Mais conteúdo relacionado
Semelhante a (๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf (20)
Mais de maruay songtanin (20)
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
- 1. 1
พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก
ตอนที่ ๑๘ เขมาเถริยาปทาน
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒
๘. เขมาเถริยาปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเขมาเถรี
เกริ่นนา
พระชินเจ้าผู้สูงสุดแห่งนระ ทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งหม่อมฉันไว้ในเอตทัคคะว่า
เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุณีผู้มีปัญญามาก
(พระเขมาเถรี เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๒๘๙] พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้มีพระจักษุในธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้นา เสด็จอุบัติขึ้น
แล้วในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ ไป
[๒๙๐] ครั้งนั้น หม่อมฉันเกิดในตระกูลเศรษฐี มีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ในกรุงหงสวดี เป็น
ผู้เพียบพร้อมด้วยความสุขมาก
[๒๙๑] หม่อมฉันเข้าไปเฝ้าพระมหาวีระพระองค์นั้นแล้ว ได้ฟังพระธรรมเทศนา แต่นั้นหม่อมฉัน
เกิดความเลื่อมใส ได้ถึงพระชินเจ้าเป็นสรณะ
[๒๙๒] หม่อมฉันได้วิงวอนมารดาบิดาแล้ว จึงทูลนิมนต์พระชินเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นาวิเศษ พร้อมทั้ง
สาวกให้เสวยและฉันตลอด ๗ วัน
[๒๙๓] เมื่อ ๗ วันล่วงไปแล้ว พระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นสารถีฝึกนรชน ทรงตั้งภิกษุณีรูปหนึ่ง ซึ่ง
สูงสุดฝ่ายภิกษุณีผู้มีปัญญามากในเอตทัคคะ
[๒๙๔] หม่อมฉันได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว มีความยินดี ทาสักการะพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
พระองค์นั้นอีก แล้วหมอบลงปรารถนาตาแหน่งนั้น
[๒๙๕] แต่นั้น พระชินเจ้าพระองค์นั้นตรัสกะหม่อมฉันว่า “ความปรารถนาของเธอจักสาเร็จ
สักการะที่เธอทาแล้วแก่เรา พร้อมทั้งพระสงฆ์นี้ มีผลประมาณไม่ได้
[๒๙๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ ไป พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร ทรง
สมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๒๙๗] สตรีผู้นี้ จักเป็นภิกษุณีมีนามว่าเขมา เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็น
โอรสที่ธรรมเนรมิต จักได้ตาแหน่งอันเลิศนี้ ”
- 2. 2
[๒๙๘] ด้วยกรรมที่หม่อมฉันได้ทาไว้ดีแล้วนั้น และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น หม่อมฉันละกายมนุษย์
แล้ว จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๒๙๙] หม่อมฉันจุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นยามา จุติจากสวรรค์ชั้นยา
มานั้นแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี จุติจาก
สวรรค์ชั้นนิมมานรดีนั้นแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
[๓๐๐] เพราะอานาจแห่งกรรมนั้น หม่อมฉันเกิดในภพใดๆ ในภพนั้นๆ ก็ได้เป็นพระมเหสีของ
พระราชา
[๓๐๑] หม่อมฉันจุติจากสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนั้นแล้ว มาเกิดในหมู่มนุษย์ ได้เป็นพระมเหสี
ของพระเจ้าจักรพรรดิ และได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน
[๓๐๒] เสวยสมบัติทั้งในเทวโลกและในมนุษยโลก มีความสุขทุกชาติ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกัป
เป็นอันมาก
[๓๐๓] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงเป็นผู้นาสัตว์โลก งดงาม
น่าทัศนายิ่งนัก ทรงเห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
[๓๐๔] หม่อมฉันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ทรงเป็นผู้นาสัตว์โลก ทรงเป็นสารถีฝึกนรชน
ได้ฟังธรรมที่ประณีตแล้วจึงออกบวชเป็นบรรพชิต
[๓๐๕] ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในศาสนาของพระวีรเจ้าพระองค์นั้นตลอด ๑๐,๐๐๐ ปี ประกอบ
ความเพียร เป็นพหูสูต
[๓๐๖] ฉลาดในปัจจยาการ ชานาญในสัจจะ ๔ มีปัญญาละเอียด แสดงธรรมไพเราะ ปฏิบัติตาม
สัตถุศาสน์ (สัตถุศาสน์ ในที่นี้ หมายถึง สัจจะ ๔ กัมมัฏฐาน และภาวนา)
[๓๐๗] ด้วยผลแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ หม่อมฉันจุติจากภพนั้นแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
เป็นผู้มียศ เสวยสมบัติอยู่ในภพนั้นและภพอื่น
[๓๐๘] หม่อมฉันเกิดในภพใดๆ ก็เป็นผู้มีโภคะมาก มีทรัพย์มาก มีปัญญา มีรูปงาม มีบริวารชนที่
เชื่อฟัง
[๓๐๙] ด้วยกรรมและความเพียรในศาสนาของพระชินเจ้านั้น หม่อมฉันเป็นที่รักดังดวงใจ(ของ
สามี) สมบัติทุกอย่างหม่อมฉันได้โดยง่าย
[๓๑๐] ด้วยผลแห่งการปฏิบัติของหม่อมฉัน เมื่อหม่อมฉันอยู่ ณ ที่ใดๆ ผู้ที่เป็นสามีหม่อมฉันก็ไม่
ดูหมิ่น ทั้งใครอื่นๆ ก็ไม่ดูหมิ่นหม่อมฉัน
[๓๑๑] ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของพราหมณ์ มีพระยศยิ่งใหญ่ พระนามว่าโกนา
คมนะ ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลาย เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
[๓๑๒] ครั้งนั้นเอง ชน ๓ คน คือนางธนัญชานีพราหมณี พระนางสุเมธาเถรี และหม่อมฉัน เป็น
คนของตระกูลที่สาเร็จความประสงค์ทุกอย่างในกรุงพาราณสี
[๓๑๓] หม่อมฉันทั้งหลายได้ถวายสังฆารามแก่พระมุนีหลายพันองค์ และได้สร้างวิหารอุทิศถวาย
พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งสงฆ์สาวก
- 3. 3
[๓๑๔] หม่อมฉันทั้งหลายทั้งหมดพากันจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถึง
ความเป็นผู้เลิศด้วยยศ และเมื่อเกิดในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน
[๓๑๕] ในกัปนี้ เอง พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ตามพระโคตร ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของพราหมณ์ มี
พระยศยิ่งใหญ่ ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลาย เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
[๓๑๖] ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี เป็นใหญ่กว่านรชนในกรุงพาราณสีที่ประเสริฐสุด ทรง
เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๓๑๗] หม่อมฉันเป็นธิดาคนโตของพระองค์มีนามปรากฏว่าสมณี ได้ฟังธรรมของพระชินเจ้าผู้
เลิศแล้วพอใจการบรรพชา
[๓๑๘] แต่พระชนกนาถมิได้ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทั้งหลายบวช ครั้งนั้น หม่อมฉันทั้งหลายไม่
เกียจคร้าน ครองเรือนอยู่ ๒๐,๐๐๐ ปี
[๓๑๙] พระราชกัญญาทั้ง ๗ พระองค์ มีความสุข ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่ยังเป็นกุมารี
เพลิดเพลินยินดีอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า
[๓๒๐] คือ (๑) พระนางสมณี (๒) พระนางสมณคุตตา (๓) พระนางภิกษุณี (๔) พระนางภิกขุ
ทาสิกา (๕) พระนางธรรมา (๖) พระนางสุธรรมา (๗) พระนางสังฆทาสิกา
[๓๒๑] (พระราชธิดาทั้ง ๗ นั้นได้กลับชาติมาเกิด) คือ หม่อมฉัน ๑ พระอุบลวรรณาเถรี ๑
พระปฏาจาราเถรี ๑ พระกุณฑลเกสีเถรี ๑ พระกีสาโคตมีเถรี ๑ พระธรรมทินนาเถรี ๑ และคนที่ ๗ เป็น
วิสาขามหาอุบาสิกา
[๓๒๒] บางครั้งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นดังดวงอาทิตย์ของนรชน ทรงแสดงธรรมเป็น
อัศจรรย์ หม่อมฉันได้ฟังมหานิทานสูตร แล้วนามาศึกษาปฏิบัติอยู่
[๓๒๓] ด้วยกรรมทั้งหลายที่หม่อมฉันได้ทาไว้ดีแล้วนั้น และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น หม่อมฉันละ
กายมนุษย์แล้วจึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๓๒๔] บัดนี้ เป็นภพสุดท้าย หม่อมฉันเป็นพระธิดาที่พอพระทัย รักใคร่ โปรดปรานของพระ
เจ้ามัททราช ในสากลนครที่อุดมสมบูรณ์
[๓๒๕] พร้อมกับในกาลที่หม่อมฉันพอเกิดมา นครนั้นได้มีแต่ความเกษมสาราญ เพราะฉะนั้น
นามว่าเขมา จึงเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันโดยคุณ
[๓๒๖] เมื่อหม่อมฉันเจริญวัยเป็นสาว มีรูปร่างและผิวพรรณงดงาม พระราชบิดาก็โปรดประทาน
หม่อมฉันแก่พระเจ้าพิมพิสาร
[๓๒๗] หม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานของพระราชสวามีนั้น ยินดีแต่ในการบารุงรูปโฉม ไม่เอื้อเฟื้ อ
อย่างมากด้วยคิดว่า พระพุทธเจ้ามีปกติกล่าวโทษของรูป
[๓๒๘] ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงโปรดให้นักขับ ขับร้องเพลงพรรณนาพระเวฬุวันเจาะจง
หม่อมฉัน เพื่ออนุเคราะห์หม่อมฉันให้มีความรู้สึก
[๓๒๙] หม่อมฉันสาคัญว่าพระเวฬุวัน ซึ่งเป็นที่ประทับของพระสุคต เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ผู้ใด
ยังมิได้เห็น ผู้นั้นก็จัดว่ายังไม่ได้เห็นสวนนันทวัน
- 4. 4
[๓๓๐] พระเวฬุวัน ซึ่งเป็นสถานที่น่าเพลิดเพลินยินดีของนรชน ผู้ใดได้เห็นแล้ว ผู้นั้นเหมือนได้
เห็นสวนนันทวัน ซึ่งเป็นสถานที่เพลิดเพลินของท้าวอัมรินทราธิราช
[๓๓๑] ท้าวสักกเทวราชและเทพทั้งหลายละสวนนันทวันแล้ว ลงมาที่พื้นปฐพี เห็นพระเวฬุวันที่น่า
รื่นรมย์แล้ว ก็อัศจรรย์ใจ มิรู้เบื่อ
[๓๓๒] พระเวฬุวันเกิดขึ้นเพราะบุญของพระราชา อันบุญญานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าประดับแล้ว
ใครเล่าจะประมวลคุณแห่งพระเวฬุวันมากล่าวให้หมดสิ้นได้
[๓๓๓] ครั้งนั้น หม่อมฉันได้ฟังความสาเร็จแห่งสมบัติของพระเวฬุวัน ที่เสนาะโสตไพเราะจับใจ
หม่อมฉัน ใคร่จะได้ชมอุทยานนั้นจึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
[๓๓๔] ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินจึงโปรดส่งหม่อมฉัน ผู้มุ่งจะชมอุทยานนั้น ไปพร้อมด้วยบริวาร
เป็นจานวนมาก ด้วยพระดารัสว่า
[๓๓๕] “พระนางผู้มีโภคะเป็นอันมาก เชิญไปชมพระเวฬุวันซึ่งเป็นที่สบายตา ซึ่งเปล่งปลั่งด้วย
พระรัศมีของพระสุคต สว่างไสวด้วยพระสิริตลอดเวลา”
[๓๓๖] (หม่อมฉันทูลว่า) “เมื่อใดพระมุนีเสด็จเข้ามาทรงรับบิณฑบาต ยังกรุงราชคฤห์อันยอด
เยี่ยม เมื่อนั้น หม่อมฉันจะเข้าไปชมพระเวฬุวันมหาวิหาร”
[๓๓๗] ขณะนั้น พระเวฬุวันมหาวิหาร มีสวนดอกไม้ที่แย้มบาน มีเสียงหึ่งด้วยหมู่ภมรนานาชนิด
มีเสียงนกดุเหว่าร่าร้อง ทั้งหมู่นกยูงก็ราแพน
[๓๓๘] สงัดจากเสียงอย่างอื่น ไม่พลุกพล่าน ประดับไปด้วยที่จงกรมต่างๆ สะพรั่งไปด้วยแถวแห่ง
กุฎีและมณฑป เรียงรายไปด้วยพระโยคีผู้บาเพ็ญเพียร
[๓๓๙] หม่อมฉันเมื่อเดินเที่ยวไปได้รู้สึกว่า “นัยน์ตาของเรามีประโยชน์” ครั้งนั้น หม่อมฉันเห็น
ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งประกอบกิจอยู่ แล้วคิดไปว่า
[๓๔๐] ‘ภิกษุนี้ ยังอยู่ในวัยรุ่นหนุ่ม มีรูปงาม น่าปรารถนา ปฏิบัติดีอยู่ในป่าที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้
เหมือนคนอยู่ในที่มืด
[๓๔๑] ภิกษุนี้ มีศีรษะโล้น ห่มผ้าสังฆาฏินั่งอยู่ที่โคนไม้ ละความยินดีที่เกิดจากอารมณ์เข้าฌานอยู่
หนอ
[๓๔๒] ธรรมดาคฤหัสถ์บริโภคกามอย่างมีความสุข แก่แล้วจึงควรประพฤติธรรมอันดีงามนี้ ใน
ภายหลังมิใช่หรือ’
[๓๔๓] หม่อมฉันเข้าใจว่า ‘พระคันธกุฎีที่ประทับแห่งพระชินเจ้าว่างเปล่า’ จึงเดินเข้าไป ได้เห็น
พระชินเจ้าผู้งดงามดังดวงอาทิตย์อุทัย
[๓๔๔] ประทับสาราญอยู่พระองค์เดียว มีสตรีสาวสวยพัดวีอยู่ ครั้นแล้วจึงมีความคิดผิดอย่างนี้ ว่า
‘พระผู้มีพระภาคผู้องอาจกว่านรชนพระองค์นี้ มิได้เศร้าหมองเลย
[๓๔๕] หญิงสาวนั้นก็มีรัศมีเปล่งปลั่งดังทองธรรมชาติ มีหน้าตางดงามดังปทุมชาติ ริมฝีปากก็
แดงดังผลตาลึงสุก ชาเลืองมองแต่น้อย เป็นที่ติดตาตรึงใจยิ่งนัก
- 5. 5
[๓๔๖] มีลาแขนงามเหมือนทองคา วงหน้าสวย ถันทั้งคู่ก็เต่งตึงดังดอกบัวตูม มีเอวคอดกลมกลึง
สะโพกผึ่งผาย ลาขาน่ายินดี มีเครื่องประดับสวยงาม
[๓๔๗] ผ้าสไบมีสีแดงแวววาว นุ่งห่มผ้าเนื้ อเกลี้ยงสีเขียว มีรูปสมบัติที่ชวนชมโดยไม่รู้เบื่อ ประดับ
ด้วยเครื่องอาภรณ์ทุกชนิด’
[๓๔๘] หม่อมฉันเห็นสตรีสาวนั้นแล้วจึงคิดว่า ‘โอ! สตรีสาวคนนี้ มีรูปงามเหลือเกิน เราไม่เคย
เห็นด้วยนัยน์ตาดวงนี้ ในที่ไหนๆ มาก่อนเลย’
[๓๔๙] ขณะนั้น สตรีสาวคนนั้นถูกชราย่ายี มีผิวพรรณแปลกไป ปากอ้า ฟันหัก ผมหงอก น้าลาย
ไหล หน้าไม่สะอาด
[๓๕๐] หูตึง นัยน์ตาฝ้าฟาง ถันหย่อนยาน ไม่งาม เหี่ยวย่นทั่วกาย มีศีรษะและร่างกายสั่นงันงก
[๓๕๑] หลังงอ มีไม้เท้าเป็นเพื่อนเดิน ร่างกายซูบผอมซีดไป สั่นงันงก ล้มลงแล้วหายใจถี่ๆ
[๓๕๒] จากนั้น ความสังเวชที่ก่อให้เกิดขนพองสยองเกล้า ซึ่งไม่เคยมีก็ได้มีแก่หม่อมฉันว่า ‘น่าติ
เตียน รูปไม่สะอาดที่พวกคนเขลายินดีกัน’
[๓๕๓] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา มีจิตเบิกบานโสมนัส ทอดพระเนตร
เห็นหม่อมฉัน ผู้มีใจสังเวชแล้ว จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ ว่า
[๓๕๔] “เขมา เธอจงดูรูปกายที่กระสับกระส่าย ไม่สะอาด เปื่อยเน่า (มีของเหลว) ไหลเข้าและ
ไหลออก ที่พวกคนเขลาพากันยินดียิ่งนัก
[๓๕๕] เธอจงอบรมจิตให้เป็นสมาธิมีอารมณ์เดียว ด้วยอารมณ์ที่ไม่งามเถิด เธอจงเจริญกายคตา
สติมากไปด้วยความเบื่อหน่ายเถิด
[๓๕๖] รูปของหญิงนี้ เป็นฉันใด รูปกายของเธอนั้นก็เป็นฉันนั้น รูปกายของเธอนั้นเป็นฉันใด รูป
ของหญิงนี้ ก็เป็นฉันนั้น เธอจงคลายความยินดีพอใจในกายทั้งภายในและภายนอกเถิด
[๓๕๗] จงอบรมอนิมิตตวิโมกข์ (อนิมิตตวิโมกข์ หมายถึงความหลุดพ้นที่เกิดจากปัญญาพิจารณา
เห็นนามรูป โดยความเป็นอนิจจัง คือหลุดพ้นด้วยเห็นอนิจจตาแล้วถอนนิมิตเสียได้) จงละมานานุสัยเสีย
แต่นั้นเธอจักเป็นผู้อยู่อย่างสงบ เพราะมานานุสัยสงบระงับไป
[๓๕๘] ชนเหล่าใดกาหนัดเพราะราคะเกาะติดกระแสอยู่ เหมือนแมงมุมเกาะใยอยู่ตรงกลางที่ทา
ไว้เอง ชนเหล่านั้นตัดกระแสราคะนั้นแล้ว ไม่มีความอาลัย ละกามสุข หลีกไป”
[๓๕๙] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้เป็นสารถีฝึกนรชน ทรงทราบว่า หม่อมฉันมีจิตควรแล้ว จึงทรง
แสดงมหานิทานสูตรเพื่อทรงแนะนาหม่อมฉัน
[๓๖๐] หม่อมฉันได้ฟังพระสูตรอันประเสริฐนั้นแล้ว จึงระลึกถึงสัญญาในกาลก่อนได้ ตั้งมั่นอยู่ใน
สัญญานั้นแล้ว ชาระธรรมจักษุ (ธรรมจักษุ หมายถึงปัญญาในมรรค ๓ คือ โสดาปัตติมรรค
สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค) ให้หมดจด
[๓๖๑] ขณะนั้น หม่อมฉันหมอบลงแทบพระยุคลบาท ของพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
เพื่อประสงค์จะแสดงโทษ จึงได้กราบทูลคานี้ ว่า
- 6. 6
[๓๖๒] “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง หม่อมฉันขอนอบน้อมพระองค์ ข้าแต่
พระองค์ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งพระมหากรุณา หม่อมฉันขอนอบน้อมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เสด็จข้ามวัฏฏ
สงสารได้แล้ว หม่อมฉันขอนอบน้อมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงประทานอมตธรรม หม่อมฉันขอนอบน้อม
พระองค์
[๓๖๓] หม่อมฉันจมอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ หลงใหลเพราะกามราคะ พระองค์ทรงแนะนาด้วยอุบายที่
ชอบ เป็นผู้ยินดีในธรรมที่ทรงแนะนา
[๓๖๔] สัตว์ทั้งหลายพลัดพรากจากประโยชน์ เพราะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอัน
ยิ่งใหญ่เช่นพระองค์ จึงประสบมหันตทุกข์อยู่ในสงสารสาคร
[๓๖๕] ในกาลใดหม่อมฉันยังมิได้มาเข้าเฝ้าพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ผู้ไม่มีข้าศึกคือ
กิเลส ทรงถึงที่สุดแห่งมรณธรรม ทรงมีธรรมที่เป็นประโยชน์อย่างดี หม่อมฉันขอแสดงโทษนั้น
[๓๖๖] หม่อมฉันมัวแต่ยินดีในรูป ระแวงว่าพระองค์จะไม่เป็นประโยชน์จึงมิได้เข้าเฝ้า พระองค์ผู้
ทรงมีความเกื้อกูลมาก ทรงประทานพระธรรมที่ประเสริฐ หม่อมฉันขอแสดงโทษนั้น”
[๓๖๗] ครั้งนั้น พระชินเจ้าผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา มีพระสุรเสียงไพเราะและก้องกังวาน
เมื่อจะทรงใช้น้าอมฤตรดหม่อมฉันจึงตรัสว่า “ลุกขึ้นเถิดเขมา”
[๓๖๘] ครั้งนั้น หม่อมฉันประณตน้อมนมัสการด้วยเศียรเกล้า ทาประทักษิณพระองค์แล้ว
กลับไปเฝ้าพระราชา ผู้เป็นใหญ่กว่านรชนแล้วกราบทูลคานี้ ว่า
[๓๖๙] “ข้าแต่พระองค์ผู้ย่ายีข้าศึก อุบายที่พระองค์ทรงดาริแล้วโดยชอบนี้ น่าอัศจรรย์ หม่อมฉัน
ผู้ปรารถนาจะเที่ยวชมพระเวฬุวันมหาวิหาร ได้เฝ้าพระมุนีผู้ไม่มีกิเลสเพียงดังป่าแล้ว
[๓๗๐] ข้าแต่พระราชา ถ้าพระองค์ทรงพอพระทัย หม่อมฉันผู้เบื่อหน่ายในรูปตามที่พระมุนีตรัส
สอนแล้ว จักบวชในศาสนาของพระมุนีผู้คงที่พระองค์นั้น”
[๓๗๑] ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าพิมพิสาร พระองค์นั้น ทรงประคองอัญชลีตรัสว่า
“พระน้องนาง พี่อนุญาตแก่เธอ ขอการบรรพชาจงสาเร็จแก่เธอเถิด”
[๓๗๒] ครั้งนั้น หม่อมฉันบวชมาแล้วผ่านไป ๗ เดือน เห็นประทีปสว่างขึ้นและดับไป จึงมีใจ
สังเวช
[๓๗๓] มีความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง ฉลาดในปัจจยาการ ข้ามพ้นโอฆะ (โอฆะ หมายถึง
สังกิเลสท่วมทับใจสัตว์มี ๔ คือ (๑) กาโมฆะ (๒) ภโวฆะ (๓) ทิฏโฐฆะ (๔) อวิชโชฆะ)-
๔ แล้ว ก็ได้บรรลุ
อรหัตตผล
[๓๗๔] หม่อมฉันเป็นผู้มีความชานาญในฤทธิ์ ในทิพพโสตธาตุและในเจโตปริยญาณ
[๓๗๕] รู้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพยจักษุหม่อมฉันก็ชาระให้หมดจดแล้ว อาสวะทั้งปวงก็สิ้นไป
แล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก
[๓๗๖] อัตถปฏิสัมภิทาญาณ ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ และปฏิภาณ
ปฏิสัมภิทาญาณที่บริสุทธิ์ของหม่อมฉัน ล้วนเกิดขึ้นแล้วในศาสนาของพระพุทธเจ้า
- 7. 7
[๓๗๗] หม่อมฉันเป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลาย (วิสุทธิทั้งหลาย หมายถึงสีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ
และทิฏฐิวิสุทธิ) คล่องแคล่วในกถาวัตถุ รู้แจ้งนัยแห่งพระอภิธรรม เชี่ยวชาญในศาสนา
[๓๗๘] จากนั้น พระราชสวามีผู้ฉลาด ตรัสถามปัญหาที่ละเอียดลึกซึ้งในโตรณวัตถุ หม่อมฉันได้
วิสัชนาโดยควรแก่กถา
[๓๗๙] ครั้งนั้น พระราชาเสด็จเข้าเฝ้าพระสุคตแล้ว ทูลถามปัญหาเหล่านั้น พระพุทธเจ้าทรง
พยากรณ์ปัญหาเหล่านั้น เหมือนอย่างที่หม่อมฉันพยากรณ์
[๓๘๐] พระชินเจ้าผู้สูงสุดแห่งนระ ทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งหม่อมฉันไว้ใน
เอตทัคคะว่า เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุณีผู้มีปัญญามาก
[๓๘๑] กิเลสทั้งหลายหม่อมฉันก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวงหม่อมฉันก็ถอนได้แล้ว หม่อมฉันตัดกิเลส
เครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๓๘๒] การที่หม่อมฉันมาในสานักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ หม่อมฉันได้บรรลุแล้วโดยลาดับ คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทาสาเร็จแล้ว
[๓๘๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ หม่อมฉันก็ได้ทาให้แจ้งแล้ว
คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทาสาเร็จแล้ว ดังนี้ แล
ได้ทราบว่า พระเขมาภิกษุณีได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
เขมาเถริยาปทานที่ ๘ จบ
-------------------------