Mais conteúdo relacionado Semelhante a มรดกอารยธรรมโลก (20) Mais de Heritagecivil Kasetsart (7) มรดกอารยธรรมโลก2. 2.4.1 การฟื้นฟูศลิปะ
วทิยาการ
มาจากภาษาฝรงั่เศสว่า “Renaissance” แปลว่าการ
เกดิใหม่ (Rebirth) อนัหมายถงึการกลบัไปหาวทิยาการใน
สมยักรกี– โรมนัทเี่คยรุ่งเรอืงในอดตี โดยเฉพาะอย่างยงิ่คอื
แนวคดิเกยี่วกบัมนุษยน์ยิม (Humanism)
ดว้ยพนื้ฐานแนวคดิเรอื่งมนุษยน์ยิมไดท้า ใหยุ้โรป
เกดิกระบวนการปฏริูปหลายสงิ่หลายอย่างในเวลาใกลเ้คยีงกนั
นบัตงั้แต่ครสิตศตวรรษที่15 – 18 ซึ่งลา ดบัเหตุการณืไดด้งันี้
3.
ปฏริูปศาสนา
การปฏวิตัทิางการคา้ภายใตล้ทัธพิาณิชยน์ยิม และการคน้พบโลกใหม่
การปฎวิตัวิทิยาศาสตร ์
แนวคดิเรอื่งเสรนียิมนาไปสู่ระบบการแข่งขนัโดยเสรี
การปฎวิตัเิกษตรกรรม
การปฎวิตัอิุตสาหกรรม และ เศรษฐกจิแบบทุนนยิม อนันาไปสู่ลทัธลิ่า
อาณานคิม
นาไปสู่การเกดิสงครามโลกทงั้สองครงั้และการกา้วขนึ้มามอีานาจของ
สหรฐัฯ
7. ความเสอื่มของศาสนจกัร
สงฆไ์ม่เคร่งครดัในคา สอน
สงฆเ์ห็นกบัลาภสกัการะ มกีารซื้อตา แหน่ง
ดว้ยเงนิ และขายใบบุญไถ่บาป
สงฆม์อีทิธพิลครอบงาทงั้ทางโลกและทาง
ธรรม และปิดกนั้ความกา้วหนา้ทางวชิาการ
โดยเฉพาะการอธบิายระบบจกัรวาลและ
ธรรมชาตทิขี่ดักบัแนว มนุษยน์ยิม
18. 2.4.3 การปฏวิตัทิางการคา้
และการคน้พบโลกใหม่
ในสมยัศตวรรษที่12-16 เกดิภาวการณก์ารตนื่ตวัทาง
การคา้ อนัเนอื่งมาจากมผีูค้นในชนชนั้ไพร่และทาสตดิทดี่นิ
จานวนมากเดนิทางไปร่วมรบสงคราม ครูเสด ในดนิแดนที่
ห่างไกลบา้นเกดิ ทา ใหเ้กดิการแลกเปลยี่นสนิคา้จนเกดิตลาด
สนิคา้ และกลายเป็นเมอืงทางการคา้ในทสีุ่ด และเป็นการคา้ทใี่ช้
เงนิตราเป็นสอื่กลางแทนสงิ่ของแบบแต่ก่อน (Barter System)
ส่วนพวกไพร่และทาสตดิทดี่นิทหี่นัไปทา การคา้ช่วง
สงครามก็ร่ารวยขนึ้และเปลยี่นสถานภาพเป็นชนชนั้กลางที่
อาศยัอยู่ในเมอืงใหญ่แทนการกลบัไปเป็นเกษตรกร
19. การคน้พบโลกใหม่
ปลายศตวรรษที่15 การขยายตวัทางการคา้ใน
ยุโรปประสบอุปสรรคจากการตอ้งเสยีค่าใช้จ่ายมากมาย
ระหว่างการเดนิทางคา้ขายกบัตะวนัออกใหก้บัคนกลางที่
เป็นชาวมุสลมิทมี่อีทิธพิลในย่านทะเลเมดเิตอรเ์รเนียน
รวมถงึปัญหาเงนิและทองซงึ่เป็นทุนสา รองมไีม่พอเพยีง
วธิกีารแกปั้ญหาเหล่านี้ก็คอืการหาเสน้ทางเพอื่ทา
การคา้ใหม่เพอื่หลกีเลยี่งอทิธพิลชาวมุสลมิ ทา ให้
เกดิปรากฎการณ์ทกี่ษตัรยิส์นบัสนุนนกัเดนิเรอือย่างมาก
ชาตทิสี่่งเสรมิการเดนิเรอืไดแ้ก่ โปรตุเกส สเปน องักฤษ
และฝรงั่เศส
20. ชนชั้นกลางที่เกิดใหม่และอาศัยอยู่ในเมืองเรียกว่า “กระฎุมพี”
(Bourgeoisie) คนกลุ่มนจี้ะเป็นพ่อคา้คนกลางทา การคา้ระหว่าง
ภาคพนื้ยุโรปและยุโรปกบัโลกตะวนัออกดว้ย อุปสรรคทางการคา้
ของคนกลุ่มนกี้็คอืขุนนางในระบบฟิวดลัทา การกดีกนัการคา้ดว้ย
การคดิค่าผ่านทางหรอืค่าผ่านแมนเนอรข์องขุนนาง ทา ใหพ้วก
พ่อคา้ตอ้งหนัไปพงึ่กษตัรยิโ์ดยมกีารใหผ้ลประโยชนซ์งึ่กนัและกนั
ส่งผลใหก้ษตัรยิเ์รมิ่มบีทบาทต่อประเทศโดยส่วนรวม กษตัรยิ์
สามารถปราบปรามอทิธพิลของขุนนางไดส้าเร็จ ในขณะเดยีวกนัก็
ทรงออกกฎหมายควบคุมการพาณิชยด์ว้ย ( เพ็ชรีสุมติร
,บรรณาธกิาร,2527,น.87)
21. ฉะนนั้พระมหากษตัรยิใ์นช่วงปฎวิตัทิางการคา้จงึมบีทบาทมากใน
ฐานะผูร้วมประเทศ เช่น ประเทศสเปน ประเทศองักฤษ ประเทศ
ฝรงั่เศส รวมทงั้ในฐานะผูอุ้ปถมัภก์ารคา้ตามลทัธิพาณิชยน์ยิม
(mercantilism) ประเทศทปี่ระสบความสา เร็จจากการปฎวิตักิารคา้
ภายใตก้ารนาของกษตัรยิต์ามลา ดบัก็คอื โปรตุเกส สเปน องักฤษ
เนเธอรแ์ลนด์
กระบวนการปฎวิตักิารคา้ประสบความสา เร็จจากการคา้
ทางไกลโพน้ทะเล จนกระทงั่ศตวรรษที่17 องักฤษ และเนเธอรแ์ลนด ์
สามารถครอบครองเสน้ทางการคา้ในทะเลเมดเิตอรเ์รเนียนและทะเล
บอลตกิไดส้า เร็จ
22. วธิกีารประกอบการคา้
ในระยะแรกของการทา การคา้พ่อคา้ยงัไม่มทีุน ฉะนนั้จงึ
ตอ้งทาการกูย้มืเงนิมาจากกลุ่มคนทเี่รยีกว่านายทุน โดยนายทุน
จะไดร้บัส่วนแบ่งกาไร 20-50% ถา้หากการคา้ขาดทุนนายทุนก็
สูญเงนิเปล่าโดยไม่ไดร้บัเงนิคนื วธิีการกูย้มืเงนิเรยีกว่า Sea
Loan (เพ็ชรีสุมติร,บรรณาธกิาร,2527,น.89)
วธิีการลงทุนอกีแบบคอืการใช้ ต๋วัแลกเงนิ โดยพ่อคา้
จะตอ้งส่งเงนิแท่งไปยงัเมอืงการคา้ต่าง ๆ เพอื่ชาระบญัชีโดย
23. ผูถ้อืต๋วัแลกเงนิจะไปขนึ้เงนิทธี่นาคารสาขาใดและในเมอืงใดก็ได้
ซงึ่เป็นธนาคารทมี่กีารไปออกต๋วัแลกเงนิ ( เพ็ชรี สุมติร
,บรรณาธกิาร,2527,น.89-90)
ต๋วัแลกเงนิมมีาตงั้แต่ศตวรรษที่12-13 และ 15 ทเี่มอืงฟลอ
เรนซ์ซงึ่ถอืว่าเป็นเมอืงทมี่อีทิธพิลทางธนาคารของยุโรป และเป็นที่
พงึ่ของประเทศต่าง ๆได้เพราะการแลกเปลยี่นเงนิตราของยุโรป
ตอ้งผ่านธนาคารทฟี่ลอเรนซก์่อน เนอื่งจากเป็นเมอืงทสี่ามารถ
ผลติเหรยีญทองไดม้ากและไดม้าตรฐานเป็นทยี่อมรบัของประเทศ
ฝรงั่เศส สเปน และเยอรมนีเพราะทองเป็นของหายากในขณะนนั้
นอกจากนฟี้ลอเรนซย์งัร่า รวยจากการคา้ขนสตัวแ์ละผลติพนัธท์ที่า
จากการคา้ขนสตัวอ์กีดว้ย (เพ็ชรีสุมติร,บรรณาธกิาร,2527,น.90)
24. ลทัธพิาณิชยช์าตนิยิม
เนน้ความสา คญัของเงนิและทองแท่ง หมายถงึความมงั่คงั่
ของรฐัเป็นหลกั ในศตวรรษที่16 ประเทศสเปน เป็นประเทศ
ทรีุ่่งโรจนม์ากทสีุ่ด ซงึ่เงนิและทองแท่งบางครงั้มาจาก
เมอืงขนึ้หรอืในดนิแดนของตน
รฐัส่งเสรมิการเกษตร การอุตสาหกรรม การพาณิชย ์โดยมี
รฐัเป็นผูด้า เนนิการเพอื่ใหเ้พยีงพอในการเลยี้งดูคนใน
ประเทศ ทเี่หลอืจงึส่งไปขายต่างประเทศ
รฐัเขา้ไปเกยี่วขอ้งกบักจิการทางเศรษฐกจิโดยตรง
( เพ็ชรีสุมติร,บรรณาธกิาร,2527,น.95-96)
25. การคน้พบโลกใหม่
ปลายศตวรรษที่15 การขยายตวัทางการคา้ในยุโรปประสบ
อุปสรรคจากการตอ้งเสยีค่าใช้จ่ายมากมายระหว่างการเดนิทางคา้ขาย
กบัตะวนัออกใหก้บัคนกลางทเี่ป็นชาวมุสลมิทมี่อีทิธพิลในย่านทะเลเมดิ
เตอรเ์รเนียน รวมถงึปัญหาเงนิและทองซงึ่เป็นทุนสา รองมไีม่พอเพยีง
วธิีการแกปั้ญหาเหล่านี้ก็คอืการหาเสน้ทางเพอื่ทา การคา้ใหม่
เพอื่หลกีเลยี่งอทิธพิลชาวมุสลมิ ทาใหเ้กดิปรากฎการณท์กี่ษตัรยิ์
สนบัสนุนนกัเดนิเรอือย่างมาก ชาตทิสี่่งเสรมิการเดนิเรอืไดแ้ก่
โปรตุเกส สเปน องักฤษ และฝรงั่เศส
26. นอกจากนี้การเดนิเรอืยงัมเีป้าหมายเพอื่ใหม้ชิชนันารไีปเผยแพร่
ศาสนาครสิตย์งัดนิแดนโพน้ทะเล และเพอื่ตอบสนองความตอ้งการ
เรยีนรูส้งิ่แปลก ๆทเี่คยไดย้นิไดอ้่านมาจากนกัผจญภยั เช่น มารโ์ค
โปโล ทไี่ปราชสา นกัจนี ในศตวรรษที่13 และกล่าวถงึเสน้ทางสายไหม
(silk road) เป็นตน้
เสน้ทางทคี่น้พบคอืการเดนิเรอืลงทศิใตอ้อ้มแหลม กู๊ดโฮป
ของทวปีแอฟรกิา ดนิแดนทคี่น้พบก็คอื ตอนในของทวปีแอฟรกิา ทวปี
อเมรกิา หมู่เกาะอนิเดยีตะวนัออก และทวปีออสเตรเลยีในทสีุ่ด
ช่วงระยะทมี่กีารคน้พบโลกใหม่และเสน้ทางเดนิเรอืจาก
ตะวนัตกสู่ตะวนัออกนี้รูจ้กักนัในนาม “การปฎวิตัทิางการคา้” (คณะ
อกัษรศาสตร ์จุฬาลงกรณ์มหาวทิยาลยั,2533,น.28-29)
27. 2.4.4 การปฏวิตัวิทิยาศาสตร์
สาระสาคญัของการปฎวิตัวิทิยาศาสตรค์อื การ
ใช้เหตุผลเชงิประจกัษ์ ซงึ่อยู่บนพนื้ฐานของแนวคดิ
มนุษยน์ยิม อนัเป็นกระบวนการทเี่กดิขนึ้ระหว่าง
ศตวรรษที่16-18 ซงึ่ในช่วงแรกเป็นความพยายาม
ทา งานร่วมกนัระหว่าง นกัปราชญก์บัพวกช่างฝีมอื
หมายถงึการผสมผสานระหว่างภาคทฤษฎี(scientjfic
know why)กบัภาคปฎบิตัิ(technological know
how) ( เพ็ชรี สุมติร, บรรณาธกิาร,2527,น.99) เพอื่
ส่งเสรมิคุณภาพชีวติของมนุษยใ์หส้ะดวกสบายยงิ่ขนึ้
28. ปัจจยัทนี่ามาสู่การปฎวิตัวิทิยาศาสตร์
นกัคดิหนัมาสนใจงานปรชัญาของปราชญช์าวกรกีอกีครงั้
โดยเฉพาะงานคน้ควา้ปฎบิตักิารของ ยูคลดิ (Euclid) และ
อารค์มิดิสิ(Archemedes) รวมถงึการคน้ควา้ทางยา และ
การแพทย์
การคน้พบโลกใหม่นบัตงั้แต่ครสิตศ์ตวรรษที่15 ทา ใหไ้ดเ้ห็น
สงิ่แปลกๆใหม่ๆ ทงั้พนัธุพ์ชืและสตัว ์ทา ใหไ้ดเ้ป็นขอ้มูลมาทา
การวเิคราะหว์จิยั และทา การทดลอง เพอื่สรุปผลออกมา
เพอื่ใหเ้กดิความกา้วหนา้ทางเทคโนโลยเีพอื่พฒันาการค้า
และความมงั่คงั่ของประเทศสบืไป
31. บทบาทของนกัวทิยาศาสตรส์มยั
ศตวรรษท1ี่7
นกัวทิยาศาสตรท์สี่าคญั เช่น ไอแซค นวิตนั เป็นบุคคลที่
คน้พบว่า ระบบสุรยิะจกัรวาล อยู่ภายใตร้ะเบยีบแบบแผนทแี่น่นอน
ตายตวัเหมอืนการทา งานของเครอื่งจกัรกล ทเี่รยีกว่า “กฎแห่ง
การโนม้ถ่วง” (Law of Gavitation) ซงึ่มนุษยจ์ะเขา้ถงึกฎนไี้ด้
ดว้ยวธิกีารทางคณิตศาสตร์
ผลของการอธบิายเช่นนที้า ใหว้ธิคีดิแบบศาสนาและ
วทิยาศาสตรแ์ยกออกจากกนัอย่างชดัเจน เพราะหลงัจากพระเจา้
ทรงสรา้งสรรพสงิ่แลว้ก็หมดความสาคญั ทเี่หลอืนนั้มนุษยจ์ะตอ้ง
เป็นผูไ้ขปรศินาเองเพอื่ใหเ้ขา้ใจธรรมชาติ(เพ็ชรีสุมติร
,บรรณาธกิาร,2527,น.110)
32. เป็นทยี่อมรบักนัโดยทวั่ไปว่า ไอแซค นวิตนัมอีทิธพิลต่อ
ความคดิของชาวยุโรปในช่วงศตวรรษที่17-19 มาก อย่างน้อยก็ทา ให้
มนุษยม์กีฎเกณฑท์แี่น่นอนในการอธบิายสรรพสงิ่ต่าง ๆ ใหเ้ป็น
รูปธรรมดว้ยสมการทางคณิตศาสตร ์ หากสงิ่ใดทไี่ม่สามารถอธบิายได้
ดว้ยสมการก็จะถอืว่าไม่เกยี่วขอ้งกบัเหตุผลทางวทิยาศาสตรเ์ลย และ
กลบัถูกมองว่าเป็นเรอื่งเหลวไหล เช่นเรอื่งภูตผปีิศาจเป็นตน้ (ธาวติ
สุขพานชิ,2542,น.30)
บุคคลทสี่า คญัอกีคนหนงึ่ในช่วงปฎวิตัวิทิยาศาสตรก์็คอื
เซอร์ฟรานซิส เบคอน
34. ฟรานซิส เบคอน เป็นนกัคดิ นกัปรญัา
และนกัเขยีน และเป็นนกัคดิตน้แบบในเรอื่ง
Inductive Reasoning, Scientific Method
หมายถงึ การสรา้งคา อธบิายภายใตก้าร
ตงั้สมมตฐิาน และนาไปสู่การทดลองก่อนสรุปเป็น
คาตอบ(WWW.Wilsonalmanac.com)
36. Rene Descarte เป็นผูว้างรากฐานเรอื่ง
แคลคูลสั (ซงึ่ต่อมาพฒันาโดย นวิตนั) จน
ไดฉ้ายาว่าเป็น บดิาแห่งคณติศาสตร์
สมยัใหม่ (Father of modern
mathematics) และเป็นผูว้างรากฐาน
ระเบยีบวธิแีบบ skepticism
37. ความสา คญัของการปฏวิตัวิทิยาศาสตร์
ทมี่า: เพ็ชรี สุมติร,บรรณาธกิาร,2527,น.110-115.
ประการแรก ทาใหเ้กดิการประดษิฐค์ดิคน้อย่างไม่หยุดยงั้
ก่อใหเ้กดิการประดษิฐเ์ครอื่งจกัรกล และการปฏวิตัิ
อุตสาหกรรมตามมา
ประการทสี่อง ก่อใหเ้กดิการปฏวิตัทิางความคดิ ที่
เรยีกว่า Age of Enlightenment โดยใช้เหตุผลเป็นพนื้ฐาน
ต่อมาไดม้กีารนาเอาแนวคดิทางวทิยาศาสตรไ์ปศกึษาเรอื่งราว
ของมนุษยแ์ละเรอื่งราวทางการเมอืง อนันาไปสู่การเกดิแนวคดิ
ทสีา คญัสองแนวคดิคอื
38. แนวคดิของสา นกัธรรมชาติ (School of
natural law) หมายถงึการมองการเมอืงใหส้อดคลอ้งกบั
ธรรมชาติเช่นการรวมกลุ่มของมนุษย ์ซงึ่เป็นไปตาม “กฎ
ของธรรมชาต”ิ (Natural Law) ทมี่เีหตุผลรองรบัชุด
หนงึ่
แนวคดิของสานกัเหตุผลนยิม (School of
Reason) ศกึษาสภาพแวดลอ้มทมี่ผีลต่อจติใจของมนุษย ์
ทางดา้นทศันคตแิละบุคลกิภาพ อนัเป็นทมี่าของวชิา
จติวทิยา
39. แนวคดิเรอื่งเสรนียิมและการแข่งขนัโดยเสรี
แนวคดิเรอื่งเสรนียิมพฒันามาจากแนวคดิของ จอหน์
ล็อค และ รุสโซ ในศตวรรษที่18 โดยเฉพาะแนวคดิของ ล็อคที่
เนน้ว่ามนุษยท์ุกคนมสีทิธมิาแต่เกดิโดยธรรมชาติคอื ทุกคนมี
สทิธใิน ชีวติ สทิธใินทรพัยส์นิและสทิธใินอสิรภาพและเสรภีาพ
ดว้ย รฐับาลจะตอ้งเคารพในสทิธขิองมนุษย ์( อกัษรศาสตร,์
จุฬาลงกรณ์มหาวทิยาลยั,2533,น.54,85) ซงึ่แนวคดินจี้ะไป
สมัพนัธก์บั แนวคดิทางการปกครองแบบประชาธปิไตย และ
เศรษฐกจิแนวเสรนียิม
เศรษฐกจิแนวเสรนียิมไดอ้ทิธพิลมาจาก อาดมัสมธิ
40. (Adam Smith) ทนี่าเสนอทฤษฎกีารผลติและจาหน่าย
อย่างเสรีหรอืทเี่รยีกว่า “Laissez – faire” ในหนงัสอืเรอื่ง
“Wealth of Nations” ค.ศ.1776 ว่า รฐับาลควรปล่อยให้
เศรษฐกจิดา เนนิไปอย่างเสรีโดยไม่ตอ้งเขา้ไปยุ่งเกยี่ว เพียงให้
รฐับาลคอยดูแลใหม้กีารปฏบิตักินัตามระเบยีบตามสญัญา
ทางการคา้ หรอืเฉพาะเวลามปีัญหาเท่านนั้ (อกัษรศาสตร,์
จุฬาลงกรณม์หาวทิยาลยั,2533,น.84)
อาดมัสมธิไดอ้ทิธพิลแนวคดิมาจากนกัคดิหลายคน
ก่อนหนา้เขา ไดแ้ก่ จอหน์ ล็อค และ ปูเฟนดอรฟ์(Pufendorf)
ซงึ่เป็นเจา้ของความคดิเรอื่ง “สทิธติามธรรมชาต”ิ (Natural -
42. 2.4.5 การปฏวิตัเิกษตรกรรม
การปฏวิตัเิกษตรกรรมเกดิขนึ้ในระยะแรกทปี่ระเทศ
องักฤษ ในราวศตวรรษที่17 เมอื่องักฤษอยู่ในระยะการตนื่ตวั
การผลติผา้ขนแกะไปจา หน่าย การเลยี้งแกะตอ้งอาศยัทดี่นิ
และอาหารสา หรบัแกะประเภท หญา้ (clover) และพชืทเี่ป็นหวั
(turnip) (ฉตัรทพิย ์ นาถสุภา,2536.) ฉะนนั้ผูเ้ลยี้งแกะจงึตอ้ง
พฒันาเทคนคิการปลูกพชืเพอื่เลยี้งแกะจา นวนมาก รวมถงึ
เจา้ของทดี่นิก็จะทา การลอ้มรวั้(enclosure) เพอื่จะไดท้าการ
เลยี้งแกะเฉพาะในเขตของตนเท่านนั้ ทาใหช้าวนาหมดสทิธใิ์น
การใช้ทดี่นิทวี่่างเปล่าหรอื
44. 2.4.6 การปฏวิตัอิุตสาหกรรมครงั้ที่1 ในประเทศองักฤษ
ทมีา: ฉตัรทพิย ์ นาถสุภา,2536.
การปฏวิตัอิุตสาหกรรมเรมิ่ขนึ้แห่งแรกในองักฤษเมอื่ประมาณ
ทศวรรษ ที่1780 และเห็นชดัเจนเมอื่ ค.ศ. 1830 สบืเนื่องมาจาก
องักฤษมคีวามพรอ้มทางดา้นแรงงานทผี่นัตวัมาจากชาวนาทสีู่ญเสยี
ทดี่นิ องักฤษมทีุนหมุนเวยีน และมทีรพัยากรถ่านหนิทเี่พยีงพอ
45. กระบวนการปฎวิตัอิุตสาหกรรม
เรมิ่จาก เจมส ์วตั (James Watt 1736 -1819) จด
ทะเบยีนเครอื่งจกัรไอนา้ของเขา ในค.ศ. 1769 อนั
เป็นเครอื่งจกัรทมี่คีวามสาคญัคอื
ใช้ในอุตสาหกรรมสงิ่ทอ ใช้ในการถ่ายเทนา้ออก
จากเหมอืง ใช้ในโรงงานทา นา้ตาล ทา แป้ง ทา เบยีร ์
ขบัเคลอื่นหวัรถจกัรและเรอืเดนิสมุทร
ใช้เป็นแหล่งกา เนดิพลงังานอสิระ ทไี่ม่ตอ้งพงึ่สภาพ
ภูมอิากาศ
46. โรงงานทอผา้ฝ้ายคอืขนั้ตอนแรกของ
การปฏวิตัอิุตสาหกรรม
การปฎวิตัอิุตสาหกรรมเรมิ่จากการนา
เครอื่งจกัรไปใช้ในโรงงานสงิ่ทอ โดยเฉพาะฝ้ายซงึ่
ถอืว่าเป็นการเรมิ่ตน้ปฏวิตัอิุตสาหกรรมแห่งแรก
ของโลก จนกระทงั่ ค.ศ. 1805สงิ่ทอฝ้ายได้
กลายเป็นสนิคา้ทสี่าคญัจนสนิ้สุดศตวรรษที่19
โดยมกีารตงั้โรงงานอยู่ในชนบทรอบๆเมอืง
แมนเชสเตอร ์และ กลาสโกว์
47. ฝ้ายวตัถุดบิทอี่งักฤษนามาใช้ทอในโรงงานส่วนใหญ่
มาจากต่างประเทศ ช่วงแรกประมาณก่อนค.ศ.1790
มาจากหมู่เกอนิเดยีตะวนัตก หลงัจากนนั้มาจาก
อเมรกิา
ตลาดทรี่บัซื้อผา้ฝ้ายจากองักฤษก็คอื ก่อน
ค.ศ.1790 ขายผา้ฝ้ายภายในประเทศ ต่อจากนนั้ก็
ขายประเทศเพอื่นบา้นและอเมรกิา หลงัค.ศ.1815
ขายใหอ้เมรกิาเป็นหลกั หลงั ค.ศ.1840 ขายใหก้บั
ประเทศดอ้ยพฒันา โดยเฉพาะอนิเดยี
49. ผลจากการปฎวิตัอิุตสาหกรรมครงั้ที่1
องักฤษพฒันากองเรอืรบ อนัเป็นสญัญาณที่
ชี้ใหเ้ห็นว่าในอนาคต ประเทศอนื่ ๆ ก็จะใช้วธินีี้ ซงึ่
จะก่อใหเ้กดิสงครามโลกครงั้ที่1 ไดง้่าย เช่น
เยอรมนั
การพฒันาอุตสาหกรรมทา ใหเ้กดิชนชนั้ใหม่ใน
สังคมที่เรียกว่า ชนชั้นกระฎุมพอีุตสาหกรรม
(Industrial Bourgeoisie) ซงึ่หมายถงึชนชนั้ผู้
เป็นเจา้ของกจิการอุตสาหกรรมซงึ่มฐีานะดแีละ
อาศยัตามเมอืงใหญ่ๆ
50. ชนชั้นกระฎุมพอีุตสาหกรรมขององักฤษกา้วมาจากการดา เนนิ
กจิการสงิ่ทอฝ้ายและการถลุงเหล็ก โดยเฉพาะหลงั
ค.ศ.1785 ชนชนั้นี้กา้วมาจากลูกของชนชนั้เจา้ทดี่นิ หรอืไม่ก็
ชาวนา เนื่องจากการทา อุตสาหกรรมในช่วงนนั้ไม่ตอ้งการการ
ลงทุนสูง
กระฎุมพีทปี่ระสบความสา เร็จจนร่ารวยมกัจะไดร้บั
ยศถาบรรดาศกัดิ์เช่น Sir Robert Peel (1788-1850)
เจา้ของธุรกจิทอผา้ฝ้าย มาจากชาวนา (ฉตัร-ทพิย ์นาถสุภา
,2536,น.11-12) เป็นตน้
กล่าวโดยสรุปชนชนั้ชาวนาและช่างฝีมอืสามารถเลอื่น
ชนั้ทางเศรษฐกจิและสงัคมไดอ้ย่างอสิระ
51. การปฎวิตัอิุตสาหกรรมครงั้ทสี่อง
ค.ศ. 1804-1895
อุตสาหกรรมหลกัเปลยี่นจากสงิ่ทอฝ้ายไปเป็น ถ่านหนิ
และเหล็ก เพอื่ผลติ เครอื่งจกัร พาหนะ รถไฟ และเรอืเดนิ
สมุทร เพราะการขยายตวัของเมอืงและตลาดการคา้ ทา
ใหจ้าเป็นตอ้งขยายระบบการคมนาคมใหก้วา้งขวางขนึ้
ส่งผลใหใ้นศตวรรษที่19 องักฤษ ผลติถ่านหนิและถลุง
เหล็กเพมิ่ขนึ้ การผลติถ่านหนิจากค.ศ.1830-1865 ที่
ผลติได้22 ลา้นตนัต่อปี ไปเป็น 110 ลา้นตนัต่อปี ในค.ศ.
1870 (ฉตัรทพิย ์ นาถสุภา,2536,น. 13-14)
52. บ่อถ่านหนิขององักฤษมหีลายแห่ง เช่น Edinburgh Glasgow
Newcastle Sheffield Manchester Birmingham เป็นตน้
ทาใหส้ามารถผลติถ่านหนิไดม้ากขนึ้เพราะมบี่อถ่านหนิจา นวน
มาก (ฉตัรทพิย ์นาถสุภา,2536,น.14)
ผลผลติถ่านหนิทเี่พมิ่ขนึ้มผีลต่อการผลติเหล็กทเี่พมิ่ขนึ้และยงั
มรีาคาถูกดว้ย เนอื่งจากกลางศตวรรษที่19 องักฤษสามารถหา
วธิีการใช้ถ่านหนิถลุงเหล็กแทนถ่านไม้
การผลติเหล็กทาใหอ้งักฤษพฒันาการผลติรถไฟส่งออกดว้ย
เนอื่งจากในศตวรรษที่19 ทวั่โลกกาลงัตนื่ตวัสรา้งทางรถไฟ
ส่วนใหญ่ใช้วสัดุและเทคนคิจากองักฤษ
53. (ฉตัรทพิย ์นาถสุภา,2536,น.16)
รถไฟจะช่วยใหก้ารขนส่งสนิคา้ไปอย่างรวดเร็วและมี
ประสทิธภิาพ ดงันนั้ในศตวรรษที่19 สนิคา้ออกขององักฤษ
ประเภท เหล็ก ถ่านหนิ อุปกรณ์รถไฟ จงึเพมิ่มากขนึ้เร็วมาก
จนสามารถเพมิ่รายไดป้ระชาชาตใิหก้บัองักฤษ
นอกจากนี้ในศตวรรษที่19 องักฤษยงัเป็นเจา้ของเรอืกลไฟ
ขนาดใหญ่ ทาใหอ้งักฤษ มอีทิธพิลทางการคา้ทางทะเลดว้ย
ฉะนนั้ในช่วงนี้ประเทศอาณานคิมขององักฤษจงึมคีวามสา คญั
ต่อองักฤษมาก เพราะทงั้เป็นตลาดการคา้และแหล่งวตัถุดบิที่
สา คญั
55. นโยบายการคา้ระหว่างประเทศ
ขององักฤษในศตวรรษที่ 19
ศตวรรษที่19 องักฤษใช้นโยบายเสรนียิม
(Liberalism)แทนที่พาณิชยช์าตนิยิม(Mercantilism)
ในศตวรรษที่15
สาระสาคญัของลทัธเิสรนียิม คอื รฐับาลจะไม่เขา้ยุ่ง
เกยี่วกบัการคา้ของเอกชนโดยไม่จาเป็น ดงัทกี่ล่าว
มาแลว้อนัเป็นไปตามหลกัการเสรนียิมของ จอหน์ ล็อค
และ รุสโซ รวมถงึ อาดมัสมธิดงันนั้องักฤษจงึออก
กฎหมาย “ยกเลกิการคุม้ครองการผลติขา้วโพด
ภายในประเทศ” ในค.ศ.1842
56. ( Repeal of the Corn Laws),
(ฉตัรทพิย ์นาถสุภา,2536,น.18) การทอี่งักฤษใช้
นโยบายการคา้แบบเสรนียิมเพราะตรงกบัความ
ตอ้งการของรฐับาลทมี่าจากชนชนั้เจา้ทดี่นิ และ
รวมถึงพลเมืองที่เป็นชนชั้นกระฎุมพีในขณะนนั้
รวมถงึองักฤษไม่ตอ้งการใหม้กีา แพงภาษีมาปิดกนั้
ตลาดการคา้ของตนในอาณานคิมดว้ย
58. 1. การพฒันาเสน้ทางรถไฟทวั่ประเทศ
2. การระดมทุนสาธารณะอนัมาจากเปิดโอกาสให้ ประชาชน
เขา้มาซื้อหุน้เป็นเจา้ของกจิการร่วมรวมถงึการรวมทุนตงั้
ธนาคารเพอื่พฒันาอุตสาหกรรม ซึ่งวธิีการระดมทุนเช่นนี้จะทา
ใหม้เีงนิทุนไดอ้ย่างรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจากองักฤษทใี่ช้การ
สะสมทุนมาจากผลกาไรทมี่าจากการคา้
3. เยอรมนัเน้นการผลติช่างเทคนคิ และการคน้ควา้ทาง
วทิยาศาสตร ์ทาใหเ้ยอรมนัไดชื้่อว่าเป็นผูผ้ลติทกี่า้วหน้า
65. 2.4.7 การปฏวิตัเิพอื่ประชาธปิไตย
ประชาธปิไตยในองักฤษ (เก็บความจาก Wikipedia Free
Encyclopedia)
อาจกล่าวไดว้่าประชาธปิไตยในองักฤษมพีนื้ฐาน
มาจากระบบรฐัสภาซงึ่มตีน้กาเนดิมาตงั้แต่สมยักลาง สมยั
นนั้เป็นสภาของกษตัรยิท์เี่รยีกว่า “Royal Council” ตอ่มา
ไดพ้ฒันามาเป็น Parliament ในสมยัพระเจา้ Henry III
เมอื่พระองคถ์ูกยดึอานาจจากขุนนางทชีื่่อ Simon de
Monfort Monfort ไดต้งั้ระบบ Monfort ขนึ้ โดยใหม้กีาร
Vote ในสภาไดส้า หรบัผูเ้ป็นเจา้ของทดี่นิ และขุนนาง
67. รูปแบบการออกเสยีงในสภาเช่นนี้ถูกเรยีกว่าเป็น “Model of
Parliament” ในสมยัพระเจา้ Edward I ค.ศ.1295 ต่อมาใน
สมยัพระเจา้ Edward III สภาไดถู้กแบ่งออกเป็นสองสภา คอื
สภาของขุนนางกบัพระและสภาของอศัวนิกบัพ่อคา้ ในสมยันี้
รฐัสภาจะมอีานาจมากถงึขนั้ทวี่่า จะไม่มกีฎหมายใด ๆ หรือการ
เก็บภาษีใดๆ ทไี่ม่ผ่านการเห็นชอบของรฐัสภา
แต่อานาจของรฐัสภาถูกจา กดัลงภายหลงัการสนิ้สุด
สงครามดอกกุหลาบ (War of Roses ซึ่งเป็นสงครามแย่งชงิ
อานาจของโอรสของกษตัรยิ ์Edward III) สภาอยู่ภายใต้
อานาจของกษตัรยิอ์กีครงั้โดยเฉพาะในสมยัพระเจา้ Henry VIII
แห่งราชวงศ ์Tudor ดว้ย (ทรงเป็นโอรสของพระเจา้ เฮนรทีี่่7 )
70. จนกระทงั่ค.ศ.1648 Oliver Cromwell ทาการ
ยดึอานาจจากทงั้กษัตรยิแ์ละสภามาไวท้ตี่นเอง หลงัจาก
Oliver Cromwell ตาย ค.ศ.1660 อานาจระหว่าง
กษตัรยิแ์ละสภายงัคงเท่าเทยีมจนกระทงั่ เกดิการปฏวิตัิ
อนัรุ่งโรจน ์ค.ศ.1688 สมยัพระเจา้James II อนัเป็น
การโค่นลม้พระองคจ์ากบลัลงัก ์ อนัเนอื่งมาจากความ
ขดัแยง้ทางการเมอืงระหว่างกลุ่มคาทอลคิซงึ่สนบัสนุน
พระเจา้James II กบัฝ่ายโปรเตสแตนท์
71. พรรคการเมอืงฝ่ายโปรเตสแตนทค์อื พรรควกิ(Whig)
ทมี่นียัความตอ้งการใหม้กีารปกครองกษตัรยิภ์ายใต้
รฐัธรรมนูญและมปีระชาธปิไตยตามระบบรฐัสภา
( www.bbc.co.uk , 3 ก.ค.52)
ในทสีุ่ดฝ่ายโปรเตสแตนทช์นะจบัพระเจา้เจมสไ์ด้และให้
พระเจา้วลิเลยีม(ราชวงศ ์Orange แห่งเนเธอรแ์ลนด ์)
กบัพระนางแมรี่ซงึ่เป็นพระธดิาในพระเจา้เจมสท์สี่าม
แต่เป็นโปรเตสแตนทค์รองราชยแ์ทน
73. • ซงึ่ทา ใหอ้ทิธพิลของศาสนาครสิตน์กิายคาทอลคิ
หมดอานาจ และเปิดทางใหโ้ปรแตสแตนทข์นึ้มามี
อานาจแทน ภายใตร้าชวงศ ์STUART แห่ง
Scottland (Mary, Queen of Scots) จนกระทงั่
มกีารรวม Scotland กบั องักฤษ ค.ศ.1707 จงึได้
มกีารออกกฎหมายรวมรฐัสภาของทงั้สองแควน้
เขา้ดว้ยกนั เป็น รฐัสภาของ Great Britain
75. การปฏวิตัใินอเมรกิา ค.ศ.1776
เป็นการปลดแอกการเป็นอาณานคิมจากองักฤษ เนอื่งจาก
อเมรกิาไม่ตอ้งการใหอ้งักฤษมาเอาเปรยีบทางดา้นเศรษฐกจิใน
อเมรกิา โดยเฉพาะดา้นการเก็บภาษี โดยชาวอเมรกินัเห็นว่าพวกตน
เสยีภาษีแพงแต่กลบัไม่มสีทิธทิางการเมอืง จงึไดท้าสงครามประกาศ
อสิรภาพจากองักฤษ โดยใช้คา ขวญัทวี่่า “ไม่มกีารเสยีภาษีหากไม่มี
ผูแ้ทนราษฎร” หรอื “No Taxation without Representation”
และจบลงดว้ยชยัชนะของอเมรกิา ในค.ศ.1783 ภายใตค้วาม
ช่วยเหลอืของฝรงั่เศส ฉะนนั้เมอื่สงครามยุติฝรงั่เศสจงึส่งรูปปนั้เทพี
สนัตภิาพมาเป็นของขวญัทรี่ะลกึแก่อเมรกิาดว้ย
76. การปฏวิตัฝิรงั่เศส ค.ศ.1789
เป็นการยดึอานาจการปกครองจากกษตัรยิฝ์รงั่เศส
สมยัพระเจา้ หลุยสท์ี่16 เนื่องจากชาวปารสีส่วนใหญ่ไม่พอใจ
วธิีการปกครองของพระองค ์ทไี่ม่ทรงสนพระทยักบัความ
ยากจนของประชาชน มกีารเก็บภาษีจากชาวนาสูง เช่นภาษี
เกลอื เป็นตน้ (เพ็ชรีสุมติร,บรรณาธกิาร,2527,น.173) และมี
แต่ชนชนั้สูงเท่านนั้ทมี่อีภสิทิธิ์ ในขณะเดยีวกนัแนวคดิ
ประชาธปิไตยอนัเป็นแนวคดิทเี่ห็นควรจา กดัอา นาจของกษตัรยิ์
ก็กาลงัแผ่ขยายในฝรงั่เศสดว้ย เมอื่ปฏวิตัสิา เร็จจงึไดท้า การ
โค่นลม้สถาบนักษตัรยิแ์ละทา การปกครองแบบสาธารณรฐัแทน
80. การรวมประเทศเยอรมนั
ทมี่า: WWW.Otto Von Bismark-Wikipedia,the
free encyclopedia.
การรวมประเทศเยอรมนัเป็นแนวคดิทมี่มีานานตงั้แต่ก่อน
ค.ศ.1860 สงิ่ทสี่า คญัคอืตอ้งคา นงึถงึแควน้
ต่าง ๆ ของเยอรมนั และออสเตรยี ในทสีุ่ดเมอื่เกดิวกิฤตกิารณ์ใน
แควน้ปรสัเซียเรอื่งงบประมาณการจดัระเบยีบการทหาร ทา ใหก้ษตัรยิ์
ของปรสัเซียในขณะนนั้คอื พระเจา้วลิเลมที่1 นกึถงึ บสิมารค์ ซึ่ง
เป็นทูตประจาทรี่สัเซีย พระองคท์รงเห็นว่า บสิมารค์ เป็นนกัการเมอืงที่
มคีวามสามารถ
81. ดว้ยเหตุนี้บสิมารค์จงึกลบัมาและไดร้บัการแต่งตงั้เป็น
ประธานของรฐัมนตรี(minister- president) และเป็น
รฐัมนตรวี่าการต่างประเทศอกีดว้ย
นโยบายของบสิมารค์ก็คอื การคงไวซึ้่งอานาจของ
กษตัรยิ ์ ปรบัระบบการเก็บภาษีภายใน 4 ปี แมว้่าจะสรา้งความ
ขดัแยง้กบัสภาผูแ้ทนแต่กษตัรยิก์็เขา้มาแทรกแซงอา้งว่าสภาฯ
พยายามกระทา การทขี่ดัต่อรฐัธรรมนูญและพยายามควบคุม
การทางานของฝ่ายบรหิารคอืรฐัมนตรี
ในลา ดบัต่อมาบสิมารค์ไดอ้อกกฎหมายควบคุม
เสรภีาพของสงิ่พมิพ ์ทาใหค้นส่วนใหญ่ไม่พอใจ รวมถงึ
82. มงกุฎราชกุมาร ฟรดีรชิที่3 (หรอืไกเซอรว์ลิเลมที่2 ในอนาคต)
แต่กษตัรยิเ์ขา้มาปกป้องเพราะไม่อยากใหฝ้่ายเสรนียิมมอีานาจ
ในลาดบัต่อมาบสิมารค์ไดด้าเนนิการรวมสมาชกิทงั้หลาย
ในเยอรมนัใหอ้ยู่ภายใต้สหพนัธรฐัเยอรมนั(German
Confederation) และเนน้ทงั้นโยบายทางการทูตและการทหาร
ควบคู่กนัไป ในทสีุ่ดเยอรมนัก็สามารถมอีานาจเหนอืออสเตรียได้
อกีดว้ย และลงนามในสนธสิญัญา “Peace of Prague” ทาให้
เยอรมนัสามารถผนวกดนิแดน Schleswig, Holstein,
Frankfurt, Hanover, Hesse-Kassel , Nassau. โดยออสเตรยี
สญัญา
86. Africa (คอืRawanda, Burundi, Tanzania),
German South – West Africa,( Namibia).
และหลงัจากมกีารประชุม Berlin ในค.ศ.1884-
1885 ทปี่ระชุมเรยีกรอ้งให้Congo เป็นเขตการคา้
เสรี
90. เมอื่เยอรมนัเปลยี่นผูน้า
เมอื่พระเจา้วลิเลมที่1 สนิ้พระชนมแ์ละพระนดัดาขนึ้
ครองราชยแ์ทน เป็นพระเจา้วลิเลมที่2 พระองคไ์ม่ไดท้า ตาม
คา แนะนาของ บสิมารค์โดยเฉพาะที่
บสิมารค์พยายามกนัอทิธพิลของกลุ่มสงัคมนยิม
เป็นตน้และในทสีุ่ดพระเจา้วลิเลมทรงพยายามจะดงึอา นาจ
ปกครองทงั้หมดมาไวท้พี่ระองค์อนัเป็นสาเหตุทที่าให้บสิมาร์
คลาออก และหลงัจากนนั้เยอรมนัก็มแีนวโน้มสูงทจี่ะขดัแยง้
กบัประเทศต่าง ๆในยุโรป
94. พระเจา้ชารล์สท์ี่ 8 ไดเ้รมิ่ตน้บุกเขา้ไปยดึครองคาบสมุทร
อติาลี และดา เนนิการแข่งขนักบัสเปนในการเป็นเจา้ของพนื้ที่
นี้ต่อมา ในทสีุ่ดสเปนชนะภายใตส้นธสิญัญา Cateau-
Cambresis ในค.ศ.1559 ยอมรบัอา นาจของสเปนใน มลิาน
(Milan) ในอาณาจกัร Naples
ต่อมาในค.ศ.1713 ภายใตส้นธสิญัญา Peace of
Utrecht ออสเตรยีมชียัเหนือสเปน ออสเตรยีไดเ้รยีกรอ้ง
ดนิแดนจากสเปนคอื State of Milan และ Kingdom of
Naples มาครอบครองแทน
97. ดงันนั้ในศตวรรษที่18 อติาลสี่วนใหญ่จงึอยู่ภายใต้
อานาจของออสเตรยี ราชวงศ ์แฮบสเ์บริก์ แต่ภายหลงัการยดึ
อานาจในฝรงั่เศสโดยนโปเลยีน นโปเลยีนไดแ้ผ่ขยายอานาจ
ทวั่ยุโรปรวมไปถงึในคาบสมุทรอติาลดีว้ยทา ใหร้ะบบการ
ปกครองในอติาลเีกดิการเปลยี่นแปลง เพราะนโปเลยีนไดต้งั้
แควน้ใหม่ดว้ย แต่แควน้เหล่านี้ก็ล่มสลายไปหลงั นโปเลยีน
หมดอานาจ ยกเวน้กรุงโรม
แต่อย่างไรก็ตามอติาลกี็ยงัคงแบ่งแยกเป็นแควน้เล็ก
บา้งใหญ่บา้ง ทใี่หญ่ก็ไดแ้ก่แควน้ Sardinia ซึ่งเป็นแควน้ที่
สา คญัในการรวมชาตอิติาลี
99. Cavour ใช้นโยบายทางการทูตเพอื่ใช้ในการรวม
ประเทศ โดยเฉพาะความสมัพนัธแ์ละความช่วยเหลอืจาก
เยอรมนั ทาใหอ้ติาลตีอ้งช่วยปรสัเซียรบกบัฝรงั่เศสเพอื่ใหไ้ด้
เมอืง Venitia คนืจากฝรงั่เศส
เป้าหมายสา คญัของ Cavour ก็คอืตอ้งการทา ให้
ประเทศเป็นรฐัเขม้แข็งแบบทหาร แมว้่าเขาจะมคีวามคดิแบบ
ประชาธปิไตย และเศรษฐกจิแบบเสรนียิม (free trade) ก็ตาม
ส่วนทางดา้นเศรษฐกจิอติาลีเขา้สู่กระบวนการ
ปฏวิตัอิุตสาหกรรมมาตงั้แต่ ค.ศ.1830 ในส่วนของแควน้
Sardinia
100. มหาอา นาจยุโรปกบัจกัรวรรดนิยิม
ในศตวรรษที่19 – ตน้ 20
ในศตวรรษที่19 ถงึตน้ศตวรรษที่20 การคา้แบบตลาดเสรี
และ ระบบทุนนยิมอนัเกยี่วขอ้งกบักระบวนการปฏวิตัอิุตสาหกรรมดงัที่
กล่าวมาขา้งตน้ นาพาใหป้ระเทศในยุโรปโดยเฉพาะยุโรปตะวนัตก
ตอ้งผนัตวัเองไปเป็นเจา้แห่งการล่าอาณานคิมในลกัษณะทเี่รยีกว่า
“จกัรวรรดนิยิม” (Imperialism) ซึ่งแตกต่างจากอาณานคิมใน
ศตวรรษที่15 ตรงทปี่ระเทศทเี่ป็นเจา้อาณานคิมจะเขา้ไปปกครองใน
ดนิแดนโพน้ทะเลโดยตรง แต่อาณานคิมธรรมดา เจา้อาณานคิมไป
เพยีงแค่เปิดสถานีการคา้อย่างถาวรเท่านนั้
103. ในองักฤษอุตสาหกรรมสงิ่ทอทเี่จรญิกา้วหน้า
ในช่วงตน้ศตวรรษที่19 ทา ใหเ้กดิแรงผลกัดนัจาก
ผูป้ระกอบการทจี่ะส่งออกสงิ่ทอไปต่างประเทศ
ส่วนการขยายตวัทุนนยิมในประเทศองักฤษ
เองส่งผลใหพ้่อคา้เอกชนมบีทบาทในการเขา้
กา หนดวถิทีางการผลติของประเทศคู่คา้ดว้ยเช่น
พ่อคา้องักฤษจ่ายสนิเชื่อล่วงหน้าใหแ้ก่ชาวนา
ฟิลปิปินสเ์พอื่ทา การผลตินา้ตาล แทนขา้วเป็นตน้
106. การทเี่ยอรมนับุกเขา้ยดึออสเตรยีและฝรงั่เศส
ศตวรรษที่20 ถอืเป็นหลกัการกระทา ตามแนวคดิ
ของ Charles Darwin เรอื่งกฎแห่งการอยู่รอด
“The survival of the fittest”
นอกจากนี้จกัรวรรดนิยิม ยงัเชื่อมโยงกบั
ความคดิเรอื่งเชื้อชาตนิยิม อกีดว้ย ยกตวัอย่างเช่น
ชาวเยอรมนัภูมใิจในเชื้อชาติ“อารยนั” ส่วนชาว
รสัเซียภูมใิจในความเป็นเชื้อชาติ“สลาฟ” เป็นตน้
ส่งผลใหเ้กดิปฏกิริยิาต่อตา้นชนกลุ่มนอ้ย
108. 2.4.8 สาเหตุของสงครามโลกครงั้ที่1
สาเหตุระยะยาว
แนวคดิเรอื่ง ชาตนิยิมและจกัรวรรดนิยิม
ผลประโยชนแ์ห่งชาตภิายใตล้ทัธจิกัรวรรดนิยิม อนันามาสู่
ความขดัแยง้ทงั้ในภูมภิาคยุโรปและในดนิแดนโพน้ทะเล
การแบ่งกลุ่มพนัธมติรในยุโรป เพราะเยอรมนัภายหลงั บสิมารค์
ไม่ไดด้า เนนินโยบายโดดเดยี่วฝรงั่เศส คงปล่อยใหฝ้รงั่เศสเป็น
พนัธมติรกบั องักฤษ และ รสัเซีย
109. ค.ศ.1907 เยอรมนีออสเตรยี – ฮงัการีและอติาลีร่วมกนั
ลงนามในสนธสิญัญา พนัธไมตรไีตรมติร หรอืบางทเี่รยีก
ไตรพนัธมติร ( Triple Alliance) เนอื่งจากเยอรมนี
ตอ้งการกดีกนัรสัเซียไม่ใหเ้ป็นใหญ่ในแหลมบอลข่าน
ค.ศ.1907 องักฤษ ฝรงั่เศส รสัเซีย ไดห้นัมาร่วมมอืเป็น
มติรต่อกนัและลงนามในสนธสิญัญา ฉนัทไมตรไีตรมติร
บางทเี่รยีกว่า สนธสิญัญาไตรภาคี( Triple Entente)
เพอื่หยุดยงั้การขยายอานาจ ของกลุ่มเยอรมนี
112. ความหมายของ Trench war
Trench War หมายถงึ การรบภายในหลุมหลบภยั
ยงัผลใหบ้นภาคพนื้ดนิไม่มมีนุษยป์รากฏอยู่เลย หรอื
ทเี่รยีกว่า เขต ‘ No man’s land’
113. ผลของครามโลกครงั้ที่1
เกดิองคก์ารสนันบิาตชาตทิมี่ขีอ้บกพร่อง เพราะรสัเซยี
ถอนตวั สหรฐัฯไม่เขา้ร่วม และไม่มกีองทหารทจี่ะเขา้ไป
ไกล่เกลยี่ขอ้พพิาท
ฝ่ายแพต้อ้งสูญเสยีดนิแดนและค่าปฏกิรรมสงครามตาม
สนธสิญัญา แวรซ์าย ซึ่เป็นสญัญาทไี่ม่เป็นธรรมและไม่
เป็นไปตามหลกัการ 14 ประการ ของประธานาธบิดวีูดโร
วลิสนัตามทไี่ดต้กลงกนัไว้
เกดิภาวะวกิฤตทางเศรษฐกจิ คอืเงนิเฟ้อ คนว่างงาน ส่งผล
ใหหุ้น้ตก และเกดิเศรษฐกจิตกต่า ทวั่โลก
114. สาเหตุของสงครามโลกครงั้ที่2
เยอรมันไม่ชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม
เกิดลัทธิชาตินิยมใน เยอรมัน และอิตาลี อันนาไปสู่
การสร้างจักรวรรดินิยมในยุโรป เช่น เยอรมันบุก
ออสเตรีย และดินแดนของฝรั่งเศส เป็นต้น
ในทวีปเอเชีย ญี่ปุ่นภายใต้การนาของรัฐบาลทหาร
พยายามสร้างอิทธิพลของตน ตามแนวคิดการร่วม
วงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา
118. ผลของสงครามโลกครงั้ที่2
ยุโรปไดร้บัความบอบชา้เพราะยุโรปคอืสนาม
โดยตรงทาใหเ้กดิแนวทางการบูรณาการยุโรปเพอื่ใหเ้กดิ
สนัตภิาพอย่างถาวร
อกีทงั้เพอื่กอบกูส้ภาพทางเศรษฐกจิของยุโรปใหดี้
ดงัเดมิ สหรฐัฯจงึไดป้ระกาศวาทะทรูแมนและตามดว้ย
แผนการ มารแ์ชล เพอื่ใหค้วามช่วยเหลอืทางเศรษฐกจิแก่
ยุโรป สหรฐัอเมรกิาเขา้มามบีทบาทในการเมอืงโลกแทน
ยุโรป
121. 2.4.9 โลกหลงัสงครามโลกครงั้ที่2
ประการแรก เกอืบทุกประเทศในยุโรปร่วมมอืกนัทจี่ะสร้าง
สนัตภิาพถาวร โดยบูรณาการดา้นเศรษฐกจิใหม้นั่คง จงึ
เกดิการพฒันาการความร่วมมอืทางเศรษฐกจิ ในรูปแบบ
องคก์รทางเศรษฐกจิมากมาย อาทิ องคก์ารเพอื่ความ
ร่วมมอืทางเศรษฐกจิยุโรป ประชาคมถ่านหนิและ
เหล็กกลา้แห่งยุโรป องคก์ารสนธสิญัญาแอตแลนตกิเหนือ
เป็นตน้
การบูรณาการนี้ไดร้บัการสนบัสนุนจากสหรฐัอเมรกิาที่
ตอ้งการใหยุ้โรปเขม้แข็งเพอื่ช่วยลดภาระการช่วยเหลอื
ประเทศโลกที่สาม และเพ่อืป้องกันภัยจาก สหภาพโซ
เวียต ในช่วงสงครามเย็น
122. ในทศวรรษ 1960 ยุโรปบูรณาการในรูป ประชาคมยุโรป มเีป้าหมายที่
การกาหนดนโยบายดา้นการเกษตรร่วมกนั ในรูปของการจดัตงั้ตลาด
ร่วม หรอืทเี่รยีกว่า the common market
ทศวรรษที่1970-1985 เป็นยุคแห่งความร่วมมอืระหว่างยุโรป
ตะวนัตกกบัยุโรปตะวนัออก และกบัสหรฐัอเมรกิา ซึ่งสอดคลอ้งกบัการ
ผ่อนคลายความตงึเครยีดของสงครามเย็น และนโยบายมุ่งสู่ตะวนัออก
ของเยอรมนั
ค.ศ.1992 ประชาคมยุโรปไดก้ลายมาเป็น สหภาพยุโรป ภายใต้
สนธสิญัญา มาสทรกิท ์( Maastricht Treaty )หมายถงึการเป็นหนงึ่
เดยีวกนัของยุโรปทงั้ดา้นเศรษฐกจิและการเมอืง โดยมเีป้าหมายที่
สา คญัทสีุ่ดคอืการคา้เสรี
125. ประการทสี่อง การเกดิภาวะสงครามเย็น ซึ่งเป็นสงคราม
อุดมการณ์ระหว่าง ลทัธิคอมมวินสิต ์ภายใตก้ารนาของสหภาพ
โซเวยีต กบัลทัธปิระชาธปิไตย ภายใตก้ารนาของสหรฐัอเมรกิา
ภาวะสงครามเย็นไดส้นิ้สุดลงในสมยัประธานาธบิดีมคิ
คาอลิ กอรบ์าชอฟ ทดี่า เนนินโยบาย เศรษฐกจิแบบการตลาด
(Perestroika) กบันโยบายความโปร่งใสทางการเมอืง
(Glasnot) ส่งผลใหส้หภาพโซเวยีต มคีวามเป็นเสรนียิมที่
สอดคลอ้งกบัสหรฐัอเมรกิา ส่งผลใหก้ารเมอืงแบบสองขวั้
อานาจ ( Bipolar system ) หมดไปแทนทดี่ว้ยการเมอืงโลก
แบบหลายขวั้อานาจ (Multi Polar System ) ซึ่งประกอบไป
ดว้ยประเทศ จนี ญปีุ่่น เกาหลีอนิเดยี เป็นตน้