข้อมูลเพื่อกาหนด
ข้อมูลแต่ละชนิดหรือแต่ละฟิลด์ (Field) ให้กับการบันทึกข้อมูลแต่ละ
รายการ (Record) ในการเก็บข้อมูลดิบ (Input Data) ที่จะนาไปใช้
ในการประมวลผลข้อมูลต่อไป ดังนั้นการสร้าง Table จึงเป็นส่วนแรก
ของแฟ้มข้อมูลในการออกแบบฐานข้อมูลที่จะนาไปใช้ในส่วนอื่น ๆ
ต่อไป
ขั้นตอนการออกแบบ
- เลือก เมนู Table (ตาราง)
- เลือก New (สร้างใหม่) เลือกประเภทการออกแบบให้
เลือกดังต่อไปนี้
- 18. ประเภทการ
ความหมาย
ออกแบบ
สร้างตารางใน การสร้างตารางที่ผออกแบบเป็นผู้กาหนดโครงสร้างข้อมูลขึ้นด้วยตนเอง ก่อนที่
ู้
มุมมองออกแบบ จะเริ่มบันทึกข้อมูลลงใน Table
สร้างตารางโดยใช้
การสร้างตารางที่ตองการตัวช่วยสร้าง (Wizard) ในการออกแบบตาราง
้
ตัวช่วยสร้าง
การสร้างตารางที่ผออกแบบสามารถป้อนข้อมูลได้ทันที โดยไม่ต้องออกแบบ
ู้
สร้างตารางโดยการ
โครงสร้างข้อมูลก่อน โปรแกรมจะกาหนดโครงสร้างตามชนิดของข้อมูลที่ป้อนเข้า
ป้อนข้อมูล
ไป
- 21. จากรูปจะเห็นว่าโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ อาจจะมีการ
เรียกใช้แฟ้มข้อมูลร่วมกัน ซึ่งทาให้โอกาสทีจะเกิด ข้อผิดพลาด (Error) มี
่
มากขึ้น หากไม่มีการควบคุมการใช้แฟ้มทีดี ดังนั้นปัญหาอาจจะเกิดขึ้นได้
่
หลายประการเช่น
1. การซ้าซ้อน และการสับสนของข้อมูล (Data Redundancy and
confusion)
2. ข้อมูลและโปรแกรมขึ้นต่อกัน (Program-data dependence)
3. ขาดความยืดหยุ่น (Lack of flexibility)
4. ขาดความปลอดภัยของข้อมูล (Poor security)
5. ข้อมูลขาดความสะดวกในการใช้และการแบ่งปันกัน (Lack of data
sharing and availability)
- 22. การเรียนรู้ที่ 3 ลักษณะการประมวลผลข้อมูล
ลักษณะการประมวลผลข้อมูล
ข้อมูล คือข้อเท็จจริงที่เราสนใจ ส่วน สารสนเทศ คือข้อมูลที่ผ่านการ
ประมวลผลด้วยวิธีการที่เหมาะสมถูกต้อง จนได้รูปแบบผลลัพธ์ ตรงความ
ต้องการของผู้ใช้
ข้อมูลที่จะนามาประมวลผลให้เป็นสารสนเทศ จะต้องมีคุณสมบัติพื้นฐาน
ดังต่อไปนี้
ความถูกต้อง หากมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้ จะ
ทาให้เกิดผลเสียหายมาก ผู้ใช้จะไม่กล้าอ้างอิงหรือนาเอาไปใช้ประโยชน์ ซึ่ง
เป็นเหตุให้การตัดสินใจของผู้บริหารขาดความแม่นยา และมีโอกาสผิดพลาด
ได้ โครงสร้างข้อมูลที่ออกแบบต้องคานึงถึงกรรมวิธีการดาเนินงานเพื่อให้ได้
ความถูกต้องแม่นยามากที่สุด โดยปกติความผิดพลาดของการประมวลผลส่วน
ใหญ่ มาจากข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้องซึ่งมีสาเหตุมาจากคนหรือเครื่องจักร
การออกแบบระบบจึงต้องคานึงถึงในเรื่องนี้
- 23. ความรวดเร็วและเป็นปัจจุบัน การได้มาของข้อมูลจาเป็นต้องให้ทนต่อความ
ั
ต้องการของผู้ใช้ มีการตอบสนองต่อผู้ใช้ได้เร็ว ตีความหมายสารสนเทศได้ทันต่อ
เหตุการณ์หรือความต้องการ มีการออกแบบระบบการเรียกค้นและรายงาน ตามความ
ต้องการของผู้ใช้
ความสมบูรณ์ ความสมบูรณ์ของสารสนเทศขึ้นกับการรวบรวมและวิธีการ
ทางปฏิบัติ ในการดาเนินการจัดทาสารสนเทศ ต้องสารวจและสอบถามความต้องการ
ของผู้ใช้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มความสมบูรณ์เหมาะสม
ี
ความชัดเจนกระทัดรัด การจัดเก็บข้อมูลต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล
มาก จึงจาเป็นต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลให้กระทัดรัด สือความหมายได้ มีการใช้
่
รหัสหรือย่อข้อมูลให้เหมาะสม เพื่อที่จะจัดเก็บเข้าไว้ในระบบคอมพิวเตอร์
ความสอดคล้อง ความต้องการเป็นเรื่องสาคัญ ดังนั้นจึงต้องมีการสารวจ
เพื่อหาความต้องการของหน่วยงานและองค์การ ดูสภาพการใช้ข้อมูล ความลึกหรือ
ความกว้างของขอบเขตข้อมูล ที่สอดคล้องกับความต้องการ
- 24. ในการนาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ หรือการทาข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ ที่จะ
นาไปใช้ประโยชน์ได้ จาเป็นต้องมีการประมวลผลข้อมูลก่อน การประมวลผล
ข้อมูล เป็นกระบวนการที่มีกระบวนการย่อยหลายอย่าง ประกอบกันคือ
การรวบรวมข้อมูล
การแยกแยะ
การตรวจสอบความถูกต้อง
การคานวณ
การจัดลาดับหรือการเรียงลาดับ
การรายงานผล
การสื่อสารข้อมูลหรือการแจกจ่ายข้อมูลนั้น
การประมวลผลข้อมูล จึงเป็นกิจกรรมที่มความสาคัญ เพราะข้อมูลที่มีอยู่
ี
รอบๆ ตัวเรามีเป็นจานวนมากในการใช้งานจึงต้องมีการประมวลผล เพื่อให้
เกิดประโยชน์ กิจกรรมหลักของการให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ จึงประกอบด้วย
กิจกรรมการ เก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งต้องมีการตรวจสอบ ความถูกต้องด้วย
กิจกรรมการประมวลผลซึ่งอาจจะเป็นการแบ่งแยกข้อมูล การจัดเรียงข้อมูล
การคานวณ และกิจกรรมการเก็บรักษาข้อมูลซึ่งอาจต้อง มีการทาสาเนา ทา
รายงาน เพื่อแจกจ่าย
- 25. หน่วยข้อมูล (DATA UNITS)
· บิต (bit) เลขฐานสองหนึ่งหลักซึ่งมีค่าเป็น 0 หรือ 1
· ตัวอักษร (character) กลุ่มของบิตสามารถแทนค่าตัวอักษรได้ ในชุดอักขระ
ASCII 1 ไบต์(8 บิต) แทนตัวอักษร 1 ตัว
· เขตข้อมูล หรือฟิลด์ (field) เขตข้อมูลซึ่งประกอบด้วยกลุ่มตัวอักษรที่แทน
ข้อเท็จจริง
· ระเบียน (record) ระเบียน คือโครงสร้างข้อมูลที่แทนตัววัตถุชิ้นหนึ่ง
· แฟ้ม (file) ตารางที่เป็นกลุ่มของระเบียนที่มีโครงสร้างเดียวกัน
· ฐานข้อมูล (database) กลุ่มของตาราง (และความสัมพันธ์)
- 26. ชนิดของข้อมูล (DATA TYPES)
· ค่าตรรกะ (Boolean values) ซึ่งมีเพียงสองค่าคือ จริง กับ เท็จ
· จานวนเต็ม (integers) หมายถึง เลขที่ไม่มีเศษส่วน หรือทศนิยม
· จานวนจริง (floating-point numbers) หมายถึง จานวนใดๆ ทั้งจานวนเต็ม
และจานวนทศนิยม
· ตัวอักษร (characters) หมายถึง ข้อมูลประเภทตัวอักษรเพียงตัวเดียว
· สายอักขระ (strings) หมายถึง กลุ่มตัวอักษรที่ประกอบกันขึ้นเป็นข้อความ
· วันที่และเวลา (date/time) หมายถึง ข้อมูลที่แทนค่าวันที่และเวลา
· ไบนารี (binary) หมายถึง ข้อมูลที่เก็บในคอมพิวเตอร์ อาจเป็นแฟ้มโปรแกรม
รูปภาพ หรือ วิดีโอ
- 27. ประเภทของแฟ้มข้อมูล
· แฟ้มหลัก (master files) คือ แฟ้มที่เก็บข้อมูลที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือ
โดยทั่วไป
แฟ้มหลักจะเก็บข้อมูลถาวร หรือกึ่งถาวร หรือข้อมูลที่เป็นประวัตศาสตร์
ิ
· แฟ้มรายการเปลี่ยนแปลง (transaction files) คือ แฟ้มที่เก็บข้อมูลรายการ
เปลี่ยนแปลง
เก็บสะสมรวบรวมไว้ เพื่อนามาประมวลผลและนาไปปรับปรุงแฟ้มหลักอีกทีหนึ่ง
ลักษณะการประมวลผลข้อมูล (DATA PROCESSING)
· การประมวลผลแบบกลุ่ม (batch processing) ข้อมูลจะถูกสะสมไว้ระหว่าง
ช่วงเวลาที่กาหนด เมื่อถึงกาหนด ข้อมูลทีสะสมไว้จะถูกประมวลผลรวมกันครั้ง
่
เดียว
· การประมวลผลแบบทันที (real-time processing) การประมวลผลแบบทันที
เป็นการประมวลผลที่เกิดขึ้นพร้อมกับข้อมูล
- 28. การเข้าถึงข้อมูล
· การเข้าถึงแบบลาดับ เป็นการเข้าถึงข้อมูลแบบที่ต้องอ่านข้อมูลตั้งแต่ต้น
จนถึงข้อมูลที่ตองการเหมาะสาหรับการอ่านข้อมูลปริมาณมาก และเรียงลาดับ แต่
้
ไม่เหมาะกับข้อมูลที่มีการเพิ่ม ลบ หรือแก้ไขเป็นประจา
· การเข้าถึงแบบสุ่ม เป็นการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการอ่านข้อมูลตั้งแต่ต้น
การเข้าถึงข้อมูลลักษณะนี้จะต้องใช้กลไกการหาตาแหน่งระเบียน วิธีต่างๆ เหมาะ
สาหรับการค้นหาข้อมูลจานวนไม่มาก และเหมาะสาหรับแฟ้มที่มีการเพิ่ม ลบ และ
แก้ไขเป็นประจา
การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูล (FILE ORGANIZATION)
การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบต่างๆ มีลักษณะเฉพาะตัวในการเข้าถึงข้อมูล มี
ดังนี้
- 29. ระบบแฟ้มข้อมูล (FILE SYSTEMS)
ข้อดีคือ การประมวลผลข้อมูลมีความรวดเร็ว การลงทุนในส่วนของเครื่อง
คอมพิวเตอร์และโปรแกรมประยุกต์ใช้งานก็ไม่ยุ่งยาก เนื่องจากไม่ต้องการระบบที่ใหญ่
อย่างไรก็ตามการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะนี้อาจมีปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดังต่อไปนี้
· ความซ้้าซ้อนของข้อมูล (data redundancy)
· ความไม่สอดคล้องกันของข้อมูล (data inconsistency)
· ข้อมูลแยกอิสระต่อกัน (data isolation)
· ความไม่ปลอดภัยของข้อมูล (poor security)
· ขาดบูรณภาพของข้อมูล (lack of data integrity)
· ความขึ้นต่อกันระหว่างโปรแกรมประยุกต์กบโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล (application /
ั
data
dependence)
- 30. การเรียนรู้ที่ 4 แฟ้มโปรแกรมและแฟ้มข้อมูล
ประเภทของแฟ้มข้อมูล (File Type) เราสามารถจ้าแนกแฟ้มข้อมูลออก
ตามลักษณะของข้อมูลที่เก็บบันทึกไว้และสามารถแบ่งแฟ้มข้อมูลออกเป็น 2 ประเภท
ใหญ่ๆ คือ
1. แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File) เป็นแฟ้มข้อมูลซึ่งเก็บข้อมูลที่ส้าคัญ เช่น
แฟ้มข้อมูลประวัติ ลูกค้า (Customer master file) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
แฟ้มข้อมูลประวัตผู้จัดส่งสินค้า (Supplier master file) แฟ้มข้อมูลสินค้าคงเหลือ
ิ
(Inventory master file) แฟ้มข้อมูลบัญชี (Account master file) เป็นต้น
ซึ่งแฟ้มข้อมูลหลักเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของระบบงานบัญชี (Account system)
2. แฟ้มรายการปรับปรุง (Transaction file) เป็นแฟ้มที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ
แฟ้มข้อมูลหลักทีมีการเปลียนแปลงในแต่ละวัน รายการที่เกิดขึ้นต้องน้าไปปรับปรุงกับ
่ ่
แฟ้มข้อมูลหลักเพื่อให้แฟ้มข้อมูลหลักมีข้อมูลที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
- 31. การปรับปรุงแฟ้มข้อมูลสามารถท้าได้หลายอย่าง เช่น การเพิ่มรายการ
(Add record) การลบรายการ (Delete record) และการแก้ไขรายการ (Edit)
การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูล (File organization) มีวิธีการจัดได้หลายประเภท เช่น
1. การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูลแบบตามลาดับ (Sequential File
organization) ลักษณะการจัดข้อมูลรายการจะเรียงตามฟิลด์ทก้าหนด (Key
ี่
field) เช่น เรียงจากน้อยไปหามากหรือจากมากไปหาน้อยหรือเรียงตามตัวอักษร โดย
ส่วนมากมักจะใช้เทปแม่เหล็กเป็นสื่อในการเก็บข้อมูลซึ่งการเก็บโดยวิธีนี้จะมีทั้งข้อดีและ
ข้อเสีย
- 32. ข้อดี ข้อเสีย
1. เสียเวลาในการปรับปรุงในกรณีที่มีรายการ ปรับปรุงน้อยเพราะ
1. เป็นวิธีที่เข้าใจง่าย เพราะการเก็บจะเรียงตาม ลาดับ
จะต้องอ่านทุกรายการจนกว่า จะถึงรายการที่ต้องการปรับปรุง
2. ประหยัดเนื้อที่ในการเก็บ และง่ายต่อการสร้าง แฟ้ม 2. ต้องมีการจัดเรียงข้อมูลที่เข้ามาใหม่ให้อยู่ในลาดับ เดียวกันใน
ใหม่ แฟ้มข้อมูลหลักก่อนที่จะประมวลผล
ตารางแสดงข้อดีและข้อเสียในการจัดระเบียบแฟ้มข้อมูลตามล้าดับ
- 33. 2. การจัดระเบียนแฟ้มข้อมูลแบบตรงหรือแบบสุม (Direct or
่
random file organization) โดยส่วนมากมักจะใช้จานแม่เหล็ก (Hard disk)
เป็นหน่วยเก็บข้อมูล การบันทึกหรือการเรียกข้อมูลขึ้นมาสามารถเรียกได้โดยตรง ไม่ต้อง
ผ่านรายการอื่นก่อน เราเรียกวิธีนี้ว่าการเข้าถึงข้อมูลโดยตรง (Direct access)
หรือการเข้าถึงโดยการสุ่ม (Random Access) การค้นหาข้อมูลโดยวิธีนี้จะเร็วกว่า
แบบตามล้าดับ ทังนี้เพราะการค้นหาจะก้าหนดดัชนี (Index) จะนั้นจะวิ่งไปหาข้อมูลที่
้
ต้องการหรืออาจจะเข้าหาข้อมูลแบบอาศัยดัชนีและเรียงล้าดับควบคู่กน (Indexed
ั
Sequential Access Method (ISAM) โดยวิธีนี้จะก้าหนดดัชนีที่ต้องการ
ค้นหาข้อมูล เมื่อพบแล้วต้องการเอาข้อมูลมาอีกกี่ รายการก็ให้เรียงตามล้าดับของ
รายการที่ต้องการ ซึ่งการเก็บโดยวิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
- 34. ข้อดี ข้อเสีย
1. สิ้นเปลืองเนื้อที่ในหน่วยสารองข้อมูล
1. สามารถบันทึก เรียกข้อมูล และปรับปรุงข้อมูลที่ ต้องการได้
โดยตรง ไม่ต้องผ่านรายการที่อยู่ก่อนหน้า
2. ต้องมีการสารองข้อมูลเนื่องจากโอกาสที่ข้อมูล จะมีปัญหาเกิดได้ง่ายกว่า
2. ในการปรับปรุงและแก้ข้อมูลสามารถทาได้ทันที
แบบตามลาดับ
ตารางแสดงข้อดีและข้อเสียในการจัดแฟ้มข้อมูลแบบตรงหรือสุ่ม
- 35. การจัดการแฟ้มข้อมูล (File Management) ในอดีตข้อมูลที่จัดเก็บไว้จะอยู่ใน
รูปของแฟ้มข้อมูลอิสระ (Conventional File) ซึ่งระบบงานแต่ละระบบก็จะสร้าง
แฟ้มของตนเองขึ้นมาโดยไม่เกียวข้องสัมพันธ์กน เช่น ระบบบัญชี ที่สร้างแฟ้มข้อมูลของ
่ ั
ตนเอง ระบบพัสดุคงคลัง (Inventory) ระบบการจ่ายเงินเดือน(Payroll) ระบบออก
บิล (Billing) และระบบอื่นๆต่างก็มีแฟ้มข้อมูลเป็นของตนเอง หากมีการปรับปรุงแก้ไขก็
จะท้าเฉพาะส่วนจึงท้าข้อมูลขององค์การ บางครังเกิดสับสนเนื่องจากข้อมูลขัดแย้งกันและ
้
ในบางองค์การอาจจะมีการเขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษาทีเ่ ขียนที่ต่างกัน เช่นภาษาโคบอล
(COBOL language) ภาษาอาร์พีจี(RPG) ภาษาปาสคาล (PASCAL) หรือ
ภาษาซี (C language) ซึ่งมีลักษณะของแฟ้มข้อมูลที่สร้างด้วยภาษาที่ต่างกันก็ไม่
สามารถจะใช้งานร่วมกันได้ จึงท้าให้องค์การเกิดการสูญเสียในข้อมูล ดังนั้นก่อนที่
องค์การจะน้าคอมพิวเตอร์มาใช้จะต้องมีการวางแผนถึงระบบการบริหารแฟ้มข้อมูล การ
แบ่งประเภทของแฟ้มข้อมูลและการจัดระเบียบแฟ้มข้อมูล
การบริหารแฟ้มข้อมูลจะต้องมีการก้าหนดโปรแกรมที่จะพัฒนาขึ้นมาว่าจะใช้ภาษาอะไร
มีหน่วยงานใดต้องใช้ ต้องการข้อมูลอะไร ข้อมูลที่แต่ละแผนกต้องการซ้้ากันหรือไม่ หรือมี
ข้อมูลอะไรทีขาดหายไปและข้อมูลฟิลด์ไหนที่จะใช้เป็นคีย์ในการค้นหาข้อมูล เช่น การสร้าง
่
แฟ้มประวัติลูกค้า
- 37. วิธีการประมวลผล
1. การประมวลผลแบบชุด (Batch Processing) คือ การ
ประมวลผลโดยผู้ใช้จะท้าการรวบรวมเอกสารทีต้องการประมวลผลไว้เป็นชุดๆ ซึ่ง
่
แต่ละชุดอาจจะก้าหนดเท่ากับเอกสาร 10 หรือ 20 รายการหรือมากกว่าก็ได้แต่ให้
มีขนาดเท่ากัน แล้วป้อนข้อมูลดังกล่าวสูเ่ ครืองคอมพิวเตอร์ จากนันจึงใช้ค้าสั่งให้
่ ้
ประมวลผลพร้อมกันทีละชุดตัวอย่าง บริษัทหนึ่งอาจจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อ
่
ออกบิลโดยมีการรวบรวมใบสั่งซื้อจากลูกค้าภายในหนึ่งวันจากแผนกขาย จากนันก็ ้
ส่งให้แผนกคอมพิวเตอร์ท้าการป้อนข้อมูลและตรวจสอบความ ถูกต้องของข้อมูล
ก่อนที่จะเก็บบันทึกไว้ จากนั้นก็จะน้าข้อมูลดังกล่าวไปประมวลผล ซึ่งอาจจะต้อง
อาศัยแฟ้มข้อมูลอื่นๆ มาประกอบการประมวลผล เช่น แฟ้ม ข้อมูลสินค้าคงเหลือ
แฟ้มข้อมูลลูกหนี้ กรณีลกค้าซื้อเงินเชื่อและแฟ้มประวัติลูกค้า เป็นต้น จากนั้นก็จะน้า
ู
ข้อมูล ดังกล่าวไปประมวลผล ซึ่งอาจจะต้องอาศัยแฟ้มข้อมูลอื่นๆ มาประกอบการ
ประมวลผล เช่น แฟ้มข้อมูลสินค้าคงเหลือ แฟ้ม ข้อมูลลูกหนี้ กรณีลูกค้าซือ เงินเชื่อ
้
และแฟ้มประวัตลูกค้า เป็นต้น จากนั้นจึงออกบิลเพื่อส่งต่อให้กับผู้ขายเพื่อเบิกสินต้า
ิ
ที่แผนกพัสดุ สินค้าหรือโกดัง (Warehouse) พิจารณา แสดงข้อดีและข้อเสีย
ของการประมวลผลแบบชุด
- 39. ้้ข้อดีของการทางานแบบชุด ข้อเสียของการทางานแบบชุด
1. เหมาะสาหรับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ มีปริมาณงาน มากแต่ไม่
จาเป็นต้องบริการข้อมูลทันทีทันใด
1. เสียเวลาในการข้อมูลที่ต้องการทันทีทันใด อาจจะไม่ทันสมัย(Update) เนื่องจาก
การประมวลผลข้อมูลจะทาเป็นช่วงๆ ปรับปรุงในกรณีที่มีรายการ ปรับปรุงน้อย
เพราะจะต้องอ่านทุกรายการจนกว่า จะถึงรายการที่ต้องการปรับปรุง
2. เสียเวลาในการรวบรวมข้อมูลเพื่อตรวจสอบ ก่อนจะทาการ ประมวลผล
2. ง่ายต่อการตรวจสอบ หากข้อมูลผิดพลาด สามารถตรวจสอบเฉพาะ
ชุดของข้อมูลที่ผิดพลาด
ตารางที่ 5.4 แสดงข้อดีและข้อเสียของการประมวลผลแบบโต้ตอบ
(Interactive)
- 40. 2. การประมวลผลแบบโต้ตอบ (Interactive) หมายถึง การทางานในลักษณะที่มีการ
โต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้สามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลได้ตลอดเวลา เช่น กรณีที่ลูกค้า นาย
วัลลภ คลองหก จากบริษัทราชมงคล จากัด ติดต่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์จากแผนกขาย เจ้าหน้าที่พนักงานขาย
จะต้องป้อนรหัสลูกค้าเพื่อเรียกประวัตินายวัลลภขึ้นมาพิจารณาว่าในขณะนี้ได้สั่งซื้อสินค้าเกินวงเงินเครดิตหรือไม่ ถ้าไม่
เกินก็อนุมัติการขายแต่ถ้าหากเกินก็อาจจะให้ชาระเป็นเงินสด จากนั้นจะมีการตรวจสอบแฟ้มสินค้าคงคลังว่ามีสินค้า
ดังกล่าวหรือไม่เพื่อตัดสต็อก (Stock) แล้วพิมพ์บิลเพื่อจัดส่งให้ลูกค้า แสดงการทางานการออกบิลโดยการ
ประมวลผลแบบโต้ตอบ
- 42. การเรียนรู้ที่ 5 ชนิดของโครงสร้างข้อมูล
1. ความหมายของโครงสร้างข้อมูล
โครงสร้างข้อมูล (Data Structure) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลทีอยู่ใน
่
โครงสร้างนั้นๆ รวมทั้งกระบวนการในการจัดการข้อมูลในโครงสร้าง เช่น เพิ่ม แก้ไข
ลบ ตัวอย่างของโครงสร้างข้อมูลประเภทต่างๆ ได้แก่ แถวลาดับ ลิงลิสต์ สแตก คิว
ทรี และกราฟ.
2. ประเภทของโครงสร้างข้อมูล
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- 44. 1.ข้อมูลเบื้องต้น (Primitive Data Types)
- จานวนเต็ม (Integer)
- จานวนทศนิยม (Floating point)
- ข้อมูลบูลีน (Boolean)
- จานวนจริง (Real)
- ข้อมูลอักขระ (Character)
2.ข้อมูลโครงสร้าง (Structure Data Types)
- แถวลาดับ (Array)
- ระเบียนข้อมูล (Record)
- แฟ้มข้อมูล (File)
- 45. การออกแบบระบบ
เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถที่จะเข้าใจและแกไขปัญหา
บางอย่างได้ จึงต้องมีวิธีการที่จะแก้ไขปัญหาโดยการออกแบบระบบ ซึ่งเป็นการ
วางแผนออกแบบที่แยกแยะออกเป็นปัญหาย่อย และพิจารณาสร้างชุดค้าสั่งเพื่อแก้ไข
ปัญหาย่อยนั้น จากนั้นมารวมกันเป็นระบบที่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมด มีลกษณะ ั
การวางแผนออกแบบจากบนลงล่าง (Top-down Design) ซึ่งประกอบด้วย 2
ส่วนหลัก ๆ คือ
1. โครงสร้างข้อมูล (Data Strutcure) ใช้ควบคุมและจัดการ
กับข้อมูลของปัญหานั้น ๆ หรือที่เรียกว่าชนิดข้อมูลมีโครงสร้าง เรียกสั้น ๆ ว่าชนิด
ข้อมูล เช่น ชนิดข้อมูลอาร์เรย์ ชนิดข้อมูลสแตก และชนิดข้อมูลลิงค์ ลิสต์ การ
้
ออกแบบระบบต้องเลือกใช้โครงสร้างข้อมูลอย่างเหมาะสมเพื่อจัดการกับข้อมูลที่ใช้ใน
ระบบ
2. การออกแบชุดคาสั่ง (Module Design) ในการแก้ไข
ปัญหาจะต้องมีกระบวนการท้างานเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารหรือเอ้าท์พุต ที่
ต้องการโดยชุดค้าสั่งเป็นส่วนประกอบของระบบ จึงต้องมีการออกแบบการท้างานที่
เป็นชุดค้าสั่งหรือโมดุลนั้นๆ และเรียกว่า อัลกอรึทึม ได้เป็น
- 46. การทีจะเลือกใช้โครงสร้างข้อมูลและอัลกอริทึมในการออกแบบให้การท้างานอย่สงมี
่
ประสิทธิภาพ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจส้าคัญของการออกแบบซอฟต์แวร์จะพิจารณาได้จากลักษณะ
ดังต่อไปนี้
ความถูกต้อง
ระยะเวลาการท้างาน
จ้านวนพื้นที่ใช้งาน
ความเรียบง่าย
ความเหมาะสมที่สุด
การเขียนคาสั่งและรวมกัน
การเขียนคาสั่ง (Coding) คือ การเขียนค้าสั่งต่าง ๆ ของโปรแกรมให้ท้างาน
เป็นไปตามโครงสร้างข้อมูลและอัลกอริทมด้วยภาษาเขียนโปรแกรมภาหนึ่ง ถ้าโครงสร้างข้อมูล
ึ
และอัลกอริทมถูกออกแบบไว้เป็นอย่างดีท้าให้กระบวนการแปลงค้าสั่งจากภาษาเขียนให้เป็น
ึ
ภาษาเครื่องก็จะง่ายไม่ยุ่งยากล้าบาก
การรวมกัน (Integration) เป็นกระบวนการน้าค้าสั่งต่าง ๆ ที่เขียนเป็นแต่
ละชุดค้าสั่งมารวมกันและให้มีการท้างานร่วมกันได้เป็นซอฟต์แวร์โปรแกรมขึ้นมา
การเขียนโปรแกรมที่ดีนั้นจะต้องมีความถูกต้องในการท้างาน สามารถอ่านค้าสั่ง
และท้าความเข้าใจได้ง่าย จึงต้องมีโครงสร้างการเขียนโปรแกรมที่ดี ซึ่งมีวิธีการเข้ามาช่วยเหลือ
ในการเขียนโดยพิจารณาได้จากเรื่องต่อไปนี้
- 47. 1. การเขียนโปรแกรมควรเป็นแบบบนลงล่าง (Top-Down)
โดยเฉพาะกับปัญหาที่มีขนาดใหญ่หรือมีความซับซ้อน จึงควรแยกปัญหาใหญ่
ออกเป็นปัญหาย่อย ๆ จากการเขียนค้าสั่งทั้งหมดในโปรแกรม ก็แยกเป็นชุดค้าสั่ง
ย่อย ๆ
2. ใช้โครงสร้างควบคุมการท้างาน (Control Structure) ใน
การเขียนโปรแกรมหรือชุดค้าสั่ง เช่น การใช้เงื่อนไข IF การใช้วนลูปแบบต่าง ๆ
3. ควรใช้ตัวแปรที่เป็นแบบโลคอล (Local Variable) และใช้กับ
ชุดค้าสั่งเพื่อแก้ปัญหาย่อย
4. ควรใช้ตัวแปรพารามิเตอร์ (Parameter) กับชุดค้าสั่งเพือ ่
แก้ไขปัญหาย่อย หลีกเลี่ยงที่จะใช้ตัวแปรที่เป็นแบบโกลบอล และตัวพารามิเตอร์ควรมี
การป้องกันหากมีการแก้ไขค่า
5. น้าตัวแปรค่าคงที่ ( Constant Variable) มาใช้ จะช่วยให้
การเขียนโปรแกรมมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและอ่านเข้าใจง่าย
6. การเขียนโปรแกรมควรมีการจัดพื้นที่หรือบรรทัดว่างเพื่อให้อาน่
สะดวก มีการย่อหน้าเพื่อจัดระดับของค้าสั่งและมีลกษณะที่เป็นกรอบ
ั
- 48. การท้างานของคอมพิวเตอร์จะมีการจัดการอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสาร และ
ความหมายโครงสร้างข้อมูล/ชนิดาข้อมูล ปแบบต่าง ๆ ที่ท้าความเข้าใจได้ แต่
สามารถน้ามาใช้งานออกมาเป็นข้อมูลข่ วสารในรู
เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นเพียงเครื่องจักรที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของข้อมูลข่าวสาร
ได้เช่นเดียวกับคน จึงมีการก้าหนดรูปแบบที่ใช้สื่อความหมายของข้อมูลข้าวสารให้
คอมพิวเตอร์กับผูใช้งานเข้าในตรงกันเรียกว่า โครงสร้างข้อมูลหรือชนิดข้อมูล โดยแบ่งออก
้
ได้เป็นดังนี้
บิต (Bit)
เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในการท้างานของคอมพิวเตอร์ที่แสดงเป็นสถานะได้ 2
สถานะ คือ เปิดกับปิด จึงก้าหนดเป็นการเก็บค่าได้ 2 ค่า คือ 0 กับ 1 เรียกว่าไบนารี่ดิจิต
(Binary Digit)
ไบต์ (Byte)
เป็นการน้าบิตหลาย ๆ บิตมาเรียงต่อรวมกันเพื่อก้าหนดค่าได้มากขึ้น เช่น 3
บิต มาต่อเรียงกันจะท้าให้เกิดสถานะทีต่างกันคือ 000,001,010,100,011,010,
่
และ 111 ก็จะได้เป็น 8 สถานะ เมื่อน้าบิตมาเรียงต่อรวมกันเป็น 8 บิต เรียกว่าไบต์ มี
256 สถานะ และก้าหนดเป็นโครงสร้างข้อมูลทีมีขนาดเล็กที่สุดที่ใช้งานได้ มีค่าตั้งแต่ 0
่
– 255 (00000000 – 11111111)
- 49. เลขจานวนเต็ม (Integer)
เป็นการน้าบิตหลาย ๆ บิตมาเรียงต่อรวมกันเพื่อก้าหนดเป็นเลขจ้านวนเต็ม ซึ่งได้เป็น
ระบบเลขฐานสอง โดยแต่ละบิตมีความหมายเป็นเลขยกก้าลังสอง เช่น 20 = 1, 23 = 8 หรือ
21 + 22 +25 = 2+4+32 = 38 เลขที่ได้เป็นเลขจ้านวนเต็มบวก ถ้าต้องการเป็นเลขจ้านวน
เต็มลบ จะต้องใช้วิธีการเรียกว่า One-complement Notation โดยการเปลี่ยนค่าของบิตที่เป็น
0 ให้เป็น 1 และค่าที่เป็น 1 ให้เป็น 0 เช่น 00100110 = 38 เมื่อสลับค่าจะได้บิต
11011001 = -38 ด้วยวิธีนี้ท้าให้เก็บค่าได้ทั้งเลขจ้านวนเต็มบวกและเต็มลบ ซึ่งมีบิตซ้ายสุดเป็น
ตัวก้าหนดให้มีค่าบวกหรือลบเรียกว่า Sign Bit เมื่อน้าบิตมาเรียงต่อกัน 16 บิตได้เป็นเลขจ้านวน
เต็มฐานสิบ มีอีกวิธีคือ Two-complement Notation โดยการบวกค่า 1 เข้าไปกับค่าของ
One-complement Notation เช่นจาก 11011001 = -38 เมื่อบวก 1 จะได้
11011010 = -38 เช่นกัน แต่วิธีนี้จ้าท้าให้เก็บค่าได้มากกว่า คือ มีตั้งแต่ -2n-1 ถึง 2n-1 -1
ดังต่อไปนี้
1000000000000000 = -32768 0000000000000000 = 0
1000000000000001 = -32767 0000000000000001 = 1
1000000000000010 = -32766 0000000000000010 = 2
1111111111111101 = -3 0111111111111101 = 32765
1111111111111110 = -2 0111111111111110 = 32766
1111111111111111 = -1 0111111111111111 = 32767
- 50. เลขจานวนจริง (Real Number)
เป็นรูปแบบของตัวเลขทีมีเลขทศนิยมเรียกว่า Floating – point
่
Number โดยท้าการแบ่งบิตออกเป็นสองส่วน โดยบิตที่อยู่ดานซ้ายเก็บค่าเป็น
้
ตัวเลขจ้านวนเต็ม เรียกว่า แมนทิสสา (Mantissa) การเก็บค่าเป็นแบบเดียวกับ
ตัวเลขจ้านวนเต็ม ส่วนบิตทีอยู่ดานขวาเก็บค้าเป็นจ้านวนหลักของ เลขทศนิยมเรียกว่า
่ ้
เอ็กซ์โพเนนท์ (Exponent) ในการเก็บจะใช้วธี Two – complement
ิ
Notation ซึ่งได้มาจากเลขยกก้าลังของ 10 เช่น .01 = 10-2, 6.25 x 10-
2 การเก็บค่าเลขทศนิยมจะใช้บิตจ้านวน 32 บิต โดยแบ่งส่วนที่เป็นแมนทิสสาจ้านวน
24 บิต และส่วนที่เป็นเอ็กซ์โพเนนท์จ้านวน 8 บิต ดังนี้
00000000000000000000000000000000 = 0
00000000000000000000110000000011 =
12000
00000000000000000000010111111111 = 0.5
00000000000000000000010111111010 =
0.000005
11111111011010001001111111111110 = -
387.53
- 51. ตัวอักษร (Character)
เป็นการเก็บค่าที่เป็นตัวอักษร แต่เนืองจากคอมพิวเตอร์ไม่
่
สามารถเข้าใจจึงใช้เลขจ้านวนเต็มสือความหมายแทนโดยใช้บิตจ้านวน 8 บิต
่
เรียกว่า Bit String ซึ่งค่าตัวเลขที่ได้จะก้าหนดเป็นตัวอกษรหนึ่งตัว ดังนั้นจะ
ได้ตัวอักษรทั้งหมด 256 ตัวที่เรียกว่าเอ็บซีดิก (EBCDIC) เช่น
ตัวอักษรA จะมีค่า 01000001 = 65 หรือ B มีค่า 01000010 =
66 ประกอบด้วยอักษรตัวเล็ก ตัวใหญ่ ตัวเลข และตัวอักษรพิเศษ และที่ใช้เพียง
7 บิตเรียกว่าวหัสแอสกี (ASCII Code) ใช้ครึ่งเดียวของเอ็บซีดิกแต่การ
ท้างานรวดเร็วกว่า เมื่อใดที่น้าตัวอักษรหลาย ๆ ตัวมาเรียงต่อกันก็จะได้เป็น
ข้อความ เช่น AB จะได้เป็น 0100000101000010 หากต้องการเก็บ
จ้านวนรูปแบบของตัวอักษรมากกว่านี้ก็สามารถท้าได้โดยการเพิ่มจ้านวนบิตเข้า
ไป ซึ่งขึ้นกับสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์จะรับได้หรือไม่ เช่นใช้ 10 บิตก็จะ
ได้ตัวอักษร 1024 รูปแบบ
- 52. การเรียนรู้ที่ 6 ลักษณะของข้อมูล
สารสนเทศ หมายถึง สิ่งที่ได้จากการประมวลข้อมูล และสามารถ น้าไปใช้ประโยชน์
ในการวางแผน การตัดสินใจ และการคาดการณ์ ในอนาคตได้ สารสนเทศอาจแสดงในรูป
ของข้อความ ตาราง แผนภูมิ รูปภาพ
ความ รู้ การารับรู้และเข้าใจสารสนเทศจนถึงระดับทีสามารถวิเคราะห์ และสังเคราะห์ได้คือมี
่
ความเข้าใจในองค์ประกอบต่างๆจนอาจสร้างเป็นทฤษฏี หรือเป็นแบบจ้าลองทางความคิด
และสามารถแก้ปัญหาในการด้าเนินงานได้
ระบบสารสนเทศ
ระบบ (System) ประกอบไปด้วย Input Process output และอาจจะมี
Feedback
ระบบสารสนเทศ (Information system) คือการน้าเอาองค์ประกอบความสัมพันธ์
ของระบบ มาใช้การรวบรวมบันทึก ประมวลผล และแจกจ่ายสารสนเทศเพื่อใช้ในการ
วางแผนควบคุมจัดการและสนับสนุนการตัดสินใจ
- 53. คุณลักษณะของสารสนเทศที่ดี
ในการจัดการเพื่อให้องค์การบรรลุถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่องค์การตั้งไว้
นั้น ดังที่กล่าวมาแล้วว่าข้อมูลและสารสนเทศเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความส้าคัญอย่างมากต่อทุก
องค์การ ทั้งนี้สารสนเทศที่ดีควรมีลกษณะ ดังต่อไปนี้
ั
1. ความเที่ยงตรง (Accuracy) สารสนเทศขององค์การที่ดีจะต้องมีความเทียงตรง ่
และเชื่อถือได้ โดยไม่ให้มีความคลาดเคลื่อนหรือมีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด ดังนั้น
ประสิทธิผลของการตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับความถูกต้องหรือความเที่ยงตรง ย่อมส่งผลกระทบ
ท้าให้การตัดสินใจมีความผิดพลาดตามไปด้วย
2. ทันต่อความต้องการใช้ (Timeliness) นอกเหนือจากสารสนเทศของ
องค์การจะต้องมีความเที่ยงตรงหรือความถูกต้องแล้ว ยังจะต้องมีคุณสมบัติของการ
ที่สามารถน้าสารสนเทศมาใช้ได้ทันทีเมื่อต้องการใช้ข้อมูล หรือเพื่อการตัดสินใจ ทั้งนี้
เนื่องจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางการบริหารทั้งภายในและภายนอกองค์การมีการ
เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
- 54. 3. ความสมบูรณ์ (Completeness) สารสนเทศขององค์การที่ดี จะต้องมีความสมบูรณ์
ที่จะช่วยท้าให้การตัดสินใจเป็นไปด้วยความถูกต้อง การมีสารสนเทศที่มีปริมาณมาก ไม่ได้
หมายถึงการที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิผลของการด้าเนินงาน สารสนเทศที่มีมากเกินไปอาจเป็น
สารสนเทศที่ไม่มีความส้าคัญ เช่นเดียวกับการมีสารสนเทศที่มีปริมาณน้อยเกินไป ก็อาจท้าให้
ไม่ได้สารสนเทศที่ส้าคัญครบเพียงพอทุกด้านที่จะน้าไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิผล และมี
ประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะต้องรอให้มีสารสนเทศครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์
ก่อนจึงจะท้าการตัดสินใจได้ เช่น จะตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราการใช้สินค้า ปริมาณสินค้าคงเหลือ
ราคาต่อหน่วย แหล่งผู้ผลิตค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา ระยะเวลารอคอย
ของสินค้าแต่ละชนิด ดังนั้นจะตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารสินค้าคงเหลือให้มีประสิทธิภาพ ก็
จ้าเป็นที่จะต้องได้รับสารสนเทศในทุกเรื่อง การขาดไปเพียงบางเรื่องจะส่งผลกระทบต่อการ
ตัดสินใจอย่างมากเป็นต้น จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ไม่ได้หมายความว่ามีสารสนเทศมากเฉพาะใน
บางด้าน ขณะที่สารสนเทศในบางด้านไม่มีหรือมีไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ แต่จะต้องได้รับ
สารสนเทศที่ส้าคัญครบในทุกด้านที่ท้าการตัดสินใจ
- 55. คุณลักษณะดังกล่าวข้างต้น มีความส้าคัญอย่างยิ่งที่ผู้บริหารงานบุคคล
จะต้องพยายามจัดระบบให้มีความพร้อมครบถ้วนและพร้อมที่จะใช้งานได้ ปัญหาส้าคัญที่
องค์การส่วนมากมักจะต้องเผชิญ คือ การไม่สามารถสนองข้อมูลที่เกียวกับบุคคลให้ทันกับ
่
ความจ้าเป็นใช้ในการที่จะต้องด้าเนินการหรือตัดสินปัญหาบางประการ ดังเช่น ถ้าหากมีเหตุ
เฉพาะหน้าที่ต้องการบุคคลที่มี คุณสมบัติอย่างหนึ่งในการบรรจุเข้าต้าแหน่งหนึ่งอย่าง
รวดเร็วในเวลาอันสั้น ซึ่งหากผู้จัดเตรียม ข้อมูลจะต้องใช้เวลาประมวลขึ้นมานานเป็นเดือนก็
ย่อมถือได้ว่า ข้อมูลที่สนองให้นั้นช้ากว่าเหตุการณ์ หรือในอีกทางหนึ่ง บางครั้งแม้จะเสนอ
ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นข้อมูลที่เป็นรายละเอียดมากเกินไปที่ไม่อาจพิจารณาแยกแยะ
คุณสมบัติที่ส้าคัญ หรือข้อมูลที่ส้าคัญที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอย่างเด่นชัด ก็ย่อมท้าให้การใช้
ข้อมูลนั้นเป็นไปด้วยความยากล้าบาก
นอกจากลักษณะที่ดีของสารสนเทศดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่แอบ
แฝงของสารสนเทศอีกบางลักษณะที่สัมพันธ์กับระบบสารสนเทศ และวิธีการด้าเนินงานของ
ระบบ สารสนเทศ ซึ่งจะมีความส้าคัญแตกต่างกันไปตามลักษณะงานเฉพาะอย่าง ซึ่ง
ได้แก่
- 56. 1. ความละเอียดแม่นย้า คือ สารสนเทศจะต้องมีความละเอียดแม่นย้าในการวัดข้อมูล ให้ความ
เชื่อถือได้สูง มีรายละเอียดของข้อมูล และแหล่งที่มาของข้อมูลที่ถูกต้อง
2. คุณสมบัติเชิงปริมาณ คือความสามารถที่จะแสดงออกมาในรูปของตัวเลขได้ และ
สามารถเปรียบเทียบในเชิงปริมาณได้
3. ความยอมรับได้ คือ ระดับความยอมรับได้ของกลุ่มผูใช้สารสนเทศอย่างเดียวกัน
้
สารสนเทศควรมีลักษณะเดียวกันในกลุ่มผู้ใช้งาน หรือใกล้เคียงกันโดยสามารถใช้ร่วมกันได้
เช่น การใช้เครื่องมือเพื่อวัดคุณภาพการผลิตสินค้า เครื่องมือดังกล่าวจะต้องเป็นที่ยอมรับได้
ว่าสามารถวัดค่าของคุณภาพได้อย่างถูกต้อง
4. การใช้ได้ง่าย คือ ความสามารถน้าไปใช้งานได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ทั้งในส่วนของ
ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน
5. ความไม่ล้าเอียง ซึ่งหมายถึง ไม่เป็นสารสนเทศที่มีจุดประสงค์ทจะปกปิดข้อเท็จจริง
ี่
บางอย่าง ซึ่งท้าให้ผู้ใช้เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริง หรือแสดงข้อมูลทีผิดจากความเป็นจริง
่
6. ชัดเจน ซึ่งหมายถึง สารสนเทศจะต้องมีความคลุมเครือน้อยที่สุด สามารถท้าความ
เข้าใจได้ง่าย
- 57. ระบบย่อย หรือส่วนประกอบของ MIS
ระบบประมวลผลรายการ (TPS = Transaction processing Systems)
เช่น การบันทึกรายการบัญชี การขาย การผลิต เป็นต้น
ระบบการจัดการรายงาน (MRS = Management Reporting System)
ช่วยจัดเตรียมรายงานสนองความต้องการของผูใช้ เช่น Grade report
้
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (DSS = Decision Support System)
ช่วยเตรียมรายงาน เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของผู้บริหารระดับต่าง ๆ
ระบบสารสนเทศส้านักงาน (OIS = Office Information System)
ระบบสารสนเทศในส้านักงานโดยอาศัยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
การรวมความสัมพันธ์ของแต่ละระบบย่อยเข้าด้วยกัน
ESS = Executive Support Systems
MIS = Management Information Systems
DDS = Decision Support Systems
OIS = Office Information Systems
TPS = Transaction Processing Systems