SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 26
Baixar para ler offline
1
การบาเพ็ญบารมี ๑๐ พระชาติ ตอนที่ ๓
สุวัณณสามชาดก (เมตตาบารมี)
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
พระบรมศาสดาเมื่อประทับ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุเลี้ยงดูมารดารูปหนึ่ง ตรัสสุวัณณสาม
ชาดกซึ่งมีคาเริ่มต้นว่า ใครกันหนอใช้ลูกศรยิงเราผู้ประมาทกาลังนาน้าไปอยู่ ดังนี้ เป็นต้น
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒
๓. สุวัณณสามชาดก
ว่าด้วยสุวรรณสามบาเพ็ญเมตตาบารมี
(สุวรรณสามโพธิสัตว์ไม่ทันเห็นพระราชา จึงตรัสว่า)
[๒๙๖] ใครกันหนอใช้ลูกศรยิงเราผู้ประมาท (ประมาท หมายถึงยังมิได้คุมสติด้วยเมตตาภาวนา)
กาลังนาน้าไปอยู่ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์คนไหนแอบซุ่มยิงเรา
(สุวรรณสามโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงว่า เนื้ อที่ร่างกายของตนไม่เป็นอาหาร จึงตรัสว่า)
[๒๙๗] เนื้ อของเราก็ไม่ควรจะกิน หนังของเราก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรหนอ
เขาจึงเข้าใจว่า เราเป็นผู้ควรยิง
(สุวรรณสามโพธิสัตว์ตรัสถามชื่อพระราชานั้นว่า)
[๒๙๘] ท่านเป็นใคร เป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร สหาย เราถามแล้ว ขอท่านจง
บอกเถิด ทาไมท่านจึงซุ่มยิงเรา
(พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสตอบว่า)
[๒๙๙] เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนทั้งหลายรู้จักเราว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เพราะความโลภ
เราจึงละทิ้งแคว้นมาเที่ยวแสวงหาเนื้ อ
[๓๐๐] เราเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่า เป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้กาลังคน
ถึง ๑,๐๐๐ คนได้ แม้ช้างที่มาถึงระยะที่ลูกศรยิงก็ไม่พึงพ้นเราไปได้
(พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสถามชื่อและโคตรของสุวรรณสามโพธิสัตว์ว่า)
[๓๐๑] ท่านเป็นใคร เป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร ท่านจงประกาศชื่อและโคตรของ
บิดาและตัวของท่านเองให้ทราบด้วย
(สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
2
[๓๐๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรของนายพราน (บุตรของนายพราน หมายถึง
เป็นบุตรฤๅษี) พวกญาติต่างเรียกข้าพระองค์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า สาม วันนี้ ข้าพระองค์นั้นเข้าไปในปากแห่ง
ความตาย จึงนอนอยู่อย่างนี้
[๓๐๓] ข้าพระองค์ถูกพระองค์ยิงด้วยศรลูกใหญ่ อาบยาพิษเหมือนยิงเนื้ อ ข้าแต่พระราชา ขอ
พระองค์ทอดพระเนตรข้าพระองค์ ผู้นอนเปื้ อนเลือดของตน
[๓๐๔] ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรลูกศรที่ทะลุออกข้างซ้าย ข้าพระองค์บ้วนโลหิต เป็นผู้
กระสับกระส่าย ขอทูลถามพระองค์ว่า ทาไมจึงซุ่มยิงข้าพระองค์
[๓๐๕] เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรหนอ
พระองค์จึงเข้าพระทัยว่า ข้าพระองค์เป็นผู้ที่ควรยิง
(พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสแก้ตัวว่า)
[๓๐๖] เนื้ อปรากฏมาถึงระยะลูกศรแล้ว ท่านสาม มันเห็นท่านแล้วจึงแตกหนีไป เพราะฉะนั้น
เราจึงโกรธ
(สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
[๓๐๗] ตั้งแต่ข้าพระองค์จาความได้ ตั้งแต่ข้าพระองค์รู้จักรับผิดชอบ ฝูงเนื้ อในป่าแม้จะเป็น
เนื้ อร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์
[๓๐๘] ตั้งแต่ข้าพระองค์นุ่งเปลือกไม้อยู่ในปฐมวัย ฝูงเนื้ อในป่าแม้จะเป็นเนื้ อร้าย แต่ก็ไม่สะดุ้ง
กลัวข้าพระองค์
[๓๐๙] ข้าแต่พระราชา ฝูงกินนรผู้ขลาดกลัวที่ภูเขาคันธมาทน์ เราทั้งหลายต่างเพลิดเพลินพากัน
ไปสู่ภูเขาและป่า
[๓๑๐] ฝูงเนื้ อแม้จะเป็นเนื้ อร้ายในป่า ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ฝูง
เนื้ อจึงจะสะดุ้งกลัวข้าพระองค์เล่า
(พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า)
[๓๑๑] ท่านสาม เนื้ อหาได้สะดุ้งกลัวท่านไม่ เรากล่าวเท็จแก่ท่านต่างหาก เราถูกความโกรธและ
ความโลภครอบงา จึงได้ปล่อยลูกศรนั้นไปถึงท่าน
[๓๑๒] สาม ท่านมาจากไหน ใครใช้ท่านมาว่า ท่านจงไปยังแม่น้ามิคสัมมตาแล้วตักน้ามา
(สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้อดกลั้นทุกขเวทนาแสนสาหัส กราบทูลว่า)
[๓๑๓] มารดาบิดาของข้าพระองค์เป็นคนตาบอด ข้าพระองค์เลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ นั้นอยู่ในป่าใหญ่
ข้าพระองค์จะไปตักน้ามาให้ท่านทั้ง ๒ นั้น จึงมายังแม่น้ามิคสัมมตา
(สุวรรณสามโพธิสัตว์กล่าวบ่นเพ้อราพันถึงมารดาบิดาว่า)
[๓๑๔] ท่านทั้ง ๒ นั้นมีเพียงอาหารเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จะพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียง ๖ วันเพราะ
ไม่ได้น้า ท่านผู้ตาบอดทั้ง ๒ เห็นจักตายแน่
[๓๑๕] ข้าพระองค์ไม่เป็นทุกข์ เพราะความทุกข์เช่นนี้ คนพึงได้รับเหมือนกัน แต่ความทุกข์ที่ข้า
พระองค์ไม่ได้พบมารดา เป็นความทุกข์อย่างยิ่งของหม่อมฉัน
3
[๓๑๖] ข้าพระองค์ไม่เป็นทุกข์ เพราะความทุกข์เช่นนี้ คนพึงได้รับเหมือนกัน แต่ความทุกข์ที่ข้า
พระองค์ไม่ได้พบบิดา เป็นความทุกข์อย่างยิ่งของหม่อมฉัน
[๓๑๗] มารดานั้น จะร้องไห้อย่างน่าสงสารเป็นเวลานาน จนเที่ยงคืน หรือตลอดคืน จะซูบซีดลง
เหมือนแม่น้าน้อยในฤดูร้อนเหือดแห้งไป
[๓๑๘] บิดานั้นจักเป็นทุกข์ลาบากแน่เป็นเวลานาน จนเที่ยงคืน หรือตลอดคืน จะซูบซีดลง
เหมือนแม่น้าน้อยในฤดูร้อนเหือดแห้งไป
[๓๑๙] มารดาและบิดาทั้ง ๒ จักเที่ยวบ่นเรียกหาข้าพระองค์ว่า พ่อสามๆ ในป่าใหญ่ เพื่อต้องการ
ปรนนิบัติเท้า และเพื่อต้องการบีบนวดมือและเท้าด้วยความพยายาม
[๓๒๐] ถึงความโศกนี้ เป็นลูกศรที่ ๒ ทาหัวใจของข้าพระองค์ให้สะท้านหวั่นไหว ความโศกใดที่ข้า
พระองค์ไม่ได้พบมารดาและบิดาทั้ง ๒ ผู้ตาบอด เพราะความโศกนั้น ข้าพระองค์เห็นจะต้องเสียชีวิตไป
(พระเจ้าปิลยักษ์ทรงฟังคาเพ้อราพันของสุวรรณสามโพธิสัตว์ ทรงสันนิษฐานแล้ว ตรัสว่า)
[๓๒๑] ท่านสามผู้เห็นกัลยาณธรรม ท่านอย่าคร่าครวญไปนักเลย เราจะทาการงานเลี้ยงดูมารดา
และบิดาของท่านในป่าใหญ่
[๓๒๒] เราเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้กาลังคน
ถึง ๑,๐๐๐ คนได้ เราจะทาการงานเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่
[๓๒๓] เราจักแสวงหาของที่เป็นเดนของฝูงเนื้ อและมูลผลาผลในป่า จะทางานเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ใน
ป่าใหญ่
[๓๒๔] ท่านสาม มารดาและบิดาของท่านอยู่ป่าไหน เราจะเลี้ยงดูมารดาและบิดาของท่าน ให้
เหมือนอย่างที่ท่านได้เลี้ยงดูมา
(สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลบอกหนทางว่า)
[๓๒๕] ขอเดชะ หนทางที่เดินไปได้คนเดียว ที่มีอยู่ทางศีรษะของข้าพระองค์นี้ พระองค์เสด็จไป
จากที่นี้ สิ้นระยะทางประมาณกึ่งโกสะ (โกสะ เป็นชื่อมาตราวัดระยะ ๑ โกสะ เท่ากับ ๕๐๐ ชั่วธนู อัฑฒโกสะ
= ๒๕๐ ชั่วธนู (๒๕๐ วา)) ก็จะเสด็จถึงเรือนหลังเล็กๆ ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาและบิดาทั้ง ๒ ของข้า
พระองค์ ขอพระองค์เสด็จไปจากที่นี้ แล้ว จงเลี้ยงดูมารดาและบิดาของข้าพระองค์เถิด
[๓๒๖] ข้าแต่พระเจ้ากาสี ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐกาสีให้เจริญ
ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงพระกรุณาเลี้ยงดูมารดาและบิดาผู้ตาบอดของข้า
พระองค์ในป่าใหญ่ด้วยเถิด
[๓๒๗] ข้าแต่พระเจ้ากาสี ข้าพระองค์ขอประคองอัญชลี ถวายบังคมพระองค์ ข้าพระองค์กราบทูล
พระองค์แล้ว ขอได้โปรดทรงพระกรุณาตรัสบอกการกราบลากับมารดาและบิดาของข้าพระองค์ด้วยเถิด
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๓๒๘] สุวรรณสามผู้หนุ่มแน่นเห็นแก่กัลยาณธรรม ครั้นได้กราบทูลคานี้ แล้ว ถึงกับสลบแน่นิ่งไป
เพราะกาลังยาพิษ
4
[๓๒๙] พระราชานั้นทรงคร่าครวญเป็นที่น่าสงสารอย่างมากว่า เราเข้าใจว่าจะเป็นผู้ไม่แก่และไม่
ตาย เราได้เห็นสามบัณฑิตตาย วันนี้ จึงได้รู้ความแก่และความตาย แต่ก่อนหาได้รู้ไม่ ความตายจะไม่มาถึง
เป็นไม่มี
[๓๓๐] สามบัณฑิตถูกลูกศรอาบยาพิษเสียบแทงแล้ว ตอบโต้กับเราอยู่แท้ๆ ครั้นกาลล่วงเลยไป
วันนี้ เอง เขาพูดอะไรๆ ไม่ได้เลย
[๓๓๑] เราจะต้องตกนรกเป็นแน่ ในข้อนี้ เราไม่มีความสงสัย เพราะในเวลานั้น เราได้ทาบาปอัน
หยาบช้าไว้ตลอดราตรีนาน
[๓๓๒] เมื่อเรานั้นอยู่ในบ้านเมืองกระทากรรมชั่ว ก็จะมีคนกล่าวติเตียน แต่ในป่าหาผู้คนมิได้
ใครเล่าควรจะกล่าวติเตียนเรา
[๓๓๓] คนทั้งหลายประชุมกันในบ้าน ต่างก็เตือนกันและกันให้ระลึกถึงกรรม ส่วนในป่าที่หาคน
มิได้ ใครหนอจะเตือนเราให้ระลึกถึงกรรม
[๓๓๔] นางเทพธิดาที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นได้อันตรธานไป เพื่ออนุเคราะห์พระราชา จึงได้กล่าว
คาถาเหล่านี้ ว่า
[๓๓๕] ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้ทรงทากรรมชั่วอย่างใหญ่หลวงแล้ว มารดาและบิดา และบุตร
รวม ๓ คนผู้หาความผิดมิได้ พระองค์ทรงฆ่าแล้วด้วยลูกศรลูกเดียว
[๓๓๖] เชิญเสด็จมาเถิด หม่อมฉันจะแนะนาถวายพระองค์ โดยประการที่พระองค์จะพึงมีสุคติ คือ
พระองค์จงทรงเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ผู้ตาบอดในป่าโดยธรรมเถิด ดิฉันเข้าใจว่า พระองค์จักพึงไปสุคติ
[๓๓๗] พระราชานั้นทรงคร่าครวญอย่างน่าสงสารเป็นอันมาก จึงทรงถือเอาหม้อน้า บ่ายพระ
พักตร์เสด็จหลีกไปทางทิศทักษิณ
(ทุกูลบัณฑิตไดัยินเสียงฝีพระบาทแห่งพระเจ้าปิลยักษ์ จึงถามว่า)
[๓๓๘] นั่นเสียงใครเดินมา นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของพ่อสาม ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครกันหนอ
[๓๓๙] เพราะพ่อสามเดินเงียบกริบ วางเท้าเรียบ นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของพ่อสาม ท่านนิรทุกข์
ท่านเป็นใครกันหนอ
(พระเจ้าปิลยักษ์ประทับยืนอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ตรัสว่า)
[๓๔๐] ข้าพเจ้าเป็นพระราชาของชาวกาสี คนทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้าว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เพราะ
ความโลภ ข้าพเจ้าจึงละทิ้งแคว้นมาเที่ยวแสวงหาเนื้ อ
[๓๔๑] ทั้งข้าพเจ้าเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้
กาลังคนถึง ๑,๐๐๐ คนได้ แม้ช้างที่มาถึงระยะลูกศรยิงก็ไม่พึงรอดพ้นไปได้
(ฝ่ายทุกูลบัณฑิตเมื่อจะทาปฏิสันถารกับพระเจ้าปิลยักษ์ จึงทูลว่า)
[๓๔๒] ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว มิได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้เป็นใหญ่ได้เสด็จมาถึง
แล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกสิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งมีอยู่ในที่นี้ เถิด
[๓๔๓] ข้าแต่มหาราช ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่าซึ่งเป็นผลไม้เล็กน้อย
ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยแต่ที่ดีๆ เถิด
5
[๓๔๔] ข้าแต่มหาราช ขอเชิญพระองค์ทรงดื่มน้าเย็นนี้ ที่ข้าพระองค์ตักมาจากซอกเขาเถิด ถ้า
พระองค์ทรงพระประสงค์
(พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสว่า)
[๓๔๕] ท่านทั้ง ๒ ตาบอดไม่สามารถจะเห็นอะไรๆ ในป่าได้ ใครเล่าหนอนาผลไม้มาให้ท่านทั้ง ๒
การเก็บสะสมผลาผลที่ทาไว้อย่างเรียบร้อยนี้ ย่อมปรากฏแก่เราเหมือนการเก็บสะสมของคนตาไม่บอด
(ทุกูลบัณฑิตได้ฟังพระดารัสนั้น เมื่อจะแสดงธรรม จึงกราบทูลว่า)
[๓๔๖] สามหนุ่มน้อยร่างสันทัด ผู้เห็นแก่กัลยาณธรรม มีผมยาวดาสนิท มีปลายงอนช้อนขึ้น
ข้างบน
[๓๔๗] เธอนั่นแหละนาผลไม้มา บัดนี้ ถือหม้อน้าจากที่นี้ ไปตักน้ายังแม่น้า เข้าใจว่าใกล้จะกลับ
แล้ว
(พระเจ้าปิลยักษ์ครั้นสดับดังนั้น จึงตรัสว่า)
[๓๔๘] ข้าพเจ้าได้ฆ่าสามกุมารผู้บารุงบาเรอท่าน ผู้เห็นแก่กัลยาณธรรมที่ท่านกล่าวถึงแล้ว
[๓๔๙] เขามีผมยาวดาสนิท มีปลายงอนช้อนขึ้นข้างบน ถูกข้าพเจ้าฆ่าแล้ว นอนอยู่ที่หาดทรายที่
เปรอะเปื้ อนไปด้วยเลือด
(นางปาริกาได้ฟังพระดารัสของพระราชาแล้ว ประสงค์จะทราบเหตุ จึงถามว่า)
[๓๕๐] ท่านทุกูลบัณฑิต ท่านปรึกษากับใครที่บอกว่า พ่อสามถูกข้าพเจ้าฆ่าแล้ว ใจของดิฉันย่อม
หวั่นไหวเพราะได้ยินว่า พ่อสามถูกฆ่าแล้ว
[๓๕๑] เพราะได้ยินว่า พ่อสามถูกฆ่า ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหว เหมือนใบอ่อนของต้นสสัตถพฤกษ์
ถูกลมพัดไหวไปมา
(ทุกูลบัณฑิตให้โอวาทนางปาริกาว่า)
[๓๕๒] ปาริกา ท่านผู้นี้ คือพระเจ้ากรุงกาสี พระองค์ทรงยิงพ่อสามด้วยลูกศรเพราะความโกรธ ที่
ฝั่งแม่น้ามิคสัมมตา เราทั้ง ๒ อย่าได้มุ่งร้ายต่อพระองค์เลย
(นางปาริกากล่าวว่า)
[๓๕๓] บุตรที่น่ารักผู้ซึ่งได้เลี้ยงดูเราทั้ง ๒ คนผู้ตาบอดในป่า เราได้มาโดยยาก ไฉนจะไม่พึงทาจิต
ให้โกรธในคนผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้นเล่า
(ทุกูลบัณฑิตกล่าวว่า)
[๓๕๔] บุตรที่น่ารักผู้เลี้ยงดูเราทั้ง ๒ คนผู้ตาบอดในป่า เราได้มาโดยยาก บัณฑิตทั้งหลายกล่าว
ว่า ไม่ควรโกรธในคนผู้มีบุตรคนเดียวนั้น
(ลาดับนั้น พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสปลอบโยนท่านทั้ง ๒ นั้นว่า)
[๓๕๕] พระคุณท่านทั้ง ๒ อย่าคร่าครวญให้มากนัก เพราะข้าพเจ้ากล่าวว่า สามกุมารถูกข้าพเจ้า
ฆ่าแล้ว ข้าพเจ้าจะทาการงานเลี้ยงดูพระคุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่
[๓๕๖] ข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้
กาลังคนถึง ๑,๐๐๐ คนได้ จะทาการงานเลี้ยงดูพระคุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่
6
[๓๕๗] ข้าพเจ้าจักแสวงหาของที่เป็นเดนของฝูงเนื้ อและมูลผลาผลในป่า จะทาการงานเลี้ยงดูพระ
คุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่
(ดาบสทั้ง ๒ กราบทูลว่า)
[๓๕๘] ข้าแต่มหาราช นั่นมิใช่ธรรม ไม่สมควรในอาตมภาพทั้ง ๒ พระองค์เป็นพระราชาของอา
ตมภาพทั้ง ๒ อาตมภาพทั้งหลายขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์
(พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น ทรงดีพระทัยอย่างยิ่ง จึงตรัสว่า)
[๓๕๙] ท่านผู้มีเชื้อชาติเป็นพราน ท่านกล่าวเป็นธรรม ท่านได้ประพฤติอ่อนน้อม ขอพระ
คุณท่านจงเป็นบิดาของข้าพเจ้า ข้าแต่นางปาริกา ขอพระคุณท่านจงเป็นมารดาของข้าพเจ้า
(ดาบสทั้ง ๒ นั้นประคองอัญชลี กราบทูลว่า)
[๓๖๐] ข้าแต่พระเจ้ากาสี อาตมภาพทั้ง ๒ ขอถวายบังคมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐให้
เจริญแก่ชาวกาสี อาตมภาพทั้งหลายขอถวายบังคมแด่พระองค์ อาตมภาพทั้งหลายขอประคองอัญชลีแด่
พระองค์จนกว่าพระองค์ทรงพาอาตมภาพทั้งหลายไปให้ถึงสถานที่ซึ่งสามกุมารอยู่
[๓๖๑] อาตมภาพทั้ง ๒ เมื่อได้ลูบคลาเท้าทั้ง ๒ และใบหน้าอันงดงามของเขา จักทุบตีตนให้ถึง
ความตาย
(พระเจ้าปิลยักษ์ได้ตรัสว่า)
[๓๖๒] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่เหมือนดวงจันทร์ตกดิน ในป่าที่เกลื่อนกล่นด้วยเนื้ อร้าย เป็น
ป่าสูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ
[๓๖๓] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่เหมือนดวงอาทิตย์ตกดิน ในป่าที่เกลื่อนกล่นไปด้วยเนื้ อร้าย
เป็นป่าสูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ
[๓๖๔] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่ เปื้ อนเปรอะด้วยฝุ่น ในป่าที่เกลื่อนกล่นด้วยเนื้ อร้าย เป็นป่า
สูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ
[๓๖๕] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่ ในป่าที่กลื่อนกล่นด้วยเนื้ อร้าย เป็นป่าสูงปรากฏเหมือนอยู่
ในอากาศ ขอพระคุณท่านทั้ง ๒ จงอยู่ในอาศรมที่พักนี้ เท่านั้นเถิด
(ลาดับนั้น ดาบสทั้ง ๒ นั้นเมื่อแสดงว่าตนไม่กลัวต่อสัตว์ร้าย จึงกราบทูลว่า)
[๓๖๖] ถ้าในป่านั้น จะมีเนื้ อร้ายตั้งร้อย ตั้งพัน และตั้งหมื่น อาตมภาพทั้ง ๒ ไม่มีความกลัวใน
สัตว์ร้ายทั้งหลายในป่าไหนๆ เลย
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๓๖๗] ลาดับนั้น พระเจ้ากาสีทรงพาฤๅษีทั้ง ๒ ผู้ตาบอดไปในป่าใหญ่ จูงมือฤๅษีทั้ง ๒ ไปในที่ที่
สามกุมารถูกฆ่าแล้ว
[๓๖๘] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่เหมือนดวงจันทร์ตก
ดิน
[๓๖๙] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่เหมือนดวงอาทิตย์
ตกดิน
7
[๓๗๐] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่ ก็คร่าครวญอย่างน่า
สงสาร
[๓๗๑] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น จึงประคองแขนทั้ง ๒ ข้าง คร่าครวญว่า
ชาวเราเอ๋ย ได้ทราบว่า วันนี้ ความไม่เป็นธรรมกาลังเป็นไปในโลกนี้
[๓๗๒] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าประมาทนักแล้ว ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไร
เลย
[๓๗๓] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าโง่ไปมากนักแล้ว ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไร
เลย
[๓๗๔] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าโกรธเคืองไปมากนักแล้ว ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้
พูดอะไรเลย
[๓๗๕] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าเป็นผู้มักหลับไปมากนักแล้ว ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้า
มิได้พูดอะไรเลย
[๓๗๖] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าช่างเป็นคนปราศจากน้าใจจริง ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้า
มิได้พูดอะไรเลย
[๓๗๗] ลูกสามผู้บารุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้ มาตายเสียแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักชาระชฎาที่
หม่นหมองเปื้ อนฝุ่น
[๓๗๘] ลูกสามผู้บารุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้ มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักจับไม้กวาดแล้ว
กวาดอาศรมของเราทั้ง ๒
[๓๗๙] ลูกสามผู้บารุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้ มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักนาน้าเย็นน้าร้อน
มาให้เราทั้ง ๒ อาบ
[๓๘๐] ลูกสามผู้บารุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้ มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักให้เราทั้ง ๒ บริโภค
มูลผลาผลไม้ในป่า
[๓๘๑] มารดาได้เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรล้มคลุกฝุ่นอยู่ เป็นผู้อึดอัดเพราะความโศกถึงบุตร จึง
ได้กล่าวสัจวาจาว่า
[๓๘๒] ลูกสามนี้ ได้เคยมีปกติประพฤติธรรมมาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม
หายไป
[๓๘๓] ลูกสามนี้ มีปกติประพฤติพรหมจรรย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม
หายไป
[๓๘๔] ลูกสามนี้ ได้เคยมีปกติกล่าวคาสัตย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม
หายไป
[๓๘๕] ลูกสามนี้ ได้เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป
[๓๘๖] ลูกสามนี้ ได้เป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม
หายไป
8
[๓๘๗] ลูกสามนี้ เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป
[๓๘๘] บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามทาแล้วแก่เราและบิดาของเขา ด้วยกุศลนั้นทั้งหมด ขอพิษ
ของลูกสามจงเสื่อมหายไป
[๓๘๙] บิดาได้เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรล้มคลุกฝุ่นอยู่ เป็นผู้อึดอัดเพราะความโศกถึงบุตร จึงได้
กล่าวสัจวาจาว่า
[๓๙๐] ลูกสามนี้ ได้เคยเป็นผู้มีปกติประพฤติธรรมมาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจง
เสื่อมหายไป
[๓๙๑] ลูกสามนี้ มีปกติประพฤติพรหมจรรย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม
หายไป
[๓๙๒] ลูกสามนี้ มีปกติกล่าวคาสัตย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป
[๓๙๓] ลูกสามนี้ ได้เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป
[๓๙๔] ลูกสามนี้ ได้เป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม
หายไป
[๓๙๕] ลูกสามนี้ เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป
[๓๙๖] บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามทาแล้วแก่เราและมารดาของเขา ด้วยกุศลนั้นทั้งหมด ขอ
พิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป
[๓๙๗] นางเทพธิดาที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นได้อันตรธานไป ด้วยความอนุเคราะห์สามกุมาร จึงได้
กล่าวสัจวาจานี้ ว่า
[๓๙๘] เราอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์มานาน ไม่มีคนอื่น จะเป็นใครก็ตาม เป็นที่รักของเรายิ่งกว่าสาม
กุมาร ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจงเสื่อมหายไป
[๓๙๙] ต้นไม้ทั้งหมดที่ภูเขาคันธมาทน์ล้วนแต่เป็นไม้หอม ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจง
เสื่อมหายไป
[๔๐๐] เมื่อดาบสทั้ง ๒ กาลังบ่นพร่าราพันอย่างน่าสงสารเป็นอันมาก สามกุมารผู้ยังเป็นหนุ่ม
แน่นมีรูปสง่างาม ก็ได้ลุกขึ้นทันที
(ลาดับนั้น สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้กล่าวกับท่านเหล่านั้นว่า)
[๔๐๑] ข้าพเจ้าเป็นผู้ชื่อว่าสาม ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าลุกขึ้นได้แล้ว
โดยความสวัสดี ขอท่านทั้งหลายจงอย่าคร่าครวญไปนักเลย จงพูดกับข้าพเจ้าด้วยเสียงอันไพเราะเถิด
(ลาดับนั้น สุวรรณสามโพธิสัตว์เห็นพระราชา จึงกราบทูลว่า)
[๔๐๒] ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้เสด็จมาดีแล้ว มิได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้เป็นใหญ่เสด็จมาถึง
แล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้ เถิด
[๔๐๓] ข้าแต่พระราชา ขอเชิญเลือกเสวยผลมะพลับ ผลมะซาง และผลหมากเม่า ซึ่งเป็นผลไม้
เล็กน้อยแต่ผลที่ดีๆ เถิด
9
[๔๐๔] น้าใสเย็นข้าพระองค์ตักมาจากซอกเขาก็มีอยู่ จงโปรดเสวยจากนั้นเถิด พระเจ้าข้า ถ้า
พระองค์ทรงพระประสงค์
(พระเจ้าปิลยักษ์ทรงเห็นความอัศจรรย์นั้นแล้ว จึงตรัสว่า)
[๔๐๕] เรางุนงงไปหมด หลงไปทั่วทุกทิศ เราได้เห็นสามตายไปแล้ว ท่านสาม ทาไมหนอ ท่านจึง
กลับฟื้ นชีวิตคืนมาได้
(สุวรรณสามโพธิสัตว์ทูลว่า)
[๔๐๖] ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้มีชีวิตอยู่ แต่มีเวทนามาก ปราศจากความรู้สึก (ปราศจากความรู้สึก
หมายถึงวาระจิตที่หยั่งลงสู่ภวังค์ (ความอยู่โดยไม่รู้สึกตัว, สลบ)) แม้ยังมีชีวิตอยู่ ชาวโลกก็เข้าใจว่า ตาย
แล้ว
[๔๐๗] ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้มีชีวิตอยู่ แต่มีเวทนามาก ถึงความดับสนิท แม้ยังมีชีวิตอยู่ ชาวโลกก็
เข้าใจว่า ตายแล้ว
(สุวรรณสามโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่พระเจ้าปิลยักษ์ว่า)
[๔๐๘] บุคคลใดเลี้ยงดูมารดาและบิดาโดยธรรม แม้เทวดาก็เยียวยารักษาบุคคลผู้เลี้ยงดูมารดา
และบิดานั้น
[๔๐๙] บุคคลใดเลี้ยงดูมารดาและบิดาโดยธรรม แม้นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น
ในโลกนี้ บุคคลนั้นละโลกนี้ ไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์
(พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น ทรงประคองอัญชลี ขอร้องอยู่ว่า)
[๔๑๐] เรายิ่งงุนงงหนักขึ้น หลงไปทั่วทุกทิศ ท่านสาม เราขอถึงท่านว่าเป็นที่พึ่ง และท่านก็จงเป็น
ที่พึ่งของเรา
(สุวรรณสามโพธิสัตว์กล่าวทศพิธราชธรรมถวายว่า)
[๔๑๑] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระมารดาและพระบิดา
เถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
[๔๑๒] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระโอรสและพระมเหสี
เถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
[๔๑๓] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในมิตรและอามาตย์เถิด
ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
[๔๑๔] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพาหนะและพลนิกายเถิด ครั้นพระองค์
ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
[๔๑๕] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในชาวบ้านและชาวนิคมเถิด ครั้น
พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
[๔๑๖] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในชาวแคว้นและชาวชนบทเถิด ครั้น
พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
10
[๔๑๗] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในสมณะและพราหมณ์เถิด ครั้นพระองค์
ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
[๔๑๘] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในฝูงเนื้ อและฝูงนกเถิด ครั้นพระองค์ทรง
ประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
[๔๑๙] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมเถิด ธรรมที่พระองค์ทรงประพฤติแล้ว
ย่อมนาสุขมาให้ ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
[๔๒๐] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมเถิด พระอินทร์ เทวดา พร้อมทั้งพรหม
เข้าถึงทิพยสถานได้ เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ขอพระองค์อย่าทรงประมาทธรรมเลย
สุวัณณสามชาดกที่ ๓ จบ
---------------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา สุวรรณสามชาดก
ว่าด้วย สุวรรณสามบาเพ็ญเมตตาบารมี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภพระภิกษุรูปหนึ่งผู้เลี้ยง
มารดา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ว่า โก นุ ม อุสุนา วิชฺฌิ ดังนี้ เป็นต้น.
ดังได้สดับมา ในกรุงสาวัตถี มีกุลบุตรผู้หนึ่งเป็นบุตรคนเดียวของสกุลเศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีทรัพย์
สมบัติสิบแปดโกฏิ. กุลบุตรนั้นเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจของบิดามารดา. วันหนึ่ง เขาอยู่บนปราสาทเปิดสีห
บัญชรแลดูในถนนใหญ่ เห็นมหาชนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร เพื่อต้องการ
สดับพระธรรมเทศนา จึงคิดว่า แม้ตัวเราก็จักไปกับพวกนั้นบ้าง จึงให้คนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น
ไปสู่พระวิหาร ถวายผ้าเภสัชและน้าดื่มเป็นต้นแด่พระสงฆ์ และบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยของหอมและ
ดอกไม้เป็นต้น. ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาแล้วเห็นโทษในกามทั้งหลาย
กาหนดอานิสงส์แห่งบรรพชา. ครั้นบริษัทลุกไปแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา.
ลาดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะกุลบุตรนั้นอย่างนี้ ว่า พระตถาคตทั้งหลายไม่ยังบุตรที่บิดา
มารดายังมิได้อนุญาตให้บรรพชา. กุลบุตรได้ฟังรับสั่งดังนั้น จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กลับไป
เคหสถาน ไหว้บิดามารดาด้วยความเคารพเป็นอันดี แล้วกล่าวอย่างนี้ ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ข้าพเจ้าจัก
บวชในสานักพระตถาคต.
ลาดับนั้น บิดามารดาของกุลบุตรนั้นได้ฟังคาของเขาแล้ว ก็เป็นราวกะมีหัวใจแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง
เพราะมีบุตรคนเดียว หวั่นไหวอยู่ด้วยความสิเนหาในบุตร ได้กล่าวอย่างนี้ ว่า ดูก่อนพ่อผู้เป็นบุตรที่รัก ผู้เป็น
หน่อแห่งสกุล ผู้เป็นดั่งดวงตา ผู้เช่นกับชีวิตของเราทั้งสอง. เราทั้งสองเว้นจากเจ้าเสีย จะมีชีวิตอยู่ได้
อย่างไร. ชีวิตของเราทั้งสองเนื่องในเจ้า เราทั้งสองก็แก่เฒ่าแล้ว จักตายในวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ เจ้ายังจะ
ละเราทั้งสองไปเสียอีก. ธรรมดาว่าบรรพชาอันบุคคลทาได้ยากยิ่ง เมื่อต้องการเย็น ย่อมได้ร้อน เมื่อ
ต้องการร้อน ย่อมได้เย็น. เพราะเหตุนั้น เจ้าอย่าบวชเลย. กุลบุตรได้สดับคาของบิดามารดาดังนั้น ก็มีความ
ทุกข์โทมนัส นั่งก้มศีรษะซบเซา ไม่บริโภคอาหารเจ็ดวัน.
11
ลาดับนั้น บิดามารดาของกุลบุตรนั้น คิดกันอย่างนี้ ว่า ถ้าบุตรของเราไม่ได้รับอนุญาตให้บวชก็
จักตาย. เราจักไม่ได้เห็นเขาอีกเลย บุตรเราเป็นอยู่ด้วยเพศบรรพชิต เราจักได้เห็นอีกต่อไป. ครั้นคิดเห็นกัน
อย่างนี้ แล้วจึงอนุญาตว่า ดูก่อนพ่อผู้เป็นลูกรัก เราอนุญาตให้เจ้าบวช เจ้าจงบวชเถิด. กุลบุตรได้ฟังดังนั้นก็มี
ได้ยินดี น้อมสรีระทั้งสิ้นลงกราบแทบเท้าบิดามารดา ลาออกจากกรุงสาวัตถีไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร.
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา.
พระศาสดาตรัสสั่งภิกษุรูปหนึ่งให้บวชกุลบุตรนั้นเป็นสามเณร.
จาเดิมแต่สามเณรนั้นบวชแล้ว ลาภสักการะเกิดขึ้นเป็นอันมาก. สามเณรนั้นยังอาจารย์และ
อุปัชฌาย์ให้ยินดี. อุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว เล่าเรียนธรรมอยู่ห้าพรรษา ดาริว่า เราอยู่ในที่นี้ เกลื่อนกล่นไป
ด้วยหมู่ญาติเป็นต้น หาสมควรแก่เราไม่ เป็นผู้ใคร่จะบาเพ็ญวิปัสสนาธุระ จึงเรียนกรรมฐานในสานัก
อุปัชฌาย์ ออกจากวิหารเชตวันไปสู่ปัจจันตคามแห่งหนึ่ง อยู่ในป่าอาศัยปัจจันตคามนั้น. ภิกษุนั้นเจริญ
วิปัสสนาในที่นั้น แม้เพียรพยายามอยู่ถึงสิบสองปี ก็ไม่สามารถยังธรรมวิเศษให้เกิด.
ฝ่ายบิดามารดาของภิกษุนั้น ครั้นเมื่อกาลล่วงไปได้ขัดสนลง. คิดเห็นว่า ก็เหล่าชนที่
ประกอบการนาหรือพาณิชย์ บุตรหรือพี่น้องที่จะเตือนนึกถึงพาพวกเราไป ไม่มีในสกุลนี้ พวกเขาถือเอา
ทรัพย์ตามกาลังของตนๆ หนีไปตามชอบใจ แม้ทาสกรรมกรในเรือนเป็นต้น ก็ถือเอาเงินทองเป็นต้นหนีไป.
ครั้นต่อมา ชนทั้งสองจึงตกทุกข์ได้ยากเหลือเกิน ไม่ได้แม้การรดน้าในมือ ต้องขายเรือน ไม่มีเรือนอยู่. ถึง
ความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง นุ่งห่มผ้าท่อนเก่า ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานที่นี่ที่นั่น.
ในกาลนั้น ภิกษุรูปหนึ่งออกจากพระเชตวันมหาวิหาร ไปถึงที่อยู่ของภิกษุบุตรเศรษฐีอนาถา
นั้น. ภิกษุเศรษฐีบุตรนั้นทาอาคันตุกวัตรแก่ภิกษุนั้นแล้ว นั่งเป็นสุขแล้วจึงถามว่า ท่านมาแต่ไหน. ภิกษุ
อาคันตุกะแจ้งว่ามาแต่พระเชตวัน จึงถามถึงความผาสุกแห่งพระศาสดา และของพระมหาสาวกเป็นต้น แล้ว
ถามถึงข่าวคราวแห่งบิดามารดาว่า ท่านขอรับ สกุลเศรษฐีชื่อโน้นในกรุงสาวัตถีสบายดีหรือ. ภิกษุ
อาคันตุกะตอบว่า อาวุโส ท่านอย่าถามถึงข่าวคราวแห่งสกุลนั้นเลย. ถามว่า เป็นอย่างไรหรือท่าน. ตอบว่า
ได้ยินว่า สกุลนั้นมีบุตรคนเดียว เขาบวชในพระศาสนา. จาเดิมแต่เขาบวชแล้ว สกุลนั้นก็เสื่อมสิ้นไป. บัดนี้
เศรษฐีทั้งสองเป็นกาพร้าน่าสงสารอย่างยิ่ง ถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน.
ภิกษุเศรษฐีบุตรได้ฟังคาของภิกษุอาคันตุกะแล้ว ก็ไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้ มีน้าตานองหน้าเริ่ม
ร้องไห้. พระเถระเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า เธอร้องไห้ทาไม. ภิกษุเศรษฐีบุตรตอบว่า ท่านขอรับ ชนสองคนนั้น
เป็นบิดามารดาของกระผม กระผมเป็นบุตรของท่านทั้งสองนั้น. พระเถระจึงกล่าวว่า บิดามารดาของเธอถึง
ความพินาศเพราะอาศัยเธอ เธอจงไปปฏิบัติบิดามารดานั้น. ภิกษุเศรษฐีบุตรคิดว่า เราแม้เพียรพยายามอยู่
ถึงสิบสองปี ก็ไม่สามารถที่จะยังมรรคหรือผลให้บังเกิด เราจักเป็นคนอาภัพ. ประโยชน์อะไรด้วยบรรพชา
เล่า เราจักเป็นคฤหัสถ์เลี้ยงบิดามารดา ให้ทาน จักเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. คิดฉะนี้ แล้วมอบ
สถานที่อยู่ในป่าแก่พระเถระนั้น นมัสการพระเถระแล้ว.
รุ่งขึ้นจึงออกจากป่าไปโดยลาดับ ลุถึงวิหารหลังพระเชตวัน ไม่ไกลกรุงสาวัตถี ณ ที่ตรงนั้นเป็น
ทางสองแพร่ง ทางหนึ่งไปพระเชตวัน ทางหนึ่งไปในกรุงสาวัตถี. ภิกษุนั้นหยุดอยู่ตรงนั้น คิดว่า เราจักไปหา
บิดามารดาก่อน หรือจักไปเฝ้าพระทศพลก่อน แล้วคิดต่อไปว่า เราไม่ได้พบบิดามารดานานแล้วก็จริง. แต่
12
จาเดิมแต่นี้ เราจักได้เฝ้าพระพุทธเจ้าได้ยาก วันนี้ เราจักเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วฟังธรรม. รุ่งขึ้นจึงไป
หาบิดามารดาแต่เช้าเทียว คิดฉะนี้ แล้ว ละมรรคาไปกรุงสาวัตถี ไปสู่มรรคาที่ไปพระเชตวัน ถึงพระเชตวัน
เวลาเย็น.
ก็วันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งภิกษุผู้เป็นบุตรแห่ง
สกุลรูปนี้ . พระองค์จึงทรงพรรณนาคุณแห่งบิดามารดาด้วยมาตุโปสกสูตร. ในเวลาที่ภิกษุนั้นมาถึง ก็ภิกษุ
นั้นยืนอยู่ในที่สุดบริษัท สดับธรรมกถาอันไพเราะ. จึงราพึงว่า เราคิดไว้ว่าจักเป็นคฤหัสถ์อาจบารุงปฏิบัติ
บิดามารดา. แต่พระศาสดาตรัสว่า แม้เป็นบรรพชิตก็ทาอุปการะแก่บิดามารดาได้. ถ้าเราไม่ได้มาเฝ้าพระ
ศาสดาก่อนแล้วไป พึงเสื่อมจากบรรพชาเห็นปานนี้ . ก็บัดนี้ เราไม่ต้องสึกเป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตอยู่นี่
แหละจักบารุงบิดามารดา.
ภิกษุนั้นถวายบังคมพระศาสดาแล้วออกจากพระเชตวันไปสู่โรงสลาก รับภัตตาหารและยาคูที่ได้
ด้วยสลาก เป็นภิกษุอยู่ป่าสิบสองปี ได้เป็นเหมือนถึงความเป็นผู้พ่ายแพ้แล้ว. ภิกษุนั้นเข้าไปในกรุงสาวัตถี
แต่เช้าทีเดียว คิดว่าเราจักรับข้าวยาคูก่อน หรือไปหาบิดามารดาก่อน แล้วคิดว่า การมีมือเปล่าไปสู่สานัก
คนกาพร้าไม่สมควร จึงถือเอายาคูไปสู่ประตูเรือนเก่าของบิดามารดาเหล่านั้น ได้เห็นบิดามารดาเที่ยวขอ
ยาคูแล้วเข้าอาศัยริมฝาเรือน คนอื่นนั่งอยู่. ถึงความเป็นคนกาพร้าเข็ญใจ ก็มีความโศกเกิดขึ้น มีน้าตานอง
หน้ายืนอยู่ในที่ใกล้ๆ บิดามารดาทั้งสองนั้น. บิดามารดาแม้เห็นท่านแล้วก็จาไม่ได้. มารดาของภิกษุนั้น
สาคัญว่า ภิกษุนั้นจักยืนเพื่อภิกขาจาร จึงกล่าวว่า ของเคี้ยวของฉันอันควรถวายพระผู้เป็นเจ้าไม่มี นิมนต์
โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด. ภิกษุนั้นได้ฟังคาแห่งมารดา ก็เกิดความโศกเป็นกาลัง มีน้าตานองหน้ายืนอยู่ตรง
นั้นเอง เพราะได้รับความเศร้าใจ. แม้มารดากล่าวเช่นนั้นสองครั้งสามครั้ง ก็ยังยืนอยู่นั่นเอง. ลาดับนั้น
บิดาของภิกษุนั้นพูดกะมารดาว่า จงไปดู นั่นบุตรของเราทั้งสองหรือหนอ. นางลุกขึ้นแล้วไปใกล้ภิกษุนั้น
แลดูก็จาได้ จึงหมอบปริเทวนาการแทบเท้าแห่งภิกษุผู้เป็นบุตร. ฝ่ายบิดาไปบ้างก็ร้องไห้ตรงที่นั้นเหมือนกัน
น่าสงสารเหลือเกิน. ฝ่ายภิกษุนั้นเห็นบิดามารดา ก็ไม่อาจจะทรงกายอยู่ได้จึงร้องไห้. ภิกษุนั้นกลั้นความ
โศกแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งสองอย่าคิดเลย อาตมาจักเลี้ยงดูท่านให้ผาสุก ยังบิดามารดาให้อุ่นใจแล้วให้ดื่ม
ยาคู ให้นั่งพักในที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว นาภิกษาหารมาอีกให้บิดามารดาบริโภค แล้วแสวงหาภิกษาเพื่อตน
ไปสู่สานักบิดามารดา ถามเรื่องภัตตาหารอีก ได้รับตอบว่า ไม่บริโภค จึงบริโภคเอง แล้วให้บิดามารดาอยู่
ในที่ควรแห่งหนึ่ง.
ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติบิดามารดาทั้งสองโดยทานองนี้ ตั้งแต่นั้นมา แม้ภัตที่เกิดในปักษ์เป็นต้นที่ตน
ได้มา ก็ให้แก่บิดามารดา. ตนเองเที่ยวภิกษาจาร ได้มาก็บริโภค. เมื่อไม่ได้ก็ไม่บริโภค ได้ผ้าจาพรรษาก็
ตาม ผ้าอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นอดิเรกลาภก็ตาม ก็ให้แก่บิดามารดา ซักย้อมผ้าเก่าๆ ที่บิดามารดานุ่งห่ม
แล้ว เย็บปะนุ่งห่มเอง. ก็วันที่ภิกษุนั้นได้อาหารมีน้อยวัน วันที่ไม่ได้มีมากกว่า. ผ้านุ่งผ้าห่มของภิกษุนั้นเศร้า
หมองเต็มที. เมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติบิดามารดาต่อมา ก็เป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กายเหลืองขึ้นๆ มี
ตัวดาษไปด้วยเส้นเอ็น.
ครั้งนั้น เหล่าภิกษุที่เป็นเพื่อนเห็นเพื่อนคบกันมา เห็นภิกษุนั้นจึงถามว่า อาวุโส แต่ก่อนส
รีรวรรณะของเธองามสดใส แต่บัดนี้ เธอซูบผอม เศร้าหมองไม่ผ่องใส กายเหลืองขึ้นๆ มีตัวดาษไปด้วยเส้น
13
เอ็น พยาธิเกิดขึ้นแก่เธอหรือ. ภิกษุนั้นตอบว่า อาวุโส ข้าพเจ้าไม่มีพยาธิ แต่มีความกังวล แล้วบอกประพฤติ
เหตุนั้น. ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า อาวุโส พระศาสดาไม่ประทานอนุญาตเพื่อยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้
ตกไป. ก็ท่านถือเอาของที่เขาให้ด้วยศรัทธามาให้แก่เหล่าคฤหัสถ์ ทากิจไม่สมควร. ภิกษุนั้นได้ฟังถ้อยคา
ของภิกษุเหล่านั้นก็ละอาย ทอดทิ้งมาตาปิตุปัฏฐานกิจเสีย.
ภิกษุเหล่านั้นยังไม่พอใจ แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อโน้นยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์. พระศาสดาตรัส
เรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ ได้ยินว่า เธอถือเอาศรัทธาไทยไปเลี้ยงคฤหัสถ์ จริงหรือ. เมื่อภิกษุนั้น
กราบทูลรับว่า จริง พระเจ้าข้า. เมื่อทรงใคร่จะสรรเสริญการกระทาของภิกษุนั้น และทรงใคร่จะประกาศบุพ
จริยาของพระองค์ จึงตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ เมื่อเธอเลี้ยงดูเหล่าคฤหัสถ์ เลี้ยงดูคฤหัสถ์เหล่าไหน. ภิกษุนั้น
กราบทูลว่า บิดามารดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. เพื่อจะยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุนั้น. พระศาสดา
ได้ทรงประทานสาธุการสามครั้งว่า สาธุ สาธุ สาธุ แล้วตรัสว่า เธอดารงอยู่ในทางที่เราดาเนินแล้ว. แม้เรา
เมื่อประพฤติบุพจริยาก็ได้บารุงเลี้ยงบิดามารดา. ภิกษุนั้นกลับได้ความเบิกบานใจ.
ลาดับนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลวิงวอนให้ทรงประกาศบุพจริยา.
พระศาสดาจึงทรงนาอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้ .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ณ ที่ไม่ไกลแต่กรุงพาราณสี มีบ้านนายพรานบ้านหนึ่งริมฝั่งนี้
แห่งแม่น้า และมีบ้านนายพรานอีกบ้านหนึ่งริมฝั่งโน้นแห่งแม่น้า ในบ้านแห่งหนึ่งๆ มีตระกูลประมาณห้า
ร้อยตระกูล นายเนสาทผู้เป็นใหญ่สองคนในบ้านทั้งสองเป็นสหายกัน. ในเวลาที่ยังหนุ่มอยู่ เขาได้ทากติกา
สัญญากันอย่างนี้ ว่า ถ้าข้างหนึ่งมีธิดา ข้างหนึ่งมีบุตร เราจักทาอาวาหวิวาทมงคลแก่บุตรธิดาเหล่านั้น.
ลาดับนั้น ในเรือนของนายเนสาทผู้เป็นใหญ่ในบ้านริมฝั่งนี้ คลอดบุตร บิดามารดาให้ชื่อว่า ทุกูล
กุมาร เพราะกุมารนั้นอันญาติทั้งหลายรองรับด้วยทุกูลพัสตร์ในขณะเกิด. ในเรือนของนายเนสาทผู้เป็นใหญ่
อีกคนหนึ่งคลอดธิดา บิดามารดาให้ชื่อว่า ปาริกากุมารี เพราะนางเกิดฝั่งโน้น. กุมารกุมารีทั้งสองมีรูปงาม
น่าเลื่อมใส มีผิวพรรณดังทองคา. แม้เกิดในสกุลนายพรานก็ไม่ทาปาณาติบาต.
กาลต่อมา เมื่อทุกูลกุมารมีอายุได้สิบหกปี บิดามารดาพูดว่า จะนากุมาริกามาเพื่อเจ้า. แต่ทุกูล
กุมารมาแต่พรหมโลก เป็นสัตว์บริสุทธิ์ จึงปิดหูทั้งสองกล่าวว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ฉันไม่ต้องการอยู่ครอง
เรือน โปรดอย่าได้พูดอย่างนี้ . แม้บิดามารดาพูดอยู่ถึงสองครั้งสามครั้ง ก็ไม่ปรารถนา. ฝ่ายปาริกากุมารีแม้
บิดามารดาพูดว่า แน่ะแม่ บุตรของสหายเรามีอยู่ เขามีรูปงามน่าเลื่อมใส มีผิวพรรณดั่งทองคา เราจักให้ลูก
แก่เขา. นางปาริกาก็กล่าวห้ามอย่างเดียวกัน แล้วปิดหูทั้งสองเสีย เพราะนางมาแต่พรหมโลกเป็นสัตว์
บริสุทธิ์.
ในคราวนั้น ทุกูลกุมารส่งข่าวลับไปถึงนางปาริกาว่า ถ้าปาริกามีความต้องการด้วยเมถุนธรรม
ก็จงไปสู่เรือนของบุคคลอื่น. ฉันไม่มีความพอใจในเมถุน. แม้นางปาริกาก็ส่งข่าวลับไปถึงทุกูลกุมาร
เหมือนกัน. แต่บิดามารดาได้กระทาอาวาหวิวาหมงคล แก่กุมารกุมารีทั้งสอง ผู้ไม่ปรารถนาเรื่องประเวณี
เลย. เขาทั้งสองมิได้หยั่งลงสู่สมุทร คือกิเลส อยู่ด้วยกันเหมือนมหาพรหมสององค์ ฉะนั้น. ฝ่ายทุกูลกุมารไม่
ฆ่าปลาหรือเนื้ อ โดยที่สุดแม้เนื้ อที่บุคคลนามา ก็ไม่ขาย. ลาดับนั้น บิดามารดาพูดกะเขาว่า แน่ะพ่อ เจ้าเกิด
14
ในสกุลนายพราน ไม่ปรารถนาอยู่ครองเรือน ไม่ทาการฆ่าสัตว์ เจ้าจักทาอะไร. ทุกูลกุมาร กล่าวตอบอย่าง
นี้ ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ เมื่อท่านทั้งสองอนุญาต เราทั้งสองก็จักบวช. บิดามารดาได้ฟังดังนั้น จึงอนุญาตว่า
ถ้าเช่นนั้น เจ้าทั้งสองจงบวชเถิด. ทุกูลกุมารและปาริกากุมารีก็ยินดีร่าเริง ไหว้บิดามารดา แล้วออกจากบ้าน
เข้าสู่หิมวันตประเทศทางฝั่งแม่น้าคงคาโดยลาดับ ละแม่น้าคงคามุ่งตรงไปแม่น้ามิคสัมมตา ซึ่งไหลลงมาแต่
หิมวันตประเทศถึงแม่น้าคงคา.
ขณะนั้น พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชสาแดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกเทวราชทรงอาวัชนาการก็
ทรงทราบการณ์นั้น จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรมเทพบุตรมา ตรัสว่า แน่ะพ่อวิสสุกรรม ท่านมหาบุรุษทั้งสอง
ออกจากบ้านใคร่จะบวชเป็นฤาษี เข้าสู่หิมวันตประเทศ ควรที่ท่านทั้งสองนั้นจะได้ที่อยู่. ท่านจงเนรมิต
บรรณศาลา และบรรพชิตบริขารเพื่อท่านทั้งสองนั้น ณ ภายในกึ่งเสียงกู่ ตั้งแต่มิคสัมมตานที เสร็จแล้ว
กลับมา. พระวิสสุกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้ว ไปจัดกิจทั้งปวงโดยนัยที่กล่าวแล้วในมูคปักขชาดก ไล่เนื้ อ
และนกที่มีสาเนียง ไม่เป็นที่ชอบใจให้หนีไป. แล้วเนรมิตมรรคาเดินผู้เดียว แล้วกลับไปที่อยู่ของตน. กุมาร
กุมารีทั้งสองเห็นทางนั้น แล้วก็เดินไปตามทางนั้นถึงอาศรมบท. ทุกูลบัณฑิตเข้าสู่บรรณศาลา เห็นบรรพชิต
บริขารก็ทราบสักกทัตติยภาพว่า ท้าวสักกะประทานแก่เรา จึงเปลื้องผ้าสาฎกออก นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืน
หนึ่งห่มผืนหนึ่ง พาดหนังเสือบนบ่า ผูกมณฑลชฎาทรงเพศฤาษี แล้วให้นางปาริกาบวชเป็นฤาษิณี. ฤาษี
ฤาษิณีทั้งสององค์นั้น เจริญเมตตาภูมิกามาพจรอาศัยอยู่ในที่นั้น. แม้ฝูงเนื้ อและนกทั้งปวง ก็กลับได้เมตตา
จิตต่อกันและกัน ด้วยอานุภาพเมตตาแห่งดาบสดาบสินีทั้งสองนั้น. บรรดาสัตว์เหล่านั้นไม่มีสัตว์ไรๆ
เบียดเบียนสัตว์ไรๆ เลย. ฝ่ายปาริกาดาบสินีลุกขึ้นแต่เช้า ตั้งน้าดื่มและของฉันแล้วกวาดอาศรมบททากิจทั้ง
ปวง ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้น นาผลไม้เล็กใหญ่มาฉัน แล้วเข้าสู่บรรณศาลาของตนๆ เจริญสมณธรรม
สาเร็จการอยู่ในที่นั้นนั่นแล.
ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาสู่ที่บารุงแห่งพระมุนีทั้งสองนั้น. วันหนึ่งพระองค์ทรงพิจารณาเห็น
อันตรายแห่งพระมุนีทั้งสองนั้นว่า จักษุทั้งสองข้างของท่านทั้งสองนี้ จักมืด จึงลงมาจากเทวโลกเข้าไปหาทุกูล
บัณฑิต นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. ตรัสอย่างนี้ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อันตรายจะปรากฏแก่ท่านทั้ง
สอง ควรที่ท่านทั้งสองจะได้บุตรไว้สาหรับปฏิบัติท่าน ขอท่านทั้งสองจงเสพโลกธรรม. ทุกูลบัณฑิตได้สดับ
คาของท้าวสักกเทวราชจึงกล่าวว่า ดูก่อนท้าวสักกะ พระองค์ตรัสอะไร เราทั้งสองแม้อยู่ท่ามกลางเรือนก็หา
ได้เสพโลกธรรมไม่ เราทั้งสองละโลกธรรมนี้ เกลียดดุจกองคูถอันเต็มไปด้วยหนอน. ก็บัดนี้ เราทั้งสองเข้าป่า
บวชเป็นฤาษี จักกระทากรรมเช่นนี้ อย่างไรได้. ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าไม่
ต้องทาอย่างนั้น เป็นแต่เอามือลูบท้องปาริกาดาบสินีเวลานางมีระดู. ทุกูลบัณฑิตรับว่า อย่างนี้ อาจทาได้.
ท้าวสักกเทวราช นมัสการทุกูลดาบสแล้วกลับไปที่อยู่ของตน. ฝ่ายทุกูลบัณฑิตก็บอกนางปรริกาให้รู้ตัว แล้ว
เอามือลูบท้องนาง ในเวลาที่นางมีระดู.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในท้องนางปาริกาฤาษีณี กาลล่วงไปได้สิบ
เดือน. นางคลอดบุตรมีผิวพรรณดั่งทองคา. ด้วยเหตุนั้นเอง บิดามารดาจึงตั้งชื่อบุตรว่า สุวรรณสาม
กุมาร เวลาที่ปาริกาดาบสินี ไปป่าเพื่อหามูลผลาผล. นางกินรีทั้งหลายที่อยู่ภายในบรรพต ได้ทาหน้าที่นาง
นม. ดาบสดาบสินีทั้งสองสรงน้าพระโพธิสัตว์แล้วให้บรรทมในบรรณศาลา แล้วพากันไปหาผลไม้เล็กใหญ่.
15
ในขณะนั้น นางกินรีทั้งหลาย อุ้มกุมารไปสรงน้าที่ซอกเขาเป็นต้น แล้วขึ้นสู่ยอดบรรพต ประดับด้วยบุปผ
ชาติต่างๆ แล้วฝนหรดาลและมโนศิลาเป็นต้นที่แผ่นศิลา ประให้เป็นเม็ดที่นลาตแล้วนามาให้ไสยาสน์ใน
บรรณศาลา. ฝ่ายนางปาริกากลับมาก็ให้บุตรดื่มนม. กาลต่อมา บิดามารดาปกปักรักษาบุตรนั้น จนมีอายุ
ได้สิบหกปี ให้นั่งอยู่ในบรรณศาลา ตนเองพากันไปป่าเพื่อหามูลผลาผลในป่า. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ทรง
คิดว่า อันตรายอะไรๆ จะพึงมีแก่บิดามารดาของเรา ในกาลบางคราว จึงทรงสังเกตทางที่บิดามารดาไป.
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อดาบสดาบสินีทั้งสองนามูลผลาผลในป่า กลับมาในเวลาเย็น ถึงที่ใกล้
อาศรมบท. มหาเมฆตั้งขึ้นฝนตก ท่านทั้งสองจึงเข้าไปสู่โคนไม้แห่งหนึ่ง ยืนอยู่บนยอดจอมปลวก อสรพิษมี
อยู่ภายในจอมปลวกนั้น น้าฝนเจือกลิ่นเหงื่อจากสรีระของสองท่านนั้น ไหลลงเข้ารูจมูกแห่งอสรพิษนั้น มัน
โกรธพ่นลมในจมูกออกมา ลมในจมูกนั้นถูกจักษุทั้งสองข้างแห่งดาบสและดาบสินีนั้น ทั้งสองท่านก็เป็นคน
จักษุมืดไม่เห็นกันและกัน เพราะลมนั้น. ทุกูลบัณฑิตเรียกนางปาริกามาบอกว่า ปาริกา จักษุทั้งสองของฉัน
มืด ฉันมองไม่เห็นเธอ. แม้นางปาริกา ก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน. ทั้งสองมองไม่เห็นทางก็ยืนคร่าครวญอยู่
ด้วยเข้าใจว่า บัดนี้ ชีวิตของเราทั้งสองไม่มีละ.
ก็ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้น มีบุรพกรรมเป็นอย่างไร ได้ยินว่า ท่านทั้งสองนั้นในปางก่อนเกิด
ในสกุลแพทย์. ครั้งนั้น แพทย์นั้นรักษาโรคในจักษุของบุรุษมีทรัพย์มากคนหนึ่ง บุรุษนั้นจักษุหายดีแล้ว
ไม่ให้ทรัพย์ค่ารักษาอะไรๆ แก่แพทย์นั้น. แพทย์โกรธเขา ไปสู่เรือนแจ้งแก่ภริยาของตนว่า ที่รัก ฉันรักษา
โรคในจักษุของบุรุษนั้นหาย บัดนี้ เขาไม่ให้ทรัพย์ค่ารักษาแก่ฉัน เราจะทาอย่างไรดี. ฝ่ายภริยาได้สดับสามี
กล่าวก็โกรธ จึงกล่าวว่า เราไม่ต้องการทรัพย์ที่มีอยู่ของมัน ท่านจงประกอบยาขนานหนึ่งให้มันหยอด ทา
จักษุทั้งสองของมันให้บอดเสียเลย. สามีเห็นชอบด้วย จึงออกจากเรือนไปหาบุรุษนั้น ได้กระทาตามนั้น.
บุรุษผู้มีทรัพย์มากคนนั้น ไม่นานนักก็กลับจักษุมืดไปอีก. ดาบสและดาบสินีทั้งสอง มีจักษุมืดด้วยบาปกรรม
อันนี้ .
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า บิดามารดาของเรา ในวันอื่นๆ เคยกลับเวลานี้ . บัดนี้ เราไม่รู้
เรื่องราวของท่านทั้งสองนั้น จึงเดินสวนทางร้องเรียกหาไป. ท่านทั้งสองนั้นจาเสียงบุตรได้ก็ขานรับ แล้ว
กล่าวห้ามด้วยความรักในบุตรว่า มีอันตรายในที่นี้ อย่ามาเลยลูก. พระมหาสัตว์ตอบท่านทั้งสองว่า ถ้า
เช่นนั้น ท่านทั้งสองจงจับปลายไม้เท้านี้ มาเถิด แล้วยื่นไม้เท้ายาวให้ท่านทั้งสองจับ. ท่านทั้งสองจับปลายไม้
เท้าแล้วมาหาบุตร. พระมหาสัตว์ถามว่า จักษุของท่านทั้งสองมืดไปด้วยเหตุอะไร. บิดามารดาทั้งสอง ก็เล่า
ให้พระมหาสัตว์ผู้บุตรฟังว่า ลูกรัก เมื่อฝนตก เราทั้งสองยืนอยู่บนยอดจอมปลวกที่โคนไม้ในที่นี้ จักษุทั้งสอง
มืดไปด้วยเหตุนั้น. พระมหาสัตว์ได้สดับคาของบิดามารดา ก็รู้ว่าอสรพิษมีในจอมปลวกนั้น อสรพิษนั้นขัด
เคืองปล่อยลมในจมูกออกมา. พระมหาสัตว์เห็นบิดามารดาแล้วร้องไห้และหัวเราะ บิดามารดาจึงถามว่า
ทาไมถึงร้องไห้ และหัวเราะ. พระมหาสัตว์ตอบว่า ข้าพเจ้าร้องไห้ ด้วยเสียใจว่าจักษุของท่านทั้งสองพินาศไป
ในเวลาที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กอยู่. แต่ข้าพเจ้าหัวเราะด้วยดีใจว่า ข้าพเจ้าจักได้ปฏิบัติบารุงท่านทั้งสองในบัดนี้ .
ขอท่านทั้งสองอย่าได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าจักปฏิบัติบารุงท่านทั้งสองให้ผาสุก.
พระมหาสัตว์ปลอบโยนให้บิดามารดาทั้งสองเบาใจ แล้วนามาอาศรมบท ผูกเชือกเป็นราวในที่
ทั้งปวงสาหรับบิดามารดาทั้งสองนั้น คือที่พักกลางคืน ที่พักกลางวัน ที่จงกรม บรรณศาลา ที่ถ่ายอุจจาระ
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf
๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf

Mais conteúdo relacionado

Semelhante a ๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf

๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
Instanyana รวมวจนธรรม สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
Instanyana รวมวจนธรรม  สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกInstanyana รวมวจนธรรม  สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
Instanyana รวมวจนธรรม สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
Peerasak C.
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
maruay songtanin
 
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
Tongsamut vorasan
 
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
Tongsamut vorasan
 

Semelhante a ๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf (20)

๐๑. เตมิยชาดก.pdf
๐๑. เตมิยชาดก.pdf๐๑. เตมิยชาดก.pdf
๐๑. เตมิยชาดก.pdf
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
08 จันทกุมารจริยา มจร.pdf
08 จันทกุมารจริยา มจร.pdf08 จันทกุมารจริยา มจร.pdf
08 จันทกุมารจริยา มจร.pdf
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
 
Instanyana รวมวจนธรรม สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
Instanyana รวมวจนธรรม  สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกInstanyana รวมวจนธรรม  สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
Instanyana รวมวจนธรรม สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
 
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf
(๑) พุทธาปทาน มจร.pdf
 
1. กัณฑ์ที่ 1 ทศพร 19 พระคาถา
1. กัณฑ์ที่ 1 ทศพร 19 พระคาถา1. กัณฑ์ที่ 1 ทศพร 19 พระคาถา
1. กัณฑ์ที่ 1 ทศพร 19 พระคาถา
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๒๔. อุโปสถาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๒๔. อุโปสถาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๒๔. อุโปสถาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๒๔. อุโปสถาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
แต่งไทย ป.ธ. 9 ปรมาจารย์นิทัศน์ ๒๕๖๔.pdf
แต่งไทย ป.ธ. 9 ปรมาจารย์นิทัศน์ ๒๕๖๔.pdfแต่งไทย ป.ธ. 9 ปรมาจารย์นิทัศน์ ๒๕๖๔.pdf
แต่งไทย ป.ธ. 9 ปรมาจารย์นิทัศน์ ๒๕๖๔.pdf
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๒๙. อุฬารวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๒๙. อุฬารวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๒๙. อุฬารวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๒๙. อุฬารวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
200789830 katin
200789830 katin200789830 katin
200789830 katin
 
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
 
๐๔. เนมิราชชาดก.pdf
๐๔. เนมิราชชาดก.pdf๐๔. เนมิราชชาดก.pdf
๐๔. เนมิราชชาดก.pdf
 
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระพุทธเจ้าสอนอะไร What did the buddha t...
 
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
(๒๑) พระอุบลวรรณาเถรี มจร.pdf
(๒๑) พระอุบลวรรณาเถรี มจร.pdf(๒๑) พระอุบลวรรณาเถรี มจร.pdf
(๒๑) พระอุบลวรรณาเถรี มจร.pdf
 
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
 

Mais de maruay songtanin

240 มหาปิงคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
240 มหาปิงคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...240 มหาปิงคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
240 มหาปิงคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
238 เอกปทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
238 เอกปทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx238 เอกปทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
238 เอกปทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
234 อสิตาภูชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
234 อสิตาภูชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....234 อสิตาภูชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
234 อสิตาภูชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
232 วีณาถูณชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
232 วีณาถูณชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx232 วีณาถูณชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
232 วีณาถูณชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
231 อุปาหนชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
231 อุปาหนชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx231 อุปาหนชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
231 อุปาหนชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
230 ทุติยปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
230 ทุติยปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...230 ทุติยปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
230 ทุติยปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 
229 ปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
229 ปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx229 ปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
229 ปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
223 ปุฏภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
223 ปุฏภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....223 ปุฏภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
223 ปุฏภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
221 กาสาวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
221 กาสาวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx221 กาสาวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
221 กาสาวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 

Mais de maruay songtanin (20)

240 มหาปิงคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
240 มหาปิงคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...240 มหาปิงคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
240 มหาปิงคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
238 เอกปทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
238 เอกปทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx238 เอกปทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
238 เอกปทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
237 สาเกตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
237 สาเกตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx237 สาเกตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
237 สาเกตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
236 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
236 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx236 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
236 พกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
234 อสิตาภูชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
234 อสิตาภูชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....234 อสิตาภูชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
234 อสิตาภูชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
232 วีณาถูณชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
232 วีณาถูณชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx232 วีณาถูณชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
232 วีณาถูณชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
231 อุปาหนชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
231 อุปาหนชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx231 อุปาหนชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
231 อุปาหนชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
230 ทุติยปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
230 ทุติยปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...230 ทุติยปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
230 ทุติยปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
 
229 ปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
229 ปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx229 ปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
229 ปลายิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
228 กามนีตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
228 กามนีตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx228 กามนีตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
228 กามนีตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
226 โกสิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
226 โกสิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx226 โกสิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
226 โกสิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
224 กุมภีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
224 กุมภีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx224 กุมภีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
224 กุมภีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
223 ปุฏภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
223 ปุฏภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....223 ปุฏภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
223 ปุฏภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
221 กาสาวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
221 กาสาวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx221 กาสาวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
221 กาสาวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 

๐๓. สุวรรณสามชาดก.pdf

  • 1. 1 การบาเพ็ญบารมี ๑๐ พระชาติ ตอนที่ ๓ สุวัณณสามชาดก (เมตตาบารมี) พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนา พระบรมศาสดาเมื่อประทับ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุเลี้ยงดูมารดารูปหนึ่ง ตรัสสุวัณณสาม ชาดกซึ่งมีคาเริ่มต้นว่า ใครกันหนอใช้ลูกศรยิงเราผู้ประมาทกาลังนาน้าไปอยู่ ดังนี้ เป็นต้น พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒ ๓. สุวัณณสามชาดก ว่าด้วยสุวรรณสามบาเพ็ญเมตตาบารมี (สุวรรณสามโพธิสัตว์ไม่ทันเห็นพระราชา จึงตรัสว่า) [๒๙๖] ใครกันหนอใช้ลูกศรยิงเราผู้ประมาท (ประมาท หมายถึงยังมิได้คุมสติด้วยเมตตาภาวนา) กาลังนาน้าไปอยู่ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์คนไหนแอบซุ่มยิงเรา (สุวรรณสามโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงว่า เนื้ อที่ร่างกายของตนไม่เป็นอาหาร จึงตรัสว่า) [๒๙๗] เนื้ อของเราก็ไม่ควรจะกิน หนังของเราก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรหนอ เขาจึงเข้าใจว่า เราเป็นผู้ควรยิง (สุวรรณสามโพธิสัตว์ตรัสถามชื่อพระราชานั้นว่า) [๒๙๘] ท่านเป็นใคร เป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร สหาย เราถามแล้ว ขอท่านจง บอกเถิด ทาไมท่านจึงซุ่มยิงเรา (พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสตอบว่า) [๒๙๙] เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนทั้งหลายรู้จักเราว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เพราะความโลภ เราจึงละทิ้งแคว้นมาเที่ยวแสวงหาเนื้ อ [๓๐๐] เราเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่า เป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้กาลังคน ถึง ๑,๐๐๐ คนได้ แม้ช้างที่มาถึงระยะที่ลูกศรยิงก็ไม่พึงพ้นเราไปได้ (พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสถามชื่อและโคตรของสุวรรณสามโพธิสัตว์ว่า) [๓๐๑] ท่านเป็นใคร เป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร ท่านจงประกาศชื่อและโคตรของ บิดาและตัวของท่านเองให้ทราบด้วย (สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
  • 2. 2 [๓๐๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรของนายพราน (บุตรของนายพราน หมายถึง เป็นบุตรฤๅษี) พวกญาติต่างเรียกข้าพระองค์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า สาม วันนี้ ข้าพระองค์นั้นเข้าไปในปากแห่ง ความตาย จึงนอนอยู่อย่างนี้ [๓๐๓] ข้าพระองค์ถูกพระองค์ยิงด้วยศรลูกใหญ่ อาบยาพิษเหมือนยิงเนื้ อ ข้าแต่พระราชา ขอ พระองค์ทอดพระเนตรข้าพระองค์ ผู้นอนเปื้ อนเลือดของตน [๓๐๔] ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรลูกศรที่ทะลุออกข้างซ้าย ข้าพระองค์บ้วนโลหิต เป็นผู้ กระสับกระส่าย ขอทูลถามพระองค์ว่า ทาไมจึงซุ่มยิงข้าพระองค์ [๓๐๕] เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรหนอ พระองค์จึงเข้าพระทัยว่า ข้าพระองค์เป็นผู้ที่ควรยิง (พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสแก้ตัวว่า) [๓๐๖] เนื้ อปรากฏมาถึงระยะลูกศรแล้ว ท่านสาม มันเห็นท่านแล้วจึงแตกหนีไป เพราะฉะนั้น เราจึงโกรธ (สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลว่า) [๓๐๗] ตั้งแต่ข้าพระองค์จาความได้ ตั้งแต่ข้าพระองค์รู้จักรับผิดชอบ ฝูงเนื้ อในป่าแม้จะเป็น เนื้ อร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์ [๓๐๘] ตั้งแต่ข้าพระองค์นุ่งเปลือกไม้อยู่ในปฐมวัย ฝูงเนื้ อในป่าแม้จะเป็นเนื้ อร้าย แต่ก็ไม่สะดุ้ง กลัวข้าพระองค์ [๓๐๙] ข้าแต่พระราชา ฝูงกินนรผู้ขลาดกลัวที่ภูเขาคันธมาทน์ เราทั้งหลายต่างเพลิดเพลินพากัน ไปสู่ภูเขาและป่า [๓๑๐] ฝูงเนื้ อแม้จะเป็นเนื้ อร้ายในป่า ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ฝูง เนื้ อจึงจะสะดุ้งกลัวข้าพระองค์เล่า (พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า) [๓๑๑] ท่านสาม เนื้ อหาได้สะดุ้งกลัวท่านไม่ เรากล่าวเท็จแก่ท่านต่างหาก เราถูกความโกรธและ ความโลภครอบงา จึงได้ปล่อยลูกศรนั้นไปถึงท่าน [๓๑๒] สาม ท่านมาจากไหน ใครใช้ท่านมาว่า ท่านจงไปยังแม่น้ามิคสัมมตาแล้วตักน้ามา (สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้อดกลั้นทุกขเวทนาแสนสาหัส กราบทูลว่า) [๓๑๓] มารดาบิดาของข้าพระองค์เป็นคนตาบอด ข้าพระองค์เลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ นั้นอยู่ในป่าใหญ่ ข้าพระองค์จะไปตักน้ามาให้ท่านทั้ง ๒ นั้น จึงมายังแม่น้ามิคสัมมตา (สุวรรณสามโพธิสัตว์กล่าวบ่นเพ้อราพันถึงมารดาบิดาว่า) [๓๑๔] ท่านทั้ง ๒ นั้นมีเพียงอาหารเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จะพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียง ๖ วันเพราะ ไม่ได้น้า ท่านผู้ตาบอดทั้ง ๒ เห็นจักตายแน่ [๓๑๕] ข้าพระองค์ไม่เป็นทุกข์ เพราะความทุกข์เช่นนี้ คนพึงได้รับเหมือนกัน แต่ความทุกข์ที่ข้า พระองค์ไม่ได้พบมารดา เป็นความทุกข์อย่างยิ่งของหม่อมฉัน
  • 3. 3 [๓๑๖] ข้าพระองค์ไม่เป็นทุกข์ เพราะความทุกข์เช่นนี้ คนพึงได้รับเหมือนกัน แต่ความทุกข์ที่ข้า พระองค์ไม่ได้พบบิดา เป็นความทุกข์อย่างยิ่งของหม่อมฉัน [๓๑๗] มารดานั้น จะร้องไห้อย่างน่าสงสารเป็นเวลานาน จนเที่ยงคืน หรือตลอดคืน จะซูบซีดลง เหมือนแม่น้าน้อยในฤดูร้อนเหือดแห้งไป [๓๑๘] บิดานั้นจักเป็นทุกข์ลาบากแน่เป็นเวลานาน จนเที่ยงคืน หรือตลอดคืน จะซูบซีดลง เหมือนแม่น้าน้อยในฤดูร้อนเหือดแห้งไป [๓๑๙] มารดาและบิดาทั้ง ๒ จักเที่ยวบ่นเรียกหาข้าพระองค์ว่า พ่อสามๆ ในป่าใหญ่ เพื่อต้องการ ปรนนิบัติเท้า และเพื่อต้องการบีบนวดมือและเท้าด้วยความพยายาม [๓๒๐] ถึงความโศกนี้ เป็นลูกศรที่ ๒ ทาหัวใจของข้าพระองค์ให้สะท้านหวั่นไหว ความโศกใดที่ข้า พระองค์ไม่ได้พบมารดาและบิดาทั้ง ๒ ผู้ตาบอด เพราะความโศกนั้น ข้าพระองค์เห็นจะต้องเสียชีวิตไป (พระเจ้าปิลยักษ์ทรงฟังคาเพ้อราพันของสุวรรณสามโพธิสัตว์ ทรงสันนิษฐานแล้ว ตรัสว่า) [๓๒๑] ท่านสามผู้เห็นกัลยาณธรรม ท่านอย่าคร่าครวญไปนักเลย เราจะทาการงานเลี้ยงดูมารดา และบิดาของท่านในป่าใหญ่ [๓๒๒] เราเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้กาลังคน ถึง ๑,๐๐๐ คนได้ เราจะทาการงานเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่ [๓๒๓] เราจักแสวงหาของที่เป็นเดนของฝูงเนื้ อและมูลผลาผลในป่า จะทางานเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ใน ป่าใหญ่ [๓๒๔] ท่านสาม มารดาและบิดาของท่านอยู่ป่าไหน เราจะเลี้ยงดูมารดาและบิดาของท่าน ให้ เหมือนอย่างที่ท่านได้เลี้ยงดูมา (สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลบอกหนทางว่า) [๓๒๕] ขอเดชะ หนทางที่เดินไปได้คนเดียว ที่มีอยู่ทางศีรษะของข้าพระองค์นี้ พระองค์เสด็จไป จากที่นี้ สิ้นระยะทางประมาณกึ่งโกสะ (โกสะ เป็นชื่อมาตราวัดระยะ ๑ โกสะ เท่ากับ ๕๐๐ ชั่วธนู อัฑฒโกสะ = ๒๕๐ ชั่วธนู (๒๕๐ วา)) ก็จะเสด็จถึงเรือนหลังเล็กๆ ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาและบิดาทั้ง ๒ ของข้า พระองค์ ขอพระองค์เสด็จไปจากที่นี้ แล้ว จงเลี้ยงดูมารดาและบิดาของข้าพระองค์เถิด [๓๒๖] ข้าแต่พระเจ้ากาสี ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐกาสีให้เจริญ ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงพระกรุณาเลี้ยงดูมารดาและบิดาผู้ตาบอดของข้า พระองค์ในป่าใหญ่ด้วยเถิด [๓๒๗] ข้าแต่พระเจ้ากาสี ข้าพระองค์ขอประคองอัญชลี ถวายบังคมพระองค์ ข้าพระองค์กราบทูล พระองค์แล้ว ขอได้โปรดทรงพระกรุณาตรัสบอกการกราบลากับมารดาและบิดาของข้าพระองค์ด้วยเถิด (พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า) [๓๒๘] สุวรรณสามผู้หนุ่มแน่นเห็นแก่กัลยาณธรรม ครั้นได้กราบทูลคานี้ แล้ว ถึงกับสลบแน่นิ่งไป เพราะกาลังยาพิษ
  • 4. 4 [๓๒๙] พระราชานั้นทรงคร่าครวญเป็นที่น่าสงสารอย่างมากว่า เราเข้าใจว่าจะเป็นผู้ไม่แก่และไม่ ตาย เราได้เห็นสามบัณฑิตตาย วันนี้ จึงได้รู้ความแก่และความตาย แต่ก่อนหาได้รู้ไม่ ความตายจะไม่มาถึง เป็นไม่มี [๓๓๐] สามบัณฑิตถูกลูกศรอาบยาพิษเสียบแทงแล้ว ตอบโต้กับเราอยู่แท้ๆ ครั้นกาลล่วงเลยไป วันนี้ เอง เขาพูดอะไรๆ ไม่ได้เลย [๓๓๑] เราจะต้องตกนรกเป็นแน่ ในข้อนี้ เราไม่มีความสงสัย เพราะในเวลานั้น เราได้ทาบาปอัน หยาบช้าไว้ตลอดราตรีนาน [๓๓๒] เมื่อเรานั้นอยู่ในบ้านเมืองกระทากรรมชั่ว ก็จะมีคนกล่าวติเตียน แต่ในป่าหาผู้คนมิได้ ใครเล่าควรจะกล่าวติเตียนเรา [๓๓๓] คนทั้งหลายประชุมกันในบ้าน ต่างก็เตือนกันและกันให้ระลึกถึงกรรม ส่วนในป่าที่หาคน มิได้ ใครหนอจะเตือนเราให้ระลึกถึงกรรม [๓๓๔] นางเทพธิดาที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นได้อันตรธานไป เพื่ออนุเคราะห์พระราชา จึงได้กล่าว คาถาเหล่านี้ ว่า [๓๓๕] ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้ทรงทากรรมชั่วอย่างใหญ่หลวงแล้ว มารดาและบิดา และบุตร รวม ๓ คนผู้หาความผิดมิได้ พระองค์ทรงฆ่าแล้วด้วยลูกศรลูกเดียว [๓๓๖] เชิญเสด็จมาเถิด หม่อมฉันจะแนะนาถวายพระองค์ โดยประการที่พระองค์จะพึงมีสุคติ คือ พระองค์จงทรงเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ผู้ตาบอดในป่าโดยธรรมเถิด ดิฉันเข้าใจว่า พระองค์จักพึงไปสุคติ [๓๓๗] พระราชานั้นทรงคร่าครวญอย่างน่าสงสารเป็นอันมาก จึงทรงถือเอาหม้อน้า บ่ายพระ พักตร์เสด็จหลีกไปทางทิศทักษิณ (ทุกูลบัณฑิตไดัยินเสียงฝีพระบาทแห่งพระเจ้าปิลยักษ์ จึงถามว่า) [๓๓๘] นั่นเสียงใครเดินมา นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของพ่อสาม ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครกันหนอ [๓๓๙] เพราะพ่อสามเดินเงียบกริบ วางเท้าเรียบ นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของพ่อสาม ท่านนิรทุกข์ ท่านเป็นใครกันหนอ (พระเจ้าปิลยักษ์ประทับยืนอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ตรัสว่า) [๓๔๐] ข้าพเจ้าเป็นพระราชาของชาวกาสี คนทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้าว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เพราะ ความโลภ ข้าพเจ้าจึงละทิ้งแคว้นมาเที่ยวแสวงหาเนื้ อ [๓๔๑] ทั้งข้าพเจ้าเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้ กาลังคนถึง ๑,๐๐๐ คนได้ แม้ช้างที่มาถึงระยะลูกศรยิงก็ไม่พึงรอดพ้นไปได้ (ฝ่ายทุกูลบัณฑิตเมื่อจะทาปฏิสันถารกับพระเจ้าปิลยักษ์ จึงทูลว่า) [๓๔๒] ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว มิได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้เป็นใหญ่ได้เสด็จมาถึง แล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกสิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งมีอยู่ในที่นี้ เถิด [๓๔๓] ข้าแต่มหาราช ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่าซึ่งเป็นผลไม้เล็กน้อย ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยแต่ที่ดีๆ เถิด
  • 5. 5 [๓๔๔] ข้าแต่มหาราช ขอเชิญพระองค์ทรงดื่มน้าเย็นนี้ ที่ข้าพระองค์ตักมาจากซอกเขาเถิด ถ้า พระองค์ทรงพระประสงค์ (พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสว่า) [๓๔๕] ท่านทั้ง ๒ ตาบอดไม่สามารถจะเห็นอะไรๆ ในป่าได้ ใครเล่าหนอนาผลไม้มาให้ท่านทั้ง ๒ การเก็บสะสมผลาผลที่ทาไว้อย่างเรียบร้อยนี้ ย่อมปรากฏแก่เราเหมือนการเก็บสะสมของคนตาไม่บอด (ทุกูลบัณฑิตได้ฟังพระดารัสนั้น เมื่อจะแสดงธรรม จึงกราบทูลว่า) [๓๔๖] สามหนุ่มน้อยร่างสันทัด ผู้เห็นแก่กัลยาณธรรม มีผมยาวดาสนิท มีปลายงอนช้อนขึ้น ข้างบน [๓๔๗] เธอนั่นแหละนาผลไม้มา บัดนี้ ถือหม้อน้าจากที่นี้ ไปตักน้ายังแม่น้า เข้าใจว่าใกล้จะกลับ แล้ว (พระเจ้าปิลยักษ์ครั้นสดับดังนั้น จึงตรัสว่า) [๓๔๘] ข้าพเจ้าได้ฆ่าสามกุมารผู้บารุงบาเรอท่าน ผู้เห็นแก่กัลยาณธรรมที่ท่านกล่าวถึงแล้ว [๓๔๙] เขามีผมยาวดาสนิท มีปลายงอนช้อนขึ้นข้างบน ถูกข้าพเจ้าฆ่าแล้ว นอนอยู่ที่หาดทรายที่ เปรอะเปื้ อนไปด้วยเลือด (นางปาริกาได้ฟังพระดารัสของพระราชาแล้ว ประสงค์จะทราบเหตุ จึงถามว่า) [๓๕๐] ท่านทุกูลบัณฑิต ท่านปรึกษากับใครที่บอกว่า พ่อสามถูกข้าพเจ้าฆ่าแล้ว ใจของดิฉันย่อม หวั่นไหวเพราะได้ยินว่า พ่อสามถูกฆ่าแล้ว [๓๕๑] เพราะได้ยินว่า พ่อสามถูกฆ่า ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหว เหมือนใบอ่อนของต้นสสัตถพฤกษ์ ถูกลมพัดไหวไปมา (ทุกูลบัณฑิตให้โอวาทนางปาริกาว่า) [๓๕๒] ปาริกา ท่านผู้นี้ คือพระเจ้ากรุงกาสี พระองค์ทรงยิงพ่อสามด้วยลูกศรเพราะความโกรธ ที่ ฝั่งแม่น้ามิคสัมมตา เราทั้ง ๒ อย่าได้มุ่งร้ายต่อพระองค์เลย (นางปาริกากล่าวว่า) [๓๕๓] บุตรที่น่ารักผู้ซึ่งได้เลี้ยงดูเราทั้ง ๒ คนผู้ตาบอดในป่า เราได้มาโดยยาก ไฉนจะไม่พึงทาจิต ให้โกรธในคนผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้นเล่า (ทุกูลบัณฑิตกล่าวว่า) [๓๕๔] บุตรที่น่ารักผู้เลี้ยงดูเราทั้ง ๒ คนผู้ตาบอดในป่า เราได้มาโดยยาก บัณฑิตทั้งหลายกล่าว ว่า ไม่ควรโกรธในคนผู้มีบุตรคนเดียวนั้น (ลาดับนั้น พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสปลอบโยนท่านทั้ง ๒ นั้นว่า) [๓๕๕] พระคุณท่านทั้ง ๒ อย่าคร่าครวญให้มากนัก เพราะข้าพเจ้ากล่าวว่า สามกุมารถูกข้าพเจ้า ฆ่าแล้ว ข้าพเจ้าจะทาการงานเลี้ยงดูพระคุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่ [๓๕๖] ข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้ กาลังคนถึง ๑,๐๐๐ คนได้ จะทาการงานเลี้ยงดูพระคุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่
  • 6. 6 [๓๕๗] ข้าพเจ้าจักแสวงหาของที่เป็นเดนของฝูงเนื้ อและมูลผลาผลในป่า จะทาการงานเลี้ยงดูพระ คุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่ (ดาบสทั้ง ๒ กราบทูลว่า) [๓๕๘] ข้าแต่มหาราช นั่นมิใช่ธรรม ไม่สมควรในอาตมภาพทั้ง ๒ พระองค์เป็นพระราชาของอา ตมภาพทั้ง ๒ อาตมภาพทั้งหลายขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ (พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น ทรงดีพระทัยอย่างยิ่ง จึงตรัสว่า) [๓๕๙] ท่านผู้มีเชื้อชาติเป็นพราน ท่านกล่าวเป็นธรรม ท่านได้ประพฤติอ่อนน้อม ขอพระ คุณท่านจงเป็นบิดาของข้าพเจ้า ข้าแต่นางปาริกา ขอพระคุณท่านจงเป็นมารดาของข้าพเจ้า (ดาบสทั้ง ๒ นั้นประคองอัญชลี กราบทูลว่า) [๓๖๐] ข้าแต่พระเจ้ากาสี อาตมภาพทั้ง ๒ ขอถวายบังคมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐให้ เจริญแก่ชาวกาสี อาตมภาพทั้งหลายขอถวายบังคมแด่พระองค์ อาตมภาพทั้งหลายขอประคองอัญชลีแด่ พระองค์จนกว่าพระองค์ทรงพาอาตมภาพทั้งหลายไปให้ถึงสถานที่ซึ่งสามกุมารอยู่ [๓๖๑] อาตมภาพทั้ง ๒ เมื่อได้ลูบคลาเท้าทั้ง ๒ และใบหน้าอันงดงามของเขา จักทุบตีตนให้ถึง ความตาย (พระเจ้าปิลยักษ์ได้ตรัสว่า) [๓๖๒] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่เหมือนดวงจันทร์ตกดิน ในป่าที่เกลื่อนกล่นด้วยเนื้ อร้าย เป็น ป่าสูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ [๓๖๓] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่เหมือนดวงอาทิตย์ตกดิน ในป่าที่เกลื่อนกล่นไปด้วยเนื้ อร้าย เป็นป่าสูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ [๓๖๔] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่ เปื้ อนเปรอะด้วยฝุ่น ในป่าที่เกลื่อนกล่นด้วยเนื้ อร้าย เป็นป่า สูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ [๓๖๕] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่ ในป่าที่กลื่อนกล่นด้วยเนื้ อร้าย เป็นป่าสูงปรากฏเหมือนอยู่ ในอากาศ ขอพระคุณท่านทั้ง ๒ จงอยู่ในอาศรมที่พักนี้ เท่านั้นเถิด (ลาดับนั้น ดาบสทั้ง ๒ นั้นเมื่อแสดงว่าตนไม่กลัวต่อสัตว์ร้าย จึงกราบทูลว่า) [๓๖๖] ถ้าในป่านั้น จะมีเนื้ อร้ายตั้งร้อย ตั้งพัน และตั้งหมื่น อาตมภาพทั้ง ๒ ไม่มีความกลัวใน สัตว์ร้ายทั้งหลายในป่าไหนๆ เลย (พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า) [๓๖๗] ลาดับนั้น พระเจ้ากาสีทรงพาฤๅษีทั้ง ๒ ผู้ตาบอดไปในป่าใหญ่ จูงมือฤๅษีทั้ง ๒ ไปในที่ที่ สามกุมารถูกฆ่าแล้ว [๓๖๘] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่เหมือนดวงจันทร์ตก ดิน [๓๖๙] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่เหมือนดวงอาทิตย์ ตกดิน
  • 7. 7 [๓๗๐] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่ ก็คร่าครวญอย่างน่า สงสาร [๓๗๑] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น จึงประคองแขนทั้ง ๒ ข้าง คร่าครวญว่า ชาวเราเอ๋ย ได้ทราบว่า วันนี้ ความไม่เป็นธรรมกาลังเป็นไปในโลกนี้ [๓๗๒] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าประมาทนักแล้ว ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไร เลย [๓๗๓] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าโง่ไปมากนักแล้ว ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไร เลย [๓๗๔] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าโกรธเคืองไปมากนักแล้ว ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้ พูดอะไรเลย [๓๗๕] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าเป็นผู้มักหลับไปมากนักแล้ว ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้า มิได้พูดอะไรเลย [๓๗๖] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าช่างเป็นคนปราศจากน้าใจจริง ในวันนี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้า มิได้พูดอะไรเลย [๓๗๗] ลูกสามผู้บารุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้ มาตายเสียแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักชาระชฎาที่ หม่นหมองเปื้ อนฝุ่น [๓๗๘] ลูกสามผู้บารุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้ มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักจับไม้กวาดแล้ว กวาดอาศรมของเราทั้ง ๒ [๓๗๙] ลูกสามผู้บารุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้ มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักนาน้าเย็นน้าร้อน มาให้เราทั้ง ๒ อาบ [๓๘๐] ลูกสามผู้บารุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้ มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักให้เราทั้ง ๒ บริโภค มูลผลาผลไม้ในป่า [๓๘๑] มารดาได้เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรล้มคลุกฝุ่นอยู่ เป็นผู้อึดอัดเพราะความโศกถึงบุตร จึง ได้กล่าวสัจวาจาว่า [๓๘๒] ลูกสามนี้ ได้เคยมีปกติประพฤติธรรมมาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม หายไป [๓๘๓] ลูกสามนี้ มีปกติประพฤติพรหมจรรย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม หายไป [๓๘๔] ลูกสามนี้ ได้เคยมีปกติกล่าวคาสัตย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม หายไป [๓๘๕] ลูกสามนี้ ได้เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป [๓๘๖] ลูกสามนี้ ได้เป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม หายไป
  • 8. 8 [๓๘๗] ลูกสามนี้ เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป [๓๘๘] บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามทาแล้วแก่เราและบิดาของเขา ด้วยกุศลนั้นทั้งหมด ขอพิษ ของลูกสามจงเสื่อมหายไป [๓๘๙] บิดาได้เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรล้มคลุกฝุ่นอยู่ เป็นผู้อึดอัดเพราะความโศกถึงบุตร จึงได้ กล่าวสัจวาจาว่า [๓๙๐] ลูกสามนี้ ได้เคยเป็นผู้มีปกติประพฤติธรรมมาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจง เสื่อมหายไป [๓๙๑] ลูกสามนี้ มีปกติประพฤติพรหมจรรย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม หายไป [๓๙๒] ลูกสามนี้ มีปกติกล่าวคาสัตย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป [๓๙๓] ลูกสามนี้ ได้เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป [๓๙๔] ลูกสามนี้ ได้เป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อม หายไป [๓๙๕] ลูกสามนี้ เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป [๓๙๖] บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามทาแล้วแก่เราและมารดาของเขา ด้วยกุศลนั้นทั้งหมด ขอ พิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป [๓๙๗] นางเทพธิดาที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นได้อันตรธานไป ด้วยความอนุเคราะห์สามกุมาร จึงได้ กล่าวสัจวาจานี้ ว่า [๓๙๘] เราอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์มานาน ไม่มีคนอื่น จะเป็นใครก็ตาม เป็นที่รักของเรายิ่งกว่าสาม กุมาร ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจงเสื่อมหายไป [๓๙๙] ต้นไม้ทั้งหมดที่ภูเขาคันธมาทน์ล้วนแต่เป็นไม้หอม ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจง เสื่อมหายไป [๔๐๐] เมื่อดาบสทั้ง ๒ กาลังบ่นพร่าราพันอย่างน่าสงสารเป็นอันมาก สามกุมารผู้ยังเป็นหนุ่ม แน่นมีรูปสง่างาม ก็ได้ลุกขึ้นทันที (ลาดับนั้น สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้กล่าวกับท่านเหล่านั้นว่า) [๔๐๑] ข้าพเจ้าเป็นผู้ชื่อว่าสาม ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าลุกขึ้นได้แล้ว โดยความสวัสดี ขอท่านทั้งหลายจงอย่าคร่าครวญไปนักเลย จงพูดกับข้าพเจ้าด้วยเสียงอันไพเราะเถิด (ลาดับนั้น สุวรรณสามโพธิสัตว์เห็นพระราชา จึงกราบทูลว่า) [๔๐๒] ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้เสด็จมาดีแล้ว มิได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้เป็นใหญ่เสด็จมาถึง แล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้ เถิด [๔๐๓] ข้าแต่พระราชา ขอเชิญเลือกเสวยผลมะพลับ ผลมะซาง และผลหมากเม่า ซึ่งเป็นผลไม้ เล็กน้อยแต่ผลที่ดีๆ เถิด
  • 9. 9 [๔๐๔] น้าใสเย็นข้าพระองค์ตักมาจากซอกเขาก็มีอยู่ จงโปรดเสวยจากนั้นเถิด พระเจ้าข้า ถ้า พระองค์ทรงพระประสงค์ (พระเจ้าปิลยักษ์ทรงเห็นความอัศจรรย์นั้นแล้ว จึงตรัสว่า) [๔๐๕] เรางุนงงไปหมด หลงไปทั่วทุกทิศ เราได้เห็นสามตายไปแล้ว ท่านสาม ทาไมหนอ ท่านจึง กลับฟื้ นชีวิตคืนมาได้ (สุวรรณสามโพธิสัตว์ทูลว่า) [๔๐๖] ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้มีชีวิตอยู่ แต่มีเวทนามาก ปราศจากความรู้สึก (ปราศจากความรู้สึก หมายถึงวาระจิตที่หยั่งลงสู่ภวังค์ (ความอยู่โดยไม่รู้สึกตัว, สลบ)) แม้ยังมีชีวิตอยู่ ชาวโลกก็เข้าใจว่า ตาย แล้ว [๔๐๗] ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้มีชีวิตอยู่ แต่มีเวทนามาก ถึงความดับสนิท แม้ยังมีชีวิตอยู่ ชาวโลกก็ เข้าใจว่า ตายแล้ว (สุวรรณสามโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่พระเจ้าปิลยักษ์ว่า) [๔๐๘] บุคคลใดเลี้ยงดูมารดาและบิดาโดยธรรม แม้เทวดาก็เยียวยารักษาบุคคลผู้เลี้ยงดูมารดา และบิดานั้น [๔๐๙] บุคคลใดเลี้ยงดูมารดาและบิดาโดยธรรม แม้นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น ในโลกนี้ บุคคลนั้นละโลกนี้ ไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์ (พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น ทรงประคองอัญชลี ขอร้องอยู่ว่า) [๔๑๐] เรายิ่งงุนงงหนักขึ้น หลงไปทั่วทุกทิศ ท่านสาม เราขอถึงท่านว่าเป็นที่พึ่ง และท่านก็จงเป็น ที่พึ่งของเรา (สุวรรณสามโพธิสัตว์กล่าวทศพิธราชธรรมถวายว่า) [๔๑๑] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระมารดาและพระบิดา เถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า [๔๑๒] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระโอรสและพระมเหสี เถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า [๔๑๓] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในมิตรและอามาตย์เถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า [๔๑๔] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพาหนะและพลนิกายเถิด ครั้นพระองค์ ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า [๔๑๕] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในชาวบ้านและชาวนิคมเถิด ครั้น พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า [๔๑๖] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในชาวแคว้นและชาวชนบทเถิด ครั้น พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า
  • 10. 10 [๔๑๗] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในสมณะและพราหมณ์เถิด ครั้นพระองค์ ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า [๔๑๘] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในฝูงเนื้ อและฝูงนกเถิด ครั้นพระองค์ทรง ประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า [๔๑๙] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมเถิด ธรรมที่พระองค์ทรงประพฤติแล้ว ย่อมนาสุขมาให้ ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้ แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า [๔๒๐] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมเถิด พระอินทร์ เทวดา พร้อมทั้งพรหม เข้าถึงทิพยสถานได้ เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ขอพระองค์อย่าทรงประมาทธรรมเลย สุวัณณสามชาดกที่ ๓ จบ --------------------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา สุวรรณสามชาดก ว่าด้วย สุวรรณสามบาเพ็ญเมตตาบารมี พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภพระภิกษุรูปหนึ่งผู้เลี้ยง มารดา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ว่า โก นุ ม อุสุนา วิชฺฌิ ดังนี้ เป็นต้น. ดังได้สดับมา ในกรุงสาวัตถี มีกุลบุตรผู้หนึ่งเป็นบุตรคนเดียวของสกุลเศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีทรัพย์ สมบัติสิบแปดโกฏิ. กุลบุตรนั้นเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจของบิดามารดา. วันหนึ่ง เขาอยู่บนปราสาทเปิดสีห บัญชรแลดูในถนนใหญ่ เห็นมหาชนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร เพื่อต้องการ สดับพระธรรมเทศนา จึงคิดว่า แม้ตัวเราก็จักไปกับพวกนั้นบ้าง จึงให้คนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระวิหาร ถวายผ้าเภสัชและน้าดื่มเป็นต้นแด่พระสงฆ์ และบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยของหอมและ ดอกไม้เป็นต้น. ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาแล้วเห็นโทษในกามทั้งหลาย กาหนดอานิสงส์แห่งบรรพชา. ครั้นบริษัทลุกไปแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา. ลาดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะกุลบุตรนั้นอย่างนี้ ว่า พระตถาคตทั้งหลายไม่ยังบุตรที่บิดา มารดายังมิได้อนุญาตให้บรรพชา. กุลบุตรได้ฟังรับสั่งดังนั้น จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กลับไป เคหสถาน ไหว้บิดามารดาด้วยความเคารพเป็นอันดี แล้วกล่าวอย่างนี้ ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ข้าพเจ้าจัก บวชในสานักพระตถาคต. ลาดับนั้น บิดามารดาของกุลบุตรนั้นได้ฟังคาของเขาแล้ว ก็เป็นราวกะมีหัวใจแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง เพราะมีบุตรคนเดียว หวั่นไหวอยู่ด้วยความสิเนหาในบุตร ได้กล่าวอย่างนี้ ว่า ดูก่อนพ่อผู้เป็นบุตรที่รัก ผู้เป็น หน่อแห่งสกุล ผู้เป็นดั่งดวงตา ผู้เช่นกับชีวิตของเราทั้งสอง. เราทั้งสองเว้นจากเจ้าเสีย จะมีชีวิตอยู่ได้ อย่างไร. ชีวิตของเราทั้งสองเนื่องในเจ้า เราทั้งสองก็แก่เฒ่าแล้ว จักตายในวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ เจ้ายังจะ ละเราทั้งสองไปเสียอีก. ธรรมดาว่าบรรพชาอันบุคคลทาได้ยากยิ่ง เมื่อต้องการเย็น ย่อมได้ร้อน เมื่อ ต้องการร้อน ย่อมได้เย็น. เพราะเหตุนั้น เจ้าอย่าบวชเลย. กุลบุตรได้สดับคาของบิดามารดาดังนั้น ก็มีความ ทุกข์โทมนัส นั่งก้มศีรษะซบเซา ไม่บริโภคอาหารเจ็ดวัน.
  • 11. 11 ลาดับนั้น บิดามารดาของกุลบุตรนั้น คิดกันอย่างนี้ ว่า ถ้าบุตรของเราไม่ได้รับอนุญาตให้บวชก็ จักตาย. เราจักไม่ได้เห็นเขาอีกเลย บุตรเราเป็นอยู่ด้วยเพศบรรพชิต เราจักได้เห็นอีกต่อไป. ครั้นคิดเห็นกัน อย่างนี้ แล้วจึงอนุญาตว่า ดูก่อนพ่อผู้เป็นลูกรัก เราอนุญาตให้เจ้าบวช เจ้าจงบวชเถิด. กุลบุตรได้ฟังดังนั้นก็มี ได้ยินดี น้อมสรีระทั้งสิ้นลงกราบแทบเท้าบิดามารดา ลาออกจากกรุงสาวัตถีไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร. ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา. พระศาสดาตรัสสั่งภิกษุรูปหนึ่งให้บวชกุลบุตรนั้นเป็นสามเณร. จาเดิมแต่สามเณรนั้นบวชแล้ว ลาภสักการะเกิดขึ้นเป็นอันมาก. สามเณรนั้นยังอาจารย์และ อุปัชฌาย์ให้ยินดี. อุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว เล่าเรียนธรรมอยู่ห้าพรรษา ดาริว่า เราอยู่ในที่นี้ เกลื่อนกล่นไป ด้วยหมู่ญาติเป็นต้น หาสมควรแก่เราไม่ เป็นผู้ใคร่จะบาเพ็ญวิปัสสนาธุระ จึงเรียนกรรมฐานในสานัก อุปัชฌาย์ ออกจากวิหารเชตวันไปสู่ปัจจันตคามแห่งหนึ่ง อยู่ในป่าอาศัยปัจจันตคามนั้น. ภิกษุนั้นเจริญ วิปัสสนาในที่นั้น แม้เพียรพยายามอยู่ถึงสิบสองปี ก็ไม่สามารถยังธรรมวิเศษให้เกิด. ฝ่ายบิดามารดาของภิกษุนั้น ครั้นเมื่อกาลล่วงไปได้ขัดสนลง. คิดเห็นว่า ก็เหล่าชนที่ ประกอบการนาหรือพาณิชย์ บุตรหรือพี่น้องที่จะเตือนนึกถึงพาพวกเราไป ไม่มีในสกุลนี้ พวกเขาถือเอา ทรัพย์ตามกาลังของตนๆ หนีไปตามชอบใจ แม้ทาสกรรมกรในเรือนเป็นต้น ก็ถือเอาเงินทองเป็นต้นหนีไป. ครั้นต่อมา ชนทั้งสองจึงตกทุกข์ได้ยากเหลือเกิน ไม่ได้แม้การรดน้าในมือ ต้องขายเรือน ไม่มีเรือนอยู่. ถึง ความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง นุ่งห่มผ้าท่อนเก่า ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานที่นี่ที่นั่น. ในกาลนั้น ภิกษุรูปหนึ่งออกจากพระเชตวันมหาวิหาร ไปถึงที่อยู่ของภิกษุบุตรเศรษฐีอนาถา นั้น. ภิกษุเศรษฐีบุตรนั้นทาอาคันตุกวัตรแก่ภิกษุนั้นแล้ว นั่งเป็นสุขแล้วจึงถามว่า ท่านมาแต่ไหน. ภิกษุ อาคันตุกะแจ้งว่ามาแต่พระเชตวัน จึงถามถึงความผาสุกแห่งพระศาสดา และของพระมหาสาวกเป็นต้น แล้ว ถามถึงข่าวคราวแห่งบิดามารดาว่า ท่านขอรับ สกุลเศรษฐีชื่อโน้นในกรุงสาวัตถีสบายดีหรือ. ภิกษุ อาคันตุกะตอบว่า อาวุโส ท่านอย่าถามถึงข่าวคราวแห่งสกุลนั้นเลย. ถามว่า เป็นอย่างไรหรือท่าน. ตอบว่า ได้ยินว่า สกุลนั้นมีบุตรคนเดียว เขาบวชในพระศาสนา. จาเดิมแต่เขาบวชแล้ว สกุลนั้นก็เสื่อมสิ้นไป. บัดนี้ เศรษฐีทั้งสองเป็นกาพร้าน่าสงสารอย่างยิ่ง ถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน. ภิกษุเศรษฐีบุตรได้ฟังคาของภิกษุอาคันตุกะแล้ว ก็ไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้ มีน้าตานองหน้าเริ่ม ร้องไห้. พระเถระเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า เธอร้องไห้ทาไม. ภิกษุเศรษฐีบุตรตอบว่า ท่านขอรับ ชนสองคนนั้น เป็นบิดามารดาของกระผม กระผมเป็นบุตรของท่านทั้งสองนั้น. พระเถระจึงกล่าวว่า บิดามารดาของเธอถึง ความพินาศเพราะอาศัยเธอ เธอจงไปปฏิบัติบิดามารดานั้น. ภิกษุเศรษฐีบุตรคิดว่า เราแม้เพียรพยายามอยู่ ถึงสิบสองปี ก็ไม่สามารถที่จะยังมรรคหรือผลให้บังเกิด เราจักเป็นคนอาภัพ. ประโยชน์อะไรด้วยบรรพชา เล่า เราจักเป็นคฤหัสถ์เลี้ยงบิดามารดา ให้ทาน จักเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. คิดฉะนี้ แล้วมอบ สถานที่อยู่ในป่าแก่พระเถระนั้น นมัสการพระเถระแล้ว. รุ่งขึ้นจึงออกจากป่าไปโดยลาดับ ลุถึงวิหารหลังพระเชตวัน ไม่ไกลกรุงสาวัตถี ณ ที่ตรงนั้นเป็น ทางสองแพร่ง ทางหนึ่งไปพระเชตวัน ทางหนึ่งไปในกรุงสาวัตถี. ภิกษุนั้นหยุดอยู่ตรงนั้น คิดว่า เราจักไปหา บิดามารดาก่อน หรือจักไปเฝ้าพระทศพลก่อน แล้วคิดต่อไปว่า เราไม่ได้พบบิดามารดานานแล้วก็จริง. แต่
  • 12. 12 จาเดิมแต่นี้ เราจักได้เฝ้าพระพุทธเจ้าได้ยาก วันนี้ เราจักเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วฟังธรรม. รุ่งขึ้นจึงไป หาบิดามารดาแต่เช้าเทียว คิดฉะนี้ แล้ว ละมรรคาไปกรุงสาวัตถี ไปสู่มรรคาที่ไปพระเชตวัน ถึงพระเชตวัน เวลาเย็น. ก็วันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งภิกษุผู้เป็นบุตรแห่ง สกุลรูปนี้ . พระองค์จึงทรงพรรณนาคุณแห่งบิดามารดาด้วยมาตุโปสกสูตร. ในเวลาที่ภิกษุนั้นมาถึง ก็ภิกษุ นั้นยืนอยู่ในที่สุดบริษัท สดับธรรมกถาอันไพเราะ. จึงราพึงว่า เราคิดไว้ว่าจักเป็นคฤหัสถ์อาจบารุงปฏิบัติ บิดามารดา. แต่พระศาสดาตรัสว่า แม้เป็นบรรพชิตก็ทาอุปการะแก่บิดามารดาได้. ถ้าเราไม่ได้มาเฝ้าพระ ศาสดาก่อนแล้วไป พึงเสื่อมจากบรรพชาเห็นปานนี้ . ก็บัดนี้ เราไม่ต้องสึกเป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตอยู่นี่ แหละจักบารุงบิดามารดา. ภิกษุนั้นถวายบังคมพระศาสดาแล้วออกจากพระเชตวันไปสู่โรงสลาก รับภัตตาหารและยาคูที่ได้ ด้วยสลาก เป็นภิกษุอยู่ป่าสิบสองปี ได้เป็นเหมือนถึงความเป็นผู้พ่ายแพ้แล้ว. ภิกษุนั้นเข้าไปในกรุงสาวัตถี แต่เช้าทีเดียว คิดว่าเราจักรับข้าวยาคูก่อน หรือไปหาบิดามารดาก่อน แล้วคิดว่า การมีมือเปล่าไปสู่สานัก คนกาพร้าไม่สมควร จึงถือเอายาคูไปสู่ประตูเรือนเก่าของบิดามารดาเหล่านั้น ได้เห็นบิดามารดาเที่ยวขอ ยาคูแล้วเข้าอาศัยริมฝาเรือน คนอื่นนั่งอยู่. ถึงความเป็นคนกาพร้าเข็ญใจ ก็มีความโศกเกิดขึ้น มีน้าตานอง หน้ายืนอยู่ในที่ใกล้ๆ บิดามารดาทั้งสองนั้น. บิดามารดาแม้เห็นท่านแล้วก็จาไม่ได้. มารดาของภิกษุนั้น สาคัญว่า ภิกษุนั้นจักยืนเพื่อภิกขาจาร จึงกล่าวว่า ของเคี้ยวของฉันอันควรถวายพระผู้เป็นเจ้าไม่มี นิมนต์ โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด. ภิกษุนั้นได้ฟังคาแห่งมารดา ก็เกิดความโศกเป็นกาลัง มีน้าตานองหน้ายืนอยู่ตรง นั้นเอง เพราะได้รับความเศร้าใจ. แม้มารดากล่าวเช่นนั้นสองครั้งสามครั้ง ก็ยังยืนอยู่นั่นเอง. ลาดับนั้น บิดาของภิกษุนั้นพูดกะมารดาว่า จงไปดู นั่นบุตรของเราทั้งสองหรือหนอ. นางลุกขึ้นแล้วไปใกล้ภิกษุนั้น แลดูก็จาได้ จึงหมอบปริเทวนาการแทบเท้าแห่งภิกษุผู้เป็นบุตร. ฝ่ายบิดาไปบ้างก็ร้องไห้ตรงที่นั้นเหมือนกัน น่าสงสารเหลือเกิน. ฝ่ายภิกษุนั้นเห็นบิดามารดา ก็ไม่อาจจะทรงกายอยู่ได้จึงร้องไห้. ภิกษุนั้นกลั้นความ โศกแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งสองอย่าคิดเลย อาตมาจักเลี้ยงดูท่านให้ผาสุก ยังบิดามารดาให้อุ่นใจแล้วให้ดื่ม ยาคู ให้นั่งพักในที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว นาภิกษาหารมาอีกให้บิดามารดาบริโภค แล้วแสวงหาภิกษาเพื่อตน ไปสู่สานักบิดามารดา ถามเรื่องภัตตาหารอีก ได้รับตอบว่า ไม่บริโภค จึงบริโภคเอง แล้วให้บิดามารดาอยู่ ในที่ควรแห่งหนึ่ง. ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติบิดามารดาทั้งสองโดยทานองนี้ ตั้งแต่นั้นมา แม้ภัตที่เกิดในปักษ์เป็นต้นที่ตน ได้มา ก็ให้แก่บิดามารดา. ตนเองเที่ยวภิกษาจาร ได้มาก็บริโภค. เมื่อไม่ได้ก็ไม่บริโภค ได้ผ้าจาพรรษาก็ ตาม ผ้าอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นอดิเรกลาภก็ตาม ก็ให้แก่บิดามารดา ซักย้อมผ้าเก่าๆ ที่บิดามารดานุ่งห่ม แล้ว เย็บปะนุ่งห่มเอง. ก็วันที่ภิกษุนั้นได้อาหารมีน้อยวัน วันที่ไม่ได้มีมากกว่า. ผ้านุ่งผ้าห่มของภิกษุนั้นเศร้า หมองเต็มที. เมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติบิดามารดาต่อมา ก็เป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กายเหลืองขึ้นๆ มี ตัวดาษไปด้วยเส้นเอ็น. ครั้งนั้น เหล่าภิกษุที่เป็นเพื่อนเห็นเพื่อนคบกันมา เห็นภิกษุนั้นจึงถามว่า อาวุโส แต่ก่อนส รีรวรรณะของเธองามสดใส แต่บัดนี้ เธอซูบผอม เศร้าหมองไม่ผ่องใส กายเหลืองขึ้นๆ มีตัวดาษไปด้วยเส้น
  • 13. 13 เอ็น พยาธิเกิดขึ้นแก่เธอหรือ. ภิกษุนั้นตอบว่า อาวุโส ข้าพเจ้าไม่มีพยาธิ แต่มีความกังวล แล้วบอกประพฤติ เหตุนั้น. ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า อาวุโส พระศาสดาไม่ประทานอนุญาตเพื่อยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ ตกไป. ก็ท่านถือเอาของที่เขาให้ด้วยศรัทธามาให้แก่เหล่าคฤหัสถ์ ทากิจไม่สมควร. ภิกษุนั้นได้ฟังถ้อยคา ของภิกษุเหล่านั้นก็ละอาย ทอดทิ้งมาตาปิตุปัฏฐานกิจเสีย. ภิกษุเหล่านั้นยังไม่พอใจ แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อโน้นยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์. พระศาสดาตรัส เรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ ได้ยินว่า เธอถือเอาศรัทธาไทยไปเลี้ยงคฤหัสถ์ จริงหรือ. เมื่อภิกษุนั้น กราบทูลรับว่า จริง พระเจ้าข้า. เมื่อทรงใคร่จะสรรเสริญการกระทาของภิกษุนั้น และทรงใคร่จะประกาศบุพ จริยาของพระองค์ จึงตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ เมื่อเธอเลี้ยงดูเหล่าคฤหัสถ์ เลี้ยงดูคฤหัสถ์เหล่าไหน. ภิกษุนั้น กราบทูลว่า บิดามารดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. เพื่อจะยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุนั้น. พระศาสดา ได้ทรงประทานสาธุการสามครั้งว่า สาธุ สาธุ สาธุ แล้วตรัสว่า เธอดารงอยู่ในทางที่เราดาเนินแล้ว. แม้เรา เมื่อประพฤติบุพจริยาก็ได้บารุงเลี้ยงบิดามารดา. ภิกษุนั้นกลับได้ความเบิกบานใจ. ลาดับนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลวิงวอนให้ทรงประกาศบุพจริยา. พระศาสดาจึงทรงนาอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้ . ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ณ ที่ไม่ไกลแต่กรุงพาราณสี มีบ้านนายพรานบ้านหนึ่งริมฝั่งนี้ แห่งแม่น้า และมีบ้านนายพรานอีกบ้านหนึ่งริมฝั่งโน้นแห่งแม่น้า ในบ้านแห่งหนึ่งๆ มีตระกูลประมาณห้า ร้อยตระกูล นายเนสาทผู้เป็นใหญ่สองคนในบ้านทั้งสองเป็นสหายกัน. ในเวลาที่ยังหนุ่มอยู่ เขาได้ทากติกา สัญญากันอย่างนี้ ว่า ถ้าข้างหนึ่งมีธิดา ข้างหนึ่งมีบุตร เราจักทาอาวาหวิวาทมงคลแก่บุตรธิดาเหล่านั้น. ลาดับนั้น ในเรือนของนายเนสาทผู้เป็นใหญ่ในบ้านริมฝั่งนี้ คลอดบุตร บิดามารดาให้ชื่อว่า ทุกูล กุมาร เพราะกุมารนั้นอันญาติทั้งหลายรองรับด้วยทุกูลพัสตร์ในขณะเกิด. ในเรือนของนายเนสาทผู้เป็นใหญ่ อีกคนหนึ่งคลอดธิดา บิดามารดาให้ชื่อว่า ปาริกากุมารี เพราะนางเกิดฝั่งโน้น. กุมารกุมารีทั้งสองมีรูปงาม น่าเลื่อมใส มีผิวพรรณดังทองคา. แม้เกิดในสกุลนายพรานก็ไม่ทาปาณาติบาต. กาลต่อมา เมื่อทุกูลกุมารมีอายุได้สิบหกปี บิดามารดาพูดว่า จะนากุมาริกามาเพื่อเจ้า. แต่ทุกูล กุมารมาแต่พรหมโลก เป็นสัตว์บริสุทธิ์ จึงปิดหูทั้งสองกล่าวว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ฉันไม่ต้องการอยู่ครอง เรือน โปรดอย่าได้พูดอย่างนี้ . แม้บิดามารดาพูดอยู่ถึงสองครั้งสามครั้ง ก็ไม่ปรารถนา. ฝ่ายปาริกากุมารีแม้ บิดามารดาพูดว่า แน่ะแม่ บุตรของสหายเรามีอยู่ เขามีรูปงามน่าเลื่อมใส มีผิวพรรณดั่งทองคา เราจักให้ลูก แก่เขา. นางปาริกาก็กล่าวห้ามอย่างเดียวกัน แล้วปิดหูทั้งสองเสีย เพราะนางมาแต่พรหมโลกเป็นสัตว์ บริสุทธิ์. ในคราวนั้น ทุกูลกุมารส่งข่าวลับไปถึงนางปาริกาว่า ถ้าปาริกามีความต้องการด้วยเมถุนธรรม ก็จงไปสู่เรือนของบุคคลอื่น. ฉันไม่มีความพอใจในเมถุน. แม้นางปาริกาก็ส่งข่าวลับไปถึงทุกูลกุมาร เหมือนกัน. แต่บิดามารดาได้กระทาอาวาหวิวาหมงคล แก่กุมารกุมารีทั้งสอง ผู้ไม่ปรารถนาเรื่องประเวณี เลย. เขาทั้งสองมิได้หยั่งลงสู่สมุทร คือกิเลส อยู่ด้วยกันเหมือนมหาพรหมสององค์ ฉะนั้น. ฝ่ายทุกูลกุมารไม่ ฆ่าปลาหรือเนื้ อ โดยที่สุดแม้เนื้ อที่บุคคลนามา ก็ไม่ขาย. ลาดับนั้น บิดามารดาพูดกะเขาว่า แน่ะพ่อ เจ้าเกิด
  • 14. 14 ในสกุลนายพราน ไม่ปรารถนาอยู่ครองเรือน ไม่ทาการฆ่าสัตว์ เจ้าจักทาอะไร. ทุกูลกุมาร กล่าวตอบอย่าง นี้ ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ เมื่อท่านทั้งสองอนุญาต เราทั้งสองก็จักบวช. บิดามารดาได้ฟังดังนั้น จึงอนุญาตว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าทั้งสองจงบวชเถิด. ทุกูลกุมารและปาริกากุมารีก็ยินดีร่าเริง ไหว้บิดามารดา แล้วออกจากบ้าน เข้าสู่หิมวันตประเทศทางฝั่งแม่น้าคงคาโดยลาดับ ละแม่น้าคงคามุ่งตรงไปแม่น้ามิคสัมมตา ซึ่งไหลลงมาแต่ หิมวันตประเทศถึงแม่น้าคงคา. ขณะนั้น พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชสาแดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกเทวราชทรงอาวัชนาการก็ ทรงทราบการณ์นั้น จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรมเทพบุตรมา ตรัสว่า แน่ะพ่อวิสสุกรรม ท่านมหาบุรุษทั้งสอง ออกจากบ้านใคร่จะบวชเป็นฤาษี เข้าสู่หิมวันตประเทศ ควรที่ท่านทั้งสองนั้นจะได้ที่อยู่. ท่านจงเนรมิต บรรณศาลา และบรรพชิตบริขารเพื่อท่านทั้งสองนั้น ณ ภายในกึ่งเสียงกู่ ตั้งแต่มิคสัมมตานที เสร็จแล้ว กลับมา. พระวิสสุกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้ว ไปจัดกิจทั้งปวงโดยนัยที่กล่าวแล้วในมูคปักขชาดก ไล่เนื้ อ และนกที่มีสาเนียง ไม่เป็นที่ชอบใจให้หนีไป. แล้วเนรมิตมรรคาเดินผู้เดียว แล้วกลับไปที่อยู่ของตน. กุมาร กุมารีทั้งสองเห็นทางนั้น แล้วก็เดินไปตามทางนั้นถึงอาศรมบท. ทุกูลบัณฑิตเข้าสู่บรรณศาลา เห็นบรรพชิต บริขารก็ทราบสักกทัตติยภาพว่า ท้าวสักกะประทานแก่เรา จึงเปลื้องผ้าสาฎกออก นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืน หนึ่งห่มผืนหนึ่ง พาดหนังเสือบนบ่า ผูกมณฑลชฎาทรงเพศฤาษี แล้วให้นางปาริกาบวชเป็นฤาษิณี. ฤาษี ฤาษิณีทั้งสององค์นั้น เจริญเมตตาภูมิกามาพจรอาศัยอยู่ในที่นั้น. แม้ฝูงเนื้ อและนกทั้งปวง ก็กลับได้เมตตา จิตต่อกันและกัน ด้วยอานุภาพเมตตาแห่งดาบสดาบสินีทั้งสองนั้น. บรรดาสัตว์เหล่านั้นไม่มีสัตว์ไรๆ เบียดเบียนสัตว์ไรๆ เลย. ฝ่ายปาริกาดาบสินีลุกขึ้นแต่เช้า ตั้งน้าดื่มและของฉันแล้วกวาดอาศรมบททากิจทั้ง ปวง ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้น นาผลไม้เล็กใหญ่มาฉัน แล้วเข้าสู่บรรณศาลาของตนๆ เจริญสมณธรรม สาเร็จการอยู่ในที่นั้นนั่นแล. ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาสู่ที่บารุงแห่งพระมุนีทั้งสองนั้น. วันหนึ่งพระองค์ทรงพิจารณาเห็น อันตรายแห่งพระมุนีทั้งสองนั้นว่า จักษุทั้งสองข้างของท่านทั้งสองนี้ จักมืด จึงลงมาจากเทวโลกเข้าไปหาทุกูล บัณฑิต นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. ตรัสอย่างนี้ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อันตรายจะปรากฏแก่ท่านทั้ง สอง ควรที่ท่านทั้งสองจะได้บุตรไว้สาหรับปฏิบัติท่าน ขอท่านทั้งสองจงเสพโลกธรรม. ทุกูลบัณฑิตได้สดับ คาของท้าวสักกเทวราชจึงกล่าวว่า ดูก่อนท้าวสักกะ พระองค์ตรัสอะไร เราทั้งสองแม้อยู่ท่ามกลางเรือนก็หา ได้เสพโลกธรรมไม่ เราทั้งสองละโลกธรรมนี้ เกลียดดุจกองคูถอันเต็มไปด้วยหนอน. ก็บัดนี้ เราทั้งสองเข้าป่า บวชเป็นฤาษี จักกระทากรรมเช่นนี้ อย่างไรได้. ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าไม่ ต้องทาอย่างนั้น เป็นแต่เอามือลูบท้องปาริกาดาบสินีเวลานางมีระดู. ทุกูลบัณฑิตรับว่า อย่างนี้ อาจทาได้. ท้าวสักกเทวราช นมัสการทุกูลดาบสแล้วกลับไปที่อยู่ของตน. ฝ่ายทุกูลบัณฑิตก็บอกนางปรริกาให้รู้ตัว แล้ว เอามือลูบท้องนาง ในเวลาที่นางมีระดู. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในท้องนางปาริกาฤาษีณี กาลล่วงไปได้สิบ เดือน. นางคลอดบุตรมีผิวพรรณดั่งทองคา. ด้วยเหตุนั้นเอง บิดามารดาจึงตั้งชื่อบุตรว่า สุวรรณสาม กุมาร เวลาที่ปาริกาดาบสินี ไปป่าเพื่อหามูลผลาผล. นางกินรีทั้งหลายที่อยู่ภายในบรรพต ได้ทาหน้าที่นาง นม. ดาบสดาบสินีทั้งสองสรงน้าพระโพธิสัตว์แล้วให้บรรทมในบรรณศาลา แล้วพากันไปหาผลไม้เล็กใหญ่.
  • 15. 15 ในขณะนั้น นางกินรีทั้งหลาย อุ้มกุมารไปสรงน้าที่ซอกเขาเป็นต้น แล้วขึ้นสู่ยอดบรรพต ประดับด้วยบุปผ ชาติต่างๆ แล้วฝนหรดาลและมโนศิลาเป็นต้นที่แผ่นศิลา ประให้เป็นเม็ดที่นลาตแล้วนามาให้ไสยาสน์ใน บรรณศาลา. ฝ่ายนางปาริกากลับมาก็ให้บุตรดื่มนม. กาลต่อมา บิดามารดาปกปักรักษาบุตรนั้น จนมีอายุ ได้สิบหกปี ให้นั่งอยู่ในบรรณศาลา ตนเองพากันไปป่าเพื่อหามูลผลาผลในป่า. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ทรง คิดว่า อันตรายอะไรๆ จะพึงมีแก่บิดามารดาของเรา ในกาลบางคราว จึงทรงสังเกตทางที่บิดามารดาไป. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อดาบสดาบสินีทั้งสองนามูลผลาผลในป่า กลับมาในเวลาเย็น ถึงที่ใกล้ อาศรมบท. มหาเมฆตั้งขึ้นฝนตก ท่านทั้งสองจึงเข้าไปสู่โคนไม้แห่งหนึ่ง ยืนอยู่บนยอดจอมปลวก อสรพิษมี อยู่ภายในจอมปลวกนั้น น้าฝนเจือกลิ่นเหงื่อจากสรีระของสองท่านนั้น ไหลลงเข้ารูจมูกแห่งอสรพิษนั้น มัน โกรธพ่นลมในจมูกออกมา ลมในจมูกนั้นถูกจักษุทั้งสองข้างแห่งดาบสและดาบสินีนั้น ทั้งสองท่านก็เป็นคน จักษุมืดไม่เห็นกันและกัน เพราะลมนั้น. ทุกูลบัณฑิตเรียกนางปาริกามาบอกว่า ปาริกา จักษุทั้งสองของฉัน มืด ฉันมองไม่เห็นเธอ. แม้นางปาริกา ก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน. ทั้งสองมองไม่เห็นทางก็ยืนคร่าครวญอยู่ ด้วยเข้าใจว่า บัดนี้ ชีวิตของเราทั้งสองไม่มีละ. ก็ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้น มีบุรพกรรมเป็นอย่างไร ได้ยินว่า ท่านทั้งสองนั้นในปางก่อนเกิด ในสกุลแพทย์. ครั้งนั้น แพทย์นั้นรักษาโรคในจักษุของบุรุษมีทรัพย์มากคนหนึ่ง บุรุษนั้นจักษุหายดีแล้ว ไม่ให้ทรัพย์ค่ารักษาอะไรๆ แก่แพทย์นั้น. แพทย์โกรธเขา ไปสู่เรือนแจ้งแก่ภริยาของตนว่า ที่รัก ฉันรักษา โรคในจักษุของบุรุษนั้นหาย บัดนี้ เขาไม่ให้ทรัพย์ค่ารักษาแก่ฉัน เราจะทาอย่างไรดี. ฝ่ายภริยาได้สดับสามี กล่าวก็โกรธ จึงกล่าวว่า เราไม่ต้องการทรัพย์ที่มีอยู่ของมัน ท่านจงประกอบยาขนานหนึ่งให้มันหยอด ทา จักษุทั้งสองของมันให้บอดเสียเลย. สามีเห็นชอบด้วย จึงออกจากเรือนไปหาบุรุษนั้น ได้กระทาตามนั้น. บุรุษผู้มีทรัพย์มากคนนั้น ไม่นานนักก็กลับจักษุมืดไปอีก. ดาบสและดาบสินีทั้งสอง มีจักษุมืดด้วยบาปกรรม อันนี้ . ลาดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า บิดามารดาของเรา ในวันอื่นๆ เคยกลับเวลานี้ . บัดนี้ เราไม่รู้ เรื่องราวของท่านทั้งสองนั้น จึงเดินสวนทางร้องเรียกหาไป. ท่านทั้งสองนั้นจาเสียงบุตรได้ก็ขานรับ แล้ว กล่าวห้ามด้วยความรักในบุตรว่า มีอันตรายในที่นี้ อย่ามาเลยลูก. พระมหาสัตว์ตอบท่านทั้งสองว่า ถ้า เช่นนั้น ท่านทั้งสองจงจับปลายไม้เท้านี้ มาเถิด แล้วยื่นไม้เท้ายาวให้ท่านทั้งสองจับ. ท่านทั้งสองจับปลายไม้ เท้าแล้วมาหาบุตร. พระมหาสัตว์ถามว่า จักษุของท่านทั้งสองมืดไปด้วยเหตุอะไร. บิดามารดาทั้งสอง ก็เล่า ให้พระมหาสัตว์ผู้บุตรฟังว่า ลูกรัก เมื่อฝนตก เราทั้งสองยืนอยู่บนยอดจอมปลวกที่โคนไม้ในที่นี้ จักษุทั้งสอง มืดไปด้วยเหตุนั้น. พระมหาสัตว์ได้สดับคาของบิดามารดา ก็รู้ว่าอสรพิษมีในจอมปลวกนั้น อสรพิษนั้นขัด เคืองปล่อยลมในจมูกออกมา. พระมหาสัตว์เห็นบิดามารดาแล้วร้องไห้และหัวเราะ บิดามารดาจึงถามว่า ทาไมถึงร้องไห้ และหัวเราะ. พระมหาสัตว์ตอบว่า ข้าพเจ้าร้องไห้ ด้วยเสียใจว่าจักษุของท่านทั้งสองพินาศไป ในเวลาที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กอยู่. แต่ข้าพเจ้าหัวเราะด้วยดีใจว่า ข้าพเจ้าจักได้ปฏิบัติบารุงท่านทั้งสองในบัดนี้ . ขอท่านทั้งสองอย่าได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าจักปฏิบัติบารุงท่านทั้งสองให้ผาสุก. พระมหาสัตว์ปลอบโยนให้บิดามารดาทั้งสองเบาใจ แล้วนามาอาศรมบท ผูกเชือกเป็นราวในที่ ทั้งปวงสาหรับบิดามารดาทั้งสองนั้น คือที่พักกลางคืน ที่พักกลางวัน ที่จงกรม บรรณศาลา ที่ถ่ายอุจจาระ