3. สารบัญ
หน้า
บทนา
ยุทธศาสตร์ The Belt and Road Initiative ของจีนจะใช้เป็นโอกาสในการขับเคลื่อน 1
และกระตุ้นการพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยได้อย่างไร
ความก้าวหน้าและความมุ่งหวังของยุทธศาสตร์ The Belt and Road Initiative ของจีน 8
และผลต่อเศรษฐกิจโลก และไทย
ยุทธศาสตร์ The Belt and Road Initiative กับความท้าทายที่ไทยต้องเผชิญ 13
บทอภิปราย 17
ภาคผนวก รายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม 43
5. 1
ยุทธศาสตร์ The Belt and Road Initiative
ของจีนจะใช้เป็นโอกาสในการขับเคลื่อน
และกระตุ้นการพัฒนาศักยภาพ
ของประเทศไทยได้อย่างไร
คุณวิบูลย์ คูสกุล อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง
6. 2
การจัดเวทีเรื่อง OBOR ครั้งนี้นับว่าทันสมัยมาก เพราะช่วงกลางเดือนเมษายน 2560 นี้จีนจะ
จัดประชุมสุดยอดเรื่อง OBOR เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 19 ของจีน อัน
จะเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า OBOR คือ Grand Strategy หนึ่งที่สําคัญมากของจีนในยุคที่สีจิ้นผิงกําลัง
กระชับอํานาจ โดยภายหลังทรัมป์ก้าวขึ้นมาในอเมริกา ทําให้โลกคาดหวังกับบทบาทของจีนในกิจการ
โลกมากขึ้น ซึ่งก็จะทําให้ One Belt One Road ยิ่งทวีความสําคัญมากขึ้นไปอีก
จีนนั้นต้องการให้เรียก One Belt One Road ว่า “ความริเริ่ม” มากกว่า “ยุทธศาสตร์” อย่างที่ใน
ภาษาอังกฤษใช้คําว่า initiative หรือในภาษาจีนใช้ว่า ชั่งอี้ เพราะทําให้รู้สึกเปิดกว้างต่อประเทศอื่นๆ ให้
เข้ามามีส่วนร่วมมากกว่า และในความจริง OBOR หรือนโยบายสําคัญอื่นของจีนก็เป็นยุทธศาสตร์ในตัว
อยู่แล้ว จึงไม่มีความจําเป็นต้องเรียกว่ายุทธศาสตร์อีก
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ OBOR
เกิดขึ้นในปี 2013 เพื่อเป็นการตอบโต้ (antithesis) ต่อนโยบาย Pivot ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อมา
เป็น Rebalance to Asia ที่โอบามาประกาศเมื่อปี 2012 เนื่องจากสหรัฐพยายามสร้างภาพว่าจีนคุกคาม
เพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกับอาเซียนในเรื่องทะเลจีนใต้ และพยายามเข้ามาใช้กฎเกณฑ์ต่างๆ (rule-based)
เช่น ผลักดันเรื่องการร่าง code of conduct หรือ declaration of conduct ในทะเลจีนใต้ ผ่านอาเซียน
เพื่อบีบจีน จีนจึงตอบโต้ว่าตนก็สามารถมีความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (win-win) กับเพื่อน
บ้านในแถบนี้ได้ โดยเสนอ One Belt One Road ให้มีชื่อที่เป็น soft sell ให้ทุกคนฟังแล้วรู้สึกนุ่มนวล
ไม่มีเชิงคุกคาม เป็นเรื่องของการค้า การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมล้วนๆ โดยที่ต้องการใช้ภาพลักษณ์
สมัยโบราณของเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นการเกื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในแถบน่านนํ้า
ต่างๆ ที่จีนไป เช่น กรณีเจิ้งเหอ ที่เดินเรือ 7 ครั้ง แวะสยามอย่างน้อย 3 ครั้ง หรือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
คือ One Belt One Road สามารถเป็นความสัมพันธ์แบบ win-win ได้ คือในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นยุคที่
การค้าสําเภาเฟื่องฟูที่สุด เราส่งข้าวหอม ไม้สัก รังนก ไปจีน จีนส่งเครื่องลายคราม กังไส ใบชา มา ก็
เป็นสิ่งที่เกื้อกูลกัน เพราะฉะนั้น ชื่อเส้นทางสายไหม (silk road) จึงเป็นภาพลักษณ์ด้านบวกที่จีน
นําเสนอ และหลังจากนั้น เราก็ได้เห็นว่าจีนมีนโยบายอื่นๆ ตามมาอีกมาก เช่น นโยบายเดินออกไป เดิน
ออกสู่อาเซียน (โจ่วชูชวี่) (Go Global) มี RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership)
ตามมาเพื่อตอบโต้ต่อข้อตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership) ของสหรัฐในเวลานั้น โดยสรุป OBOR
จึงทําหน้าที่เป็น antithesis ต่อนโยบายหวนคืนสู่เอเชียของอเมริกา โดยจีนต้องการให้เกิด spillover
effect ทางเศรษฐกิจจาก OBOR เพื่อมากลบความเข้มข้นทางการเมืองในทะเลจีนใต้และในเอเชีย
7. 3
อีกมุมมองหนึ่งต่อ One Belt One Road คือเกิดขึ้นเพื่อหาทางออกให้กับปัญหา over-
capacity ของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะภาคธุรกิจก่อสร้าง เหล็กกล้า และทุนสํารองเงินตราต่างประเทศ
ที่มากถึงเกือบ 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จีนจึงต้องการระบาย capacity เหล่านี้ออกนอกประเทศ การมอง
นี้ก็มีส่วนจริง
One Belt One Road เป็นยุทธศาสตร์ที่รอบด้านอย่างแท้จริง ที่มิได้เกิดขึ้นเพื่อสนอง
วัตถุประสงค์สองข้อข้างต้นเท่านั้น แต่ถูกออกแบบมาเป็นยุทธศาสตร์เพื่อรองรับเป้าหมาย China
Dream ของจีน ที่จีนตั้งเป้าจะทําในสองระยะ ระยะแรก เป็นสังคม “เสี่ยวคัง” กินดีอยู่ดีปานกลาง มี
GDP ต่อหัวถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ และจะทําให้คนชั้นกลางเพิ่มจาก 200-250 ล้านเป็น 500 ล้านคน
ซึ่งประเมินจากเวลานี้ก็น่าจะเป็นไปได้ ภายในปี 2021 ซึ่งเป็นปีครบร้อยปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์
จีน (เพิ่มเท่าตัวจากปี 2010 ที่มี GDP อยู่ที่ 5,000 เหรียญต่อหัว และเวลานี้จีนมีคนจนอยู่ 70 ล้านคน)
และในระยะที่สองจะเป็นประเทศพัฒนาเต็มขั้นในปี 2049 ซึ่งครบร้อยปีการก่อตั้งสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน ให้จีนมีคนชั้นกลางเพิ่มขึ้นจนเกินครึ่งหนึ่งของประชากร ดังนั้น One Belt One Road จึงมี
ฐานะเป็นยุทธศาสตร์รองรับการก้าวไปสู่ความฝันของจีนดังกล่าวมานี้ด้วย เพราะโครงการต่างๆ ของ
OBOR นั้นเป็นโครงการขนาดยักษ์ที่ต้องใช้เวลาดําเนินการถึง 30-50 ปี สอดคล้องกับช่วงเวลาที่กําหนด
ของความฝันจีน เพราะฉะนั้น ถ้าจีนจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ในปี 2049 ซึ่งเป็นขั้นที่สองของ Chinese
Dream นั้น ก็มี ยุทธศาสตร์รวมของ One Belt One Road มารองรับ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็น
มหาอํานาจแล้วไม่มียุทธศาสตร์เลย หรือไม่มีการ engage กับโลกภายนอกทางด้านเศรษฐกิจอย่างเต็ม
รูปแบบ สรุปคือ OBOR เป็นส่วนหนึ่งของการสานฝันสู่ Chinese Dream ของจีน ซึ่งก็เทียบเคียงได้กับ
สมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นยุคที่จีนเฟื่องฟูที่สุด จีนวันนี้ก็ต้องการ rejuvenate ประเทศเขากลับไปสู่ยุคที่
ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยมี One Belt One Road เป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ และตั้ง Chinese Dream ขึ้นมาเป็น
เป้าหมายที่จะเดินไปสู่
นอกจากเส้นทางสายไหมใหม่ทางบกและทางทะเลแล้ว One Belt One Road ยังหมายถึง E-
Road หรือการเชื่อมโยงการค้าขายผ่านอินเทอร์เน็ตด้วย ซึ่งมิได้เพียงข้ามพรมแดน แต่ไร้พรมแดน
กลไกภายใต้ One Belt One Road
แม้สิ่งที่จีนพูดไปเรื่อง OBOR นั้นจะฟังดูเป็นแนวคิด แต่จีนไม่ได้พูดเท่านั้น เพราะตามมาด้วย
AIIB (Asian Infrastructure Investment Bank) Silk Road Fund และ New Development Bank
สําหรับ AIIB มีการลงนามไปแล้ว 21 ประเทศและพันธมิตรของอเมริกาก็มาร่วมหมด ถ้า One
Belt One Road เป็นแนวคิด เป็นยุทธศาสตร์ AIIB ก็คือกลไกขับเคลื่อนที่แท้จริง โดยมีทุนประมาณ
17. 13
ยุทธศาสตร์ The Belt and Road Initiative
กับความท้าทายที่ไทยต้องเผชิญ
ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อานวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย