Mais conteúdo relacionado
Semelhante a อ ปกรณ เคร_อข_ายคอมพ_วเตอร_ (19)
อ ปกรณ เคร_อข_ายคอมพ_วเตอร_
- 2. 1 Hub Hub (ฮับ) หรือบางทีก็เรียกว่า "รีพีตเตอร์
(Repeater)" คือ อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกลุ่ม
ของคอมพิวเตอร์ Hub มีหน้าที่รับส่งเฟรม
ข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่งไป
ยังทุก ๆ พอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ
เข้ากับ Hub จะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูล
ของเครือข่าย ฉะนั้นยิ่งมีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อ
เข้ากับ Hub มากเท่าใด ยิ่งทาให้แบนด์วิธต่อ
คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องลดลง ในท้องตลาด
ปัจจุบันมี Hub หลายชนิดจากหลายบริษัท ข้อ
แตกต่างระหว่าง Hub เหล่านี้ก็เป็นจาพวก
พอร์ต สายสัญญาณที่ใช้ ประเภทของเครือข่าย
และอัตราข้อมูลที่ Hub รองรับได้
- 3. การที่อุปกรณ์เครือข่ายอีเธอร์เน็ตสามารถทางานได้ที่
ความเร็ว 2 ระดับ เช่น 10/100 Mbps นั้น ก็เนื่องจาก
อุปกรณ์เครื่องนั้นมีฟังก์ชันที่สามารถเช็คได้ว่าอุปกรณ์
หรือคอมพิวเตอร์ที่มาเชื่อมต่อกับ Hub นั้นสามารถรับส่ง
ข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดเท่าใด และอุปกรณ์นั้นก็จะเลือก
อัตราข้อมูลสูงสุดที่รองรับทั้งสองฝั่ง ฟังก์ชันนี้จะเรียกว่า
"การเจรจาอัตโนมัติ (Auto-Negotiation)" ส่วนใหญ่
Hub หรือ Switch ที่ผลิตจะมีฟังก์ชันนี้อยู่ เพื่อให้
สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอีเธอร์เน็ตที่ความเร็วต่างกันได้
ถ้ามีอุปกรณ์เครือข่าย หรือคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง
เชื่อมต่อเข้ากับ Hub และแต่ละโหนดสามารถส่งข้อมูลได้ใน
อัตราที่ต่างกัน Hub ก็จะเลือกอัตราส่งข้อมูลที่อัตรา
ความเร็วต่าสุด เนื่องจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้จัออยู่ใน
คอลลิชันโดเมน (Collision Domain) เดียวกัน
- 4. 2 Modem
โมเด็มมาจากคาว่า MOdulator/DEModulator โดยแยกการทางานออกเป็น
Modulation คือการแปลงสัญญาณดิจิตอล จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ต้นทางให้กลายเป็น
สัญญาณอะนาลอกแล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์ และ Demodulation คือการเปลี่ยนจาก
สัญญาณอะนาลอก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อส่งต่อไปยัง
เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง สัญญาณจากคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณ Digital มีแค่ 0 กับ 1
เท่านั้น เมื่อเปลี่ยนมาเป็นสัญญาณอะนาลอกอยู่ในรูปที่คล้ายกับสัญญาณไฟฟ้าของ โทรศัพท์
จึงส่งไปทางสายโทรศัพท์ได้ สาหรับปัจจุบันนี้ความไวของโมเด็มจะสูงขึ้นที่ 56 Kbps ตอน
แรกมีมาตรฐานออกมา 2 อย่างคือ X2 และ K56Flex ออกมาเพื่อแย่งชิงมาตรฐานกัน ทา
ให้สับสน ในการใช้งาน ต่อมามาตรฐานสากล ได้กาหนดออกมาเป็น V.90 เป็นการยุติ
ความไม่แน่นอน ของการใช้งาน โมเด็มบางตัวสามารถ อัพเดทเป็น V.90 ได้ แต่บางตัวก็ไม่
สามารถทาได้ สาหรับโมเด็มปัจจุบันนี้ยังมีความสามารถในการรับส่ง Fax ด้วย ความไวใน
การส่ง Fax จะอยู่ที่ 14.4 Kb. เท่านั้น
- 5. สามารถแบ่งการใช้งานออกได้เป็น 3
อย่างคือ
1. Internal
2.PCMCIA
3.External
1. Internal Modem
เป็นโมเด็มที่มีลักษณะเป็นการ์ดเสียบกับสล็อตของเครื่องอาจจะ
เป็นแบบ ISA หรือPCI ข้อดีก็คือ ไม่เปลืองเนื้อที่ ราคาไม่แพง
มากนัก ใช้ไฟเลี้ยงจาก Mainboard ข้อเสียคือ ติดตั้งยากกว่า
แบบภายนอก เนื่องจากติดตั้งภายในเครื่องทาให้ใช้ไฟในเครื่อง
อันส่งผลให้เพิ่มความร้อน ในเครื่อง เคลื่อนย้ายได้ไมสะดวกยาก
ใช้ได้เฉพาะเครื่องคอมแบบ PC เท่านั้นไม่สามารถใช้งานกับ
NoteBook ได้
2. PCMCIA
เป็น Card ที่ใช้งานเฉพาะ โดยใช้
กับ Notebook เป็น Card เสียบเข้าไปในช่องสาหรับเสียบ
Card โดยเฉพาะสะดวกในการพกพา ใน
ปัจจุบัน Modem สาหรับ Notebook จะติดมาพร้อมกันอยู่
แล้วทาให้ความนิยมในการใช้ Card Modem ชนิดนี้ลดน้อยลง
- 6. 3. External Modem
เป็นโมเด็มที่ติดตั้งภายนอกโดยจะต่อกับ Serial Port โดยใช้หัวต่อที่เป็น
DB-25 หรือ DB-9 ต่อกับ Com1, Com2 หรือ USB ข้อดีคือ สามารถ
เคลื่อนย้ายไปใช้กับเครื่องอื่นได้ ติดตั้งได้ง่าย ไม่เพิ่มความร้อนให้กับเครื่อง
คอมพิวเตอร์ เนื่องจากติดตั้งอยู่ภายนอกและใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอก
สามารถใช้ งานกับเครื่อง NoteBook ได้เนื่องจากต่อกับ Serial Port
หรือ Parallel Port มีไฟแสดง สภาวะการทางานของโมเด็ม ข้อเสีย มี
ราคาค่อนข้างสูง เกิดปัญหาจากสายต่อได้ง่าย ในการเลือกใช้จึงต้องดูหลาย
ประการเช่น ความสะดวกในการใช้งาน คอมพิวเตอร์ เป็นรุ่นเก่า ก็ควรใช้
แบบ internal และหากมีแต่ Slot ISA ก็ต้องเลือกแบบ ISA Internal
หากต้องการเคลื่อนย้ายไปใช้กับ เครื่องอื่นอยู่เรื่อยก็ต้องใช้แบบภายนอก
หากให้สะดวกก็ควรเป็น แบบ Internal ครับจะได้ความไวที่ โดยมากจะสูง
กว่าแบบภายนอก
- 7. 3. เราเตอร์ ( Router)
เราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่าบริดจ์ ทาหน้าที่เชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายเข้า
ด้วยกันคล้ายกับสวิตช์แต่จะมีส่วนเพิ่มเติมขึ้นมาคือ เราเตอร์สามารเชื่อมต่อ LAN ที่ใช้
โปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน แต่ใช้สื่อส่งข้อมูลหรือสายส่งต่างชนิดกันได้ เช่น
เชื่อมต่อ Ethernet LAN ที่ใช้รับส่งข้อมูลแบบ UTP เข้ากับ Ethernet อีกเครือข่าย
หนึ่งที่ใช้สายข้อมูลแบบ coaxial cable ได้
เราเตอร์ทางานเสมือนเป็นเครื่องหรือโหนดหนึ่งใน LAN ซึ่งจะทาการรับข้อมูลเข้ามาแล้ว
ส่งต่อไปยังปลายทาง โดยอาจส่งในรูปแบบของ packet ที่ต่างออกไปจากเดิม เพื่อไปผ่าน
สายสัญญาณแบบอื่น ๆ เช่น สายโทรศัพท์ที่ต่อผ่านโมเด็มก็ได้ ดังนั้นเราจึงอาจใช้เราเตอร์
เพื่อเชื่อมต่อ LAN หลาย ๆ แบบเข้าด้วยกันได้ด้วย และจากการที่มันทาตัวเสมือนเป็น
โหนด ๆ หนึ่งใน LAN ทาให้เราเตอร์สามารถทางานอื่น ๆ อีกมาก เช่น รวบรวมข้อมูล
เพื่อหาเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งข้อมูลต่อ หรือตรวจสอบว่าข้อมูลที่เข้ามานั้นมาจากไหน
ควรจะให้ผ่านหรือไม่ เพื่อช่วยในเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย
- 8. สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างบริดจ์กับเราเตอร์คือ เราเตอร์มีการทางานที่
สูงกว่าคือ ในระดับชั้นที่ 3 ของ โมเดล OSI นั่นคือคือ Network
Layer โดยจะใช้ logical address หรือ Network Layer
address ซึ่งเป็นที่อยู่ซึ่งตั้งโดยซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้แต่ละเครื่องจะตั้งขึ้น
ให้โปรโตคอลในระดับ Network Layer รู้จัก
หน้าที่หลักของเราเตอร์คือ การหาเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งผ่านข้อมูล
และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น โดยในแต่ละ
เครือข่ายจะมีรูปแบบของ packet ที่แตกต่างกันตามโปรโตคอลที่
ทางานในระดับบน (ตั้งแต่เลเยอร์ที่ 3 ขึ้นไป) เช่น IP, IPX หรือ
AppleTalk เมื่อมีการส่งข้อมูลก็จะบรรจุข้อมูลนั้นเป็น packet ใน
รูปแบบของเลเยอร์ที่ 2 เมื่อเราเตอร์ได้รับข้อมูลก็จะตรวจดูใน
packet นี้เพื่อจะทราบว่าใช้โปรโตคอลแบบใด ซึ่งเราเตอร์จะเข้าใจ
โปรโตคอลต่าง ๆ แล้ว จากนั้นก็จะตรวจดูเส้นทางส่งข้อมูลจากตาราง
routing table ว่าจะต้องส่งข้อมูลนี้ไปยังเครือข่ายใดต่อจึงจะถึง
ปลายทางได้ แล้วจึงบรรจุข้อมูลลงเป็น packet ตามรูปแบบของเล
เยอร์ที่ 2 อีกครั้งเพื่อส่งต่อไปยังเครือข่ายถัดไป