วิทยาศาสตร์

1. LOGO
1
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
รายวิชา วิทยาศาสตร์ 3 ( ว 22101)
เรื่อง ส่วนประกอบของโลก
โดยครูสุกัญญา นาคอ้น

2. 2
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. สืบค้น สร้างแบบจาลองและอธิบายโครงสร้าง
และองค์ประกอบของโลก
2. ทดลองเลียนแบบและอธิบายกระบวนการผุพัง
อยู่กับที่ การกร่อน การพัดพา การทับถม
การตกผลึกและผลของกระบวนการดังกล่าว

3. 3

4. รูปร่างของโลก
- มีลักษณะกลม โดยมีส่วนบนและส่วนล่าง
ค่อนข้างแบน
- มีเส้นผ่านศูนย์กลางจากขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลก
ใต้ยาวประมาณ 12,711 km
- เส้นผ่านศูนย์กลางในแนวเส้นศูนย์สูตรยาว
ประมาณ 12,755 km
- แกนโลกเอียงทามุม 23½ องศา
- ลักษณะผิวนอกโลก เป็นพื้นน้า 3 ใน 4 ส่วน
(75% ของผิวโลก) เป็นพื้นดิน 1 ใน 4 ส่วน
(25 % ของผิวโลก)
ขั้วโลกเหนือ
ขั้วโลกใต้
ประมาณ 12,755 km
ประมาณ12,711km
4

5. การหมุนของโลก
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 24 ชั่วโมง
- หมุนรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 365.24 วัน
- ( 1 ปี)
- ทาให้เกิดกลางวัน กลางคืน และฤดูกาล
5

6. 6
ส่วนประกอบของโลก
โลกประกอบด้วยสสารต่างๆ มากมาย มีทั้ง 3 สถานะ คือ
ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้เมื่ออยู่ในสภาวะที่
เหมาะสม

7. ส่วนประกอบของโลก
7
1. ธรณีภาค (lithosphere)
คือ ส่วนที่เป็นเปลือกแข็งอยู่ชั้นนอกสุด
ของโลก ประกอบด้วยดิน หิน และแร่
2. อุทกภาค (hydrosphere)
คือ ส่วนที่เป็นผิวน้าบนโลก เช่น ทะเล
มหาสมุทร แม่น้า และธารน้าแข็ง

8. ส่วนประกอบของโลก
8
3. บรรยาภาค (atmosphere)
คือ ส่วนที่เป็นอากาศที่อยู่รอบตัวเราและ
ห่อหุ้มโลก
4. ชีวภาค (biosphere)
คือ สิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น คน สัตว์ และพืช

9. โครงสร้างของโลก
นักธรณีวิทยา แบ่งโครงสร้างภายในของโลกออกเป็น 3 ส่วน
โดยพิจารณาจากองค์ประกอบทางเคมี ดังนี้
ชั้นเปลือกโลก
ชั้นแก่นโลก
ชั้นแมนเทิล
9

10. โครงสร้างของโลก
10
1. ชั้นเปลือกโลก (crust)
คือ ชั้นนอกสุดของโลก มีความหนาน้อยที่สุด
ประมาณ 6-35 km ประกอบด้วย
- ส่วนที่อยู่ภายนอกที่เป็นแผ่นดินและแผ่นน้า
- ส่วนที่เป็นหินแข็งที่ฝังลึกลงไปใต้ผิวดิน
และผิวน้า

11. โครงสร้างของโลก
11
1. ชั้นเปลือกโลก (crust)
เปลือกโลก แบ่งเป็น 2 ส่วน
1. เปลือกโลกส่วนบน
- ส่วนที่เป็นทวีป
- ประกอบด้วย หินไซอัล ซึ่งเป็น
หินแกรนิตชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่ประกอบด้วย
สารประกอบซิลิกาและอลูมินา
2. เปลือกโลกส่วนล่าง
- เปลือกโลกส่วนที่เป็น
มหาสมุทร
- ประกอบด้วน หินไซมา
ซึ่งเป็นหินบะซอลต์ชนิดหนึ่ง ส่วน
ใหญ่ประกอบด้วยสารประกอบซิลิกา
และแมกนีเซียม

12. โครงสร้างของโลก
12
2. ชั้นแมนเทิล(Mantle)
คือ ชั้นที่อยู่ถัดลงไปในชั้นเปลือกโลก
มีความหนาประมาณ 3000 km
ประกอบด้วย
-หินอัตราเบสิก หินเพริโดไทต์ ซึ่งมีหินอัคนี
-บางส่วนของหินชั้น เป็นหินหลอมเหลวที่
เรียกว่า หินหนืด ที่มีอุณหภูมิ 2000 °C
ประกอบด้วยธาตุๆ เช่น ซิลิกอน เหล็ก
อะลูมินียม

13. โครงสร้างของโลก
13
3. ชั้นแก่นโลก ( Core)
คือ ชั้นในสุดของโลก มีความ
หนาประมาณ 3440 km ในชั้นแก่น
โลกทั้งสองประกอบด้วยธาตุนิกเกิล
เหล็ก เป็นส่วนใหญ่

14. โครงสร้างของโลก
14
3. ชั้นแก่นโลก ( Core)
1.แก่นโลกชั้นนอก เป็นชั้นของเหลว
ร้อน มีความถ่วงจาเพาะประมาณ 12
อยู่ในระดับความลึกจากผิวโลก
ประมาณ 2900 – 5000 km
2.แก่นโลกชั้นใน เป็นชั้นของแข็ง มีความ
ถ่วงจาเพาะประมาณ 17 อยู่ในระดับความลึกจาก
ผิวโลกประมาณ 5000 km

15. • เปลือกโลกมีลักษณะเป็นแผ่นหินแข็งต่อกัน ซึ่งมีอยู่ 14 แผ่น โดยแต่ละแผ่น เรียกว่า
แผ่นเปลือกโลก
• แผ่นเปลือกโลกที่อยู่ใต้ทะเลหรือมหาสมุทร เรียกว่า แผ่นมหาสมุทร ซึ่งมีความหนา
น้อยกว่าแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ใต้ทวีป ที่เรียกว่า แผ่นทวีป
แผ่นเปลือกโลก

16. • เมื่อประมาณเกือบ 200 ล้านปีมาแล้ว ทวีปต่างๆ เคยอยู่รวมกันเป็นทวีปใหญ่เพียงทวีป
เดียว เรียกว่า พันเจีย
• เมื่อประมาณ 60 ล้านปีที่ผ่านมา แผ่นดินแยกจากกันมากขึ้น จนเกิดเป็นทวีปต่างๆ ที่มี
ลักษณะใกล้เคียงปัจจุบัน
• ในปัจจุบันโลกประกอบด้วย 7 ทวีป

17. การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
17

18. การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
18
แบ่งเป็น 2 แบบ
1. การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น
แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด
2. การเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ เช่น การผุกร่อน
การยุบตัว การเกิดภูเขา

19. สาเหตุที่ทาให้เปลือกโลกเปลี่ยนแปลง
19
ฉันเอง
1. จากมนุษย์ เช่น การระเบิดภูเขา
การทาเหมืองแร่ การทดลองระเบิด
ปรมาณู
2. จากธรรมชาติ เช่น การเคลื่อนที่ของ
หินหนืดทาให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ
การกร่อนของเปลือกโลกโดย
กระแสน้า กระแสลม

20. การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
20
ภูมิลักษณ์ต่างๆ บนผิวโลกเกิดจากกระบวนการ
เปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาต่างๆ ได้แก่
1. การผุพังอยู่กับที่ ( weathering )
2. การกร่อน (erosion)
3. การพัดพา (transportation) และการทับถม (deposition)
4. การตกผลึก

21. เป็นกระบวนการที่วัสดุผุพังแล้วสลายออกเป็นชิ้นเล็กๆ และมีการเปลี่ยนแปลงขนาด
และองค์ประกอบทางเคมี
การผุพังอยู่กับที่
ปัจจัยทางกายภาพ
• ชั้นหินที่มีรอยแยกซึ่งมีน้าแทรกอยู่
เมื่ออุณหภูมิต่าลง น้าจะกลายเป็น
น้าแข็งไปดันให้รอยแยกขยายตัวมาก
ขึ้น ทาให้ชั้นหินที่อยู่ด้านข้างแตก
และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นน้าแข็งจะ
ละลายกลายเป็นน้าเข้าไปแทรกตาม
รอยแยกใหม่ ซึ่งเมื่อน้าแข็งตัวอีกครั้ง
ก็จะดันให้รอยแยกขยายออกและเกิด
รอยแตกเพิ่มมากขึ้น

22. ปัจจัยทางเคมี
• ฝนกรดที่มีกรดคาร์บอนิกปะปนอยู่ เมื่อ
ไปตกบริเวณภูเขาที่เป็นหินปูน ซึ่งมี
แคลเซียมคาร์บอเนตอยู่ กรดคาร์บอนิก
จะทาปฏิกิริยากับแคลเซียมคาร์บอเนต
เกิดเป็นแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต
ส่งผลให้หินปูนกร่อนลงไปเรื่อยๆ และ
แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตจะไหล
ซึมไปตามผนังถ้าพร้อมกับน้า และไหล
ย้อยลงตามช่องของผนังถ้า ทาให้เกิด
หินงอกหินย้อย

23. ปัจจัยทางชีวภาพ
• รากพืชที่ชอนไชในรอยแตกของหิน
เมื่อพืชเจริญเติบโต รากพืชก็จะ
เจริญเติบโตด้วย และทาให้หินแตก
เป็นชั้นๆ
• สาหร่ายที่ขึ้นบนชั้นหินก็สามารถเร่ง
การผุพังของหินให้เร็วขึ้นได้

24. ละลุ เสาเฉลียง
การกร่อน
• เป็นกระบวนการที่ทาให้เปลือกโลก หิน ดิน และทราย หลุดออกไปโดยการกร่อนตัว
หรือพังทลาย
• เกิดจากตัวการทางธรรมชาติ ได้แก่ ฝน ลาธาร แม่น้า ธารน้าแข็ง คลื่น ลม และแสงแดด
• ตัวอย่างเช่น ละลุ จังหวัดสระแก้ว เสาเฉลียง จังหวัดอุบลราชธานี

25. ตะกอนรูปพัดดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้า
การพัดพาและทับถม
• เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ เกิดจากกระแสลมและเกิดจากน้า
• การพัดพาและทับถมที่เกิดจากกระแสลม ส่วนมากจะเกิดบริเวณที่ราบสูง บนภูเขาสูง
ทะเลทราย
• การพัดพาและทับถมที่เกิดจากน้า เช่น เกิดเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้า เกิดเป็น
ตะกอนรูปพัด

26. การตกผลึก
• เป็นกระบวนการที่สารเปลี่ยนสถานะจากของเหลวหรือไอกลายเป็นของแข็ง
• การตกผลึกมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของแผ่นเปลือกโลก เช่น เมื่อมีน้าที่มีแร่ธาตุละลาย
อยู่อย่างเข้มข้นขังตัวอยู่ตามรอยแยกของหิน เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้าจะเกิดการระเหยไป
แร่ธาตุในน้าจึงเกิดการตกผลึกเป็นของแข็ง ซึ่งจะดันให้หินเกิดรอยแยกมากขึ้น

27. 27
รอยเลื่อน เขื่อนแตก!!!!

28. LOGO
www.themegallery.com
28