SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 22
Baixar para ler offline
1
การเปิดโรงเรียนกับโควิด
ศ.นพ.ขจรศักดิ์ ศิลปโภชากุล
หน่วยโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วันนี้ขอชวนคิดเรื่อง การเปิดโรงเรียนจะเป็นตัวการทำให้การระบาดของโควิดเพิ่มไหม???
แล้วถ้ามันไม่ใช่ตัวการ อยากจะให้พวกเรามาแทงหวย(เดา)เอาว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดโรงเรียน???
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ complex มาก มีข้อมูลทั้ง pros and cons เยอะแยะเต็มไปหมด อ่านแล้วแล้วเวียนหัวมาก
เรื่องของเรื่องต้องเริ่มต้นด้วย observation study ความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดโรงเรียนกับการเพิ่มของ
จำนวนเคสโควิดก่อน
เริ่มต้นด้วยอิสราเอล
ก็ขอฉายหนังซ้ำว่า หนังสือพิมพ์อิสราเอลบอกว่าการระบาดของเดลต้าที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ เริ่มต้นจากคนที่
เดินทางกลับจากต่างประเทศเอามาแพร่ในโรงเรียนก่อน
เช่นเดียวกับการระบาดของเดลต้าในตอนนี้ของอเมริกา
2
นั่นเป็น observation reports แล้วมี quantitative data ไหม?
คำตอบก็คือว่า มีครับ
คือประเทศอิตาลี ที่เกิดการระบาดใหญ่ครั้งแรก first wave เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว จนทั้งอเมริกาและยุโรป
ต้อง lockdown และปิดโรงเรียนอยู่หลายเดือน จนการระบาดลดลง จำนวนเคสลดลงจากวันละ 7 พัน ลงมา
เป็นหลักร้อย จึงเริ่มผ่อนคลายการ lockdown ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และมาเปิดโรงเรียนเมื่อกลางเดือน
กันยายนปีที่แล้ว
เปิดโรงเรียนได้ 14 วัน graph การระบาดที่ลดลงไปแล้วจนเป็น linear จากการ lockdown กลับพุ่งขึ้น
กลายเป็น exponential
3
เช่นเดียวกับสกอตแลนด์ที่เพิ่งมีการระบาดของเดลต้าในโรงเรียนที่เปิดหลังจากหยุด summer
4
แล้วอเมริกาล่ะ มีข้อมูลไหม?? เพราะตอนนั้นอเมริกาก็ปิดเปิดโรงเรียนเหมือนกัน
มีครับ
มี paper ที่ตีพิมพ์ใน JAMA แสดงผลของการปิดโรงเรียน (ไม่ใช่ผลของการเปิดโรงเรียน) หลังจากที่
ประธานาธิบดี Trump ประกาศปิดประเทศเมื่อ Friday the thirteenth ของเดือนมีนาคมปีที่แล้ว
บอกว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการปิดโรงเรียนตอนที่ lockdown กับการลดลงของ incidence และ
mortality ของโควิดโดย adjust potential confounder variables หลายตัวมากจนอ่านแล้วเวียนหัว เช่น
จำนวนการตรวจ (testing) จำนวนคนแก่ จำนวน nursing home ความหนาแน่นของประชากร จำนวนคน
อ้วน และแม้กระทั่งโครงสร้างทางสังคมของประชากร เยอะแยะไปหมด
ผลบอกว่า การปิดโรงเรียนเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อที่ลดลง 62% และลดการตาย 58%
ดังนั้นที่ยกตัวอย่างมาแสดงว่า การเปิดปิดโรงเรียนเกี่ยวข้องกับการที่จำนวนของผู้ป่วยโควิดจะเพิ่มขึ้นหรือ
ลดลง
แต่คำถามมันมีอยู่ว่า มันเป็น cause & effect หรือเปล่า? คือ การเปิดโรงเรียนทำให้มีการระบาดใน
โรงเรียนแล้วแพร่ไปใน community??? หรือการแพร่ใน community เกิดขึ้นก่อน แล้วมัน spill เข้าไป
ในโรงเรียน??? หรือมันต่างคนต่างติดพร้อมกันเป็น coincidence เฉยๆ???
คำตอบที่ได้ ซึ่งจะพูดต่อไป ว่ามันไม่ตรงไปตรงมาอย่างนั้น
Paper ที่ตีพิมพ์ใน JAMA ข้างบน มันก็ยอมรับตรงๆ ว่า การเปิดโรงเรียนมันเกี่ยวข้องกับการเพิ่มของ case
แต่ไม่รู้ว่าเป็นไก่หรือไข่
5
และตอนนี้ที่เดลต้าระบาดในสกอตแลนด์ กราฟของการระบาดมันก็ขึ้นแบบ exponential ทุกกลุ่มอายุ
เหมือนๆ กัน แทบจะแยกไม่ออกว่าใครระบาดก่อนใคร
แต่ในอิตาลีเองก็มีคนพยายามวิเคราะห์ข้อสงสัยอันนี้ จากเหตุการณ์ที่อิตาลีมีเคสเพิ่มขึ้นเป็น exponential
หลังจากเปิดโรงเรียนเมื่อเดือนกันยายนตามที่เล่าให้ฟังข้างบนนั้น โดยตีพิมพ์ในวารสาร Lancet Regional
Health
Paper นี้พยายามไปดูการระบาดในแคว้นเวเนโต้พบว่า แม้ว่าการระบาดจะเกิดขึ้นหลังจากการเปิดโรงเรียน
จริง แต่การระบาดเริ่มต้นในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 45-49 ปี ก่อนที่จะเกิดการระบาดในเด็ก
6
และก็พยายามไปดูว่าการระบาดใน 22 แคว้นของอิตาลีที่เปิดโรงเรียนไม่พร้อมกันนี้ ค่า R number ของการ
ระบาดมันเพิ่มขึ้นก่อนในแคว้นที่เปิดโรงเรียนก่อนหรือเปล่า เมื่อเทียบกับแคว้นที่เปิดโรงเรียนช้า คือ เปิดทีหลัง
แคว้นอื่นเขา
ปรากฏว่าจากการเปรียบเทียบแคว้น 3 คู่ คือ 6 แคว้นที่อยู่ติดกันและคล้ายๆ กันพบว่า การเพิ่มของ R
number ไม่ temporal correlate กับการเปิดโรงเรียนช้าหรือเร็ว
7
และเปเปอร์นี้ยังตามไปดูผลของการสั่งปิดโรงเรียนในแคว้น Lombardy และ Campania หลังจากที่มีการ
ระบาดมาก ดูว่าค่า R number มันเกี่ยวข้องกับการสั่งปิดโรงเรียนหรือเปล่า ก็ปรากฏว่า ค่า R number มัน
ลดลงตั้งแต่ก่อนสั่งปิดโรงเรียนด้วยซ้ำ
ดังนั้น paper นี้เลยสรุปว่า การเปิดโรงเรียนไม่ใช่เป็น main driver ของการระบาดของโควิด
แต่พอ paper นี้ออกมา ก็มีคนตามมาคัดค้าน
ว่าที่สรุปอย่างนั้นมันไม่จริงทุกแคว้น โดยอ้างว่ามันมีถึง 6 ใน 22 แคว้นที่เกิดการระบาดในกลุ่มเด็กมัธยมปลาย
(high school) ก่อนการระบาดในผู้ใหญ่
และมี 8 ใน 18 แคว้น ที่มีเด็กวัยรุ่น 14 ถึง 18 ปีมีการติดเชื้อ age stratified incidence ต่อแสนประชากรสูง
กว่าในผู้ใหญ่
8
CDC ของอเมริกาเอง ก็พยายามรีวิว issue นี้
และบอกว่า ในอเมริกาเองไม่มีหลักฐานว่าการระบาดในโรงเรียนหลังจากเปิดโรงเรียน เกิดก่อน การระบาด
ใน community
แต่ก็ขอเตือนว่า ข้อมูลที่ CDC รีวิวทั้งหมดนั้นเป็นข้อมูลก่อนเดือนสิงหาคมที่มี delta variant ระบาด ซึ่ง CDC
ก็ออกตัวเหมือนกันว่า
แล้วเราจะเชื่อใครดี??? แล้วเราจะทำยังไงกับโรงเรียนของเรา???
ผมคิดว่าข้อมูลส่วนใหญ่แสดงว่า การระบาดในโรงเรียนมักจะตามหลังการระบาดใน community แต่
discrepancy ของลักษณะการระบาดในรายงานต่างๆ นั้น อาจจะเกิดจาก heterogeneity ของนักเรียน
สถานที่ และเวลาของการระบาด การระบาดในสถานที่หนึ่งอาจจะเกิดจาก community ก่อนแล้วแพร่เข้าไป
ในโรงเรียน แต่ในที่อีกที่หนึ่งการระบาดอาจจะเริ่มจากโรงเรียนก่อนแล้วแพร่เข้าไปใน community
ยกตัวอย่างการระบาดในโรงเรียนแห่งหนึ่งในอิสราเอล
9
ตอนที่อิสราเอลเปิดโรงเรียนในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วหลังจากที่ควบคุมการระบาด wave แรกได้ ปรากฏว่า
พอเปิดโรงเรียนได้ 10 วัน ก็มีนักเรียนเริ่มติดเชื้อมาจากไหนไม่รู้ 2 คน แล้วทำให้เกิดการระบาด ทั้งโรงเรียน
ติดเชื้อไป 153 คน (attack rate 13%) กับครูอีก 25 คน (attack rate 16%) และการระบาดแพร่ไปให้
ชาวบ้านนอกโรงเรียนอีก 87 คน
นี่ขนาดว่าเชื้อตอนนั้น ไม่ใช่เดลต้าด้วยซ้ำ
แต่ถ้าจะพูดกันตรงๆ แล้ว ตัวอย่างการระบาดนี้มันทั้ง extreme และ unusual
คือว่า เหตุผลที่เกิดระบาดมากเพราะมันบังเอิญไปตรงกับตอนที่ประเทศอิสราเอลมี heat wave ต้องเปิดแอร์
กันทั้งโรงเรียน และอนุญาตว่าไม่ต้องใส่ mask อยู่ 3 วัน
แต่อย่างไรก็ตามขอให้สังเกตว่า เหตุการณ์นี้เกิดกับโรงเรียนชั้นมัธยม ที่เด็กโตมี mobility และ contact
rate สูงกว่าเด็กเล็ก ในขณะที่การศึกษาส่วนใหญ่พบว่าเด็กเล็กไม่ใช่ main driver ของการระบาดเลย ซึ่งก็
ตรงไปตรงมา เพราะเด็กเล็กไม่ไปยุ่งกับใครมากเท่าเด็กโต ยกตัวอย่างการศึกษาในโรงเรียนอนุบาลและมัธยมที่
สิงคโปร์
ที่พบผู้ป่วยเด็ก 2 คนติดเชื้อมาจากบ้าน โดยคนหนึ่งเป็นเด็กอนุบาลอายุ 5 ขวบ กับอีกคนเป็นเด็กมัธยมต้น
อายุ 12 ขวบ
10
ปรากฏว่าหลังจาก isolate 2 เคสนี้ และ quarantine เฉพาะ close contacts ปรากฏว่าตรวจเด็กไป
119 คนไม่มีใครติดเชื้อเลยทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการปิดโรงเรียนด้วยซ้ำ
และในอังกฤษเอง การศึกษาของ Public Health England ก็โชว์ตัวเลขว่าอัตราการติดเชื้อในโรงเรียนมัธยม
มีมากกว่าในชั้นประถม
ดังนั้นถ้าไปดู literature การระบาดในโรงเรียนดีๆ จะเห็นว่าในบางแห่ง age stratified incidence
rate ในเด็กชั้นมัธยมปลายสูงกว่าในผู้ใหญ่และใน community อย่างในบางแคว้นของอิตาลีที่ผมได้พูด
แล้ว
ข้อมูลสำคัญมากอีก paper นึง ที่เกี่ยวกับการระบาดของโควิดจากวัยรุ่น ก็คือ paper จากวิสคอนซิน ที่
ตีพิมพ์ใน MMWR
เมื่อปีที่แล้ววิสคอนซินเป็นรัฐหนึ่งที่มีอัตราการเพิ่มของโควิดสูงเป็นอันดับต้นๆ ของอเมริกา
11
ในเปเปอร์นี้เขาดูการระบาดว่าเริ่มจาก cluster ที่ไหนก่อน โดย clusters ที่เขาดูก็เหมือนกับของเรา คือ ดูว่า
เกิดที่ nursing home โรงงาน คุก โรงเรียน โรงพยาบาล ผับและบาร์ หรือที่ทำงาน ฯลฯ
ปรากฏว่าการระบาดมันเพิ่มขึ้นเป็น exponential ตอนเดือนสิงหาคมต่อกับเดือนกันยายน หลังจากที่
ผู้คนกลับมาจาก summer holidays (อีกแล้ว) โดยมันเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยก่อนที่อื่น ส่วนการระบาดใน
โรงเรียนนั้นยังตามมาทีหลัง
Paper นี้บอกว่า อั๊วไม่รู้ว่าเด็กมหาวิทยาลัยเป็นตัวแพร่หรือเปล่า แต่อย่างน้อยการระบาดในมหาวิทยาลัย
อาจจะเป็น early indicator ของการระบาดใหญ่ที่ตามมา
12
ดังนั้นข้อมูลที่พูดมามันบอกว่า การเปิดเรียนอาจจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มการระบาด ในบางครั้งบางสถานการณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีระบาดในเด็กโต เช่น เด็กมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย
ดังนั้นผมจึงพยายามย้ำแล้วย้ำอีกว่า เรามีแผนเกี่ยวกับการเปิดมหาวิทยาลัยยังไงบ้าง เพราะตอนนี้เห็นมี
แต่แผนการเปิดโรงเรียน และถ้าจะฉีดวัคซีนให้เด็ก ก็ควรฉีดวัคซีนในเด็กโตและเด็กมหาวิทยาลัยก่อน
ส่วนเรื่องจะให้วัคซีนชนิดไหนค่อยมาว่ากันวันหลัง
Factors อื่นที่อาจจะอธิบายเรื่องการเปิดปิดโรงเรียนที่บางครั้งเกี่ยวและบางครั้งก็ไม่เกี่ยวกับการเพิ่มของ
โควิดก็คือ สถานที่ และ เวลา ที่เกิดการระบาด
ยกตัวอย่างการศึกษาการเปิดโรงเรียนใน Texas ในตอนที่มีการระบาดเยอะอยู่ ที่ตีพิมพ์ในวารสารของ
National Bureau of Economic Research (NBER) ของอเมริกา
บอกว่าการเปิดโรงเรียนตอนที่มี community transmission มากๆ มีส่วนทำให้มีการระบาดใน
community มากขึ้น
โดยคำนวณออกมาแล้วว่า ทำให้จำนวนเคสใน Texas เพิ่มขึ้น 43,000 คน และตายเพิ่มขึ้นประมาณ 800 คน
13
และจากการวิเคราะห์ข้อมูล mobility dataset ที่ track mobility จากการใช้มือถือ พบว่า หลังจากโรงเรียน
เปิด mobility ของชาวบ้านที่อยู่ในเมืองที่มีโรงเรียนเยอะสูงขึ้นกว่าเดิม และเวลาที่อยู่นอกบ้านมากขึ้น เพราะ
ใน weekdays ที่เด็กไปโรงเรียนไม่อยู่บ้าน ผู้ปกครองมีเวลาไปไหนมาไหนมากขึ้น เลยคิดว่าเป็นสาเหตุทำให้
แพร่กระจายเชื้อมากขึ้นใน community
ดังนั้นถ้าเราไปดูในหลายเปเปอร์จะเห็นได้ว่า หลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป พยายามตั้งเกณฑ์ว่าถ้า
มีเคสใน community สูง ก็อย่าเพิ่งเปิดโรงเรียน
แต่ถ้าถามว่า จะเอาเกณฑ์กี่เคสต่อแสนในชุมชน ถึงอย่าเพิ่งเปิดโรงเรียน ก็พบว่า criteria แตกต่างกันมาก
Editorial ในวารสาร Science ก็บอกว่า ถ้า community Cases น้อยกว่า 30 ถึง 50 ต่อแสนใน 7 วัน ให้เปิด
ไปเถอะ ไม่น่าจะเกิดการระบาดใหญ่ในโรงเรียนและ community
14
คำถามมีอยู่ว่า เราจะเชื่อเขาไหม? เพราะถ้าเชื่อ เราก็คงต้องปิดโรงเรียนในประเทศของเราไปตลอดกาล เพราะ
ตอนนี้อุบัติการณ์ในชุมชนมันก็สูงกว่านั้นเยอะอยู่แล้ว
แต่ความเห็นของผมคือว่า ในที่สุดแล้วเราก็ต้องเปิดโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโรงเรียนในชนบท
หรือรายจังหวัดที่ไม่ค่อยมีการระบาดอย่าง เช่น แม่ฮ่องสอน น่าน บึงกาฬ สตูล และอีกหลายจังหวัด น่าจะ
เปิดได้สบายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถม หรือมัธยมต้น
ดูตัวอย่างการศึกษา ที่โรงเรียนในเมืองเล็กๆ ที่วิสคอนซิน ที่เปิดโรงเรียนตอนที่มีการระบาดมากๆ พบว่าถ้า
มาตรการป้องกันดี เช่น ใส่ mask เกินกว่า 90% การติดเชื้อในโรงเรียนมีน้อยกว่านอกโรงเรียนมาก
15
แต่อย่างไรก็ตามการเปิดโรงเรียนก็ไม่ใช่เปิดซี้ซั้วนะครับ ต้องมีมาตรการป้องกัน เพราะตัวอย่างที่เห็นเห็น
อยู่ในอิสราเอลมันก็ฟ้องอยู่ในตัวว่า ถ้าไม่มีการป้องกัน การระบาดก็จะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี เราก็ต้องรีวิวมาตรการป้องกันให้ดี อเมริกามันเรียกว่า multi-layered interventions ซึ่ง
บางอย่างผมก็ว่ามันเว่อร์ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ในอังกฤษที่มีคนพยายามเสนอให้ซื้อเครื่อง HEPA filter
เพื่อกรองอากาศและ CO2 monitor เพื่อวัด ventilation (แล้วค่อยพูดเรื่องนี้วันหลัง)
พูดมายาวเกี่ยวกับการเปิดปิดโรงเรียนว่าจะทำให้การระบาดเพิ่มขึ้นหรือลดลงไหมนั้นอยากสรุปว่า ข้อมูล
มันมีทั้ง pros and cons เหมือนกับคนตาบอดไปคลำช้างคนละที่และคนละเวลา คนนึงอาจจะไปคลำที่
หางแล้วก็บอกว่าช้างมันตัวเล็ก แต่อีกคนนึงไปคลำที่ตัวก็อาจจะบอกว่าช้างมันตัวใหญ่ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่
แสดงว่า การเปิดโรงเรียนไม่ใช่เป็นตัว initiator ของการระบาด และส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดการระบาดใน
ชุมชนมากขึ้น อาจจะมียกเว้นอยู่บ้าง คือ การระบาดในเด็กโตและเด็กมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
สถานการณ์ที่มีเคสเยอะในชุมชน
คราวนี้ก็มาถึงคำถามว่า แล้วเมืองไทยที่กำลังจะเปิดโรงเรียนนี้ มันจะมีการระบาดของโควิดเพิ่มขึ้นไหม???
ผมขอแทงหวย(เดา)เอาว่า ต่อให้การระบาดในโรงเรียนไม่ใช่เป็นต้นเหตุของ epidemic แต่ก็น่าจะมีการ
เพิ่มของเคสหลังจากโรงเรียนเปิดมากกว่าไม่มีการเพิ่ม เหตุผลเพราะ
1. ปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดจำนวนเคสมากขึ้น ก็คือ “COVID-19 is the pandemic of the
unvaccinated”
ผมหาไม่เจอว่าตอนนี้เด็กไทยมี antibody ต่อโควิดเท่าไหร่ รู้ว่าเพิ่งฉีดวัคซีนที่วชิระไป 2 พันกว่าคน ดังนั้นเดา
เอาว่าตอนนี้ immunity ของเด็กไทยต่อโควิดน่าจะยังไม่เยอะ เพราะขนาดอินเดียที่มีการระบาดเยอะ การ
สำรวจ antibody ในเด็กในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม เด็กอินเดียก็เพิ่งติดเชื้อไปเพียงแค่ครึ่งเดียว
เรารู้ว่าขนาดอิสราเอล อเมริกา และอังกฤษ ฉีดวัคซีนได้มากกว่าเราเยอะแยะ มันยังมีการระบาดของ delta
ในเด็กและ young adults เลย
16
เราคงต้องเฝ้าดูว่าเคสมันจะเป็น exponential จริงไหมในเด็กอังกฤษ ตามที่คณะที่ปรึกษาวิชาการทางการ
แพทย์ (SAGE) ของรัฐบาลอังกฤษกลัว???
2. ข้อมูลการระบาดในเด็กไทยทั้งๆ ที่ยังไม่เปิดโรงเรียนแสดงว่า ปัจจัยในการระบาดมีพร้อมรออยู่แล้ว
เพียงแต่รอให้มี introduction ของ new cases เข้ามาเท่านั้น ยกตัวอย่างการระบาดทั้งๆ ที่โรงเรียนยังไม่
เปิดเต็มที่ที่หนองคาย ขอนแก่น และกระบี่ เป็นต้น
17
และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ข้อมูลของกรมอนามัยที่พบว่า ขนาดยังไม่เปิดโรงเรียนเต็มที่ เดือนสิงหาคมเดือน
เดียวเด็กก็ติดเชื้อไป 6 หมื่นกว่าคน
18
ดังนั้นถ้าเปิดโรงเรียนมาแล้ว และไม่มีการระบาดในโรงเรียน ประเทศไทยคงโชคดี เฮงอย่างมากๆ เลย
คำถามต่อไปมีอยู่ว่า ถ้าเกิดการระบาดในโรงเรียนขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น???
เรื่องแรก ก็ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ว่าเด็กจะเป็นอะไร เพราะส่วนใหญ่เด็กไม่มีอาการหรือ
อาการน้อย และอัตราการอยู่โรงพยาบาลหรืออัตราการเสียชีวิตต่ำมากมาก
และความจริงผมไม่ค่อยกลัวว่าการระบาดของโควิดในโรงเรียนจะแพร่ไปทำให้เกิดการระบาดใน
community หรอกครับ
แต่สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าก็คือ เด็กจะทำให้เกิดการแพร่เชื้อในครัวเรือนของเขาเอง
เพราะข้อมูลการระบาดในครัวเรือนที่มีเด็กเป็น index case ในแคนาดาที่ตีพิมพ์ใน JAMA พบว่า ถ้าบ้านไหน
มีเด็กเป็น index case 27.3% ของครัวเรือนเหล่านั้น จะมี secondary cases เฉลี่ยอีกบ้านละ 2 คน
19
นี่ขนาดเป็นข้อมูลจากแคนาดาที่ไม่อยู่กันหนาแน่นเหมือนเรา และเป็นข้อมูลที่ไม่ใช่ตอน delta variant
ระบาดด้วยนะครับ
เรากลัวเขาไปติดใคร???
แน่นอนว่าเรากลัวเข้าเอาไปติดคนแก่
ทำไมต้องกลัวไปติดคนแก่???
ก็อย่างที่รู้ว่าอัตราตายจากโควิดในคนแก่ มันไม่ใช่ต่ำกว่า 1% แบบเดียวกับในคนหนุ่มสาว แต่ case fatality
ใน real world เขต 12 ของผม อาจจะขึ้นไปถึงมากกว่า 8% ในคนแก่ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี
ก็จะมีคำถามต่อไป ว่าในประเทศไทยเด็กอยู่กับคนแก่เยอะไหม???
เรื่องนี้ UNICEF เคยทำการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว
20
พบว่า เด็กในประเทศไทยอยู่บ้านเดียวกับคนแก่ อย่างน้อย 15 ถึง 23% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสานและ
สามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งกำลังมีการระบาดหนักอยู่
ดังนั้นถ้ามีการระบาดเพิ่มขึ้นในเด็กที่ไปโรงเรียน ก็มีโอกาสที่เด็กเหล่านั้นจะพาเชื้อกลับมาให้คนแก่ที่บ้านเขา
และถ้าเรายังฉีดวัคซีนคนแก่ไม่ทัน การระบาดในเด็กอาจจะ aggravate ทำให้สถานการณ์การตายเพิ่มขึ้น
อีกด้วย
มีอะไรอย่างอื่นที่เราควรเตรียมตัวเตรียมใจเผื่อไว้ ถ้ามีการระบาดหลังจากเปิดโรงเรียน???
เรื่องแรกก็คือว่า พวกเราคงต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า ว่าเราจะป้องกันการระบาดในโรงเรียนอย่างไรดี?
ควรจะมา discuss กันว่าจะทำ multi-layered interventions ที่ cost-effective อย่างไรบ้าง?
และที่สำคัญ ก็คือ ต้องคิดล่วงหน้าว่า ถ้ามีการระบาด เราจะปิดโรงเรียนไหม? หรือว่าให้โรงเรียนเปิดต่อ แต่
คุมเข้มมาตรการในโรงเรียนที่เกิดการระบาดให้มากขึ้น?
อยากบอกว่า สิงคโปร์ที่เคยบอกในวารสาร CID ว่า ขอให้ detect case และแยกเด็กที่ติดเชื้อให้เร็วก็พอแล้ว
ไม่ต้องปิดโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถม ให้เปิดต่อ
21
แต่พอตอนนี้จำนวน case surge ขึ้นไปถึงเกือบถึง 3,000 ต่อวัน
ก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง สั่งปิดโรงเรียนไปเรียบร้อยโรงเรียนสิงคโปร์แล้ว
ถามว่าทำไมสิงคโปร์ตัดสินใจปิดโรงเรียน ทั้งๆ ที่การระบาดไม่ได้เริ่มที่โรงเรียน และโรงเรียนไม่ใช่ primary
driver ของโควิด surge คราวนี้ ถึงแม้จะมี clusters ในโรงเรียนและโรงเรียนกวดวิชาอยู่บ้าง
22
เรื่องนี้ผมก็ยังงงๆ อยู่ เพราะตอนนี้จำนวนการตายจากโควิดในสิงคโปร์ก็ยังเป็นตัวเลขหลักเดียว แต่เดาว่า
จำนวนคนไข้สีเหลืองและสีเขียวคงจะเพิ่มขึ้นมาก สิงคโปร์คิดยี่ต๊อกแล้วกลัวโรงพยาบาลจะ overload ก็ทำ
เต็มที่ไว้ก่อน แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องปิดโรงเรียนชั้นประถมด้วย ไม่รู้ว่าเป็น sociopolitical
pressure หรือเปล่า
ดังนั้นเราคงต้องคิดเตรียมตัวล่วงหน้า เพราะถ้าไม่คิดล่วงหน้า เราก็คงจะต้องตัดสินใจตาม
sociopolitical pressure มากกว่าเหตุผลทางวิชาการ
ขอบคุณครับ

Mais conteúdo relacionado

Mais de Pattie Pattie

AIforTeaching โดย รศ. ดร. สิริวุฒิ บูรณพิร
AIforTeaching โดย รศ. ดร. สิริวุฒิ บูรณพิรAIforTeaching โดย รศ. ดร. สิริวุฒิ บูรณพิร
AIforTeaching โดย รศ. ดร. สิริวุฒิ บูรณพิรPattie Pattie
 
การบริหารวิชาการและหลักสูตร บรรยายโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
การบริหารวิชาการและหลักสูตร บรรยายโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชการบริหารวิชาการและหลักสูตร บรรยายโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
การบริหารวิชาการและหลักสูตร บรรยายโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชPattie Pattie
 
The Lancet Commission on peaceful societies through health equity and gender ...
The Lancet Commission on peaceful societies through health equity and gender ...The Lancet Commission on peaceful societies through health equity and gender ...
The Lancet Commission on peaceful societies through health equity and gender ...Pattie Pattie
 
คณะพยาบาลศาสตร์ สบช KMSharingforLearningOrganization
คณะพยาบาลศาสตร์ สบช KMSharingforLearningOrganizationคณะพยาบาลศาสตร์ สบช KMSharingforLearningOrganization
คณะพยาบาลศาสตร์ สบช KMSharingforLearningOrganizationPattie Pattie
 
การประชุมกลุ่มสามพราน ตระกูล ส โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
การประชุมกลุ่มสามพราน ตระกูล ส โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสีการประชุมกลุ่มสามพราน ตระกูล ส โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
การประชุมกลุ่มสามพราน ตระกูล ส โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสีPattie Pattie
 
Transformative Education——Pearls in Medical Education 2567
Transformative Education——Pearls in Medical Education 2567Transformative Education——Pearls in Medical Education 2567
Transformative Education——Pearls in Medical Education 2567Pattie Pattie
 
ResearchfoundationPro.pdf
ResearchfoundationPro.pdfResearchfoundationPro.pdf
ResearchfoundationPro.pdfPattie Pattie
 
PMAYP2024_Opening speech (Prof. Vicharn).pdf
PMAYP2024_Opening speech (Prof. Vicharn).pdfPMAYP2024_Opening speech (Prof. Vicharn).pdf
PMAYP2024_Opening speech (Prof. Vicharn).pdfPattie Pattie
 
KrungthepThaonUniv.pptx
KrungthepThaonUniv.pptxKrungthepThaonUniv.pptx
KrungthepThaonUniv.pptxPattie Pattie
 
จาก KM สู่ SLC.pptx
จาก KM สู่ SLC.pptxจาก KM สู่ SLC.pptx
จาก KM สู่ SLC.pptxPattie Pattie
 
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdfPattie Pattie
 
๓๖ ปี แพทย์ศิรราช ๗๑.pdf
๓๖ ปี แพทย์ศิรราช ๗๑.pdf๓๖ ปี แพทย์ศิรราช ๗๑.pdf
๓๖ ปี แพทย์ศิรราช ๗๑.pdfPattie Pattie
 
LifeLongLearner.pptx
LifeLongLearner.pptxLifeLongLearner.pptx
LifeLongLearner.pptxPattie Pattie
 

Mais de Pattie Pattie (20)

AIforTeaching โดย รศ. ดร. สิริวุฒิ บูรณพิร
AIforTeaching โดย รศ. ดร. สิริวุฒิ บูรณพิรAIforTeaching โดย รศ. ดร. สิริวุฒิ บูรณพิร
AIforTeaching โดย รศ. ดร. สิริวุฒิ บูรณพิร
 
การบริหารวิชาการและหลักสูตร บรรยายโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
การบริหารวิชาการและหลักสูตร บรรยายโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชการบริหารวิชาการและหลักสูตร บรรยายโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
การบริหารวิชาการและหลักสูตร บรรยายโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
 
The Lancet Commission on peaceful societies through health equity and gender ...
The Lancet Commission on peaceful societies through health equity and gender ...The Lancet Commission on peaceful societies through health equity and gender ...
The Lancet Commission on peaceful societies through health equity and gender ...
 
คณะพยาบาลศาสตร์ สบช KMSharingforLearningOrganization
คณะพยาบาลศาสตร์ สบช KMSharingforLearningOrganizationคณะพยาบาลศาสตร์ สบช KMSharingforLearningOrganization
คณะพยาบาลศาสตร์ สบช KMSharingforLearningOrganization
 
การประชุมกลุ่มสามพราน ตระกูล ส โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
การประชุมกลุ่มสามพราน ตระกูล ส โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสีการประชุมกลุ่มสามพราน ตระกูล ส โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
การประชุมกลุ่มสามพราน ตระกูล ส โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
 
Transformative Education——Pearls in Medical Education 2567
Transformative Education——Pearls in Medical Education 2567Transformative Education——Pearls in Medical Education 2567
Transformative Education——Pearls in Medical Education 2567
 
ResearchfoundationPro.pdf
ResearchfoundationPro.pdfResearchfoundationPro.pdf
ResearchfoundationPro.pdf
 
PMAYP2024_Opening speech (Prof. Vicharn).pdf
PMAYP2024_Opening speech (Prof. Vicharn).pdfPMAYP2024_Opening speech (Prof. Vicharn).pdf
PMAYP2024_Opening speech (Prof. Vicharn).pdf
 
670111_PDF.pdf
670111_PDF.pdf670111_PDF.pdf
670111_PDF.pdf
 
NoteMemoCare.pdf
NoteMemoCare.pdfNoteMemoCare.pdf
NoteMemoCare.pdf
 
KrungthepThaonUniv.pptx
KrungthepThaonUniv.pptxKrungthepThaonUniv.pptx
KrungthepThaonUniv.pptx
 
จาก KM สู่ SLC.pptx
จาก KM สู่ SLC.pptxจาก KM สู่ SLC.pptx
จาก KM สู่ SLC.pptx
 
Udom_Pdf.pdf
Udom_Pdf.pdfUdom_Pdf.pdf
Udom_Pdf.pdf
 
Kregrit_Pdf.pdf
Kregrit_Pdf.pdfKregrit_Pdf.pdf
Kregrit_Pdf.pdf
 
Phuket_sandbox.pdf
Phuket_sandbox.pdfPhuket_sandbox.pdf
Phuket_sandbox.pdf
 
Surin_ppt.pptx
Surin_ppt.pptxSurin_ppt.pptx
Surin_ppt.pptx
 
Nakornsawan.pdf
Nakornsawan.pdfNakornsawan.pdf
Nakornsawan.pdf
 
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf
 
๓๖ ปี แพทย์ศิรราช ๗๑.pdf
๓๖ ปี แพทย์ศิรราช ๗๑.pdf๓๖ ปี แพทย์ศิรราช ๗๑.pdf
๓๖ ปี แพทย์ศิรราช ๗๑.pdf
 
LifeLongLearner.pptx
LifeLongLearner.pptxLifeLongLearner.pptx
LifeLongLearner.pptx
 

Kajornsak

  • 1. 1 การเปิดโรงเรียนกับโควิด ศ.นพ.ขจรศักดิ์ ศิลปโภชากุล หน่วยโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วันนี้ขอชวนคิดเรื่อง การเปิดโรงเรียนจะเป็นตัวการทำให้การระบาดของโควิดเพิ่มไหม??? แล้วถ้ามันไม่ใช่ตัวการ อยากจะให้พวกเรามาแทงหวย(เดา)เอาว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดโรงเรียน??? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ complex มาก มีข้อมูลทั้ง pros and cons เยอะแยะเต็มไปหมด อ่านแล้วแล้วเวียนหัวมาก เรื่องของเรื่องต้องเริ่มต้นด้วย observation study ความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดโรงเรียนกับการเพิ่มของ จำนวนเคสโควิดก่อน เริ่มต้นด้วยอิสราเอล ก็ขอฉายหนังซ้ำว่า หนังสือพิมพ์อิสราเอลบอกว่าการระบาดของเดลต้าที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ เริ่มต้นจากคนที่ เดินทางกลับจากต่างประเทศเอามาแพร่ในโรงเรียนก่อน เช่นเดียวกับการระบาดของเดลต้าในตอนนี้ของอเมริกา
  • 2. 2 นั่นเป็น observation reports แล้วมี quantitative data ไหม? คำตอบก็คือว่า มีครับ คือประเทศอิตาลี ที่เกิดการระบาดใหญ่ครั้งแรก first wave เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว จนทั้งอเมริกาและยุโรป ต้อง lockdown และปิดโรงเรียนอยู่หลายเดือน จนการระบาดลดลง จำนวนเคสลดลงจากวันละ 7 พัน ลงมา เป็นหลักร้อย จึงเริ่มผ่อนคลายการ lockdown ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และมาเปิดโรงเรียนเมื่อกลางเดือน กันยายนปีที่แล้ว เปิดโรงเรียนได้ 14 วัน graph การระบาดที่ลดลงไปแล้วจนเป็น linear จากการ lockdown กลับพุ่งขึ้น กลายเป็น exponential
  • 4. 4 แล้วอเมริกาล่ะ มีข้อมูลไหม?? เพราะตอนนั้นอเมริกาก็ปิดเปิดโรงเรียนเหมือนกัน มีครับ มี paper ที่ตีพิมพ์ใน JAMA แสดงผลของการปิดโรงเรียน (ไม่ใช่ผลของการเปิดโรงเรียน) หลังจากที่ ประธานาธิบดี Trump ประกาศปิดประเทศเมื่อ Friday the thirteenth ของเดือนมีนาคมปีที่แล้ว บอกว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการปิดโรงเรียนตอนที่ lockdown กับการลดลงของ incidence และ mortality ของโควิดโดย adjust potential confounder variables หลายตัวมากจนอ่านแล้วเวียนหัว เช่น จำนวนการตรวจ (testing) จำนวนคนแก่ จำนวน nursing home ความหนาแน่นของประชากร จำนวนคน อ้วน และแม้กระทั่งโครงสร้างทางสังคมของประชากร เยอะแยะไปหมด ผลบอกว่า การปิดโรงเรียนเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อที่ลดลง 62% และลดการตาย 58% ดังนั้นที่ยกตัวอย่างมาแสดงว่า การเปิดปิดโรงเรียนเกี่ยวข้องกับการที่จำนวนของผู้ป่วยโควิดจะเพิ่มขึ้นหรือ ลดลง แต่คำถามมันมีอยู่ว่า มันเป็น cause & effect หรือเปล่า? คือ การเปิดโรงเรียนทำให้มีการระบาดใน โรงเรียนแล้วแพร่ไปใน community??? หรือการแพร่ใน community เกิดขึ้นก่อน แล้วมัน spill เข้าไป ในโรงเรียน??? หรือมันต่างคนต่างติดพร้อมกันเป็น coincidence เฉยๆ??? คำตอบที่ได้ ซึ่งจะพูดต่อไป ว่ามันไม่ตรงไปตรงมาอย่างนั้น Paper ที่ตีพิมพ์ใน JAMA ข้างบน มันก็ยอมรับตรงๆ ว่า การเปิดโรงเรียนมันเกี่ยวข้องกับการเพิ่มของ case แต่ไม่รู้ว่าเป็นไก่หรือไข่
  • 5. 5 และตอนนี้ที่เดลต้าระบาดในสกอตแลนด์ กราฟของการระบาดมันก็ขึ้นแบบ exponential ทุกกลุ่มอายุ เหมือนๆ กัน แทบจะแยกไม่ออกว่าใครระบาดก่อนใคร แต่ในอิตาลีเองก็มีคนพยายามวิเคราะห์ข้อสงสัยอันนี้ จากเหตุการณ์ที่อิตาลีมีเคสเพิ่มขึ้นเป็น exponential หลังจากเปิดโรงเรียนเมื่อเดือนกันยายนตามที่เล่าให้ฟังข้างบนนั้น โดยตีพิมพ์ในวารสาร Lancet Regional Health Paper นี้พยายามไปดูการระบาดในแคว้นเวเนโต้พบว่า แม้ว่าการระบาดจะเกิดขึ้นหลังจากการเปิดโรงเรียน จริง แต่การระบาดเริ่มต้นในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 45-49 ปี ก่อนที่จะเกิดการระบาดในเด็ก
  • 6. 6 และก็พยายามไปดูว่าการระบาดใน 22 แคว้นของอิตาลีที่เปิดโรงเรียนไม่พร้อมกันนี้ ค่า R number ของการ ระบาดมันเพิ่มขึ้นก่อนในแคว้นที่เปิดโรงเรียนก่อนหรือเปล่า เมื่อเทียบกับแคว้นที่เปิดโรงเรียนช้า คือ เปิดทีหลัง แคว้นอื่นเขา ปรากฏว่าจากการเปรียบเทียบแคว้น 3 คู่ คือ 6 แคว้นที่อยู่ติดกันและคล้ายๆ กันพบว่า การเพิ่มของ R number ไม่ temporal correlate กับการเปิดโรงเรียนช้าหรือเร็ว
  • 7. 7 และเปเปอร์นี้ยังตามไปดูผลของการสั่งปิดโรงเรียนในแคว้น Lombardy และ Campania หลังจากที่มีการ ระบาดมาก ดูว่าค่า R number มันเกี่ยวข้องกับการสั่งปิดโรงเรียนหรือเปล่า ก็ปรากฏว่า ค่า R number มัน ลดลงตั้งแต่ก่อนสั่งปิดโรงเรียนด้วยซ้ำ ดังนั้น paper นี้เลยสรุปว่า การเปิดโรงเรียนไม่ใช่เป็น main driver ของการระบาดของโควิด แต่พอ paper นี้ออกมา ก็มีคนตามมาคัดค้าน ว่าที่สรุปอย่างนั้นมันไม่จริงทุกแคว้น โดยอ้างว่ามันมีถึง 6 ใน 22 แคว้นที่เกิดการระบาดในกลุ่มเด็กมัธยมปลาย (high school) ก่อนการระบาดในผู้ใหญ่ และมี 8 ใน 18 แคว้น ที่มีเด็กวัยรุ่น 14 ถึง 18 ปีมีการติดเชื้อ age stratified incidence ต่อแสนประชากรสูง กว่าในผู้ใหญ่
  • 8. 8 CDC ของอเมริกาเอง ก็พยายามรีวิว issue นี้ และบอกว่า ในอเมริกาเองไม่มีหลักฐานว่าการระบาดในโรงเรียนหลังจากเปิดโรงเรียน เกิดก่อน การระบาด ใน community แต่ก็ขอเตือนว่า ข้อมูลที่ CDC รีวิวทั้งหมดนั้นเป็นข้อมูลก่อนเดือนสิงหาคมที่มี delta variant ระบาด ซึ่ง CDC ก็ออกตัวเหมือนกันว่า แล้วเราจะเชื่อใครดี??? แล้วเราจะทำยังไงกับโรงเรียนของเรา??? ผมคิดว่าข้อมูลส่วนใหญ่แสดงว่า การระบาดในโรงเรียนมักจะตามหลังการระบาดใน community แต่ discrepancy ของลักษณะการระบาดในรายงานต่างๆ นั้น อาจจะเกิดจาก heterogeneity ของนักเรียน สถานที่ และเวลาของการระบาด การระบาดในสถานที่หนึ่งอาจจะเกิดจาก community ก่อนแล้วแพร่เข้าไป ในโรงเรียน แต่ในที่อีกที่หนึ่งการระบาดอาจจะเริ่มจากโรงเรียนก่อนแล้วแพร่เข้าไปใน community ยกตัวอย่างการระบาดในโรงเรียนแห่งหนึ่งในอิสราเอล
  • 9. 9 ตอนที่อิสราเอลเปิดโรงเรียนในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วหลังจากที่ควบคุมการระบาด wave แรกได้ ปรากฏว่า พอเปิดโรงเรียนได้ 10 วัน ก็มีนักเรียนเริ่มติดเชื้อมาจากไหนไม่รู้ 2 คน แล้วทำให้เกิดการระบาด ทั้งโรงเรียน ติดเชื้อไป 153 คน (attack rate 13%) กับครูอีก 25 คน (attack rate 16%) และการระบาดแพร่ไปให้ ชาวบ้านนอกโรงเรียนอีก 87 คน นี่ขนาดว่าเชื้อตอนนั้น ไม่ใช่เดลต้าด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะพูดกันตรงๆ แล้ว ตัวอย่างการระบาดนี้มันทั้ง extreme และ unusual คือว่า เหตุผลที่เกิดระบาดมากเพราะมันบังเอิญไปตรงกับตอนที่ประเทศอิสราเอลมี heat wave ต้องเปิดแอร์ กันทั้งโรงเรียน และอนุญาตว่าไม่ต้องใส่ mask อยู่ 3 วัน แต่อย่างไรก็ตามขอให้สังเกตว่า เหตุการณ์นี้เกิดกับโรงเรียนชั้นมัธยม ที่เด็กโตมี mobility และ contact rate สูงกว่าเด็กเล็ก ในขณะที่การศึกษาส่วนใหญ่พบว่าเด็กเล็กไม่ใช่ main driver ของการระบาดเลย ซึ่งก็ ตรงไปตรงมา เพราะเด็กเล็กไม่ไปยุ่งกับใครมากเท่าเด็กโต ยกตัวอย่างการศึกษาในโรงเรียนอนุบาลและมัธยมที่ สิงคโปร์ ที่พบผู้ป่วยเด็ก 2 คนติดเชื้อมาจากบ้าน โดยคนหนึ่งเป็นเด็กอนุบาลอายุ 5 ขวบ กับอีกคนเป็นเด็กมัธยมต้น อายุ 12 ขวบ
  • 10. 10 ปรากฏว่าหลังจาก isolate 2 เคสนี้ และ quarantine เฉพาะ close contacts ปรากฏว่าตรวจเด็กไป 119 คนไม่มีใครติดเชื้อเลยทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการปิดโรงเรียนด้วยซ้ำ และในอังกฤษเอง การศึกษาของ Public Health England ก็โชว์ตัวเลขว่าอัตราการติดเชื้อในโรงเรียนมัธยม มีมากกว่าในชั้นประถม ดังนั้นถ้าไปดู literature การระบาดในโรงเรียนดีๆ จะเห็นว่าในบางแห่ง age stratified incidence rate ในเด็กชั้นมัธยมปลายสูงกว่าในผู้ใหญ่และใน community อย่างในบางแคว้นของอิตาลีที่ผมได้พูด แล้ว ข้อมูลสำคัญมากอีก paper นึง ที่เกี่ยวกับการระบาดของโควิดจากวัยรุ่น ก็คือ paper จากวิสคอนซิน ที่ ตีพิมพ์ใน MMWR เมื่อปีที่แล้ววิสคอนซินเป็นรัฐหนึ่งที่มีอัตราการเพิ่มของโควิดสูงเป็นอันดับต้นๆ ของอเมริกา
  • 11. 11 ในเปเปอร์นี้เขาดูการระบาดว่าเริ่มจาก cluster ที่ไหนก่อน โดย clusters ที่เขาดูก็เหมือนกับของเรา คือ ดูว่า เกิดที่ nursing home โรงงาน คุก โรงเรียน โรงพยาบาล ผับและบาร์ หรือที่ทำงาน ฯลฯ ปรากฏว่าการระบาดมันเพิ่มขึ้นเป็น exponential ตอนเดือนสิงหาคมต่อกับเดือนกันยายน หลังจากที่ ผู้คนกลับมาจาก summer holidays (อีกแล้ว) โดยมันเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยก่อนที่อื่น ส่วนการระบาดใน โรงเรียนนั้นยังตามมาทีหลัง Paper นี้บอกว่า อั๊วไม่รู้ว่าเด็กมหาวิทยาลัยเป็นตัวแพร่หรือเปล่า แต่อย่างน้อยการระบาดในมหาวิทยาลัย อาจจะเป็น early indicator ของการระบาดใหญ่ที่ตามมา
  • 12. 12 ดังนั้นข้อมูลที่พูดมามันบอกว่า การเปิดเรียนอาจจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มการระบาด ในบางครั้งบางสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีระบาดในเด็กโต เช่น เด็กมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย ดังนั้นผมจึงพยายามย้ำแล้วย้ำอีกว่า เรามีแผนเกี่ยวกับการเปิดมหาวิทยาลัยยังไงบ้าง เพราะตอนนี้เห็นมี แต่แผนการเปิดโรงเรียน และถ้าจะฉีดวัคซีนให้เด็ก ก็ควรฉีดวัคซีนในเด็กโตและเด็กมหาวิทยาลัยก่อน ส่วนเรื่องจะให้วัคซีนชนิดไหนค่อยมาว่ากันวันหลัง Factors อื่นที่อาจจะอธิบายเรื่องการเปิดปิดโรงเรียนที่บางครั้งเกี่ยวและบางครั้งก็ไม่เกี่ยวกับการเพิ่มของ โควิดก็คือ สถานที่ และ เวลา ที่เกิดการระบาด ยกตัวอย่างการศึกษาการเปิดโรงเรียนใน Texas ในตอนที่มีการระบาดเยอะอยู่ ที่ตีพิมพ์ในวารสารของ National Bureau of Economic Research (NBER) ของอเมริกา บอกว่าการเปิดโรงเรียนตอนที่มี community transmission มากๆ มีส่วนทำให้มีการระบาดใน community มากขึ้น โดยคำนวณออกมาแล้วว่า ทำให้จำนวนเคสใน Texas เพิ่มขึ้น 43,000 คน และตายเพิ่มขึ้นประมาณ 800 คน
  • 13. 13 และจากการวิเคราะห์ข้อมูล mobility dataset ที่ track mobility จากการใช้มือถือ พบว่า หลังจากโรงเรียน เปิด mobility ของชาวบ้านที่อยู่ในเมืองที่มีโรงเรียนเยอะสูงขึ้นกว่าเดิม และเวลาที่อยู่นอกบ้านมากขึ้น เพราะ ใน weekdays ที่เด็กไปโรงเรียนไม่อยู่บ้าน ผู้ปกครองมีเวลาไปไหนมาไหนมากขึ้น เลยคิดว่าเป็นสาเหตุทำให้ แพร่กระจายเชื้อมากขึ้นใน community ดังนั้นถ้าเราไปดูในหลายเปเปอร์จะเห็นได้ว่า หลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป พยายามตั้งเกณฑ์ว่าถ้า มีเคสใน community สูง ก็อย่าเพิ่งเปิดโรงเรียน แต่ถ้าถามว่า จะเอาเกณฑ์กี่เคสต่อแสนในชุมชน ถึงอย่าเพิ่งเปิดโรงเรียน ก็พบว่า criteria แตกต่างกันมาก Editorial ในวารสาร Science ก็บอกว่า ถ้า community Cases น้อยกว่า 30 ถึง 50 ต่อแสนใน 7 วัน ให้เปิด ไปเถอะ ไม่น่าจะเกิดการระบาดใหญ่ในโรงเรียนและ community
  • 14. 14 คำถามมีอยู่ว่า เราจะเชื่อเขาไหม? เพราะถ้าเชื่อ เราก็คงต้องปิดโรงเรียนในประเทศของเราไปตลอดกาล เพราะ ตอนนี้อุบัติการณ์ในชุมชนมันก็สูงกว่านั้นเยอะอยู่แล้ว แต่ความเห็นของผมคือว่า ในที่สุดแล้วเราก็ต้องเปิดโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโรงเรียนในชนบท หรือรายจังหวัดที่ไม่ค่อยมีการระบาดอย่าง เช่น แม่ฮ่องสอน น่าน บึงกาฬ สตูล และอีกหลายจังหวัด น่าจะ เปิดได้สบายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถม หรือมัธยมต้น ดูตัวอย่างการศึกษา ที่โรงเรียนในเมืองเล็กๆ ที่วิสคอนซิน ที่เปิดโรงเรียนตอนที่มีการระบาดมากๆ พบว่าถ้า มาตรการป้องกันดี เช่น ใส่ mask เกินกว่า 90% การติดเชื้อในโรงเรียนมีน้อยกว่านอกโรงเรียนมาก
  • 15. 15 แต่อย่างไรก็ตามการเปิดโรงเรียนก็ไม่ใช่เปิดซี้ซั้วนะครับ ต้องมีมาตรการป้องกัน เพราะตัวอย่างที่เห็นเห็น อยู่ในอิสราเอลมันก็ฟ้องอยู่ในตัวว่า ถ้าไม่มีการป้องกัน การระบาดก็จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เราก็ต้องรีวิวมาตรการป้องกันให้ดี อเมริกามันเรียกว่า multi-layered interventions ซึ่ง บางอย่างผมก็ว่ามันเว่อร์ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ในอังกฤษที่มีคนพยายามเสนอให้ซื้อเครื่อง HEPA filter เพื่อกรองอากาศและ CO2 monitor เพื่อวัด ventilation (แล้วค่อยพูดเรื่องนี้วันหลัง) พูดมายาวเกี่ยวกับการเปิดปิดโรงเรียนว่าจะทำให้การระบาดเพิ่มขึ้นหรือลดลงไหมนั้นอยากสรุปว่า ข้อมูล มันมีทั้ง pros and cons เหมือนกับคนตาบอดไปคลำช้างคนละที่และคนละเวลา คนนึงอาจจะไปคลำที่ หางแล้วก็บอกว่าช้างมันตัวเล็ก แต่อีกคนนึงไปคลำที่ตัวก็อาจจะบอกว่าช้างมันตัวใหญ่ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ แสดงว่า การเปิดโรงเรียนไม่ใช่เป็นตัว initiator ของการระบาด และส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดการระบาดใน ชุมชนมากขึ้น อาจจะมียกเว้นอยู่บ้าง คือ การระบาดในเด็กโตและเด็กมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สถานการณ์ที่มีเคสเยอะในชุมชน คราวนี้ก็มาถึงคำถามว่า แล้วเมืองไทยที่กำลังจะเปิดโรงเรียนนี้ มันจะมีการระบาดของโควิดเพิ่มขึ้นไหม??? ผมขอแทงหวย(เดา)เอาว่า ต่อให้การระบาดในโรงเรียนไม่ใช่เป็นต้นเหตุของ epidemic แต่ก็น่าจะมีการ เพิ่มของเคสหลังจากโรงเรียนเปิดมากกว่าไม่มีการเพิ่ม เหตุผลเพราะ 1. ปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดจำนวนเคสมากขึ้น ก็คือ “COVID-19 is the pandemic of the unvaccinated” ผมหาไม่เจอว่าตอนนี้เด็กไทยมี antibody ต่อโควิดเท่าไหร่ รู้ว่าเพิ่งฉีดวัคซีนที่วชิระไป 2 พันกว่าคน ดังนั้นเดา เอาว่าตอนนี้ immunity ของเด็กไทยต่อโควิดน่าจะยังไม่เยอะ เพราะขนาดอินเดียที่มีการระบาดเยอะ การ สำรวจ antibody ในเด็กในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม เด็กอินเดียก็เพิ่งติดเชื้อไปเพียงแค่ครึ่งเดียว เรารู้ว่าขนาดอิสราเอล อเมริกา และอังกฤษ ฉีดวัคซีนได้มากกว่าเราเยอะแยะ มันยังมีการระบาดของ delta ในเด็กและ young adults เลย
  • 16. 16 เราคงต้องเฝ้าดูว่าเคสมันจะเป็น exponential จริงไหมในเด็กอังกฤษ ตามที่คณะที่ปรึกษาวิชาการทางการ แพทย์ (SAGE) ของรัฐบาลอังกฤษกลัว??? 2. ข้อมูลการระบาดในเด็กไทยทั้งๆ ที่ยังไม่เปิดโรงเรียนแสดงว่า ปัจจัยในการระบาดมีพร้อมรออยู่แล้ว เพียงแต่รอให้มี introduction ของ new cases เข้ามาเท่านั้น ยกตัวอย่างการระบาดทั้งๆ ที่โรงเรียนยังไม่ เปิดเต็มที่ที่หนองคาย ขอนแก่น และกระบี่ เป็นต้น
  • 17. 17 และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ข้อมูลของกรมอนามัยที่พบว่า ขนาดยังไม่เปิดโรงเรียนเต็มที่ เดือนสิงหาคมเดือน เดียวเด็กก็ติดเชื้อไป 6 หมื่นกว่าคน
  • 18. 18 ดังนั้นถ้าเปิดโรงเรียนมาแล้ว และไม่มีการระบาดในโรงเรียน ประเทศไทยคงโชคดี เฮงอย่างมากๆ เลย คำถามต่อไปมีอยู่ว่า ถ้าเกิดการระบาดในโรงเรียนขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น??? เรื่องแรก ก็ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ว่าเด็กจะเป็นอะไร เพราะส่วนใหญ่เด็กไม่มีอาการหรือ อาการน้อย และอัตราการอยู่โรงพยาบาลหรืออัตราการเสียชีวิตต่ำมากมาก และความจริงผมไม่ค่อยกลัวว่าการระบาดของโควิดในโรงเรียนจะแพร่ไปทำให้เกิดการระบาดใน community หรอกครับ แต่สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าก็คือ เด็กจะทำให้เกิดการแพร่เชื้อในครัวเรือนของเขาเอง เพราะข้อมูลการระบาดในครัวเรือนที่มีเด็กเป็น index case ในแคนาดาที่ตีพิมพ์ใน JAMA พบว่า ถ้าบ้านไหน มีเด็กเป็น index case 27.3% ของครัวเรือนเหล่านั้น จะมี secondary cases เฉลี่ยอีกบ้านละ 2 คน
  • 19. 19 นี่ขนาดเป็นข้อมูลจากแคนาดาที่ไม่อยู่กันหนาแน่นเหมือนเรา และเป็นข้อมูลที่ไม่ใช่ตอน delta variant ระบาดด้วยนะครับ เรากลัวเขาไปติดใคร??? แน่นอนว่าเรากลัวเข้าเอาไปติดคนแก่ ทำไมต้องกลัวไปติดคนแก่??? ก็อย่างที่รู้ว่าอัตราตายจากโควิดในคนแก่ มันไม่ใช่ต่ำกว่า 1% แบบเดียวกับในคนหนุ่มสาว แต่ case fatality ใน real world เขต 12 ของผม อาจจะขึ้นไปถึงมากกว่า 8% ในคนแก่ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี ก็จะมีคำถามต่อไป ว่าในประเทศไทยเด็กอยู่กับคนแก่เยอะไหม??? เรื่องนี้ UNICEF เคยทำการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว
  • 20. 20 พบว่า เด็กในประเทศไทยอยู่บ้านเดียวกับคนแก่ อย่างน้อย 15 ถึง 23% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสานและ สามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งกำลังมีการระบาดหนักอยู่ ดังนั้นถ้ามีการระบาดเพิ่มขึ้นในเด็กที่ไปโรงเรียน ก็มีโอกาสที่เด็กเหล่านั้นจะพาเชื้อกลับมาให้คนแก่ที่บ้านเขา และถ้าเรายังฉีดวัคซีนคนแก่ไม่ทัน การระบาดในเด็กอาจจะ aggravate ทำให้สถานการณ์การตายเพิ่มขึ้น อีกด้วย มีอะไรอย่างอื่นที่เราควรเตรียมตัวเตรียมใจเผื่อไว้ ถ้ามีการระบาดหลังจากเปิดโรงเรียน??? เรื่องแรกก็คือว่า พวกเราคงต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า ว่าเราจะป้องกันการระบาดในโรงเรียนอย่างไรดี? ควรจะมา discuss กันว่าจะทำ multi-layered interventions ที่ cost-effective อย่างไรบ้าง? และที่สำคัญ ก็คือ ต้องคิดล่วงหน้าว่า ถ้ามีการระบาด เราจะปิดโรงเรียนไหม? หรือว่าให้โรงเรียนเปิดต่อ แต่ คุมเข้มมาตรการในโรงเรียนที่เกิดการระบาดให้มากขึ้น? อยากบอกว่า สิงคโปร์ที่เคยบอกในวารสาร CID ว่า ขอให้ detect case และแยกเด็กที่ติดเชื้อให้เร็วก็พอแล้ว ไม่ต้องปิดโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถม ให้เปิดต่อ
  • 21. 21 แต่พอตอนนี้จำนวน case surge ขึ้นไปถึงเกือบถึง 3,000 ต่อวัน ก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง สั่งปิดโรงเรียนไปเรียบร้อยโรงเรียนสิงคโปร์แล้ว ถามว่าทำไมสิงคโปร์ตัดสินใจปิดโรงเรียน ทั้งๆ ที่การระบาดไม่ได้เริ่มที่โรงเรียน และโรงเรียนไม่ใช่ primary driver ของโควิด surge คราวนี้ ถึงแม้จะมี clusters ในโรงเรียนและโรงเรียนกวดวิชาอยู่บ้าง
  • 22. 22 เรื่องนี้ผมก็ยังงงๆ อยู่ เพราะตอนนี้จำนวนการตายจากโควิดในสิงคโปร์ก็ยังเป็นตัวเลขหลักเดียว แต่เดาว่า จำนวนคนไข้สีเหลืองและสีเขียวคงจะเพิ่มขึ้นมาก สิงคโปร์คิดยี่ต๊อกแล้วกลัวโรงพยาบาลจะ overload ก็ทำ เต็มที่ไว้ก่อน แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องปิดโรงเรียนชั้นประถมด้วย ไม่รู้ว่าเป็น sociopolitical pressure หรือเปล่า ดังนั้นเราคงต้องคิดเตรียมตัวล่วงหน้า เพราะถ้าไม่คิดล่วงหน้า เราก็คงจะต้องตัดสินใจตาม sociopolitical pressure มากกว่าเหตุผลทางวิชาการ ขอบคุณครับ