Mais conteúdo relacionado
Forest
- 2. คาว่า "ป่าไม้" หมายความว่าอะไร
ปลายศตวรรษที่ 13 ในยุโรป "ป่าไม้ หมายถึง พื้นที่ที่พระมหากษัตริย์ได้สงวนไว้
เพื่อใช้เป็นสถานที่สาหรับล่าสัตว์ของ ส่วนพระองค์ ส่วนสิทธิในการตัดไม้และการ
ก่อสร้างแผ้วถางป่าเพื่อการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ยังเป็นของประชาชนทั่ว ๆ ไปอยู่
ปัจจุบันองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติได้ให้คานิยามคาว่า "ป่าไม้"
หมายถึง "บรรดาพื้นที่ที่มีพฤกษชาตินานาชนิดปกคลุมอยู่โดยมีไม้ต้นขนาดต่าง ๆ
เป็นองค์ประกอบที่สาคัญ โดยไม่คานึงว่าจะมีการทา ไม้ในพื้นที่ดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม
สามารถผลิตไม้หรือมีอิทธิพลต่อลมฟ้าอากาศ หรือต่อระบบของน้าในท้องถิ่น"
นอกจากนี้พื้นที่ที่ได้ถูกตัดฟัน หรือแผ้วถางหรือโค่นเผาไม้ลง และมีเป้าหมายที่จะ
ปลูกป่าขึ้นในอนาคต ก็นับ รวมเป็นพื้นที่ป่าไม้ด้วย แต่ทั้งนี้มิได้นับเอาป่าละเมาะ
หรือหมู่ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่นอกป่า หรือต้นไม้สองข้างทางคมนาคม หรือที่ยืนต้นอยู่ตาม
หัวไร่ปลายนา หรือที่ขึ้นอยู่ในสวนสาธารณะ ให้เป็นป่าไม้ด้วย
- 3. ประเภทของป่าไม้มีอะไรบ้าง
ป่าไม้ในภาคต่าง ๆ ของโลกพอจะจาแนกออกได้ตามความ
แตกต่างขององค์ประกอบต่าง ๆ เป็นประเภทใหญ่ๆ รวม 6
ประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภท ก็มีขึ้นอยู่ในหลายท้องที่
กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไป ลักษณะและชนิดของพรรณไม้ที่
ขึ้นอยู่ก็แตกต่างกันไป มากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
- 4. 1. ป่าไม้สนในเขตหนาว (Cool coniferus forests) ขึ้นอยู่ทาง
ซีกโลกเหนือในท้องที่ที่มีอากาศหนาวเท่านั้นมีลักษณะเป็นแถบ
กว้างแผ่กระจายอยู่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป
และเอเชีย ตั้งแต่อะลาสกา แคนาดา แถบกลุ่มประเทศใน
สแกนดิเนเวียไปจนถึงไซบีเรีย เนื้อที่ป่าส่วนใหญ่อยู่ในไซบีเรีย
ป่าชนิดนี้มีไม้เนื้ออ่อนหรือไม้ในตระกูลสนเขา(conifer) ขึ้นอยู่
อย่างหนาแน่น แต่ละท้องที่มีพรรณไม้เพียงไม่กี่ชนิด ซึ่งเป็น
ต้นไม้ที่มีขนาดปานกลางและมีความเติบโตไล่เลี่ยกัน
- 5. 2. ป่าไม้ผสมโซนอบอุ่น (Temperate mixed forests)
ขึ้นอยู่ทางตอนกลางของซีกโลกเหนือเกือบทั้งหมด คือ
ในยุโรปตอนกลาง อเมริกาเหนือ และเอเชียพรรณไม้ใน
ป่าชนิดนี้มีมากกว่า ป่าสนในเขตหนาว มีทั้งป่าไม้
เนื้ออ่อน (soft wood) ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลไม้สนเขา และ
ป่าไม้เนื้อแข็ง
- 6. 3. ป่าชื้นในโซนอบอุ่น (Warm temperate moist forests)
ขึ้นอยู่ทั่วไปในแถบโซนอบอุ่นทั้งทางซีกโลกเหนือและใต้ ใน
อเมริกาเหนือ มีอยู่ทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ทางทิศ
ตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาใต้
นิวซีแลนด์ ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียทาง
ตอนใต้ของญี่ปุ่นและเกาหลีและตอนกลางของแผ่นดินใหญ่
จีน พรรณไม้ที่สาคัญ ได้แก่ ไม้สนชนิดต่าง ๆ ไม้โอ๊ก และ
ยูคาลิปตัสของออสเตรเลีย
- 7. 4. ป่าดงดิบแถบศูนย์สูตร (Equatorial rain forests)
ขึ้นอยู่ทั่วไปในแถบโซนร้อนที่มีฝนตกชุกเกือบตลอดปี
เป็นป่าไม้เนื้อแข็งที่มีพรรณไม้ขึ้นปะปนกันอยู่มากมาย
หลายชนิด ซึ่งมีลักษณะและขนาดต่าง ๆ กัน ป่าชนิดนี้มี
อยู่ในย่านลาตินอเมริกา แอฟริกา และ เอเซียตะวันออก
เฉียงใต้
- 8. 5. ป่าผสมชื้นแถบโซนร้อน (Tropical moist
deciduous forests) ขึ้นอยู่ในแถบโซนร้อนที่มีฤดู
แล้งเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน เช่น ในตอนใต้ของ
อเมริกาเหนือและแอฟริกาย่านลาตินอเมริกา และ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- 9. 6. ป่าแล้ง (Dry forests) ขึ้นอยู่ในทุกภาคของโลกที่มี
ความแห้งจัด แต่ส่วนมากแล้วขึ้นอยู่ทางแถบโซน
ร้อน พรรณไม้ที่ขึ้นอยู่เป็นไม้ขนาดเล็ก เตี้ย แคระ
แกร็น และปะปนกันมากมายหลายชนิด แต่มีปริมาตร
เนื้อไม้ต่อหน่วยเนื้อที่น้อยมาก ป่าส่วนใหญ่อยู่ใน
แอฟริกาและออสเตรเลีย
- 10. ป่าไม้ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ป่าไม้ไม่ผลัดใบ ได้แก่
1.1 ป่าดงดิบ พบใน
บริเวณที่ฝนตกชุก ไม่มี
ฤดูแล้ง ให้ประโยชน์ทาง
เศรษฐกิจค่อนข้างสูง
ได้แก่ ยาง ตะเคียน
กะบาก และพันธุ์ไม้เล็กๆ
เช่น ไผ่เถาวัลย์ ระกา
เป็นต้น ป่าดงดิบมีมาก
ในภาคใต้และภาค
ตะวันออก
- 11. 1.2 ป่าดิบเขา มีลักษณะ
คล้ายป่าดงดิบ แต่มีตนไม้
้
ขนาดใหญ่อยู่น้อยมาก ได้แก่
ไม้สกุลตอ และมีพืชประเภท
มอส เฟิน กล้วยไม้ เกาะติดอยู่
มีประโยชน์ในด้านรักษา
ต้นน้าลาธาร ป่าดิบเขา
ปรากฏตามทิวเขาที่มีความสูง
ตั้งแต่1,000 เมตรขึ้นไป
- 13. 1.4 ป่าชายเลน หรือป่า
เลนน้าเค็ม เช่น โกงกาง
แสมทะเล ปรง พบได้
บริเวณต้นอ่าวไทย และ
ชายฝั่งของภาคตะวัน
ออกและตะวันตกของ
อ่าวไทยตั้งแต่เพชรบุรี
ไปถึงนราธิวาส กับทะเล
อันดามันตังแต่ระนอง
้
ถึงสตูล ซึ่งมีความอุดม
สมบูรณ์มากที่สุด
- 14. 2. ป่าไม้ผลัดใบ ได้แก่
2.1 ป่าเบญจพรรณ
พบมากในภาคเหนือ
และภาคกลาง ไม้ที่
สาคัญได้แก่ สัก
ประดู่ แดง ตะแบก
เสลา มะค่าโมง
มะเกลือ เป็นป่า
เศรษฐกิจที่มี
ความสาคัญมาก
- 17. ความสาคัญของป่าไม้
1. ต่อระบบนิเวศวิทยา ป่าไม้ช่วยป้องกันการชะล้างพังทลาย
ของดิน ทาให้ดินอุดมสมบูรณ์ เป็นต้นน้าลาธาร เป็นที่อยู่อาศัยของ
สัตว์ป่า เป็นต้น
2. ด้านเศรษฐกิจ ป่าไม้ให้ผลผลิตที่นามาใช้ประโยชน์ต่อมนุษย์
ได้อย่างมากมาย
3. ด้านนันทนาการ ป่าไม้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของมนุษย์
เป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติ
วิทยา