Mais conteúdo relacionado
Semelhante a จังหวัดกาฬสินธิ (20)
Mais de SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL (20)
จังหวัดกาฬสินธิ
- 2. สมัย กรุงธนบุรีประมาณ พ . ศ . 2310 พระเจ้าองค์เวียนดาแห่งนครเวียงจันทน์ ได้สิ้นพระชนม์ โอรสท้าวเพี้ยเมืองแสนได้ยกกองทัพเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ และได้สถาปนา ขึ้นเป็น พระเจ้าแผ่นดินสืบแทน ทรงพระนามว่า " พระเจ้าศิริบุญสาร " พ . ศ . 2320 ท้าวโสมพะมิตร และ อุปราชเมืองแสนฆ้องโปง เมืองแสนหน้าง้ำเกิดขัดใจกับพระเจ้าศิริบุญสาร จึงรวบรวมผู้คนอพยพจากดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ข้ามมาตั้งบ้านเรือนบริเวณลุ่มน้ำก่ำแถบบ้านพรรณนา ( ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร ) ต่อมาท้าวศิริบุญสารได้ยกกองทัพติดตามมา ท้าวโสมพะมิตรจึงอพยพต่อไปโดยแยกเป็น 2 สาย คือ ประวัติจังหวัดกาฬสินธ์
- 3. สายที่ 1 มี เมืองแสนหน้าง้ำเป็นหัวหน้า อพยพไปทางทิศตะวันออกสมทบกับพระวอหลบหนีไปจนถึงนครจำปาศักดิ์ขอพึ่งบารมี ของ พระเจ้าหลวงแห่งนครจำปาศักดิ์ และตั้งบ้านเรือน ณ ดอนค้อนกอง ต่อมาเรียกว่า " ค่ายบ้านดู่บ้านแก " ในปี พ . ศ . 2321 พระเจ้าศิริบุญสาร ให้เพี้ยสรรคสุโภย ยกกองทัพมาปราบ พระวอตายในสนามรบ ผู้คนที่เหลือจึงอพยพไป อยู่ในเกาะกลางลำแม่น้ำมูลชื่อว่า " ดอนมดแดง " ( ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี )
- 4. สายที่ 2 มีท้าวโสพะมิตรเป็นหัวหน้า ได้อพยพข้ามสันเขาภูพานลงมาทางใต้ และตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกลางหมื่น ต่อมาท้าวโสมพะมิตร ได้ส่งท้าวตรัยและคณะ ออกเสาะหาชัยภูมิที่จะสร้างเมืองใหม่ใช้เวลา ประมาณปีเศษจึงพบทำเลที่เหมาะสม คือบริเวณลำน้ำปาวและเห็นว่าแก่งสำโรงชายสงเปลือยมีดิน น้ำอุดมสมบูรณ์ จึงอพยพผู้คนมาตั้งบ้านเรือนและได้จัดตั้งศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
- 5. พ . ศ . 2336 ท้าวโสมพะมิตรได้ นำเครื่องบรรณาการ คือ กาน้ำสัมฤทธิ์ เข้าถวายสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี และขอตั้งบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง ได้รับพระราชทานนามว่า " กาฬสินธุ์ " และได้แต่งตั้งให้ ท้าวโสมพะมิตรเป็น " พระยาชัยสุนทร พ . ศ . 2437 สมัยพระยาชัยสุนทร ( ท้าวเก ) ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล มี มณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และให้เมืองกาฬสินธุ์ เป็น " อำเภออุทัยกาฬสินธุ์ " ขึ้นกับจังหวัดร้อยเอ็ด วันที่ 1 สิงหาคม 2456 ได้ยกฐานะอำเภออุทัยกาฬสินธุ์เป็น " จังหวัดกาฬสินธุ์ " ให้มีอำนาจปกครอง อำเภออุทัยกาฬสินธุ์ อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอ กมลาไสย และอำเภอยางตลาด โดยให้ขึ้นต่อมณฑลร้อยเอ็ด
- 6. กาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน จากหลักฐานทางโบราณคดีบ่งบอกว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าละว้า ซึ่งมีความเจริญทางด้านอารยธรรมประมาณ 1,600 ปี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เริ่มตั้งเป็นเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ . ศ . 2336 โดยท้าวโสมพะมิตร ได้อพยพหลบภัยมาจากดินแดน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงพร้อมไพร่พล และมาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำปาว เรียกว่า “ บ้านแก่งสำโรง ” แล้วได้นำเครื่องบรรณาการเข้าถวาย สวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ยกฐานะบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง และพระราชทานนามว่า “ เมืองกาฬสินธุ์ ” หรือ “ เมืองน้ำดำ ” ซึ่งเป็นเมืองที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล “ กาฬ ” แปลว่า “ ดำ ” “ สินธุ์ ” แปลว่า “ น้ำ ” กาฬสินธุ์จึงแปลว่า “ น้ำดำ ” ทั้งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ให้ท้าวโสมพะมิตรเป็น “ พระยาชัยสุนทร ” ครองเมืองกาฬสินธุ์เป็นคนแรก
- 8. ลักษณะภูมิอากาศและสภาพน้ำฝน สภาพดินฟ้าอากาศของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยทั่วไป ฝนตกเฉลี่ย 1,400 มม ./ ปี อุณภูมิต่ำสุด 19 องศาเซลเซียส อุณภูมิสูงสุด 31.9 องศาเซลเซียส - ฤดูร้อน เริ่ม เดือนมีนาคม ถึง เดือน พฤษภาคม อุณภูมิสูงสุดเฉลี่ย 31.9 C. - ฤดูฝน เริ่ม เดือน มิถุนายน ถึง เดือน ตุลาคม อุณภูมิต่ำสุด 23.5 C. - ฤดูหนาว เริ่ม เดือนตุลาคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์ อุณภูมิสูงสุดเฉลี่ย 18 C.
- 10. 3. ทางรถไฟ ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ ต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ - สถานีรถไฟขอนแก่น จากขอนแก่นต่อรถประจำทางเข้ากาฬสินธุ์อีก 79 กิโลเมตร สำหรับกรุงเทพฯ - ขอนแก่นนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดบริการ ทั้งขบวนรถเร็ว รถด่วน และรถดีเซลราง ปรับอากาศ รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสอบถามได้ที่ หน่วยบริการเดินทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โทร . 02-2237020 , 02-2204334 สายด่วน 1690 4. ทางเครื่องบิน จากท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ต้องไปลงที่จังหวัดขอนแก่น แล้วต่อรถยนต์โดยสารเข้ากาฬสินธุ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน )
- 11. สัญลักษณ์ประจำจังหวัด : ตราประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นรูปบึงใหญ่ ตฤณชาติ และเมฆพยับฝน ตราประจำจังหวัด หมายถึง สัญลักษณ์ของความชุ่มชื่น และอุดมสมบูรณ์ของภูมิภาค ทิวเขาตรงแนวสุดขอบฟ้าคือแนว กั้นเขตแดนกับจังหวัดใกล้เคียงน้ำในบึงที่มีสีดำ เพื่อให้ตรงกับชื่อของจังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งเป็นเมืองเมื่อ พ . ศ .2336 เพราะมีชาวเมืองเวียงจันทร์อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่มากที่บ้านสงเปลือย ทางฝั่งตะวันออกของริมแม่น้ำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์แยกตัวออกจากจังหวัดมหาสารคาม เมื่อ พ . ศ .2490
- 12. อาชีพ : ข้าวเป็นพืชที่สำคัญของจังหวัด ส่วนมากนิยมทำนาดำ มีการทำนาหว่านบ้างในเขตที่ลุ่มริมฝั่งน้ำปาว และแม่น้ำชี มีการปลูกข้าวเหนียวเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาเป็นมันสำปะหลัง ปอ อ้อย ยาสูบ ถั่วลิสง ฝ้าย และการทำไร่แตงโม พื้นที่ใช้ทำนาประมาณ 25 % ของพื้นที่ทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นจังหวัดเล็กแต่มีการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์มากพอสมควร การเลี้ยงสัตว์มีในบริเวณที่ราบสูง เนินเขา รวมถึงการหาของป่า ตามแหล่งน้ำมีการทำประมงและการเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด ส่วนอุตสาหกรรมในครัวเรือน ได้แก่การทอผ้าไหม ทอเสื่อ เครื่องปั้นดินเผาเศรษฐกิจของจังหวัดกาฬสินธุ์นับอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ
- 13. เทศกาล งานประเพณี : งานประเพณีน้ำตกตาดสูง เป็นประเพณีของหมู่บ้านวัฒนธรรมผู้ไทยโคกโก่ง จัดขึ้นในวันเสาร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปี มีการทำบุญ พีธีเซ่นไหว้เจ้าปู่ การแสดงศิลปวัฒนธรรมผู้ไทย และมหรสพให้มตลอด วัน
- 17. พระพุทธไสยาสน์ภูค่าว พระพุทธไสยาสน์ภูค่าว บ้านนาสีนวล ตำบลโนนศิลา อำเภอสหัสขันธ์ ( ห่างจากจังหวัดประมาณ 36 กม .) มีสิ่งสำคัญได้แก่ พระพุทธไสยาสน์ ที่นาแปลกคือตะแคงซ้าย ไม่มีพระเกตุมาลา สร้างขึ้นเมื่อ พุทธศักราช 2235 อุโบสถสร้างด้วยไม้ใต้น้ำจากอ่างเก็บน้ำ ลำปาว มีลักษณะเปิดโล่งระเบียงปูด้วยศิลาแลง ซึ่งแกะสลักลวดลายไทย เป็นสามมิติศิลปผสมผสานระหว่างภาคเหนือและภาคกลาง อย่างกลมกลืน นอกจากนี้ยังมีวิหารสังฆนิมิตซึ่งเป็นที่เก็บพระพุทธรูป และพระเครื่องเรือนแสน
- 19. เขื่อนลำปาว เขื่อนลำปาว เป็นเขื่อนดิน สร้างปิดกั้นลำน้ำปาวและห้วยยาง ที่ต่อเนื่องถึงกันบริเวณเขตติดต่อระหว่างตำบลลำปาว อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองกรุงศรี และตำบลเว่อ อำเภอยางตลาด ความยาวตามสันเขื่อน 7.9 ก . ม . ความสูงของเขื่อนตรงส่วนที่สูงที่สุด 30.7 เมตร สันเขื่อน กว้าง 8 เมตร ฐานเขื่อนตอนที่กว้างที่สุด 125 เมตร เก็บกัก น้ำ ได้ 430 ล้านลูกบาศก์เมตร ในเนื้อที่ประมาณ 5,960 ตารางกิโลเมตร โครงการลำปาวเป็นโครงการชลประทาน เพื่อการเกษตร และบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำปาวและน้ำชี ทดส่งและระบายน้ำในคลองซอยต่าง ๆ บริเวณใต้เขื่อนให้ประชาชนในเขตอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ อำเภอยางตลาด และอำเภอกมลาไสย
- 21. พิพิธภัณฑ์สิรินทร์ ตั้งอยู่ที่เชิงภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ สามารถเดินทางโดยใช้เส้นทางกาฬสินธุ์ - สหัสขันธ์ วัดนี้เป็นสถานที่ค้นพบกระดูกไดโนเสาร์จำนวนมาก โดยซากกระดูกบางส่วนได้นำมาจัดแสดงที่ศาลาวัด มีการจัดนิทรรศการแสดงความเป็นมาของการเกิดไดโนเสาร์ยุคต่างๆ รวมทั้ง รูปภาพการขุดค้นพบซากกระดูกเหล่านี้ นอกจากนั้น ห่างจากศาลาวัดไปประมาณ 100 เมตร มีโครงกระดูกไดโนเสาร์ฝังอยู่ในพื้นดิน บริเวณเชิงเขา ได้รับการขุดแต่งโดยเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรธรณีเป็นซากกระดูกไดโนเสาร์ ชนิดซอโรพอต ประมาณ 7 ตัว ซึ่งอยู่ในยุค ครีเทเชียส อายุประมาณ 130 ล้านปี และในพิพิธภัณฑ์ฯยังมีซากปลาโบราณพันธุ์ใหม่ของโลกซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ซึ่งเป็นปลาน้ำจืด
- 23. ผ้าไหมแพรวา เป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านที่เป็นเอกลัษณ์ของชาวบ้านโพน ตำบลโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นผ้าที่ทอด้วยฝีมือที่มีความ วิจิตรสวยงาม ของชาวบ้าน ซึ่งเป็นที่นิยมและต้องการของนักท่องเที่ยว หรือสุภาพสตรี คหบดีที่นิยม นำผ้าไหมแพรวาไปตัดเย็บเครื่องแต่งกาย จนกระทั่งผ้าไหมแพรวาได้สร้างชื่อเสียง ให้กับชาวกาฬสินธุ์ เป็นเมืองท่องเที่ยวในด้านสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน ดั่งคำขวัญ ของจังหวัดที่ว่า " กาฬสินธุ์เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา " ด้วยความสำคัญของผ้าไหมจึงถือว่าเป็นศิลปหัตถกรรม เป็นวัฒนธรรม ที่สำคัญ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงประทับพระทัย จึงทรงรับอุปการะ การทอผ้าไหมแพรวาเข้าโครงการ มูลนิธิศิลปาชีพ ทรงพัฒนาการทอผ้าไหมแพรวา ไปตัดฉลองพระองค์เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ชาวไทย และชาวต่างประเทศผ้าแพรวา มักนิยมทอด้วยฝ้าย และด้ายไหม ถ้าทอด้วยด้ายฝ้าย เรียกชื่อว่า ผ้าแพรวา
- 26. บรรณนุกรม สารานุกรมเสรี . “ จังหวัดกาฬสินธุ์ .” 9 ธันวาคม 2553 . < http://th.wikipedia.org/wiki. > 11 ธันวาคม 2553. จังหวัดกาฬสินธุ์ . “ จังหวัดกาฬสินธุ์ .” 11 ธันวาคม 2553. < http://www.norsorpor.com/tags/. > 11 ธันวาคม 2553.