Mais conteúdo relacionado Semelhante a ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา (20) ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา จิตวิทยานับว่าเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งเรียกว่า วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Psychology) แขนงหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่ามีบทบาทเกี่ยวข้องต่อมนุษย์ในเกือบทุกด้าน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีความรู้หรือไม่มีความรูทางด้านนี้เลยก็ตาม จิตวิทยานั้นเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของคนเราในเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านส่วนตัว ครอบครัว การประกอบสัมมาอาชีพ การอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ๆ เป็นต้น วิชาจิตวิทยานั้นจะมุ่งศึกษาเกี่ยวกับทางด้านของ พฤติกรรม (Behavior) ของบุคคลในทุกแง่มุม เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ความรู้ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จนเกิดความสุข ความสำเร็จ และมีความสุขได้ในสังคม 2. ทั้งนี้แล้ว คนโดยส่วนใหญ่เมื่อได้ยินคำว่า “จิตวิทยา” มักจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยาก ไม่น่าศึกษาค้นคว้า แต่ความจริงแล้วนั้น วิชาจิตวิทยาเป็นวิชาที่ทำให้เกิดการพัฒนาในด้านความคิดและการแสดงออก หรือ บุคลิกภาพ (Personality) ที่ดี ที่เหมาะสม และเกิดการยอมรับในสังคมอีกด้วยมีจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่าจิตวิทยานั้นเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องลึกลับของจิต วิญญาณ ไสยาศาสตร์ หรือการอ่านจิตใจของมนุษย์ ซึ่งจากความเข้าใจข้างต้นทำให้เกิดความรู้สึก 2 ประการ คือ1. พยายามที่จะศึกษาจิตวิทยาเพื่อที่อยากมีความสามารถในการเดาใจหรืออ่านใจผู้อื่นได้ และ2. เกิดความหวาดระแวงในตัวบุคคลที่เรียนจิตวิทยาว่า จะสามารถอ่านใจว่าตนมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรทั้งนี้อาจเนื่องมาจากรากศัพท์ของคำว่า Psychology ก็เป็นได้ 3. ความหมายของจิตวิทยา จิตวิทยาตรงกับภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ ได้แก่ Psyche + LogosPsyche ในภาษากรีกหมายถึง Mind or Soul นั่นคือ วิญญาณ หรือจิตLogos หมายถึง Science of Study นั่นคือ วิชาการและการศึกษาหาความรู้ดังนั้น เมื่อศัพท์ทั้งสองมารวมกันจนกลายเป็น Psychology จึงหมายความถึง วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณ (A study of the soul) ทั้งนี้เนื่องจากสมัยกรีกโบราณนั้นถือว่าเป็นยุคเริ่มแรกของการศึกษาทางจิตวิทยา ซึ่งนักปรัชญาสมัยนั้นได้พยายามค้นคว้าถึงความสำคัญและความมีอิทธิพลของวิญญาณ (Soul) ต่อการกระทำของมนุษย์ 4. แต่ทั้งนี้วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ ดังนั้นในปลายศตวรรษที่ 19 นักปรัชญารุ่นใหม่จึงเปลี่ยนแนวทางในการศึกษาค้นคว้ามาเป็นศึกษาถึง พฤติกรรม (Behavior) โดยให้ความสำคัญเฉพาะประสบการณ์นอกจากนั้นแล้ว ในยุคนี้ยังได้ให้ความสำคัญของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยการนำระเบียบวิธีการต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับพฤติกรรมที่แสดงออกทั้งหลายอีกด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จิตวิทยาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์แขนงหนึ่ง ดังนั้น ในปัจจุบันความหมายของจิตวิทยานั้นจึงหมายความว่าจิตวิทยาเป็นวิชาที่มุ่งศึกษาพฤติกรรม และกระบวนการทางสมองของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ระเบียบวิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ 5. คำว่า พฤติกรรม (Behavior) หมายถึง การกระทำหรือการแสดงออกต่าง ๆ ทางร่างกาย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ1. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) หมายถึง พฤติกรรมหรือการกระทำที่ปรากฏออกมาให้สังเกตเห็นได้ รับรู้ได้ ใช้เครื่องมือตรวจสอบได้ โดยแบ่งออกได้อีก 2 ลักษณะ ได้แก่1) แบบโมลาร์ (molar) เป็นพฤติกรรมภายนอกที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ฯลฯ2) แบบโมเลคิวลาร์ (molecular) เป็นพฤติกรรมภายนอกที่จะรับรู้ได้ โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตรวจสอบเพียงอย่างเดียว เช่น ความดันเลือด คลื่นสมอง คลื่นหัวใจ การเต้นของชีพจร เป็นต้น 6. 2. พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) หรือกระบวนการทางจิต (mental process) หมายถึง พฤติกรรมที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตา หรือไม่สามารถใช้เครื่องมือตรวจสอบได้โดยตรง เช่น ความรู้สึก อารมณ์ ความจำ การคิด การวิเคราะห์หาเหตุผล ประสบการณ์ ฯลฯ ทั้งพฤติกรร สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พฤติกรรมภายในเป็นตัวกำหนดการแสดงออกของพฤติกรรมภายนอก เช่น ถ้าพฤติกรรมภายในไม่มีความสุข มีแต่ความเศร้าหมอง ก็จะแสดงออกทางสีหน้า แววตา ท่าทาง เป็นต้นดังนั้น การที่จะเข้าใจบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้นจะทำความเข้าใจถึงอารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ ฯลฯ ให้ชัดเจนเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่จะต้องสังเกตศึกษาพฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกมาด้วยเช่นกัน นักจิตวิทยาเชื่อว่าพฤติกรรมทุก ๆ อย่างนั้นย่อมมีเหตุแห่งพฤติกรรม และสาเหตุแค่เพียงประการเดียวก็สามารถจำแนกออกมาเป็นพฤติกรรมได้หลากหลายรูปแบบ เช่นเดียวกับพฤติกรรมรูปแบบเดียว ก็อาจจะมาจากหลากหลายสาเหตุ 8. ดังนั้น การที่จะเข้าใจในมนุษย์ได้นั้นจะต้องทำความเข้าใจกับวิญญาณหรือสามารถอธิบายวิญญาณได้ชัดเจนเสียก่อน แต่ถึงกระนั้น ในยุคกรีกโบราณได้มีการอธิบายถึงวิญญาณในแนวทางของปรัชญาเสียมากกว่าในแง่ของวิทยาศาสตร์ โดยคำตอบที่ปรากฏออกมาเกี่ยวกับวิญญาณนั้นมีการประสานระหว่างเหตุผลทางความคิดกับความเชื่อทางศาสนาในขณะนั้น ด้วยวิธีการเช่นนี้เอง ทำให้คำอธิบายที่ออกมานั้นมีความไม่แน่นอน และเกิดความหลากหลายไม่ชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันวิธีการเช่นนี้ถูกเรียกว่า อาร์มแชร์ (Armchair method) เพราะเป็นวิธีการหาคำตอบแบบนั่งอยู่กับที่ ไม่มีการค้นคว้าทดลอง หรือพิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์ให้สามารถเห็นได้จริงแต่จากแนวคิดทางปรัชญาดังกล่าวทำให้ในระยะหลังเกิดแนวคิดทางจิตวิทยาซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 10. 2. แนวคิดที่มีรากฐานเน้นทางวิทยาศาสตร์ กระทั่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา วงการทางวิทยาศาสตร์ได้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีผลให้นักจิตวิทยาในยุคใหม่เปลี่ยนแนวทางการศึกษาจากจิตใจ (Mind) มาเป็นการศึกษาพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้จริง นอกจากนี้ยังสามารถนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องในการอธิบายได้ชัดเจนด้วย โดยบุคคลที่มีบทบาทความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ คือ วิลเฮล์ม แมกซ์วุนต์ (Wilhelm Max Wundt) นักจิตวิทยาชาวเยอรมันผู้ก่อตั้งกลุ่มจิตวิทยาแนวทฤษฎีโครงสร้างของจิต (Structuralism) โดยได้จัดตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยาเมื่อปี ค.ศ. 1879 ในประเทศเยอรมนี ทำให้วงการจิตวิทยาเริ่มมีการทดลองตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกในโลก แต่วุนต์มุ่งเน้นที่จะศึกษาพฤติกรรมภายใน ตลอดจนวิธีการที่นำมาศึกษาค้นคว้ายังมีข้อบกพร่อง จึงยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร 11. วงการจิตวิทยาได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง เมื่อ จอห์น บี.วัตสัน (John B.Watson) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้ตั้งกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Bahaviorism) ได้มุ่งศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้หรือพฤติกรรมภายนอก ผลงานการศึกษาของวัตสันนี้เอง ทำให้จิตวิทยาได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ทางพฤติกรรม หรือ พฤติกรรมศาสตร์ (Behavior Science) จนถึงปัจจุบัน 12. อ่างอิง จิตวิทยาทั่วไป จิราภา เต็งไตรรัตน์ ภาควิชาจิตวิทยาคณะศิลปะศาสตร์สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2542 พิมพ์ครั้งที่ 1 จัดทำโดย นายสีรพงศ์ แป้นสุขา ห้อง 10 รหัส 521121014 โปรแกรมคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์