Mais conteúdo relacionado
Mais de Dr.Choen Krainara (20)
ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน: กรณีศึกษาปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลพื้นที่ภาคกลางและแนวทางการบ
- 2. 2
ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน: กรณีศึกษาปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่ภาคกลางและแนวทางการบรรเทาและแก้ไข
1.สภาวะโลกร้อน (Global Warming) คือการที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากภาวะเรือนกระจก (Green house effect)
ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ (ก๊าซมีเทน ไนตรัสออกไซด์ ก๊าซไฮโดรฟลูโร
คาร์บอน ก๊าซเปอร์ฟลูโรคาร์บอนและก๊าซซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอไรด์) จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การขนส่งและการผลิตใน
โรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งการตัดและทาลายป่าไม้จานวนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอานวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ เมื่อก๊าซ
เหล่านี้ลอยตัวไปรวมอยู่บนชั้นบรรยากาศทาให้รังสีของดวงอาทิตย์ถูกกับเก็บไว้ทาให้อุณหภูมิของโลกค่อยๆสูงขึ้น ส่งผลให้
กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลงทาให้เกิดเป็นภาวะโลกร้อน
โดยผลกระทบหลักของภาวะโลกร้อนได้แก่ การเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้าทะเล การรุกล้าของน้าทะเลตามแนวชายฝั่ง น้าทะเลกัด
เซาะตลิ่งและชายหาดทั่วโลกเป็นบริเวณกว้าง ภัยธรรมชาติที่รุนแรงและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝนตกมากขึ้น สภาพภูมิอากาศที่
ไม่สม่าเสมอ น้าแปรสภาพเป็นกรดและผลกระทบด้านสุขภาพ
2. กรณีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลพื้นที่ภาคกลาง การกัดเซาะชายฝั่งทะเลในประเทศไทยโดยเฉพาะจังหวัดชายฝั่งทะเล
พื้นที่ภาคกลางถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลกระทบที่จากสภาวะโลกร้อน
2.1 สาเหตุของการกัดเซาะชายฝั่งทะเล การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งทะเลที่เกิดขึ้น
ตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคลื่นหรือลมตะกอนจากที่หนึ่งไปตกทับถมในอีกบริเวณหนึ่ง ทาให้แนวของชายฝั่งเดิม
เปลี่ยนแปลงไปบริเวณที่มีตะกอนเคลื่อนเข้ามาน้อยกว่าปริมาณที่ตะกอนเคลื่อนออกไปถือว่าเป็นบริเวณที่มีการกัดเซาะชายฝั่ง
ซึ่งเกิดจาก 2 สาเหตุหลักคือ 1) การเปลี่ยนแปลงชายฝั่งโดยกระบวนการตามธรรมชาติ เช่น ลมพายุและมรสุม กระแสน้า
และภาวะน้าขึ้น-น้าลงและลักษณะทางกายภาพของชายฝั่งทะเลที่แตกต่างกัน และ 2) การเปลี่ยนแปลงชายฝั่งโดยกิจกรรม
ของมนุษย์ โดยกิจกรรมที่เร่งกระบวนการกัดเซาะชายฝั่งให้รุนแรงมากขึ้น ได้แก่ การพัฒนาขนาดใหญ่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล
การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่ง การสร้างเขื่อน ฝายหรืออ่างเก็บน้าต้นน้าโครงสร้างเหล่านี้มีผลให้ตะกอนที่ไหล
ตามแม่น้ามาสะสมบริเวณปากแม่น้ามีปริมาณลดลงขาดตะกอนที่จะเติมทดแทน ส่วนตะกอนเก่าที่ถูกพัดพาไปบริเวณอื่นโดย
กระแสน้าทาให้เกิดการกัดเซาะแนวชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง เช่น ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน เป็นต้น การบุกรุกทาลายพื้นที่ป่าชาย
เลนเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้า การสูบน้าบาดาลทาให้เกิดการทรุดตัวของแผ่นดิน ส่งผลให้การกัดเซาะชายฝั่งเกิด
ความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งและปะการัง
2.2 สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเล ในพื้นที่ภาคกลาง ประเทศไทยมีแนวชายฝั่งทะเลทั้งสิ้น 3,148 กิโลเมตร ตลอด
แนว 23 จังหวัด มีประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลประมาณ 12 ล้านคน และพบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งตลอดแนว
ชายฝั่งทั้ง 23 จังหวัด โดยชายฝั่งทะเลของไทยมีจุดวิกฤติที่ประสบปัญหากัดเซาะรุนแรงที่สุดของประเทศจานวน 30 แห่ง
แผนที่แสดงการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในประเทศไทยและระดับความรุนแรง
กัดเซาะปานกลาง 1 - 5 เมตรต่อปี กัดเซาะรุนแรง>5 เมตรต่อปี
ที่มา : ฐานข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
- 3. 3
(รายละเอียดปรากฏตามแผนที่ ) สาหรับพื้นที่ภาคกลางมีจังหวัดชายฝั่งทะเล 11 จังหวัด เป็นระยะทางยาว 1,041.57
กิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 51 ของความยาวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย มีระดับการกัดเซาะปานกลาง 292.09 กิโลเมตร และการ
กัดเซาะรุนแรง 81.11 กิโลเมตร รวมพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นระยะทางยาว 373.21 กิโลเมตร หรือคิดเป็น
ร้อยละ 51.12 ของพื้นที่กัดเซาะชายฝั่งทั้งประเทศ โดยมีพื้นที่ถูกกัดเซาะที่สาคัญและรุนแรงรวม 8 จุด คือ (1) ชายฝั่งทะเล
ตารางที่ 1: ระดับความรุนแรงของปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในพื้นที่ภาคกลาง
จังหวัด ความยาวชายฝั่ง
(กม.)
ระดับความรุนแรงของการกัดเซาะ (กม.) รวมพื้นที่ประสบปัญหาการ
กัดเซาะชายฝั่ง(กม.)
ปานกลาง
1-5 เมตร/ปี
รุนแรง
มากกว่า 5 เมตร/ปี
1.ตราด
2.จันทบุรี
3.ระยอง
4.ชลบุรี
5.ฉะเชิงเทรา
6.สมุทรปราการ
7.กรุงเทพมหานคร
8.สมุทรสาคร
9.สมุทรสงคราม
10.เพชรบุรี
11.ประจวบคีรีขันธ์
รวมพื้นที่ภาคกลาง
184.3
102.25
104.48
171.78
16.28
50.21
5.81
42.78
25.2
91.73
246.75
1,041.57
46.63
23.21
53.66
25.14
2.04
3.22
0
19.69
2.96
39.35
76.19
292.09
0
12
0
0
5.85
31.47
5.71
13.76
0
10.39
1.93
81.11
46.63
35.21
53.66
25.14
7.89
34.69
5.71
33.45
2.96
49.75
78.12
373.21
17 จังหวัดชายฝั่งอ่าวไทย 2,055.18 730.03 501.81 228.22
6 จังหวัดชายฝั่งอันดามัน 1,093.04 100.04 74.98 25.06
รวม 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล 3,148 830.07 576.79 253.28
ที่มา: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 2554
เกาะแมว-แหลมหญ้า อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี (2) มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง (3) บ้านคลองเจริญไว-บ้านคลองสีล้ง อ.
บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (4) ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของคลองสีล้ง-บ้านบางสาราญ จ.สมุทรปราการ (5) บ้านแหลมสิงห์-
ปากคลองขุนราชพินิตใจ จ.สมุทรปราการ ระยะทางประมาณ 12.5 กม.ปัจจุบันพื้นที่ชายฝั่งถอยร่นเข้ามาประมาณ 700-
800 เมตร บางแห่ง เช่นบ้านขุนสมุทรจีน หมู่ 9 พื้นที่ถูกกัดเซาะหายไปประมาณ 1 กิโลเมตร ในช่วง 28 ปีด้วยอัตราการกัด
เซาะมากกว่า 25 เมตรต่อปี (6) ปากคลองราชพินิจใจ-บ้านท่าตะโก เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครระยะทางประมาณ
5.5 กิโลเมตร มีอัตราการกัดเซาะ 20-25 เมตรต่อปี ช่วง 28 ปีที่ผ่านมาพื้นที่หายไป 400-800 เมตร (7) บ้านดอนมะขาม-บ้าน
ทาเนียบ อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี (8) บ้านบางเกตุ จ.เพชรบุรี บ้านหนองเก่า-บ้านหนองเสือ จ.ประจวบคีรีขันธ์
2.4 ผลกระทบจากการกัดเซาะชายฝั่ง จาแนกออกเป็น 4 ด้าน คือ 1) ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ
ภาคการท่องเที่ยวจากชายฝั่งถูกกัดเซาะจนเกิดสภาพเสื่อมโทรมและสูญเสียแนวชายหาดที่สวยงาม สูญเสียโอกาสการพัฒนา
พื้นที่ท่องเที่ยวชายฝั่งรวมทั้งต้องสูญเสียงบประมาณและทรัพยากรจานวนมากเพื่อการป้องกันการกัดเซาะแนวชายฝั่ง 2) ด้าน
สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศชายฝั่งได้รับผลกระทบโดยตรงเนื่องจากการกัดเซาะและเปลี่ยนแปลงทับถมของตะกอนสูญเสียแนว
ชายหาดเดิมที่เคยมีซึ่งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพรวมทั้งสมดุลของระบบนิเวศในบริเวณนั้น 3) ด้านสังคม
ชุมชนริมฝั่งทะเลต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่อื่นจากพื้นที่ที่ถูกกัดเซาะทาให้สูญเสียวิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม
ของชุมชน ไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ทากินทาให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ และ 4) ด้านคุณภาพชีวิต ชุมชนที่ได้รับ
ผลกระทบจากการกัดเซาะ สูญเสียที่ดินและทรัพย์สินของตนต้องปรับเปลี่ยนวิถีดารงชีวิตไปจากเดิม เกิดความวิตกกังวลใน
การประกอบอาชีพใหม่อาจส่งผลถึงสภาพจิตใจและความสัมพันธ์ในครอบครัวทาให้คุณภาพชีวิตตกต่าลงหรือไม่ดีเหมือนเดิม
2.5 การดาเนินงานที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ตามหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเพื่อ
ป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลมาแล้วอย่างต่อเนื่อง แต่มีลักษณะต่างคนต่างทา เน้นการแก้ไขปัญหาการกัด
เซาะชายฝั่งทะเลและการตกตะกอนในบริเวณชายฝั่งทะเลเฉพาะจุดและส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขปัญหาโดยใช้รูปแบบโครงสร้าง
ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลทางวิศวกรรม เช่น กาแพงกันคลื่นชายฝั่งทะเล (Sea wall) รอดักตะกอน (Groin) และเขื่อน
ป้องกันคลื่นนอกชายฝั่งทะเล (Offshore breakwater) โดยมีรูปแบบและวัสดุที่แตกต่างกันและมีค่าใช้จ่ายสูงแต่ไม่สามารถ
ป้องกันการกัดเซาะได้ ด้วยเหตุนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึง เป็นแกนหลักในการจัดทา “ยุทธศาสตร์การ
- 4. 4
จัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล” เมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยกาหนดวิสัยทัศน์ให้แนวชายฝั่งทะเลทั่ว
ประเทศมีการจัดการพื้นที่เชิงบูรณาการโดยคานึงถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ การรักษาคุณค่าของระบบนิเวศ
ชายฝั่งและการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน กาหนดเป้าหมายหลักให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศไทยทั้งหมดมีระบบป้องกันและ
แก้ไขเพื่อไม่ให้ถูกกัดเซาะภายในปี พ.ศ. 2570 มีระบบฐานข้อมูลเพื่อการจัดการพื้นที่ชายฝั่งทะเล การจัดสรรบทบาท หน้าที่
ของหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งแบบบูรณาการ การกาหนดนโยบาย แนวทางและ
มาตรการดาเนินงานระดับพื้นที่ที่ชัดเจน มีองค์ความรู้ที่เผยแพร่แก่ผู้เกี่ยวข้องและสาธารณชน ตลอดทั้งกาหนดแนวทางในการ
ป้องกันแก้ไขปัญหารวม 5 แนวทาง อย่างไรก็ตามยังประสบปัญหาในกระบวนการการแปลงยุทธศาสตร์ฯสู่การปฏิบัติ ได้แก่
การขาดระบบข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพพื้นที่บริเวณชายฝั่งของ ประเทศ ขาดการมีส่วนร่วมของภาค
ประชาชนในท้องถิ่น และขาดความเชื่อมโยงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมการพัฒนา ในพื้นที่ต้นน้าและปลายน้า
บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนและผู้ประกอบการชายฝั่งขาดความรู้เกี่ยวกับการจัดการ
พื้นที่ชายฝั่งโดยเฉพาะด้านวิศวกรรมชายฝั่ง เป็นต้น
3. กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งแบบบูรณาการเชิงพื้นที่ : ขุนสมุทรจีน 49A2 โมเดลสู้โลกร้อนกัดเซาะ
ชายฝั่ง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเชิงพื้นที่โดยให้ชุมชนเป็นฐานของการบูรณาการการจัดการและบรรเทาปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
ทะเลมีรายละเอียดดังนี้
3.1 ความรุนแรงของการกัดเซาะชายฝั่งและผลกระทบต่อชุมชน ในช่วง 30 ปี บ้านขุนสมุทรจีน ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระ
สมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ประสบปัญหาพื้นที่ถูกกัดเซาะวิกฤตที่สุดลึกหายไปประมาณ1 ก.ม. อัตรากัดเซาะมากกว่า 25
เมตรต่อปี ส่วนหนึ่งของปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเกิดจากปัญหาสภาวะโลกร้อนและระดับน้าทะเลที่สูงขึ้นรวมทั้งเกิดจากการ
เปลี่ยนทิศทางของคลื่นลมทะเลตามแนวชายฝั่งซึ่งเป็นตัวพัดพาตะกอนโคลนหรือทรายออกจากแนวชายฝั่ง ในขณะที่มีปัจจัย
เสริมอื่นๆ เนื่องจากปริมาณตะกอนปากแม่น้าลดลงเพราะการสร้างเขื่อนบริเวณต้นน้าทั้งเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ตลอดจน
ผลกระทบจากแผ่นดินทรุด สถานการณ์ที่รุนแรงทาให้ชาวบ้านตื่นตัวกับปัญหาและนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกระ
ต่อสภาพจิตใจและหวาดกลัวเพราะย้ายบ้านหนีน้ามาแล้วหลายครั้ง ไม่มีที่ทากิน วิถีชีวิตหลายด้านสูญหายไปกับทะเลทาให้
คนในพื้นที่มีความเคลื่อนไหวที่จะบรรเทาปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง
3.2 การจัดทาโครงการก่อสร้างอาคารสลายกาลังคลื่น "ขุนสมุทรจีน 49A2" ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างจังหวัด
สมุทรปราการ และสานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยสนับสนุนให้หน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ ภาควิชา
ธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทา "การศึกษาการบูรณาการเชิงพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาการกัดเซาะ
ชายฝั่งทะเลของจังหวัดสมุทรปราการ"โดยใช้กรณี จ.สมุทรปราการเป็นต้นแบบ จากการประเมินการกัดเซาะชายฝั่งทั่ว
ประเทศไทย พบว่าบริเวณจ.สมุทรปราการ เกิดปัญหากัดเซาะอย่างรุนแรง มีพื้นที่หายไปประมาณ 11,104 ไร่เมื่อเทียบกับ
38 ปีที่แล้ว ถ้าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขในอีก 20 ปีจะสูญเสียชายฝั่งเพิ่มขึ้นอีก 37,657 ไร่
3.3 การออกแบบขุนสมุทรจีน 49A2 หลักการออกแบบหลังจากผ่านการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานด้านพื้นท้องทะเล กระแสน้า
คลื่น การตกตะกอน รวมทั้งชนิดชายฝั่งนามาศึกษาและวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อจับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น สิ่งก่อสร้างที่เป็น
แนวกันคลื่นนี้เป็นการใช้โครงการสร้างทางวิศวกรรมชายฝั่งทะเลในการป้องกันเพื่อสลายพลังคลื่น ไม่ใช่กาแพงกันคลื่นแบบ
ปะทะเต็มๆ ตลอดความยาว 250 เมตรใช้เสาคอนกรีตพิเศษรูปทรงสามเหลี่ยมยึดเป็นแถว มีแถว A, B และ C สูง 10, 8
และ 6 เมตรตามลาดับ วางห่างกัน 1.50 เมตรในลักษณะสลับฟันปลาเมื่อคลื่นถาโถมมาจะช่วยลดความแรง สาหรับตะกอนจะ
ตกหลังแนวกันคลื่นการดาเนินการต่อจากนั้นเมื่อชายฝั่งเริ่มตื้นเขินก็มีแนวทางปลูกป่าชายเลนเพื่อยึดผิวดินทาให้ชุมชนบ้านขุน
สมุทรจีนมีทรัพยากรอุดมสมบูรณยิ่งขึ้นในช่วง 6 เดือน ถึง 1 ปีจะปล่อยแนวกันคลื่นให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด ขึ้นปีที่ 2 อาจ
นาตะกอนดินมาเติมหน้าแนวกันคลื่น แล้วให้คลื่นเป็นตัวพัดพาเร่งการงอกของแผ่นดินเป็นการปรับสมดุลชายฝั่งอีกจุดหนึ่ง
4. ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับตัวและแก้ไขผลกระทบจากการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคกลาง มีความแตกต่างกัน
- 5. 5
ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิศาสตร์หรือลักษณะของชายฝั่งทะเลและอิทธิพลของลมมรสุมประจาท้องถิ่น โดยทั่วไปอาจแบ่งแนวทางการ
แก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลออกเป็น 3 รูปแบบคือ 1) วิธีการป้องกันและแก้ไขทางธรรมชาติ ได้แก่การฟื้นฟูและ
อนุรักษ์ป่าชายเลน ป่าชายหาด แหล่งหญ้าทะเลและแนวปะการังเพื่อลดความรุนแรงของคลื่นที่กระทบฝั่งถือเป็นวิธีป้องกัน
การกัดเซาะโดยเลียนแบบธรรมชาติซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาในการสร้างความมั่นคงแข็งแรงให้กับชายฝั่ง การปักไม้ไผ่ลดกระแส
ความแรงของคลื่นและทาให้เกิดตะกอนดินเพิ่มขึ้นและการปลูกหญ้าหรือต้นไม้ขนาดเล็กชนิดที่มีรากยาวให้ช่วยยึดเกาะพื้น
ทรายให้แน่นขึ้นหรืออาจเสริมขนาดสันทรายริมชายฝั่งให้กว้างขึ้น รวมทั้งการควบคุมสิ่งปลูกสร้างไม่ให้ชิดขอบชายฝั่งทะเล
มากเกินไป 2) วิธีการทางวิศวกรรม โดยใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมดักตะกอนทรายและสลายพลังงานคลื่นหรือสร้างหาด
ทรายเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและรักษาสภาพชายฝั่ง โดยใช้หลักการทางวิชาการที่มีการศึกษาวิเคราะห์ครอบคลุมทุกมิติ เช่น
เขื่อนกันคลื่น (Breakwater) หรือแนวกันคลื่นนอกชายฝั่ง ( Offshore breakwater) กาแพงกันตลิ่ง (Revetment) รอดัก
ทราย (Groin) ไส้กรอกทราย (Sand sausage) การเติมทราย (Sand nourishment) หรือการสร้างเนินทราย (Dune
nourishment) และ 3) การใช้วิธีผสมผสาน โดยใช้ทั้งวิธีทางธรรมชาติและทางวิศวกรรมร่วมกัน เช่น การดาเนินการป้องกัน
การกัดเซาะชายฝั่งของ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยการปักไม้ไผ่รวกเป็นกาแพงลดความรุนแรงของคลื่น เมื่อ
มีการตกตะกอนและทับถมมากขึ้นจึงปลูกไม้ชายเลนไว้หลังแนวปักไม้ไผ่ เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนตามธรรมชาติ ซึ่งพบว่าไม้
ชายเลนมีการเจริญเติบโตได้ดี
5. สรุป การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศที่กาลังดาเนินอยู่ในปัจจุบันได้ส่งผลกระทบในหลายมิติโดยเฉพาะด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งหนึ่งในผลกระทบที่สาคัญจากภาวะโลกร้อนต่อประเทศไทยและ
พื้นที่ภาคกลางคือปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งซึ่งถือได้ว่าเป็นปัญหาสาคัญระดับชาติ เนื่องจากประเทศไทยมีพื้นที่ชายฝั่งทะเล
ทั้งสิ้น 3,148 กิโลเมตร ตลอดแนว 23 จังหวัด มีประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลประมาณ 12 ล้านคน และพบปัญหา
การกัดเซาะชายฝั่งตลอดแนวทั้ง 23 จังหวัด โดยมีระยะทางชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะทั้งสิ้นยาว 830.07กิโลเมตร แม้ว่าได้มีการ
จัดทายุทธศาสตร์การจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เมื่อปี 2550 แต่ยังพบปัญหาในการแปลงแผน
ไปสู่การปฏิบัติหลายประการโดยเฉพาะปัญหาด้านค่อนข้างขาดการประสานงานและการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่
รับผิดชอบในส่วนกลางและหน่วยงานส่วนท้องถิ่น ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการแก้ไขปัญหา ตลอดทั้ง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนขาดองค์ความรู้ทางวิชาการในการบรรเทาและแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ดังนั้นเพื่อ
ส่งเสริมให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลยังคงมีบทบาทสาคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศจึงควรจัดทาแผนแม่บทเพื่อบรรเทาและแก้ไข
ปัญหาการกัดเซาะเชิงพื้นที่ ระดับจังหวัดที่มุ่งเน้นการบูรณาการการดาเนินงานและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้
ส่วนเสียทุกภาคส่วน รวมทั้งการสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการการกัดเซาะชายฝั่งแก่องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นและสนับสนุนงบประมาณแก่หน่วยงานรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องเพื่อดาเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อ
นาไปสู่เป้าหมายการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลอย่างสมดุลตลอดทั้งรักษาฐานรายได้และอาชีพให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นอย่าง
ยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ค้นหาจาก http://www.mkh.in.th/index.php/2010-
03-22-18-05-34/2010-03-26-07-58-17 เข้าถึงเมื่อวันที่28 มิถุนายน 2556
แผ่นดินที่หายไป ค้นหาจาก http://www.saveoursea.net/boardsmf/index.php?topic=718.20;wap2 เข้าถึงเมื่อวันที่
2 กรกฎาคม 2556
ปัญหาที่เกิดกับชายฝั่งทะเลของประเทศไทยค้นหาจาก http://www.md.go.th/interest/coast.php เข้าถึงเมื่อ 28
มิถุนายน 2556
ยุทธศาสตร์การจัดการป้องกันและแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ค้นหาจาก
http://www.dmcr.go.th/elibrary/elibraly/book_file/Book20110208142503.pdf เข้าถึงเมื่อ 4 กรกฎาคม 2556
ผลกระทบหลักของภาวะโลกร้อนค้นหาจาก
http://www.energysavingmedia.com/news/page.php?a=10&n=131&cno=2757 27 มิถุนายน 2556เข้าถึงเมื่อ 4
กรกฎาคม 2556
สภาวะโลกร้อน (Global Warming) ค้นหาจาก http://www.dol.go.th/sms/interesting.htm 27 มิถุนายน 2556เข้าถึง
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2556