SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 123
Baixar para ler offline
ค
  ด
  ่
    า
    ง

  ส
  ร
  ง
  ใ
  ห
  ม
ส ามัญ
คิ
ด
า
ง

ส
ร้
ง
ใ
ห
ม่
ญ ชน
� ำ
คำน
    �




                   อาจจะมีซกครังในชีวิตของคุณที่เคยคิดว่าตนเอง ล้ มเหลว, ผิดหวัง,
                           ั ้
   ท้ อแท้ กบการเป็ นมนุษย์หรื อรู้สกว่าตนเองแตกต่างจาก “คนส่วนใหญ่” ในสังคม
             ั                      ึ
   แต่จงอย่าได้ กลัวหากซักวันคุณคิดว่าคุณกลายเป็ น “คนส่วนน้ อย” เพราะคนที่
   สร้ างสิงที่ยิ่งใหญ่และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี ้กลับกลายเป็ น “คนส่วนน้ อย” ที่ล้วน
           ่
   มี “ความคิดที่แตกต่าง” จากคนส่วนใหญ่ในสังคมแทบทังสิ ้น ้
กาลครังหนึง การบินอยูเ่ หนือท้ องฟาถือเป็ นความใฝ่ ฝั นอันยิ่งใหญ่ของมวล
                           ้ ่                            ้
มนษย์ทงหลาย แต่สองพี่น้องตระกลไรท์ (Wright Brother) ไมคดวามนเป็นเพียงแค่
      ุ ั้                                    ู                                     ่ ิ ่ ั
ความฝัน พวกเขาบอกกับโลกใบนีว่า เขาสามารถท�ำให้มนุษย์บินได้ จวบจนกระทั่ง
                                          ้
ทังสองคนได้ สร้ าง “เครื่ องบิน” ล�ำแรกของโลกขึ ้นมาได้ ส�ำเร็ จ
    ้
               กาลครังหนึง ศาสตราจารย์ผ้ เู ก่งกาจทังหลาย เคยปฏิเสธวิทยานิพนธ์ของ
                         ้ ่                                      ้
งานๆหนึง และบอกว่าเป็ นเรื่ องไร้ สาระ จวบจนกระทังทุกวันนี ้ มาร์ ค ซัคเคอร์ เบิร์ก
             ่                                                        ่
(Mark Zuckerberg) ได้ สร้ างให้ “facebook” กลายเป็ นสิงที่ท�ำให้ มนุษย์ทวโลกได้ ร้ ูจกกัน
                                                                        ่                  ั่         ั
	              กาลครังหนึง สตีฟ จ๊ อบ (Steve Job) เปิ ดบริ ษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง โดยใช้
                       ้ ่
สโลแกนว่า think different จวบจนกระทังในปั จจุบนเป็ นบริ ษัทซึงเป็ นเจ้ าของผลิตภัณฑ์
                                                  ่           ั                   ่
“iPod, iPhone และ iPad”
	              กาลครังหนึง อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพฒน์ เคยโดนชาวบ้ านด่าว่า “บ้ า”
                        ้ ่                                         ั
หลังจากเดินเข้ าไปในหมูบ้านและบอกกับชาวบ้ านว่า จะมาสร้ างวัดที่ผ้ คนมากมายต้ อง
                              ่                                                          ู
มาเยือนในแต่ละปี จวบจนกระทัง “วัดร่องขุน” ติด 1 ใน 10 ของวัดที่สวยงามที่สดในโลก
                                    ่                                                               ุ
	              กาลครังหนึง โน้ ต อุดม แต้ พานิช เคยเดินเข้ าไปขอสปอนเซอร์ กบบริ ษัท
                          ้ ่                                                                     ั
แห่งหนึงเพื่อที่จะท�ำ “โชว์เดี่ยว” ขึ ้นมา แต่เจ้ าของบริ ษัทแห่งนันบอก โน้ ต กลับมาว่า
           ่                                                                  ้
“ถ้ าหาค่าบัตรได้ เกิน 50,000 บาท โน้ ตกลับมาด่าพี่ได้ เลย” จวบจนกระทัง “เดี่ยว 9”              ่
ของ โน้ ต อุดม แต้ พานิช ขายบัตรได้ เกินกว่า “หนึงร้ อยล้ านบาท” ภายในเวลาเพียงแค่
                                                                ่
“วันเดียว”
	              การคิดในมุมที่ “ต่าง” จาก “คนส่วนใหญ่” และการเชื่อมันอย่างเต็มเปี่ ยมใน ่
สิงที่ท�ำของ “คนส่วนน้ อย” ข้ างต้ น ล้ วนเป็ นสิงที่สร้ าง “ความส�ำเร็ จ” ให้ กบคนเหล่านัน
  ่                                                     ่                                     ั         ้
และมอบความส�ำเร็จเหล่านันให้ คนทัวไปได้ ชื่นชม
                                  ้         ่
	              ทกสิ่งทกอย่างในชีวิตล้วนมีจดเริ่มต้นจาก “ความคิด” และการคิ ด ให้ต่าง
                ุ           ุ                       ุ
ไม่ว่าจะในมุมไหนลักษณะใด ถึงแม้ ผลลัพธ์ มนจะออกมาในทิศทางที่ดีขึ ้นหรื อแย่ลง
                                                            ั
ก็ตาม แต่จะมีสงหนึงที่เกิดขึ ้นอย่างแน่นอน นันก็คือการ “สร้ างสิงใหม่” ขึ ้นมา
                  ิ่ ่                                ่                         ่
	              หนังสือเล่มนี ้จะท�ำให้ คณเกิดอาการ “ฉุกคิด” ในมุมที่แตกต่างจากที่หลายๆ
                                        ุ
คนมองข้ าม ไม่วาคุณจะเจอปั ญหาร้ ายแรงแค่ไหน ไม่วาคุณจะผิดหวังมากี่หนก็ตาม
                     ่                                                    ่
ไม่วาคุณจะล้ มเหลวมากี่ที ไม่ว่าคุณจะอกหักมากี่รอบ ไม่วาคุณจะสอบตกมากี่ครัง
       ่                                                                    ่                             ้
ไม่วาคุณจะไม่เหลือตังค์ซกกี่หน ไม่วาคุณจะทนทุกข์ทรมานปวดร้ ายขนาดไหน อย่าได้
         ่                      ั               ่
“เศร้ าใจ” เพราะทุก สิ่งทุก อย่างในชี วิต ล้ วนมี “หลายด้ า น” ให้ เ ราได้ เ ลื อกมองเสมอ
อยากให้ คุณลองคิดลองมองในมุมที่แตกต่าง แล้ วคุณจะรั บรู้ ได้ ว่า “การคิ ด ให้ ต่าง
มันอาจจะเปลี่ยนแนวคิดและชีวิตของคุณได้ ”
หนังสือแทบจะทุกเล่มที่วางขายในท้ องตลาดล้ วนมีข้อความที่แสดง
        ให้ เห็นถึง “ข้ อดี” ที่มีอยูภายใน แต่หนังสือเล่มนี ้เคยโดนส�ำนักพิมพ์แห่งหนึง
                                    ่                                                ่
        ปฏิเสธต้ นฉบับ โดยให้ เหตุผลว่า
    บญ
     ั

            “เนื ้อหาไม่มีแก่นของเรื่ องที่ชดเจน เขียนไปเรื่ อยๆท�ำให้ เนื ้อเรื่ องอืด
                                            ั
สาร



                                 ไม่มีจดดึงอารมณ์คนอ่าน”
                                         ุ



    	          แต่ ส� ำ หรั บ คนที่ เ ขี ย นหนัง สื อ เล่ ม นี ขึ น มาอย่ า ง “ผม” สิ่ ง นี ถื อ เป็ น
                                                               ้ ้                          ้
    หนึ่งในสิ่งที่ส�ำคญที่สุดส�ำหรับชีวิต  มีหลายๆเรื่อง  หลายๆคราวในชีวิตที่มัน
                        ั
    บ่งบอกกับคุณว่าอย่าได้ เชื่อค�ำที่คนอื่นพูด จนกว่าคุณจะได้ พิสจน์ด้วยตัวของ    ู
    คณเอง หนงสือเล่มนี ้ก็อาจจะเป็นเช่นนน ลองดซิว่ามนค้ มค่ากบเวลาที่เสียไป
      ุ         ั                                    ั้            ู   ั ุ       ั
    ในการหยิบมันขึ ้นมาอ่านหรื อเปล่า



    	          แต่มีอยูหนึงอย่างที่คณเชื่อผมได้ แน่นอนคือ ถ้ าเปรี ยบหนังสือเล่มนี ้
                      ่ ่           ุ
    เป็ นคน  ผู้อานก็คงจะพอรับรู้ได้ วา  คนทีกล้ าพอทีจะเอ่ยถึง “จุดด้ อย” ของตนเอง
                 ่                    ่      ่        ่
    นันคือคนที่นา  “คบ” ที่สดในโลก  เพราะตลอดทังชีวิตและทุกๆ “หน้ า” ของเขา 
      ้            ่         ุ                          ้
    เขาไม่มีวนที่จะดูถกคุณและจะคอยอยูเ่ คียงข้ างคุณเสมอ   ไม่วาเวลาใดก็ตาม
             ั          ู                                           ่



    	 ในชีวิตจริ งของคนเรา  มันคงจะไม่มีสารบัญที่คอยขีดเขียนเป็ นส่วนๆ
    ไว้ ให้ ก้าวเดินตรงตามความต้ องการเสมอไป  จงใส่ใจกับทุกๆหน้ า  ใส่ใจกับทุกๆ
    ช่วงของชีวิต  เพราะหนังสือเล่มที่คณถืออยูคือ
                                      ุ     ่


                            “ชีวตที่คิดต่างเพื่อสร้างความสุข”
                                ิ
ในชีวตของคนเรามันจะมีสิ่งที่เรียกกันว่า “ความทุกข์”
              ิ
                    เกิดขึ้ นได้ซกกี่ครั้งกันเชียว
                                 ั
                       ถ้าเรารูจกคิดให้เป็ น
                                 ้ั


	           นนคือค�ำพดของ “ชายแก่” ธรรมดาๆคนหนึ่ง   ซงนอนอย่บนเตียงใน
               ั่      ู                                  ึ่          ู
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ซึ่งตงอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีได้พูดกับ “ผม”  
                                    ั้
ช่วงเวลาที่ยงหลงเหลืออยู่ในชีวิตของแกบนโลกที่สวยงามใบนี ้ช่างเหลือน้ อยลง
             ั
เต็มแก่   แต่เมื่อผมมองไปที่ใบหน้ าของชายแก่ธรรมดาๆคนนัน   สิงหนึงที่รับรู้ได้
                                                             ้ ่ ่
ก็คือ รอยยิ ้มที่เปื อนบนใบหน้ าของแกมันท�ำให้ คนที่อยู่รอบข้ างรู้ สึกอิ่มเอมใจ
                     ้
ในความสุขไปด้ วย   รอบๆเตียงที่แกนอนเพียบพร้ อมไปด้ วยลูกๆหลานๆ รวมถึง
“ผม” เองด้ วย  ซึงทุกคนมีหยดน� ้ำตาไหลอาบที่แก้ มทังสองข้ าง  แล้ วอยูๆชายแก่
                   ่                               ้                    ่
คนนันก็พดขึ ้นมาว่า 
     ้ ู


ชายแก่ :	 นี่คือช่วงเวลาที่พอมีความสุขที่สดแล้ ว
                              ่                  ุ
	         “น� ำ ตา กับ รอยยิ ม     ถึ ง แม้ ว่ า มัน จะเกิ ด ขึ น ได้ ไม่ บ่ อ ยนั ก ในชี วิ ต
              ้                   ้                              ้
	         ของคนเรา   แต่ถ้าครั งใดมันเกิ ดขึนพร้ อมกันแล้ ว    เชื่ อพ่อเถอะว่า  
                                     ้                ้
	         มัน จะเป็ นสิ่งที่ เข้ ากันได้ ดีที่สุด    และมัน ก็ จ ะเป็ นช่ว งเวลาที่ ดี ที่สุด
	         ในชี วิ ต ของคนเราเช่นกัน”
	         พ่ออยากเห็นลูกๆหลานๆมีความสุขเหมือนกันกับพ่อ  
	         เพราะอย่างนันยิ ้มไว้ ให้ พอดูหน่อยนะ
                         ้             ่
หลังจากที่ ชายแก่ ค นนันพูด จบประโยคได้ ไ ม่น านนัก ความเหน็ ด
                                    ้
เหนื่อยตลอดทังชีวิตของแกก็พลันมลาญหายไป   แกจากพวกเราไปอย่างไม่มีวน
                  ้                                                        ั
หวนกลับ   ทุกคนต่างพากันร้ องไห้ ออกมาอย่างสุดเสียง  และผมก็เป็ นอีกหนึงคน
                                                                       ่
ที่เกิ ดความรู้ สึกว่าตัวเองได้ “สูญเสีย” บางอย่างในชี วิตไปอย่าง “แท้ จริ ง”  
เพราะผมได้ สญเสียคนหนึงคนซึงเป็ นคนที่ผมรักมากกว่า  “ตัวผมเอง”  ด้ วยซ� ้ำไป
                ู           ่    ่

	              เอ่อ!   ลืมบอกไป   ผมชื่อ  “อ๊ อฟ” อายุ 25 ปี   มีคณตาชื่อว่า “ธรรม”
                                                                    ุ
อายุ 86 ปี   คุณตาของผมก็คนเดียวกันกับคนที่ผมพึงเสียน� ้ำตาให้ ไปเมื่อกี ้แหละ  
                                                        ่
บอกตามตรงนะ  ผมคิดว่าคุณตาของผมนี่แหละคือคนที่มีความคิดที่ “วิเศษ”
ที่สดในโลกแล้ว  ท�ำไมผมกล้าที่จะพดขนาดนนนะเหรอ  ก็เพราะวา 2 สปดาห์
     ุ                                 ู          ั้                           ่ ั
ก่อนที่คุณตาของผมท่านจะเข้าโรงพยาบาล  ท่านได้ฝากบนทึกเล่มหนึ่งไว้ให้
                                                                  ั
กับผม  และหลังจากที่ผมอ่านบันทึกเล่มนันจบ  ความรู้สกแรกที่เกิดขึ ้นภายในใจ
                                              ้              ึ
เลยก็คือ  “นี่คือหนังสือที่ผมใช้เวลาตามหามาตลอดทงชีวิต”   บนทึกเล่มนีคือ
                                                          ั้                 ั       ้
สงที่มีคากบชีวิตของผมยิ่งกวา “เงิน” ยิ่งกว่า “ทอง” เสียอีก   พดมาซะขนาดนี ้
  ิ่     ่ ั                  ่                                          ู
หลายคนเริ่ มคิดในใจแล้ วว่าผม “โม้ ” มากเกินไปหรื อเปล่า  ก็นนแหละ!  อย่าได้
                                                                      ั่
เชื่อค�ำใครง่ายๆ    คุณต้องตดสินมันเองหลงจากที่คุณได้อ่านบนทึกเล่มนีจบ  
                                ั               ั                          ั       ้
ดูซวามันจะให้ อะไรกับชีวิตของคุณบ้ าง
     ิ่

	           เนื ้อหาในบนทึกที่คณตาผมเขียน   ท่านจะเล่าถึงประสบการณ์ใน
                        ั       ุ
ชีวิตของแก   ตังแต่ที่แกยังจ�ำความได้ ในวัยเด็ก   โตขึ ้นเป็ นวัยรุ่น   เติบใหญ่มา
                 ้
ท�ำงาน  จนกระทังความแก่เข้ ามาเยือน  และบนหน้ าปกของบันทึกของคุณตา
                     ่
จะมีข้อความอยูด้านล่าง  ท่านเขียนเอาไว้ วา  
                   ่                      ่

                   ในชีวิตของคนเรามันไม่เคยมี “สิงผิดพลาด”
                                                      ่
                  เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ ้นล้ วนเป็ น “สิงเติมเต็ม”
                                                         ่

	              เอาละ!   ต่อจากนีไ้ ปจะเป็นบนทึกของคุณตาของผมที่ผมอยาก
                                           ั
เผยแพร่ให้คนอื่นได้อ่าน   เป็นบนทึกของคนที่มีความคิดที่ “มหัศจรรย์” ที่สุด
                                ั
ตังแต่ผมเคยรู้จกมา
  ้             ั
ห
                        ลงจากที่แม่คลอดผมออกมาลืมตาดโลกที่จงหวดอบลราชธานี  
                         ั                          ู       ั ั ุ
    ชื่อที่คนแถวบ้านเขาพากันเรียกผมก็คือ  “ธรรม”  มันเป็นชื่อที่แม่ผมตงให้เอง
                                                                      ั้
    กับมือ  อาจจะเป็ นเพราะว่าแม่ของผมเป็ นคนธรรมะธรรมโม  ชอบเข้ าวัดเข้ าวา  
    ผมเลยได้ ชื่อนี ้ติดตัวมามัง?  
                                ้

     	            “วัด” เป็ นสถานที่ที่ผมจ�ำได้ เป็ นอย่างดีในวัยเด็ก  และที่จ�ำได้ อย่าง
    ไมมีวนลืมเลยก็คือ  ในเช้าของวนๆหนึ่งซึ่งเป็นวนส�ำคญทางพระพุทธศาสนา  
        ่ ั                             ั                ั       ั
    แต่ผมจ�ำไม่ได้ว่ามันเป็นวนอะไรเพราะผมยังเด็กอยู่มาก  แม่พาผมเข้าวดไป
                                ั                                                    ั
    ท�ำบุญ   ครังแรกที่เดินเข้ าไปในวัดก็เห็นผู้ชายใส่เสื ้อผ้ าแปลกประหลาดสีเหลือง
                 ้
    หลายคนเดินอยูในวัด  และแต่ละคนก็ไม่มีผมบนหัว  ผมไม่เคยเห็นจึงถามแม่วา
                     ่                                                                  ่
    เขาเป็ นใคร  แม่ก็ตอบผมกลับมาว่า “พระครับ”  ด้ วยความสนใจว่าพระคืออะไร  
    เป็ นคนปกติและเป็ นคนดีหรื อเปล่า  ผมจึงเดินเข้ าไปหาพระรู ปหนึ่ง  แล้ วก็ถาม
    พระท่านไปว่า

    ธรรม : 	 พระครับ!  พระเป็ นคนดีไหมครับ

    พระ : 	 ดีซลก!  ท�ำไมถามแบบนันละครับ
               ิ ู               ้

    ธรรม :   	อืม!  แล้ วหัวใจพระอยูข้างไหนเหรอครับ
                                   ่

    พระ :     	อยูข้างซ้ ายลูก  
                 ่

    ธรรม :   	อ่าว!   พระเป็ นคนดีจริ งหรื อเปล่าครั บ   ท� ำไมหัวใจพระไม่เห็นอยู่
    	         ที่เดียวกันกับของผมเลย

    (พระรู ปนั น ท� ำ หน้ าตางงๆ  แล้ วซั ก พั ก ก็ ต อบกลั บ มาใหม่ )
               ้

    พระ :     	งันหัวใจอยูตรงกลาง  ใช่ไหมครับ
                 ้       ่


1
ธรรม : 	ไม่ใช่อยูดีครับ
                ่

พระ : 	 งันอยูด้านขวาเลยละกัน
          ้ ่

ธรรม : 	ก็ไม่ใช่อีกแหละครับ

พระ : 	อ่าว! แล้ วหัวใจของลูกอยูข้างไหนละครับ
                               ่

ธรรม : 	หวใจนะพระ! หัวใจน่ะก็อยู่ “ข้ างใน” นี ้ไง
         ั

	         หลังจากที่ผมตอบท่านไป พระรูปนันท่านก็อมยิ ้มแล้ วก็หวเราะออกมา
                                             ้                ั
ต่อจากนนท่านก็เอามือมาลบบนหวของผมแล้วพดกบผมว่า “ขอบคณนะลก”
       ั้                  ู        ั            ู ั              ุ   ู
ซึง ณ ตอนนันผมก็ไม่คอยจะรู้เรื่ องรู้ราวอะไรมากมายนักหรอก แล้ วที่ผมถาม
  ่             ้      ่
พระท่านไปแบบนันก็เพราะว่า แม่ของผมท่านเคยบอกเอาไว้ วาคนที่เป็ น “คนดี”
                  ้                                     ่
ทุกๆคนจะมีหวใจที่ดีงามฝั งอยู่ “ข้ างใน” ของร่างกาย
              ั

	          แล้ วหลังจากที่ผมคุยกับพระรูปนันเสร็จ แม่ก็มาพาผมเข้ าไปในโบสถ์
                                            ้
วันนันเป็ นวันที่คนในวัดเยอะมาก หลังจากที่พระท่านฉันอาหารเช้ าเสร็ จ พระรูป
     ้
ที่ผมเคยเข้าไปถามก่อนหน้านี ้ท่านก็ขึ ้นนงบนธรรมมาตรเพื่อเทศน์ให้ญาติโยม
                                         ั่
ฟั ง และประโยคแรกที่ทานพูดออกมาก็คือ
                         ่

พระ : 	 ญาติโยมทังหลายมีใครรู้บ้างว่า “หัวใจ” ของคนเราน่ะอยูข้างไหน
                 ้                                         ่

(หลั ง จากที่ พระท่ า นพู ด จบ ผมซึ่ ง นั่ ง อยู่ ท างด้ านหลั ง ของโบสถ์ ก็ ก� ำลั ง จะ
ยกมื อ ขึ น ตอบ แต่ ท่ า นก็ พู ด ต่ อ ขึ น มาทั น ที )
          ้                               ้

พระ : 	 อ่าว! ตาจันทร์ หัวใจของตาอยูข้างไหน
                                   ่
ตาจันทร์ : หัวใจตาก็อยูข้างซ้ ายนะซิพระ
                          ่

    พระ : 	 แล้ วยายข่องละ! หัวใจยายอยูด้านไหน
                                      ่

    ยายข่อง : หัวใจอิฉนก็อยูด้านซ้ ายเจ้ าคะ
                      ั    ่

    พระ : อืม! แต่หวใจของพระไม่ได้ อยูข้างซ้ ายหรอกนะ
                              ั                  ่
    	         (หลายๆคนท� ำ หน้ างง)
    	         หวใจของพระนะอยู่ “ข้างใน” นี ้ต่างหาก ทงซ้าย ทงขวา ล้วนเป็น
                 ั                                             ั้       ั้
    	         สิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ ้น จริ งๆแล้ วหัวใจของคนเราทุกคนล้ วนอยู่ข้างใน
    	         เราไปยึดติดกบสิ่งสมมติกนจนเกินไป ความสขหรือความทกข์ก็เช่น
                                  ั         ุ ั                   ุ           ุ
    	         เดียวกน มนไม่ได้เกิดมาจากทางซ้าย มนไม่ได้เกิดมาจากทางขวา	
                         ั ั                                ั
    	         จะทุกข์ก็อยูข้างใน ทุกข์ที่ใจ จะสุขก็ไม่ได้ ขึ ้นอยูกบรถ ไม่ได้ ขึ ้นอยูกบ
                                ่                                   ่ ั               ่ ั
    	         บ้าน ไมได้ขึ ้นอยกบเงินทอง ไม่ได้ขึ ้นอย่กบของสมมติทงหลายแหล่
                            ่       ู่ ั                  ู ั           ุ ั้
    	         เหล่านันหรอก ถ้ าจะสุขให้ เป็ น มันก็ต้องสุขจาก “ข้ างใน” มันก็ต้องสุข
                          ้
    	         จาก “หัวใจ” เรานี่แหละ
    	
    	         ผมก็ไม่ร้ ู หรอกว่าวนนนผมได้พดอะไรออกไป แต่ร้ ู สกเหมือนกบมน
                                       ั ั้        ู                     ึ          ั ั
    จะเป็ นวันที่ได้ ให้ ข้อคิดอะไรกับชีวิตหลังจากนันของผมเยอะเลยทีเดียว
                                                      ้

    	         และประโยคสุดท้ ายที่พระท่านเทศน์ให้ ฟัง ซึงผมชอบมากๆ ท่านบอก
                                                        ่
    เอาไว้ วา “ทุกๆวันอาจจะไม่ใช่วนที่ดี แต่มนก็มีสงดีๆบางอย่างเกิดขึ ้นในทุกๆวัน
            ่                     ั          ั     ิ่
    เสมอ จงมองหามันให้ เจอ”


                     จงมอง “ทุ กข์” ทุกวัน ให้มี “ความ สข”
                                                       ุ



3
พ
                 อเริ่ มโตขึ ้นมาอีกหน่อย  แม่ก็จบผมไปเข้ าเรี ยนชันอนุบาลที่โรงเรี ยน
                                                   ั                     ้
    แถวบ้ าน  เริ่ มมีเพื่อน  เริ่ มอยากเรี ยนอยากรู้ในทุกๆสิง  เริ่ มมีคณครูที่คอยเป็ นคน
                                                             ่             ุ
    ชี ้แนะแนวทาง  อยูมาวันหนึงคุณครูของผมก็เริ่ มที่จะสอนเกี่ยวกับอวัยวะภายใน
                           ่          ่
    ร่างกายของตัวเรา   คุณครูเริ่ มสอนโดยพูดขึ ้นมาว่า

    คุณครู :   คนเรานะค่ะเด็กๆ   ใครที่เกิดมามีอวัยวะครบทัง้ 32 ประการ   ก็ถือว่า	
    	          โชคดีอย่างหาที่สดไม่ได้ แล้ ว
                               ุ

    (หลั ง จากที่ ผ มได้ ยิ น คุ ณ ครู พู ด ขึ น มาแบบนั น   ผมจึ ง ยกมื อ ขึ น แล้ วพู ด กั บ คุ ณ ครู )
                                               ้         ้                    ้

    ธรรม :     คุณครูครับ   ผมไม่อยากมี “เปลือกตา” เลยครับ

    (คุ ณ ครู ท� ำ ท่ า ทาง  งงๆ  แล้ วก็ ต อบผมกลั บ มา)

    คุณครู :    อ่าว!  ท�ำไมถึงพูดแบบนันละครับ
                                       ้

    ธรรม :     ก็ เพราะว่ามันเป็ นส่วนที่ กันระหว่าง  “ความฝั น” กับ “ความจริ ง”  
                                            ้
    	         ในชีวิตของผมนะซิครับ

    (หลั ง จากที่ ผ มพู ด เสร็ จ   คุ ณ ครู ของผมท่ า นก็ อึ ง ไปซั ก พั ก    แล้ วสั ก ครู่ ท่ า นก็ พู ด
                                                             ้
    ขึ น มาสอนผม)
       ้

    คณครู :   ธรรมครั บ !   เปลื อ กตาไม่ ไ ด้ เป็ นสิ่ ง เลวร้ ายที่ เ อาไว้ กั น ระหว่ า ง  
      ุ                                                                          ้
    	         ความฝั น กับ ความจริ ง ของชีวิตเราหรอกนะครับ   แต่สงทีมนจะท�ำให้ 	
                                                                           ิ่ ่ ั
    	         ความฝั นของเรากลายมาเป็ นความจริ ง ได้ ก็ คื อ    ความตั ง ใจ           ้
    	         ความมุงมันและสิงที่ส�ำคัญที่สดคือการที่เรา “ลงมือท�ำ” มันให้ ส�ำเร็ จ	
                       ่ ่     ่             ุ
    	         ตามความฝั นต่างหากละครับ  ให้ ธรรมจ�ำค�ำนี ้ไว้ นะครับ
    	         “ความตังใจมันจะไร้ คา  ถ้ าเราไม่ลงมือท�ำ”
                        ้           ่
    	         ถ้ าอย่างนันครูขอถามธรรมอย่างหนึง  ความฝั นของธรรมคืออะไรครับ 	
                          ้                         ่
    	         โตขึ ้นธรรมอยากเป็ นอะไรเหรอ
5
ธรรม : ผมก็ คิ ด อยู่ ทุ ก วัน แหละครั บ คุ ณ ครู ว่ า โตขึ น แล้ ว ผมจะเป็ นอะไร
                                                            ้
	      แต่ก็ยงคิดไม่ออกซักที
             ั

คุณครู : 	อืม! อยากงวลไปเลย ในโลกนีก็มีอยู่หลายต่อหลายคนนะที่เกิดมา
                    ่ ั                        ้
	          จนแก่แล้ วแต่ก็ยงไม่ร้ ูวาตัวเองชอบอะไรหรื ออยากจะท�ำอะไร แต่ช่าง	
                            ั       ่
	          มันเถอะ อย่างน้ อ ยถ้ าเรารู้ ว่าอะไรที่ มันไม่ใ ช่ อะไรที่ เ ราไม่ชอบ
	          ก็เท่ากับว่าเราเขยิบเข้ าใกล้ สงที่ใช่ สิงที่เราอยากเป็ นแล้ วแหละครับ
                                          ิ่        ่
	
	          สิงที่ผมได้ รับจากคุณครูในวันนันก็คือ ต่อให้ เราจะฝั นไว้ ดี ฝั นไว้ เลิศหรู
             ่                               ้
ซักเพียงใด แต่ถ้าไม่ลงมือกระท�ำมัน ทุกอย่างที่เราฝั นไว้ มันก็จะยังคงเป็ นแค่
ฝั นลมๆแล้ งๆซึงอยูได้ เพียงแค่ภายใน “เปลือกตา” ของเราเท่านัน ไม่มีทางที่มน
                 ่ ่                                                 ้               ั
จะเกิดขึ ้นในชีวิตจริ ง หากตังใจจะท�ำอะไรซักอย่างในชีวิต ไม่ต้องสรรหาถ้ อยค�ำ
                              ้
ที่เลิศหรู ไม่ต้องมีค�ำมันสัญญา แต่ถ้าอยากให้ มนประสบผลส�ำเร็ จ คนเราล้ วน
                          ่                             ั
ต้ องการแค่

                    ค�ำพูด “ธรรม ดา” แต่วา “ลงมือทำ�”
                                         ่
โ
    	          ดยส่วนตวแล้วผมเป็นคนที่ชอบฝันบ่อยมาก  อาจจะเป็ นเพราะว่า
                            ั
    ผมเป็นคนที่ชอบคิด  ชอบจินตนาการก็เป็นได้  และในตอนเช้าของวัน ๆหนึ่ง  
    ในช่วงที่ผมก�ำลังเรี ยนอยูชนประถมศึกษา ผมตื่นขึ ้นมาพร้ อมกับอากาศที่แจ่มใส
                               ่ ั้
    เหมือนปกติในทุกๆวัน  แต่มีบางสิงที่แตกต่างออกไปก็คือการตื่นขึ ้นมาพร้ อมกับ
                                      ่
    คราบของรอยน� ้ำตาที่ใหลอาบบนแก้ มทังสองข้ าง ในตอนนันเองที่ผมรู้สกมึนงง
                                          ้                   ้          ึ
    กับน� ้ำตาที่ไม่ร้ ูไหลออกมาในตอนไหน   เกิดความสงสัยอย่างมากจึงเดินเข้ าไป
    ถามแม่ในห้ องครัว

    ธรรม :    	แม่ครับ!   เมื่อคืนผมฝั นด้ วยแหละ    รู้ สกเหมือนกับว่ามันจะเป็ นฝั นดี	
                                                          ึ
    	          ด้ วยนะแม่   ดีจนน� ้ำตาไหลเลยครับ  แต่พอตื่นขึ ้นมากลับจ�ำอะไรไม่ได้
    	          ซักอย่างเลย  ท�ำไมมันเป็ นแบบนันครับแม่
                                                ้

    แม่ : 	   แม่ว่า นะลูก “บางที ส มองของคนเรามันอาจจะสร้ างมาเพื่ อให้ ชี วิ ต
    	         ของเราอยูกบโลกแห่งความเป็ นจริ ง  มากกว่าอยู่กบโลกแห่งความฝั น
                          ่ ั                                    ั
    	         ก็เป็ นได้ นะครับ” ลูกเลยจ�ำอะไรไม่ได้ ไงละครับ  แต่ลกก็ไม่ต้องคิดมาก
                                                                   ู
    	         หรอกนะ  เพราะแม่คดว่า  ิ
    	         “คนเราจะเจอกับฝั นที่สวยงามที่สดในชีวิตได้   ก็เมื่อตอนตื่นนันแหละ”
                                                ุ                           ่

    	
    	             หลงจากฟังที่แม่พูดจบ   ผมก็เลิกที่จะนึกคิดว่าเมื่อคืนผมฝันถึงอะไร
                     ั
    และน� ้ำตามันไหลออกมาตอนไหน   และผมก็หาค�ำตอบให้ กับตัวเองได้ แล้ วว่า
    ท�ำไมคนเราถึงมีความฝั นในตอนที่นอนหลับอยู   ผมคิดว่า “บางทีการที่คนเรามี
                                                        ่
    ชี วิ ต อยู่กับ ความเป็ นจริ งมากจนเกิ นไป  มันคงเจ็ บปวดจนเกิ นที่ จะทนรั บได้   
    ดังนันคนเราจึงต้ องมีสงที่เรี ยกกันว่าความฝั นไว้ คอยเป็ นส่วนเติมเต็มให้ กบชีวิต”  
            ้                    ิ่                                              ั
    หรื อมันอาจจะเป็ นเพราะเหตุผลอะไรอื่นๆอีกมากมายก็ตามที   แต่ ณ ตอนนี ้ผม
    ก็ดีใจที่ผมได้   “ตื่น”  ขึ ้นมาและเจอกับสิงที่เป็ นยิ่งกว่าในความฝั นซะอีก  นันก็คือ
                                               ่                                   ่
    โลกแห่ง “ความเป็ นจริ ง” นันเอง ่


7
ชี
	            วิตในวัยประถมเป็ นชีวิตที่แสนจะสุขสบาย  ไม่ต้องคิดมาก  ไม่ต้อง
รับผิดชอบอะไรมากมาย  ผมโชคดีมากๆที่มีพอแม่คอยดูแล  คอยท�ำตามที่ทาน
                                                ่                              ่
บอกท่านสอน  ลูกที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุนมีฐานะค่อนข้ างดีหรื อปานกลาง  
                                                  ่
พออยูพอกินก็คงจะไม่ล�ำบาก  ในแต่ละวันพอเรี ยนเสร็ จก็วิ่งเล่น  แต่กบคนที่เกิด
         ่                                                              ั
มาในครอบครัวที่ยากจน   ปากกัดตีนถีบไปในแต่ละวัน   ล�ำบากล�ำบนข้ นแค้ น  
จงเชื่อผมเถอะว่า  อย่าได้ พยายามไปกล่าวโทษพระเจ้ าว่าล�ำเอียงแล้ วท�ำให้ เรามี
ชีวิตแบบนี ้เลย  “ความล�ำบาก” นันอาจจะเป็ นของขวัญที่คนส่วนใหญ่ไม่คอยจะ
                                    ่                                       ่
อยากได้ กนซักเท่าไหร่   แต่จะคิดให้ มนทุกข์ไปใย   ในเมื่อเราคือคนพิเศษที่ได้ รับ
           ั                            ั
ของขวัญแห่งความยากจนมาแล้ ว  จงเปิ ดใช้ ของขวัญชิ ้นนันให้ ชีวิตมันแข็งแกร่ง
                                                               ้
มากขึ ้นกว่าเดิม   จงคิดเสียว่า “คุณเป็ นคนที่ได้ รับรู้ถงความรู้สกที่คนยากคนจน
                                                         ึ        ึ
เท่านันถึงจะมีสทธิรับรู้มนได้ ”  ก็มนเกิดมาแล้ ว  ชีวิตมันก็ยงคงต้ องด�ำเนินต่อไป
       ้         ิ       ั            ั                      ั

	        “ความยากจนถึงแม้มนจะไม่ใช่ความสข  แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นความ
                                ั                   ุ
ทุกข์เสมอไป”  ถึงแม้ จะเลือกเกิดไม่ได้   แต่ชีวิตมันเลือกที่จะเป็ นได้   

    คุณไม่สามารถเลือกเกิดเป็ น “ทายาท” ของตระกูลที่ยงใหญ่
                                                    ิ่
   แต่คุณสามารถเลือกเป็ น “บรรพบุรุษ” ของตระกูลที่ใหญ่ยงได้
                                                       ิ่


	           หากใครคิดว่าตนเองเจอกับเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
ที่สดแล้ ว  จงคิดไว้ เถอะว่า  “ยังมีคนที่เลวร้ ายกว่าเราเสมอในโลกใบนี ้  แล้ วท�ำไม
    ุ
เราจะก้ าวข้ ามผ่านมันไปไม่ได้ ”   อย่าได้ พยายามหาคนที่เราจะไปกล่าวโทษเขา  
แต่จงหาข้ อดีของมันให้ เจอ  ทุกอย่างมันไม่ได้ มีแค่สองด้ าน  ทุกๆอย่างมันมีอยู่
หลายๆด้ านให้ ชีวิตเราได้ เลือกมองเสมอ  เพราะขนาด “คนที่เลวร้ ายที่สด  เขาก็
                                                                          ุ
อาจจะให้ค�ำแนะน�ำที่ดีที่สดได้เช่นกน”   และถ้าเมื่อใดเราเจอปัญหาเจอความ
                                ุ       ั
ทุกข์   ให้ คดไว้ เสมอว่า   นันคือความโชคดีอย่างสุดๆ   เพราะว่า “ความสุขไม่ได้
             ิ                ่
ให้ อะไรมากมายกับชีวิตนักหรอก  กับความทุกข์ตางหากที่จะท�ำให้ คนเราเรี ยนรู้
                                                      ่
และเติบโตขึ ้นเป็ นผู้ใหญ่อย่างแท้ จริ ง”
เมื่อใดที่เรารู้สกว่าชีวิตของตนเองต�่ำต้ อย รู้สกท้ อแท้ ด้วยเรื่ องใดก็ตาม
                               ึ                              ึ
    ถ้ าเรามองตนเองเทียบกับคนที่สงกว่า เราจะรู้สกแย่มากที่ส้ เู ขาไม่ได้ แต่ถ้ามอง
                                         ู             ึ
    เทียบกับคนที่ต�่ำกว่า เราจะรู้ สกล�ำพองอหังการ ขณะเดียวกันถ้ าเรามองตัวเอง
                                       ึ
    เทียบกบคน “ธรรมดา” ทวไป เราก็จะพบว่ายงมีคนอีกมากมายที่เขาก็พบกบ
            ั                    ั่                      ั                              ั
    ปั ญหา มีความทุกข์มากมายในชีวิตเหมือนกันกับเรา และนันจะท�ำให้ เราค้ นพบ
                                                                    ่
    ความจริงว่าเรายังคงมี “เพื่อนทุกข์” อีกมากมายในโลกใบนี ้ ไม่ว่าชีวิตคุณ
    มันจะตกต�่ำหรื อล้ มเหลวซักเพียงใดก็ตาม แต่จงจ�ำไว้ เถอะว่า


                       ในขณะที่คุณ “เกลี ยด” ชีวตของคุณ
                                                ิ
                     มีบางคน “ฝัน” อยากที่จะมีชีวตแบบคุณ
                                                  ิ




9
ถ้าเราตงใจว่า  "ความทกข์เกิดขึ ้นมาเพื่อเป็นอาจารย์ของเรา"  ความทกข์ก็ไม่ใช่สิ่ง
                  ั้               ุ                                           ุ
น่ากลัว ถ้ าเราไม่กลัวความทุกข์ ยังจะมีอะไรในโลกนี ้ให้ ต้องประหวันพรั่นพรึงกันอีก จงเรี ยนรู้
                                                                  ่
จากทุกข์  อย่ามัวแต่เป็ นทุกข์  จงเติบโตจากความทุกข์   อย่ายอมสยบเพราะความทุกข์
จ     ากเด็กบ้ านนอกต่างอ�ำเภอที่พอจะมีดีตดตัวอยูบ้าง พอเข้ าเรี ยนชัน
                                                               ิ      ่                   ้
     มัธ ยมศึก ษาก็ ต้ อ งจากบ้ า นไปเข้ าเรี ย นในโรงเรี ย นที่ มีชื่อเสี ยงในตัว จัง หวัด
     ชนมธยมต้นคือช่วงเวลาแห่งการอยากร้ ู อยากเห็นและเป็นช่วงเวลาแห่งการล้อ
        ั้ ั
     ชื่อพ่อชื่อแม่ ในห้ องผมมันก็จะมีเด็กในตัวเมืองอยูคนหนึงชื่อว่า “เก่ง” มันเป็ น
                                                                 ่  ่
     เด็ก เรี ย นเก่ ง หน้ าตาดี และผิ วขาว เสมื อ นว่าจะเพี ย บพร้ อมไปซะทุกอย่า ง
     แต่เสียอย่างเดียวคือมัน “ปากหมา” ชอบดูถกคนอื่น ตอนเข้ าไปเรี ยนในวันแรกๆ
                                                           ู
     มัน ก็ ไ ม่ ก ล้ า ที่ จ ะคุย กับ ผมเท่ า ไหร่ นั ก หรอก เพราะผมเป็ นเด็ ก บ้ า นนอก
     ตัวคล� ้ำๆด�ำๆ แต่อยูมาวันหนึงระหว่างเปลี่ยนคาบเรี ยนมันก็เดินมาพูดกับผม
                                  ่        ่

     เก่ง :	     คนบ้ าอะไรว่ะ ชื่อโครตเชยเลยวะ

     (ผมมองหน้ ามั น แล้ วก็ นั่ ง อ่ า นหนั ง สื อ การ์ ตู น ต่ อ )

     เก่ง :	     เด็กบ้ านนอกสอบเข้ าโรงเรี ยนดังในตัวเมืองได้ เนี่ย
     	           มึงคิดว่ามึงเจ๋งนักเหรอวะ!

     ธรรม : กูไม่เคยคิดว่ากูเจ๋งไปกว่าใครหรอกนะ แต่ ถ้ า “ตอนไหนที่มึงดูถูก
     	      คนอื่น ณ ตอนนันใจมึงก็ต�่ำกว่าเขาคนนันแล้ วแหละเพื่อนเอ๋ย”
                             ้                   ้

     เก่ง :	     อ่าว! ไอ้ นี่ มึงรู้หรื อเปล่ากูเป็ นใคร กูสอบเข้ าโรงเรี ยนนี ้ได้ ที่หนึงนะโว้ ย
                                                                                           ่

     ธรรม : แล้วไงวะ ก็เรื่องของมึงนิ แล้วเกี่ยวอะไรกบกละ แต่กจะบอกมึงไว้	
                                                     ั ู      ู
     	      อย่างนะ “อย่าคิดว่ามึงเหนือกว่าใครเขา เพราะขนาดหนังสือที่มึง
     	      ใช้ เรี ยน มันยังมีคนเขียนให้ มงอ่านเลย”
                                           ึ

     (หลั ง จากที่ ผ มพู ด จบ มั น ก็ เ งี ย บไปซั ก พั ก ส่ ว นผมก็ นั่ ง อ่ า นการ์ ตู น ของผมต่ อ
     แต่ สุ ด ท้ ายมั น ก็ พู ด ขึ น มาอี ก ว่ า )
                                   ้

     เก่ง :	     ด�ำเอ้ย! พ่อแม่มึงคน “ผิวสี” หรือเปล่านิ เกิดมามึงถึงได้ด�ำขนาดนี ้

11
(หลั ง จากมั น พู ด ประโยคนั น จบ ผมก็ ลุ ก ขึ น ชกมั น ลงไปนอนกองกั บ พื น
                                ้              ้                          ้
จากนั น ผมก็ ดึ ง คอเสื อ มั น ขึ น มา )
       ้                ้         ้

ธรรม :    	ตอนกูเกิดมานะ ผิวกูก็ “สีด�ำ”
	          ตอนกูโตขึ ้น ผิวกูก็ “สีด�ำ”
	          ตอนกูออกไปเจอแสงแดด ผิวกูก็ “สีด�ำ”
	          ตอนกูมีแผล ผิวกูก็ “สีด�ำ”
	          ตอนกูเจ็บป่ วย ผิวกูก็ “สีด�ำ”
	          และเมื่อวันที่จะตายมาถึง ผิวกูก็ยงคง “สีด�ำ”
                                            ั

	         แต่ส�ำหรับมึง บุคคลผู้สง่างาม มีผิว “ขาวผ่อง”
	         ตอนมึงเกิดมา ผิวมึง “สีชมพู”
	         ตอนมึงโตขึ ้น ผิวมึง “สีขาว”
	         ตอนมึงออกไปเจอแสงแดด ผิวมึง “สีแดง”
	         ตอนมึงมีแผล ผิวมึง “สีเหลือง”
	         ตอนมึงเจ็บป่ วย ผิวมึง “สีเขียว”
	         และเมื่อถึงวันตายนะ ซึงมันอาจจะเป็ นวันนี ้ก็ได้
                                   ่
	         ผิวมึงก็จะเป็ น “สีเทา”
	         มึงได้ ค�ำตอบหรื อยัง ว่าพ่อแม่กู “ผิวสี” หรื อเปล่า
	         ค�ำว่า “ผิวสี” มันควรจะใช้ กบใคร มึงเข้ าใจรึยง!
                                      ั                     ั

เก่ง :	   เอ่อๆ! กูเข้ าใจละ กูขอโทษ


	         มีคนเคยพูดเอาไว้ วา
                            ่


ไม่วาตอนเกิดคุณจะมีสีผิวอย่างไร แต่ตอนปิ ดไฟทุกคนสีผิวเดียวกัน
    ่
        “อย่าได้ดู ถกใคร เพราะไม่มีใคร ต่างจากตัวเรา”
หลังจากที่ผมและเก่งได้ “คุย” กันในวันนัน  สิงที่ท�ำให้ ผมคิดว่าผมเป็ น
                                                        ้ ่
     คนที่ฉลาดกว่าไอ้ เก่งก็คือ “ผมเห็นความโง่ในตัวของผมเอง  ในขณะที่ไอ้ เก่งมัน
     อวดฉลาดไปซะทุกเรื่ อง”  จงจ�ำเอาไว้ วา  “ความโง่” คือสิงที่ “คนฉลาด” พึงมีเอา
                                              ่               ่
     ไว้ ใช้ ในเวลาที่เหมาะสมที่สด  แต่หลังจากวันนันเป็ นต้ นมา ไอ้ เพื่อนคนนี ้ของผม
                                    ุ               ้
     มันก็เริ่ มเปลี่ยนไป  เลิกดูถกและก็คอยช่วยเหลือเพื่อนคนอื่นๆ  และมีอีกสิงหนึง
                                  ู                                              ่ ่
     ที่มนเปลี่ยนก็คือ  มันเรี ยกผมว่า “ลูกพี่”   
          ั

     	          พูดถึงการเรี ยนในช่วง ม.ต้ น   พ่อของผมเคยสอนเคล็ดลับในการเรี ยน
     เอาไว้ใ ห้ ผ มหนึ่ง ข้ อ     โดยพ่อบอกผมว่าลูกไม่ต้องไปพึ่งการเรียนพิเศษหรอก  
     แค่ตงใจเรี ยนในห้ องก็พอแล้ ว  ไม่เข้ าใจอะไรตรงไหนก็ถามคุณครู  “ถ้ าลูกถามครู   
          ั้
     ลูกอาจจะดูวาโง่เพียงแค่ 5 นาที แต่คนที่ไม่เคยถามซักทีนนแหละ  มันอาจจะโง่
                   ่                                             ั่
     ไปตลอดชีวิต”  เด็กหลายๆคนไม่กล้าถามครูในห้องเรียนเพราะกลวถกเพื่อนใน  ั ู
     ห้ องมองว่า “โง่” แต่ในความเป็ นจริ งแล้ ว   มันเป็ นสิงที่ตรงข้ ามกันอย่างสิ ้นเชิง  
                                                            ่
     คนที่กล้าถามในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจและอาจโดนเพื่อนมองว่าโง่นนแหละ    ต่อไป
                                                                       ั่
     ในอนาคตเขาจะเป็ นคนที่ “ฉลาด” ที่สดในห้ อง  ส่วนคนที่ฉลาดตลอดเวลาเพราะ
                                             ุ
     ถึงจะไม่เข้ าใจก็ไม่เคยจะถามซักที  เชื่อเถอะว่าคนประเภทนันคือคนที่ “โง่” ที่สด
                                                                    ้                 ุ



                    คนที่ “เ ข ้าใจ” อะไรต่อมิอะไรได้ดีที่สุดคือ
                   คนที่สามารถเอ่ยถามในเวลาที่ตน “ไม่เข้าใจ”




13
พ
                    อเริ่มเข้าเรียนช่วงมัธยมปลาย   ร้ ู สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งการ
     “ตดเพื่อน” อยากร้ ู อยากลองไปซะทกอย่าง   เริ่มร้ ู สกว่าอยากมีแฟน   เป็นชวง
        ิ                                  ุ                 ึ                    ่
     เวลาของความ  “กวนตีน” ทะลึงตึงตัง   สิ่งที่ผมจ�ำได้ เป็ นอย่างดีในช่วงชีวิตวัยนี ้
                                      ่
     ก็คือในคาบเรียนวิชาภาษาไทย   ในวนนนมีคณครูสาวสวยพึ่งจบใหม่มาสอน
                                             ั ั้ ุ
     แทนอาจารย์ประจ�ำวิชาที่แกลาป่ วย  หลังจากที่คณครูคนสวยสอนเสร็ จ  คุณครู
                                                         ุ
     ก็พดขึ ้นมาว่า
          ู

     คุณครู :    มีใครมีค�ำถามอะไรไหมค่ะ

     (ผมยกมื อ ขึ น แล้ วก็ ถ ามคุ ณ ครู )
                  ้

     ธรรม :     ผมมี ค�ำถามครั บคุณครู !   อยากถามครู ว่าใครเป็ นคนคิดค้ นค� ำว่า
     	         “ผมรักคุณ” ขึ ้นมาครับ

     คุณครู :   เอ่อ!  เอ่อ!  มันต้องคิดขึนมาเลยเหรอค่ะค�ำนี    คุณครูไม่ร้ ู ค่ะ   
                                          ้                    ้
     	          ท�ำไมถึงถามแบบนัน   นักเรี ยนรู้เหรอว่าใครเป็ นคนที่คดค�ำๆนี ้ขึ ้นมา
                                    ้                                ิ

     ธรรม :     ผมว่าน่าจะเป็ น  “ประเทศจีน”  นะครับ

     คุณครู :   ท�ำไมเธอว่าอย่างนันละ
                                  ้

     ธรรม :     “ก็เพราะว่ามันไม่มีทงคุณภาพและการรับประกันนะซิครับ”  
                                    ั้
     	          หากมันได้ ผลมันก็จะคงอยูตลอดไปแต่หากว่ามันไม่ได้ ผล
                                           ่
     	          มันก็จะไม่มีสงใดเกิดขึ ้นเลย
                             ิ่

     คุณครู :    ฮาๆ  คิดได้ นะเราน่ะ!  งันคุณครูขอถามคืนหน่อยละกัน  
                                          ้
     	           ให้ เธอแหละตอบ  ครูจะถามว่า  สสารคืออะไร  


15
ธรรม :   ง่ายมากๆเลยครับคุณครู ตวอย่างของสสารเอาแบบชดๆเลยก็คือ	
                                         ั                              ั
	        น� ้ำแข็ง เพราะว่ามนมีอย่จริงบนโลกใบนี ้ เราสามารถสมผัสได้และ
                              ั      ู                                ั
	        มันไม่สูญสลายไปไหน อย่างเช่น น�ำแข็งสามารถเปลี่ยนกลายมา	
                                                ้
	        เป็ นน� ้ำได้ และจากน� ้ำสามารถเปลี่ยนกลายเป็ นไอน� ้ำได้ ด้วยเช่นกัน

คุณครู : เก่งมากๆเลยค่ะ! ถูกต้ องที่สด!
                                      ุ
	        แล้ วถ้ าอย่างนัน “ความรัก” ก็เป็ น “สสาร” เหมือนกันซิคะ
                         ้                                      ่

ธรรม : เอ่อ! ท�ำไมครูพดแบบนันละครับ
                      ู     ้

คุณครู : ก็มน “เปลี่ยนสถานะ” ได้ เหมือนกันนี่คะ
            ั                                 ่

	         หลังจากคุณครูพดจบ นักเรี ยนในห้ องทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา
                           ู
และผมก็ ป ระทับ ใจใน “ไหวพริ บ ” ของคุณ ครู ค นสวยคนนี เ้ ป็ นอย่ า งมาก
เพราะในการใช้ชีวิตในสงคมของโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่จ�ำเป็นว่าคณ
                         ั                                                      ุ
ต้องเป็นคนที่เรียนเก่ง ไม่จ�ำเป็นว่าคณต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสง ขอเพียง
                                         ุ                             ู
แค่ในชีวิตมี “ไหวพริ บ” ในการใช้ ชีวิตให้ อยูรอด ใช้ ชีวิตให้ มีความสุข แค่นนมันก็
                                            ่                               ั้
เพียงพอแล้ วส�ำหรับการ “ใช้ ชีวิตให้ มนมีชีวิตอย่างแท้ จริ ง”
                                       ั


	           พอพูดถึงเรื่องไหวพริบ มันท�ำให้ผมนึกถึงเรื่องๆหนึ่งขึนมาทันที
                                                                   ้
เพื่อนของผมคนหนึงมันเคยเอาข่าวๆหนึงมาให้ ผมอ่าน เนื ้อหาในข่าวมันมีอยูวา
                     ่                    ่                             ่่
มีนกหนังสือพิมพ์ปากจัดนายหนึง ถูกฟองร้ องข้ อหาหมิ่นประมาทเนื่องจากเขา
     ั                           ่          ้
ไปเรี ยก รัฐมนตรี ทานหนึง (จ�ำไม่ได้ วามาจากรัฐบาลไหน) ว่า “ควาย” หลังจาก
                   ่     ่            ่
การไต่สวนหลายนัด ศาลก็ตดสินให้ นกหนังสือพิมพ์มีความผิดตามฟอง ลงโทษ
                             ั          ั                        ้
ปรับ 5,000 บาทกับจ�ำคุกอีก 1 เดือน โดยให้ รอลงอาญาไว้ ก่อน
	           นักหนังสือพิมพ์รับค�ำตัดสินอย่างไม่ยินยอมพร้ อมใจนัก เขาจึงถาม
ผู้พิพากษาไปว่า
นักหนังสือพิมพ์ : อย่างนัน ถ้ าผมเรี ยก “ควาย” ว่า “รัฐมนตรี ”
                              ้
     	                 ผมจะมีความผิดไหมครับ

     ผู้พิพากษา :          อืม! ก็คงจะไม่ผิดอะไร

     (นั ก หนั ง สื อ พิ ม พ์ ยิ ม รั บ ค� ำ ตอบอย่ า งพอใจ ก่ อ นจะหั น ไปหารั ฐ มนตรี คู่ ก รณี )
                                 ้

     นักหนังสือพิมพ์ : ไงครับ! ท่านรัฐมนตรี

     	         ข้ อคิดของข่าวๆนี ้ ท�ำให้ ร้ ูวาในประเทศไทย “ควาย” สามารถเป็ นได้
                                               ่
     ทุกๆอย่าง หลายต่อหลายคนเข้ าใจผิดคิดว่ามนุษย์เป็ นสิงมีชีวิตที่ประเสริ ฐสุด
                                                               ่
     บนโลกใบนี ้ แต่จะพยายามยกตนไว้ สงเหนือสัตว์อื่นท�ำไมละคนเอ๋ย เพราะสิง
                                                 ู                             ่
     ที่เราอยากเป็ นนัน "เยี่ยงสัตว์" ทังนัน อยากบินได้ เหมือนนก อยากอยู่ในน�ำ
                       ้                ้ ้                                      ้
     เหมือนปลา อยากรวดเร็ วปานสัต ว์ สี่ขาและอยากมี ความอดทนได้ เ หมื อน
     "ควาย" ผมก็งงเหมือนกันนะ เวลามีใครด่ากันว่า “ควาย” ท�ำไมต้องโกรธ
     แต่พอด่ากันว่า ไอ้ ปลาดาว ไอ้ กระต่าย ไอ้ แมงกะพรุน กลับไม่มีใครสนใจที่จะ
     เดือดร้ อนซักนิด

     	          “ควาย” อยูอย่างเป็ นสุขในขณะที่โดนมนุษย์กร่นด่า แต่มนุษย์กลับไม่
                         ่
     เคยมองเห็นความสุขจากการ “เพิกเฉย” ในสิงที่ไม่ควรสนใจของควายในขณะ
                                                  ่
     ที่เราไปด่ามัน มนุษย์กลับไปคิดว่าควาย “โง่” แต่ในความเป็ นจริ งแล้ ว ควาย
     ไม่ได้ สนใจซักนิดในสิ่งที่มนุษย์หลายคนถากถางแต่คนที่ร้อนรนกลับเป็ นมนุษย์
     หลายๆคนที่ตนเองเป็นยิ่งกว่า “ควาย” จงอย่าใส่ใจและจงภูมิใจ หากมีใคร
17
     เรี ยกเราว่า “ควาย”
อี
     	             กหนึงช่วงเวลาที่เป็ นช่วงหัวเลี ้ยวหัวต่อในชีวิต  คือช่วงชันมัธยมศึกษา
                       ่                                                      ้
     ปีที่ 6   ซงมนก็มาพร้อมกบการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลย   ในช่วงที่ใกล้จะ
                ึ่ ั            ั                                       ั
     สมัครสอบ  ผมก็ยงตัดสินใจไม่ได้ ซกทีวาจะลงคณะไหน  เรี ยนอะไร  เย็นวันหนึง
                          ั                 ั ่                                         ่
     จึงตัดสินใจเดินเข้ าไปคุยกับพ่อ

     ธรรม :    	พอครับ!  ผมจะเลือกเรี ยนคณะไหนดี  
                  ่
     	          ให้ มนจบออกมาแล้ วมีงานดีๆท�ำ
                     ั

     พ่อ :       	สงที่ลกจะเรี ยนนะ  พ่อเลือกไว้ ให้ ตงแต่แรกแล้ ว
                   ิ่ ู                               ั้

     ธรรม :   	อะไรเหรอพ่อ

     พ่อ :       	สิ่งที่ พ่อจะให้ ธรรมเรี ยนก็ คือ สิ่งเดี ยวกันกับสิ่งที่ อยู่ในใจของธรรม
     	            นนแหละ  ชอบอะไรก็เรียนอนนันไปเลย  เพราะสิ่งที่ลูกชอบกับสิ่งที่	
                     ั่                           ั ้
     	            ลูก เรี ย นมันจะอยู่กับลูก ไปตลอดชี วิต    ดัง นัน ลูก คื อ คนที่ ตัด สิ น ใจ  
                                                                    ้
     	            พ่อว่านะ!   จะเรียนอะไรก็ตามแต่ไม่ต้องไปห่วงหรอกว่าจบมาแล้ว
     	            จะมีงานแบบไหนให้ เราท�ำ  เพราะว่ามัน

                     ไม่มีงานใดหรอกที่ ต่ำ� ถ้าเราท�ำด้วยใจที่ สูง

     ธรรม : 	 ครับพ่อ!   แต่แม่หรือญาติๆก็อยากให้ผมเรียนหมอกนทงนน   ก็มนมี	     ั ั้ ั้        ั
                   ทัง เงิ น    มี ทังเกี ย รติ    สังคมไทยก็ ย อมรั บว่า เป็ นอาชี พ อัน ดับ หนึ่ ง  
                     ้               ้
     	             แต่ผมก็ไม่ได้ อยากเป็ นเท่าไหร่หรอก  เอาไงดีพอ!       ่

     พ่อ :      	งันพ่อขอถามอะไรเราซักข้ อนะ   ธรรมคิดว่าอะไรที่ มันส�ำคัญที่ สุด
                   ้
     	           ในโลกใบนี ้  อากาศ, น� ้ำ, ดิน, มนุษย์, สัตว์  หรื อธรรมคิดว่าอะไร



19
ธรรม : 	 เอ่อ! อืม! ไม่ร้ ูซพอ
                            ิ ่

พ่อ :    	น� ้ำหยดเล็กๆมันก่อให้ เกิดผืนป่ า ป่ าย่อมๆมันช่วยฟอกอากาศให้ สดชื่น
	         อากาศเพียงน้อยนิดท�ำให้เกิดสิ่งมีชีวิต ชีวิตมนุษย์พกพิงอยู่บนผืน
                                                                  ั
	         แผ่นดินหรื อแม้ แต่จลนทรี ย์ที่ดไร้ คามันยังช่วยย่อยสลายสิงต่างๆให้ เกิด
                                  ุิ        ู ่                     ่
	         สมดุล พ่อเองก็ไม่ร้ ูเหมือนกันหรอกนะว่าสิงไหนมันส�ำคัญที่สดในโลก
                                                         ่               ุ
	         ร้ ู แต่ว่าถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป โลกใบนีมันก็จะไม่เป็นโลกอีกต่อไป
                                                       ้
	         แล้วมันจะมีอาชีพไหนไหมละลูกที่ดีที่สุดหรือส�ำคญที่สุด มันอยู่ที่
                                                               ั
	         ตวเราจะมองจะตดสินใจต่างหาก อย่า ตัดสิน ใจอะไรเพียงเพราะ
               ั                ั
	         บรรทัดฐานของสังคมจนเกินไป

ธรรม : 	 ครับพ่อ! เข้ าใจแล้ วครับพ่อ

พ่อ :    	สิ่งที่ลูกต้องเรียนก็เรียนตามหัวใจตวเองนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก
                                                 ั
	         ว่าจบออกมาแล้วจะมาท�ำอะไร เพราะไม่ว่าจะท�ำอะไรขอแค่ท�ำให้
	         มนสดๆ เพราะมนจะเป็นความร้ ู สกที่ยิ่งใหญ่เวลาที่เราบอกใครไปว่า
             ั ุ              ั                ึ
         	“เราเก่ งในสิ่งที่ เราเป็ น” แม้ ว่าหน้ าที่ นัน มัน จะเป็ นเรื่ องที่ เ ล็กน้ อย
                                                         ้
	         ต้อยต�่ำเพียงใดก็ตาม และมีอีกสิ่งหนึ่งที่พ่ออยากจะบอกลกมากคือ       ู
	         อย่า ไปดูถูก ใครหรื อ ดูถูก อาชี พใดๆ เพี ยงเพราะเราคิดว่า เขา “โง่”
	         หรื อต้ อยต�่ำ

     ในโลกนี้ ไม่เคยมี “คนโ ง ่” ทุกคนล้วนแต่เป็ นคน “อัจฉริยะ”
    เพราะถ้าเราไปตัดสินปลาโดยใช้ความสามารถในการปี นต้นไม้
                       ทั้งชีวตมันก็จะคิดว่ามันโง่
                              ิ

ธรรม : 	 ขอบคุณครับพ่อ
วันนันหลังจากที่ผมคุยกับพ่อเสร็จ ผมก็ตดสินใจได้ วาสิงที่ผมต้ องการ
                    ้                                          ั               ่ ่
     จะเรี ย นในมหาวิ ท ยาลัย คื อ สิ่ ง ใด  และมี อี ก สิ่ ง หนึ่ ง ที่ ผ มได้ เ รี ย นร้ ู มาก็ คื อ  

                         “ใจเราเป็นเช่นไร  โลกของเราก็จะเป็นเช่นนัน  
                                                                  ้
                             ถ้าใจเราแคบ  โลกของเรามันก็แคบ  
                             ถ้าใจเรากว้าง  โลกของเรามนก็กว้าง  
                                                       ั
                           และถ้าใจเราสว่างต่อให้โลกมืดซกแค่ไหน
                                                         ั
                                  ก็จะยังคงเห็นทางไปเสมอ”

     	        อย่าไปดถกใคร  อย่าไปดถกอาชีพใด  เพราะถ้าขาดใครไป  โลกใบนี ้
                       ู ู         ู ู
     มันก็คงไม่นาอยูอีกต่อไป
                ่ ่




21
ห  นึงในช่วงชีวิตที่สนุกและมีความสุขมากที่สดก็คือการได้ เข้ าเรี ยนใน
                        ่                                   ุ
     มหาวิทยาลัย   ผมตัดสินใจสอบเข้ าเรี ยนได้ ที่คณะเภสัชศาสตร์    มหาวิทยาลัย
     ขอนแก่ น    ที่ ผ มเลื อกคณะนี เ้ ป็ นเพราะผมเป็ นคน  “ขี โ้ รค”  มี โ รคประจ� ำ ตัว
     เยอะแยะไปหมด   จึงอยากเรียนเกี่ยวกบยาเพื่อให้มีความร้ ู และไม่ไปเป็นภาระ
                                               ั
     ของคนอื่น   สิงที่ประทับใจมากที่สดในการเรี ยนเกิดขึ ้นในคาบเรี ยนแรกของการ
                      ่                     ุ
     เป็นนักศึกษา   วิชานันก็คือจรรยาบรรณวิชาชีพ  โดยหลังจากที่ อาจารย์เ ดิน
                              ้
     เข้ ามาในห้ อง  นักศึกษาทุกคนต่างก็พากันนังเงียบ
                                                 ่

     อาจารย์ :	  สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกคนเข้ าสูชวงชีวิตที่สนุกที่สด
                                                 ่่                  ุ

     (หลั ง จากพู ด จบ  อาจารย์ ก็ ห ยิ บ ตั ง ค์ แ บงค์ 1,000 หนึ่ ง ใบออกมาจากกระเป๋ า
     แล้ วก็ ชู มั น ขึ น เหนื อ หั ว )
                        ้

     อาจารย์ :	 แบงค์  1,000  ในมืออาจารย์เนี่ย!   มีใครอยากได้ บ้าง

     (นั ก ศึ ก ษาในห้ องต่ า งมองหน้ ากั น แล้ วท� ำ หน้ า  งงๆ   แต่ ก็ ย กมื อ ขึ น และตอบ
                                                                                     ้
     อาจารย์ ไ ปว่ า )

     นักศึกษา : ผมอยากได้ ครับ!  เอาให้ หนูก็ได้ คะอาจารย์!
                                                  ่

     อาจารย์ :	 แล้ วถ้ าหากว่าอาจารย์ขย�ำจนมันยับยูยี่แบบนี ้   แล้ วยังจะมีใครอยาก
                                                   ่
     	          ได้ อยูหรื อเปล่า
                       ่

     นักศึกษา : ผมยงอยากได้ครับอาจารย์!   อาจารย์ไม่เอาก็เอามาให้หนเู ถอะค่ะ!
                   ั

     อาจารย์ :	  แล้วหากว่าแบงค์ 1,000 แบงค์นี ้   มนหล่นอย่บนพื ้นถนนที่เปือนไป
                                                    ั       ู               ้
     	           ด้วยโคลน   พวกเธอยังอยากที่จะหยิบแบงค์ 1,000 แบงค์นีขึนมา    ้้
     	           อยูรึเปล่า  
                    ่


23
นักศึกษา : ผมไม่ รั ง เกี ย จเลยครั บ ! ถ้ า หนูเ ห็ น ต่ อ ให้ มัน สกปรกแค่ ไ หน
	          หนูก็จะหยิบขึ ้นมาค่ะ!

อาจารย์ :    นันแหละคือสิงมีคาที่พวกเธอได้ เรี ยนรู้ไปในวันนี ้
               ่              ่ ่
  	          “ไม่ ว่ า พวกเธอจะท� ำ อะไรกั บ ธนบัต รใบนี ้ มั น ก็ ยั ง คงมี ร าคา
	            1,000 บาท ชี วิ ต ของคนเราก็ เ ช่ น เดี ย วกั น บางครั ง ล้ ม เหลว
                                                                            ้
	            บางครังถูกคนอื่นเหยียบย�่ำ จนบางครังเกิดความรู้ สกว่าตัวเองไร้ ค่า 	
                       ้                             ้               ึ
	            แต่ ไ ม่ ว่ า อะไรจะเกิ ด ขึ น พวกคุณ ทุก คนก็ ยัง มี คุณ ค่ า ของความ
                                          ้
	            เป็ นคนอยู่ ไม่วาพวกเธอจะสะอาดเอี่ยมหรื อยับยูยี่อยูก็ตาม”
                                ่                                ่ ่

(นั ก ศึ ก ษาทุ ก คนในห้ องต่ า งเงี ย บกริ บ)
	
อาจารย์ :    บางคนในห้ องนี ้อาจใช้ ชีวิตตังแต่เกิดมาจนถึง ณ ตอนนี ้โดยที่ไม่เคย 	
                                           ้
	            เจอกั บ ความผิ ด หวัง เลยแม้ แต่ ค รั ง เดี ย ว เรี ย นหนัง สื อ ตามที่
                                                    ้
	            พ่อแม่บอก ไม่เคยเที่ยวกลางคืน สอบอะไรก็ผานหมด แต่ตอจากนี ้
                                                             ่              ่
	            ไปคือชีวิตที่ต้องรับผิดชอบด้ วยตัวของเราเอง คือเวลาแห่งการเติบโต
	            เป็ นผู้ใหญ่อย่างแท้ จริ ง และจากนีไ้ ป หากใครเจอเรื่ องใดๆที่ท�ำให้
	            ท้ อแท้ ใจในชีวิตก็ตาม ขอให้ จ�ำแบงค์ 1,000 ในมืออาจารย์แบงค์นี ้ไว้
	            ให้ ดี และจดจ�ำมันไปตลอดทังชีวิต้
บทสรุ ป สุด ท้ ายของวันนันก็ คือ   ไม่มี ใ ครได้ แ บงค์ 1,000 ในมื อของ
                                           ้
     อาจารย์ ไ ป   แต่ทุก คนล้ วนอมยิ ม เพราะสิ่งที่ ไ ด้ จากอาจารย์ นั น มั น เป็ นสิ่ง ที่
                                         ้                                  ้
     มีค่าที่ประเมินเป็ นราคาไม่ได้ เลย  
     	         พระนักปราชญ์อย่างท่าน  ว.วชิรเมธี   เคยกล่าวเอาไว้ วา  การเกิดเป็ น
                                                                          ่
     “มนุษย์” เป็นสิ่งที่เป็นไปได้แสนยาก   ต้องใช้เวลาสงสมบุญญาบารมีกันกว่า
                                                             ั่
     แสนล้านชาติภพ   แต่ไม่ว่าจะยากเพียงไร   เราก็ควรดีใจที่ได้เกิดมาเป็นคนกบ            ั
     เขาชาติหนึง ่

       ต่อให้ชีวตนี้ หมดสิ้ นทุกอย่าง ไม่เหลืออะไรเป็ นสมบัติติดตัวเลย
                ิ
                                ก็ขอให้ภมิใจเถิดว่า
                                        ู
      การที่เรายังคงเป็ นมนุ ษย์อยู่ แค่นี้ก็นับเป็ นสมบัติที่สงค่าที่สุดแล้ว
                                                               ู




     	
               ชี
                  วิตในรัวมหาวิทยาลัยเป็ นอะไรที่ “วิเศษ” อย่างมากมาย  มีเพื่อนให้
                         ้
     สนุกสนานร่วมกันอย่างมากมาย   รับน้ องก็ซึ ้งอย่างมากมาย   ใกล้ วนสอบก็
                                                                          ั
     เครี ยดอย่างมากมาย   รับผิดชอบชีวิตตัวเองอย่างมากมาย   ทุกสิงทุกอย่างล้ วน
                                                                    ่
     “มากมาย”  ผมโชคดีที่ตนเอง  “อดเปรี ยวไว้ กินหวาน”  ตังใจเรี ยนในช่วงมอปลาย   
                                          ้                ้
     และบอกได้ เ ลยว่ า ความสนุก ของช่ ว งชี วิ ต ในตอนมอปลาย    มัน เที ย บกัน
     ไม่ติดเลยกับช่วงที่เรี ยนในรัวของมหาวิทยาลัย   
                                  ้
     	



25
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่
คิดต่าง  สร้างใหม่

Mais conteúdo relacionado

Destaque

Cd cover 1
Cd cover 1Cd cover 1
Cd cover 1pheatha2
 
Target audience
Target audienceTarget audience
Target audiencepheatha2
 
Questionnaire pie charts
Questionnaire pie chartsQuestionnaire pie charts
Questionnaire pie chartspheatha2
 
Conceptual music video analysis
Conceptual music video analysisConceptual music video analysis
Conceptual music video analysispheatha2
 
Entreprenørskap 011110
Entreprenørskap 011110Entreprenørskap 011110
Entreprenørskap 011110HAKAA
 
Music video ideas
Music video ideasMusic video ideas
Music video ideaspheatha2
 
Plan for a2
Plan for a2Plan for a2
Plan for a2pheatha2
 
Cd cover 2
Cd cover 2Cd cover 2
Cd cover 2pheatha2
 
Using augmented reality and mobile learning: opportunities and challenges
Using augmented reality and mobile learning: opportunities and challengesUsing augmented reality and mobile learning: opportunities and challenges
Using augmented reality and mobile learning: opportunities and challengesLiz FitzGerald
 
Geolocated audio tours
Geolocated audio toursGeolocated audio tours
Geolocated audio toursLiz FitzGerald
 
Guidelines for the design of location-based audio for mobile learning
Guidelines for the design of location-based audio for mobile learningGuidelines for the design of location-based audio for mobile learning
Guidelines for the design of location-based audio for mobile learningLiz FitzGerald
 
Hidden Histories: a Towards Pervasive Media feasibility study
Hidden Histories: a Towards Pervasive Media feasibility studyHidden Histories: a Towards Pervasive Media feasibility study
Hidden Histories: a Towards Pervasive Media feasibility studyLiz FitzGerald
 
Innovasjonsprosess
InnovasjonsprosessInnovasjonsprosess
InnovasjonsprosessHAKAA
 
Lies, damned lies and statistics: an evaluation of learning styles in AEH
Lies, damned lies and statistics: an evaluation of learning styles in AEHLies, damned lies and statistics: an evaluation of learning styles in AEH
Lies, damned lies and statistics: an evaluation of learning styles in AEHLiz FitzGerald
 
ชื่อโครงการจัดทำโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาสร้างเสริมปัญญาให้เด็กด้อยโอกาส
ชื่อโครงการจัดทำโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาสร้างเสริมปัญญาให้เด็กด้อยโอกาสชื่อโครงการจัดทำโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาสร้างเสริมปัญญาให้เด็กด้อยโอกาส
ชื่อโครงการจัดทำโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาสร้างเสริมปัญญาให้เด็กด้อยโอกาสChu Ching
 
Catwalk technologies and researching in the wild
Catwalk technologies and researching in the wildCatwalk technologies and researching in the wild
Catwalk technologies and researching in the wildLiz FitzGerald
 

Destaque (17)

Cd cover 1
Cd cover 1Cd cover 1
Cd cover 1
 
Target audience
Target audienceTarget audience
Target audience
 
Questionnaire pie charts
Questionnaire pie chartsQuestionnaire pie charts
Questionnaire pie charts
 
Conceptual music video analysis
Conceptual music video analysisConceptual music video analysis
Conceptual music video analysis
 
Entreprenørskap 011110
Entreprenørskap 011110Entreprenørskap 011110
Entreprenørskap 011110
 
Extras
ExtrasExtras
Extras
 
Music video ideas
Music video ideasMusic video ideas
Music video ideas
 
Plan for a2
Plan for a2Plan for a2
Plan for a2
 
Cd cover 2
Cd cover 2Cd cover 2
Cd cover 2
 
Using augmented reality and mobile learning: opportunities and challenges
Using augmented reality and mobile learning: opportunities and challengesUsing augmented reality and mobile learning: opportunities and challenges
Using augmented reality and mobile learning: opportunities and challenges
 
Geolocated audio tours
Geolocated audio toursGeolocated audio tours
Geolocated audio tours
 
Guidelines for the design of location-based audio for mobile learning
Guidelines for the design of location-based audio for mobile learningGuidelines for the design of location-based audio for mobile learning
Guidelines for the design of location-based audio for mobile learning
 
Hidden Histories: a Towards Pervasive Media feasibility study
Hidden Histories: a Towards Pervasive Media feasibility studyHidden Histories: a Towards Pervasive Media feasibility study
Hidden Histories: a Towards Pervasive Media feasibility study
 
Innovasjonsprosess
InnovasjonsprosessInnovasjonsprosess
Innovasjonsprosess
 
Lies, damned lies and statistics: an evaluation of learning styles in AEH
Lies, damned lies and statistics: an evaluation of learning styles in AEHLies, damned lies and statistics: an evaluation of learning styles in AEH
Lies, damned lies and statistics: an evaluation of learning styles in AEH
 
ชื่อโครงการจัดทำโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาสร้างเสริมปัญญาให้เด็กด้อยโอกาส
ชื่อโครงการจัดทำโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาสร้างเสริมปัญญาให้เด็กด้อยโอกาสชื่อโครงการจัดทำโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาสร้างเสริมปัญญาให้เด็กด้อยโอกาส
ชื่อโครงการจัดทำโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาสร้างเสริมปัญญาให้เด็กด้อยโอกาส
 
Catwalk technologies and researching in the wild
Catwalk technologies and researching in the wildCatwalk technologies and researching in the wild
Catwalk technologies and researching in the wild
 

Semelhante a คิดต่าง สร้างใหม่

Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยากMakeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยากPhairot Odthon
 
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนักอีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนักPanda Jing
 
เลือกที่จะมอง
เลือกที่จะมองเลือกที่จะมอง
เลือกที่จะมองPanda Jing
 
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chayตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chayPeter Chay
 
บริหารธุรกิจตามวิถีแห่งเต๋าของเหลาจื๊อ โดย ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ
บริหารธุรกิจตามวิถีแห่งเต๋าของเหลาจื๊อ โดย ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจบริหารธุรกิจตามวิถีแห่งเต๋าของเหลาจื๊อ โดย ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ
บริหารธุรกิจตามวิถีแห่งเต๋าของเหลาจื๊อ โดย ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจNopporn Thepsithar
 
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)Padvee Academy
 
เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน
เสียดายคนตายไม่ได้อ่านเสียดายคนตายไม่ได้อ่าน
เสียดายคนตายไม่ได้อ่านkrutew Sudarat
 
'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์
'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์
'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์คิดดี ทำดี
 
วิถีแห่งเซน_สตีฟ จอบส์
วิถีแห่งเซน_สตีฟ จอบส์วิถีแห่งเซน_สตีฟ จอบส์
วิถีแห่งเซน_สตีฟ จอบส์Osotspa Tabletennis
 
อวสานเซลล์แมน – จุติอวตาร
อวสานเซลล์แมน – จุติอวตารอวสานเซลล์แมน – จุติอวตาร
อวสานเซลล์แมน – จุติอวตารSanphat Leowarin
 
MMTh's Book briefing V.7 :Who Moved My Cheese
MMTh's Book briefing V.7 :Who Moved My CheeseMMTh's Book briefing V.7 :Who Moved My Cheese
MMTh's Book briefing V.7 :Who Moved My CheesePHICHAI
 
การวางแผนเลือกคู่ชีวิต
การวางแผนเลือกคู่ชีวิตการวางแผนเลือกคู่ชีวิต
การวางแผนเลือกคู่ชีวิตSarid Tojaroon
 
ถามให้คิดสะกิดใจ Complete
ถามให้คิดสะกิดใจ Completeถามให้คิดสะกิดใจ Complete
ถามให้คิดสะกิดใจ CompleteMuttakeen Che-leah
 
บทความวิจารณ์ภาพยนต์เรื่อง อวตาร โดย ดร วรภัทร์
บทความวิจารณ์ภาพยนต์เรื่อง อวตาร โดย ดร วรภัทร์บทความวิจารณ์ภาพยนต์เรื่อง อวตาร โดย ดร วรภัทร์
บทความวิจารณ์ภาพยนต์เรื่อง อวตาร โดย ดร วรภัทร์Nopporn Thepsithar
 

Semelhante a คิดต่าง สร้างใหม่ (20)

Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยากMakeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
 
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนักอีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
 
เลือกที่จะมอง
เลือกที่จะมองเลือกที่จะมอง
เลือกที่จะมอง
 
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chayตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
 
เนื้อหา
เนื้อหาเนื้อหา
เนื้อหา
 
บริหารธุรกิจตามวิถีแห่งเต๋าของเหลาจื๊อ โดย ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ
บริหารธุรกิจตามวิถีแห่งเต๋าของเหลาจื๊อ โดย ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจบริหารธุรกิจตามวิถีแห่งเต๋าของเหลาจื๊อ โดย ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ
บริหารธุรกิจตามวิถีแห่งเต๋าของเหลาจื๊อ โดย ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ
 
Shortstory
ShortstoryShortstory
Shortstory
 
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)
 
Osho Way
Osho WayOsho Way
Osho Way
 
เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน
เสียดายคนตายไม่ได้อ่านเสียดายคนตายไม่ได้อ่าน
เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน
 
เสียดาย....
เสียดาย....เสียดาย....
เสียดาย....
 
'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์
'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์
'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์
 
วิถีแห่งเซน_สตีฟ จอบส์
วิถีแห่งเซน_สตีฟ จอบส์วิถีแห่งเซน_สตีฟ จอบส์
วิถีแห่งเซน_สตีฟ จอบส์
 
The way of_zen
The way of_zenThe way of_zen
The way of_zen
 
อวสานเซลล์แมน – จุติอวตาร
อวสานเซลล์แมน – จุติอวตารอวสานเซลล์แมน – จุติอวตาร
อวสานเซลล์แมน – จุติอวตาร
 
From Ivory Tower to Street Food
From Ivory Tower to Street FoodFrom Ivory Tower to Street Food
From Ivory Tower to Street Food
 
MMTh's Book briefing V.7 :Who Moved My Cheese
MMTh's Book briefing V.7 :Who Moved My CheeseMMTh's Book briefing V.7 :Who Moved My Cheese
MMTh's Book briefing V.7 :Who Moved My Cheese
 
การวางแผนเลือกคู่ชีวิต
การวางแผนเลือกคู่ชีวิตการวางแผนเลือกคู่ชีวิต
การวางแผนเลือกคู่ชีวิต
 
ถามให้คิดสะกิดใจ Complete
ถามให้คิดสะกิดใจ Completeถามให้คิดสะกิดใจ Complete
ถามให้คิดสะกิดใจ Complete
 
บทความวิจารณ์ภาพยนต์เรื่อง อวตาร โดย ดร วรภัทร์
บทความวิจารณ์ภาพยนต์เรื่อง อวตาร โดย ดร วรภัทร์บทความวิจารณ์ภาพยนต์เรื่อง อวตาร โดย ดร วรภัทร์
บทความวิจารณ์ภาพยนต์เรื่อง อวตาร โดย ดร วรภัทร์
 

คิดต่าง สร้างใหม่

  • 1.
  • 2. ค ด ่ า ง ส ร ง ใ ห ม ส ามัญ
  • 4. � ำ คำน � อาจจะมีซกครังในชีวิตของคุณที่เคยคิดว่าตนเอง ล้ มเหลว, ผิดหวัง, ั ้ ท้ อแท้ กบการเป็ นมนุษย์หรื อรู้สกว่าตนเองแตกต่างจาก “คนส่วนใหญ่” ในสังคม ั ึ แต่จงอย่าได้ กลัวหากซักวันคุณคิดว่าคุณกลายเป็ น “คนส่วนน้ อย” เพราะคนที่ สร้ างสิงที่ยิ่งใหญ่และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี ้กลับกลายเป็ น “คนส่วนน้ อย” ที่ล้วน ่ มี “ความคิดที่แตกต่าง” จากคนส่วนใหญ่ในสังคมแทบทังสิ ้น ้
  • 5. กาลครังหนึง การบินอยูเ่ หนือท้ องฟาถือเป็ นความใฝ่ ฝั นอันยิ่งใหญ่ของมวล ้ ่ ้ มนษย์ทงหลาย แต่สองพี่น้องตระกลไรท์ (Wright Brother) ไมคดวามนเป็นเพียงแค่ ุ ั้ ู ่ ิ ่ ั ความฝัน พวกเขาบอกกับโลกใบนีว่า เขาสามารถท�ำให้มนุษย์บินได้ จวบจนกระทั่ง ้ ทังสองคนได้ สร้ าง “เครื่ องบิน” ล�ำแรกของโลกขึ ้นมาได้ ส�ำเร็ จ ้ กาลครังหนึง ศาสตราจารย์ผ้ เู ก่งกาจทังหลาย เคยปฏิเสธวิทยานิพนธ์ของ ้ ่ ้ งานๆหนึง และบอกว่าเป็ นเรื่ องไร้ สาระ จวบจนกระทังทุกวันนี ้ มาร์ ค ซัคเคอร์ เบิร์ก ่ ่ (Mark Zuckerberg) ได้ สร้ างให้ “facebook” กลายเป็ นสิงที่ท�ำให้ มนุษย์ทวโลกได้ ร้ ูจกกัน ่ ั่ ั กาลครังหนึง สตีฟ จ๊ อบ (Steve Job) เปิ ดบริ ษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง โดยใช้ ้ ่ สโลแกนว่า think different จวบจนกระทังในปั จจุบนเป็ นบริ ษัทซึงเป็ นเจ้ าของผลิตภัณฑ์ ่ ั ่ “iPod, iPhone และ iPad” กาลครังหนึง อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพฒน์ เคยโดนชาวบ้ านด่าว่า “บ้ า” ้ ่ ั หลังจากเดินเข้ าไปในหมูบ้านและบอกกับชาวบ้ านว่า จะมาสร้ างวัดที่ผ้ คนมากมายต้ อง ่ ู มาเยือนในแต่ละปี จวบจนกระทัง “วัดร่องขุน” ติด 1 ใน 10 ของวัดที่สวยงามที่สดในโลก ่ ุ กาลครังหนึง โน้ ต อุดม แต้ พานิช เคยเดินเข้ าไปขอสปอนเซอร์ กบบริ ษัท ้ ่ ั แห่งหนึงเพื่อที่จะท�ำ “โชว์เดี่ยว” ขึ ้นมา แต่เจ้ าของบริ ษัทแห่งนันบอก โน้ ต กลับมาว่า ่ ้ “ถ้ าหาค่าบัตรได้ เกิน 50,000 บาท โน้ ตกลับมาด่าพี่ได้ เลย” จวบจนกระทัง “เดี่ยว 9” ่ ของ โน้ ต อุดม แต้ พานิช ขายบัตรได้ เกินกว่า “หนึงร้ อยล้ านบาท” ภายในเวลาเพียงแค่ ่ “วันเดียว” การคิดในมุมที่ “ต่าง” จาก “คนส่วนใหญ่” และการเชื่อมันอย่างเต็มเปี่ ยมใน ่ สิงที่ท�ำของ “คนส่วนน้ อย” ข้ างต้ น ล้ วนเป็ นสิงที่สร้ าง “ความส�ำเร็ จ” ให้ กบคนเหล่านัน ่ ่ ั ้ และมอบความส�ำเร็จเหล่านันให้ คนทัวไปได้ ชื่นชม ้ ่ ทกสิ่งทกอย่างในชีวิตล้วนมีจดเริ่มต้นจาก “ความคิด” และการคิ ด ให้ต่าง ุ ุ ุ ไม่ว่าจะในมุมไหนลักษณะใด ถึงแม้ ผลลัพธ์ มนจะออกมาในทิศทางที่ดีขึ ้นหรื อแย่ลง ั ก็ตาม แต่จะมีสงหนึงที่เกิดขึ ้นอย่างแน่นอน นันก็คือการ “สร้ างสิงใหม่” ขึ ้นมา ิ่ ่ ่ ่ หนังสือเล่มนี ้จะท�ำให้ คณเกิดอาการ “ฉุกคิด” ในมุมที่แตกต่างจากที่หลายๆ ุ คนมองข้ าม ไม่วาคุณจะเจอปั ญหาร้ ายแรงแค่ไหน ไม่วาคุณจะผิดหวังมากี่หนก็ตาม ่ ่ ไม่วาคุณจะล้ มเหลวมากี่ที ไม่ว่าคุณจะอกหักมากี่รอบ ไม่วาคุณจะสอบตกมากี่ครัง ่ ่ ้ ไม่วาคุณจะไม่เหลือตังค์ซกกี่หน ไม่วาคุณจะทนทุกข์ทรมานปวดร้ ายขนาดไหน อย่าได้ ่ ั ่ “เศร้ าใจ” เพราะทุก สิ่งทุก อย่างในชี วิต ล้ วนมี “หลายด้ า น” ให้ เ ราได้ เ ลื อกมองเสมอ อยากให้ คุณลองคิดลองมองในมุมที่แตกต่าง แล้ วคุณจะรั บรู้ ได้ ว่า “การคิ ด ให้ ต่าง มันอาจจะเปลี่ยนแนวคิดและชีวิตของคุณได้ ”
  • 6.
  • 7. หนังสือแทบจะทุกเล่มที่วางขายในท้ องตลาดล้ วนมีข้อความที่แสดง ให้ เห็นถึง “ข้ อดี” ที่มีอยูภายใน แต่หนังสือเล่มนี ้เคยโดนส�ำนักพิมพ์แห่งหนึง ่ ่ ปฏิเสธต้ นฉบับ โดยให้ เหตุผลว่า บญ ั “เนื ้อหาไม่มีแก่นของเรื่ องที่ชดเจน เขียนไปเรื่ อยๆท�ำให้ เนื ้อเรื่ องอืด ั สาร ไม่มีจดดึงอารมณ์คนอ่าน” ุ แต่ ส� ำ หรั บ คนที่ เ ขี ย นหนัง สื อ เล่ ม นี ขึ น มาอย่ า ง “ผม” สิ่ ง นี ถื อ เป็ น ้ ้ ้ หนึ่งในสิ่งที่ส�ำคญที่สุดส�ำหรับชีวิต มีหลายๆเรื่อง หลายๆคราวในชีวิตที่มัน ั บ่งบอกกับคุณว่าอย่าได้ เชื่อค�ำที่คนอื่นพูด จนกว่าคุณจะได้ พิสจน์ด้วยตัวของ ู คณเอง หนงสือเล่มนี ้ก็อาจจะเป็นเช่นนน ลองดซิว่ามนค้ มค่ากบเวลาที่เสียไป ุ ั ั้ ู ั ุ ั ในการหยิบมันขึ ้นมาอ่านหรื อเปล่า แต่มีอยูหนึงอย่างที่คณเชื่อผมได้ แน่นอนคือ ถ้ าเปรี ยบหนังสือเล่มนี ้ ่ ่ ุ เป็ นคน ผู้อานก็คงจะพอรับรู้ได้ วา คนทีกล้ าพอทีจะเอ่ยถึง “จุดด้ อย” ของตนเอง ่ ่ ่ ่ นันคือคนที่นา “คบ” ที่สดในโลก เพราะตลอดทังชีวิตและทุกๆ “หน้ า” ของเขา ้ ่ ุ ้ เขาไม่มีวนที่จะดูถกคุณและจะคอยอยูเ่ คียงข้ างคุณเสมอ ไม่วาเวลาใดก็ตาม ั ู ่ ในชีวิตจริ งของคนเรา มันคงจะไม่มีสารบัญที่คอยขีดเขียนเป็ นส่วนๆ ไว้ ให้ ก้าวเดินตรงตามความต้ องการเสมอไป จงใส่ใจกับทุกๆหน้ า ใส่ใจกับทุกๆ ช่วงของชีวิต เพราะหนังสือเล่มที่คณถืออยูคือ ุ ่ “ชีวตที่คิดต่างเพื่อสร้างความสุข” ิ
  • 8. ในชีวตของคนเรามันจะมีสิ่งที่เรียกกันว่า “ความทุกข์” ิ เกิดขึ้ นได้ซกกี่ครั้งกันเชียว ั ถ้าเรารูจกคิดให้เป็ น ้ั นนคือค�ำพดของ “ชายแก่” ธรรมดาๆคนหนึ่ง ซงนอนอย่บนเตียงใน ั่ ู ึ่ ู โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ซึ่งตงอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีได้พูดกับ “ผม” ั้ ช่วงเวลาที่ยงหลงเหลืออยู่ในชีวิตของแกบนโลกที่สวยงามใบนี ้ช่างเหลือน้ อยลง ั เต็มแก่ แต่เมื่อผมมองไปที่ใบหน้ าของชายแก่ธรรมดาๆคนนัน สิงหนึงที่รับรู้ได้ ้ ่ ่ ก็คือ รอยยิ ้มที่เปื อนบนใบหน้ าของแกมันท�ำให้ คนที่อยู่รอบข้ างรู้ สึกอิ่มเอมใจ ้ ในความสุขไปด้ วย รอบๆเตียงที่แกนอนเพียบพร้ อมไปด้ วยลูกๆหลานๆ รวมถึง “ผม” เองด้ วย ซึงทุกคนมีหยดน� ้ำตาไหลอาบที่แก้ มทังสองข้ าง แล้ วอยูๆชายแก่ ่ ้ ่ คนนันก็พดขึ ้นมาว่า ้ ู ชายแก่ : นี่คือช่วงเวลาที่พอมีความสุขที่สดแล้ ว ่ ุ “น� ำ ตา กับ รอยยิ ม ถึ ง แม้ ว่ า มัน จะเกิ ด ขึ น ได้ ไม่ บ่ อ ยนั ก ในชี วิ ต ้ ้ ้ ของคนเรา แต่ถ้าครั งใดมันเกิ ดขึนพร้ อมกันแล้ ว เชื่ อพ่อเถอะว่า ้ ้ มัน จะเป็ นสิ่งที่ เข้ ากันได้ ดีที่สุด และมัน ก็ จ ะเป็ นช่ว งเวลาที่ ดี ที่สุด ในชี วิ ต ของคนเราเช่นกัน” พ่ออยากเห็นลูกๆหลานๆมีความสุขเหมือนกันกับพ่อ เพราะอย่างนันยิ ้มไว้ ให้ พอดูหน่อยนะ ้ ่
  • 9. หลังจากที่ ชายแก่ ค นนันพูด จบประโยคได้ ไ ม่น านนัก ความเหน็ ด ้ เหนื่อยตลอดทังชีวิตของแกก็พลันมลาญหายไป แกจากพวกเราไปอย่างไม่มีวน ้ ั หวนกลับ ทุกคนต่างพากันร้ องไห้ ออกมาอย่างสุดเสียง และผมก็เป็ นอีกหนึงคน ่ ที่เกิ ดความรู้ สึกว่าตัวเองได้ “สูญเสีย” บางอย่างในชี วิตไปอย่าง “แท้ จริ ง” เพราะผมได้ สญเสียคนหนึงคนซึงเป็ นคนที่ผมรักมากกว่า “ตัวผมเอง” ด้ วยซ� ้ำไป ู ่ ่ เอ่อ! ลืมบอกไป ผมชื่อ “อ๊ อฟ” อายุ 25 ปี มีคณตาชื่อว่า “ธรรม” ุ อายุ 86 ปี คุณตาของผมก็คนเดียวกันกับคนที่ผมพึงเสียน� ้ำตาให้ ไปเมื่อกี ้แหละ ่ บอกตามตรงนะ ผมคิดว่าคุณตาของผมนี่แหละคือคนที่มีความคิดที่ “วิเศษ” ที่สดในโลกแล้ว ท�ำไมผมกล้าที่จะพดขนาดนนนะเหรอ ก็เพราะวา 2 สปดาห์ ุ ู ั้ ่ ั ก่อนที่คุณตาของผมท่านจะเข้าโรงพยาบาล ท่านได้ฝากบนทึกเล่มหนึ่งไว้ให้ ั กับผม และหลังจากที่ผมอ่านบันทึกเล่มนันจบ ความรู้สกแรกที่เกิดขึ ้นภายในใจ ้ ึ เลยก็คือ “นี่คือหนังสือที่ผมใช้เวลาตามหามาตลอดทงชีวิต” บนทึกเล่มนีคือ ั้ ั ้ สงที่มีคากบชีวิตของผมยิ่งกวา “เงิน” ยิ่งกว่า “ทอง” เสียอีก พดมาซะขนาดนี ้ ิ่ ่ ั ่ ู หลายคนเริ่ มคิดในใจแล้ วว่าผม “โม้ ” มากเกินไปหรื อเปล่า ก็นนแหละ! อย่าได้ ั่ เชื่อค�ำใครง่ายๆ คุณต้องตดสินมันเองหลงจากที่คุณได้อ่านบนทึกเล่มนีจบ ั ั ั ้ ดูซวามันจะให้ อะไรกับชีวิตของคุณบ้ าง ิ่ เนื ้อหาในบนทึกที่คณตาผมเขียน ท่านจะเล่าถึงประสบการณ์ใน ั ุ ชีวิตของแก ตังแต่ที่แกยังจ�ำความได้ ในวัยเด็ก โตขึ ้นเป็ นวัยรุ่น เติบใหญ่มา ้ ท�ำงาน จนกระทังความแก่เข้ ามาเยือน และบนหน้ าปกของบันทึกของคุณตา ่ จะมีข้อความอยูด้านล่าง ท่านเขียนเอาไว้ วา ่ ่ ในชีวิตของคนเรามันไม่เคยมี “สิงผิดพลาด” ่ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ ้นล้ วนเป็ น “สิงเติมเต็ม” ่ เอาละ! ต่อจากนีไ้ ปจะเป็นบนทึกของคุณตาของผมที่ผมอยาก ั เผยแพร่ให้คนอื่นได้อ่าน เป็นบนทึกของคนที่มีความคิดที่ “มหัศจรรย์” ที่สุด ั ตังแต่ผมเคยรู้จกมา ้ ั
  • 10.
  • 11.
  • 12. ลงจากที่แม่คลอดผมออกมาลืมตาดโลกที่จงหวดอบลราชธานี ั ู ั ั ุ ชื่อที่คนแถวบ้านเขาพากันเรียกผมก็คือ “ธรรม” มันเป็นชื่อที่แม่ผมตงให้เอง ั้ กับมือ อาจจะเป็ นเพราะว่าแม่ของผมเป็ นคนธรรมะธรรมโม ชอบเข้ าวัดเข้ าวา ผมเลยได้ ชื่อนี ้ติดตัวมามัง? ้ “วัด” เป็ นสถานที่ที่ผมจ�ำได้ เป็ นอย่างดีในวัยเด็ก และที่จ�ำได้ อย่าง ไมมีวนลืมเลยก็คือ ในเช้าของวนๆหนึ่งซึ่งเป็นวนส�ำคญทางพระพุทธศาสนา ่ ั ั ั ั แต่ผมจ�ำไม่ได้ว่ามันเป็นวนอะไรเพราะผมยังเด็กอยู่มาก แม่พาผมเข้าวดไป ั ั ท�ำบุญ ครังแรกที่เดินเข้ าไปในวัดก็เห็นผู้ชายใส่เสื ้อผ้ าแปลกประหลาดสีเหลือง ้ หลายคนเดินอยูในวัด และแต่ละคนก็ไม่มีผมบนหัว ผมไม่เคยเห็นจึงถามแม่วา ่ ่ เขาเป็ นใคร แม่ก็ตอบผมกลับมาว่า “พระครับ” ด้ วยความสนใจว่าพระคืออะไร เป็ นคนปกติและเป็ นคนดีหรื อเปล่า ผมจึงเดินเข้ าไปหาพระรู ปหนึ่ง แล้ วก็ถาม พระท่านไปว่า ธรรม : พระครับ! พระเป็ นคนดีไหมครับ พระ : ดีซลก! ท�ำไมถามแบบนันละครับ ิ ู ้ ธรรม : อืม! แล้ วหัวใจพระอยูข้างไหนเหรอครับ ่ พระ : อยูข้างซ้ ายลูก ่ ธรรม : อ่าว! พระเป็ นคนดีจริ งหรื อเปล่าครั บ ท� ำไมหัวใจพระไม่เห็นอยู่ ที่เดียวกันกับของผมเลย (พระรู ปนั น ท� ำ หน้ าตางงๆ แล้ วซั ก พั ก ก็ ต อบกลั บ มาใหม่ ) ้ พระ : งันหัวใจอยูตรงกลาง ใช่ไหมครับ ้ ่ 1
  • 13. ธรรม : ไม่ใช่อยูดีครับ ่ พระ : งันอยูด้านขวาเลยละกัน ้ ่ ธรรม : ก็ไม่ใช่อีกแหละครับ พระ : อ่าว! แล้ วหัวใจของลูกอยูข้างไหนละครับ ่ ธรรม : หวใจนะพระ! หัวใจน่ะก็อยู่ “ข้ างใน” นี ้ไง ั หลังจากที่ผมตอบท่านไป พระรูปนันท่านก็อมยิ ้มแล้ วก็หวเราะออกมา ้ ั ต่อจากนนท่านก็เอามือมาลบบนหวของผมแล้วพดกบผมว่า “ขอบคณนะลก” ั้ ู ั ู ั ุ ู ซึง ณ ตอนนันผมก็ไม่คอยจะรู้เรื่ องรู้ราวอะไรมากมายนักหรอก แล้ วที่ผมถาม ่ ้ ่ พระท่านไปแบบนันก็เพราะว่า แม่ของผมท่านเคยบอกเอาไว้ วาคนที่เป็ น “คนดี” ้ ่ ทุกๆคนจะมีหวใจที่ดีงามฝั งอยู่ “ข้ างใน” ของร่างกาย ั แล้ วหลังจากที่ผมคุยกับพระรูปนันเสร็จ แม่ก็มาพาผมเข้ าไปในโบสถ์ ้ วันนันเป็ นวันที่คนในวัดเยอะมาก หลังจากที่พระท่านฉันอาหารเช้ าเสร็ จ พระรูป ้ ที่ผมเคยเข้าไปถามก่อนหน้านี ้ท่านก็ขึ ้นนงบนธรรมมาตรเพื่อเทศน์ให้ญาติโยม ั่ ฟั ง และประโยคแรกที่ทานพูดออกมาก็คือ ่ พระ : ญาติโยมทังหลายมีใครรู้บ้างว่า “หัวใจ” ของคนเราน่ะอยูข้างไหน ้ ่ (หลั ง จากที่ พระท่ า นพู ด จบ ผมซึ่ ง นั่ ง อยู่ ท างด้ านหลั ง ของโบสถ์ ก็ ก� ำลั ง จะ ยกมื อ ขึ น ตอบ แต่ ท่ า นก็ พู ด ต่ อ ขึ น มาทั น ที ) ้ ้ พระ : อ่าว! ตาจันทร์ หัวใจของตาอยูข้างไหน ่
  • 14. ตาจันทร์ : หัวใจตาก็อยูข้างซ้ ายนะซิพระ ่ พระ : แล้ วยายข่องละ! หัวใจยายอยูด้านไหน ่ ยายข่อง : หัวใจอิฉนก็อยูด้านซ้ ายเจ้ าคะ ั ่ พระ : อืม! แต่หวใจของพระไม่ได้ อยูข้างซ้ ายหรอกนะ ั ่ (หลายๆคนท� ำ หน้ างง) หวใจของพระนะอยู่ “ข้างใน” นี ้ต่างหาก ทงซ้าย ทงขวา ล้วนเป็น ั ั้ ั้ สิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ ้น จริ งๆแล้ วหัวใจของคนเราทุกคนล้ วนอยู่ข้างใน เราไปยึดติดกบสิ่งสมมติกนจนเกินไป ความสขหรือความทกข์ก็เช่น ั ุ ั ุ ุ เดียวกน มนไม่ได้เกิดมาจากทางซ้าย มนไม่ได้เกิดมาจากทางขวา ั ั ั จะทุกข์ก็อยูข้างใน ทุกข์ที่ใจ จะสุขก็ไม่ได้ ขึ ้นอยูกบรถ ไม่ได้ ขึ ้นอยูกบ ่ ่ ั ่ ั บ้าน ไมได้ขึ ้นอยกบเงินทอง ไม่ได้ขึ ้นอย่กบของสมมติทงหลายแหล่ ่ ู่ ั ู ั ุ ั้ เหล่านันหรอก ถ้ าจะสุขให้ เป็ น มันก็ต้องสุขจาก “ข้ างใน” มันก็ต้องสุข ้ จาก “หัวใจ” เรานี่แหละ ผมก็ไม่ร้ ู หรอกว่าวนนนผมได้พดอะไรออกไป แต่ร้ ู สกเหมือนกบมน ั ั้ ู ึ ั ั จะเป็ นวันที่ได้ ให้ ข้อคิดอะไรกับชีวิตหลังจากนันของผมเยอะเลยทีเดียว ้ และประโยคสุดท้ ายที่พระท่านเทศน์ให้ ฟัง ซึงผมชอบมากๆ ท่านบอก ่ เอาไว้ วา “ทุกๆวันอาจจะไม่ใช่วนที่ดี แต่มนก็มีสงดีๆบางอย่างเกิดขึ ้นในทุกๆวัน ่ ั ั ิ่ เสมอ จงมองหามันให้ เจอ” จงมอง “ทุ กข์” ทุกวัน ให้มี “ความ สข” ุ 3
  • 15.
  • 16. อเริ่ มโตขึ ้นมาอีกหน่อย แม่ก็จบผมไปเข้ าเรี ยนชันอนุบาลที่โรงเรี ยน ั ้ แถวบ้ าน เริ่ มมีเพื่อน เริ่ มอยากเรี ยนอยากรู้ในทุกๆสิง เริ่ มมีคณครูที่คอยเป็ นคน ่ ุ ชี ้แนะแนวทาง อยูมาวันหนึงคุณครูของผมก็เริ่ มที่จะสอนเกี่ยวกับอวัยวะภายใน ่ ่ ร่างกายของตัวเรา คุณครูเริ่ มสอนโดยพูดขึ ้นมาว่า คุณครู : คนเรานะค่ะเด็กๆ ใครที่เกิดมามีอวัยวะครบทัง้ 32 ประการ ก็ถือว่า โชคดีอย่างหาที่สดไม่ได้ แล้ ว ุ (หลั ง จากที่ ผ มได้ ยิ น คุ ณ ครู พู ด ขึ น มาแบบนั น ผมจึ ง ยกมื อ ขึ น แล้ วพู ด กั บ คุ ณ ครู ) ้ ้ ้ ธรรม : คุณครูครับ ผมไม่อยากมี “เปลือกตา” เลยครับ (คุ ณ ครู ท� ำ ท่ า ทาง งงๆ แล้ วก็ ต อบผมกลั บ มา) คุณครู : อ่าว! ท�ำไมถึงพูดแบบนันละครับ ้ ธรรม : ก็ เพราะว่ามันเป็ นส่วนที่ กันระหว่าง “ความฝั น” กับ “ความจริ ง” ้ ในชีวิตของผมนะซิครับ (หลั ง จากที่ ผ มพู ด เสร็ จ คุ ณ ครู ของผมท่ า นก็ อึ ง ไปซั ก พั ก แล้ วสั ก ครู่ ท่ า นก็ พู ด ้ ขึ น มาสอนผม) ้ คณครู : ธรรมครั บ ! เปลื อ กตาไม่ ไ ด้ เป็ นสิ่ ง เลวร้ ายที่ เ อาไว้ กั น ระหว่ า ง ุ ้ ความฝั น กับ ความจริ ง ของชีวิตเราหรอกนะครับ แต่สงทีมนจะท�ำให้ ิ่ ่ ั ความฝั นของเรากลายมาเป็ นความจริ ง ได้ ก็ คื อ ความตั ง ใจ ้ ความมุงมันและสิงที่ส�ำคัญที่สดคือการที่เรา “ลงมือท�ำ” มันให้ ส�ำเร็ จ ่ ่ ่ ุ ตามความฝั นต่างหากละครับ ให้ ธรรมจ�ำค�ำนี ้ไว้ นะครับ “ความตังใจมันจะไร้ คา ถ้ าเราไม่ลงมือท�ำ” ้ ่ ถ้ าอย่างนันครูขอถามธรรมอย่างหนึง ความฝั นของธรรมคืออะไรครับ ้ ่ โตขึ ้นธรรมอยากเป็ นอะไรเหรอ 5
  • 17. ธรรม : ผมก็ คิ ด อยู่ ทุ ก วัน แหละครั บ คุ ณ ครู ว่ า โตขึ น แล้ ว ผมจะเป็ นอะไร ้ แต่ก็ยงคิดไม่ออกซักที ั คุณครู : อืม! อยากงวลไปเลย ในโลกนีก็มีอยู่หลายต่อหลายคนนะที่เกิดมา ่ ั ้ จนแก่แล้ วแต่ก็ยงไม่ร้ ูวาตัวเองชอบอะไรหรื ออยากจะท�ำอะไร แต่ช่าง ั ่ มันเถอะ อย่างน้ อ ยถ้ าเรารู้ ว่าอะไรที่ มันไม่ใ ช่ อะไรที่ เ ราไม่ชอบ ก็เท่ากับว่าเราเขยิบเข้ าใกล้ สงที่ใช่ สิงที่เราอยากเป็ นแล้ วแหละครับ ิ่ ่ สิงที่ผมได้ รับจากคุณครูในวันนันก็คือ ต่อให้ เราจะฝั นไว้ ดี ฝั นไว้ เลิศหรู ่ ้ ซักเพียงใด แต่ถ้าไม่ลงมือกระท�ำมัน ทุกอย่างที่เราฝั นไว้ มันก็จะยังคงเป็ นแค่ ฝั นลมๆแล้ งๆซึงอยูได้ เพียงแค่ภายใน “เปลือกตา” ของเราเท่านัน ไม่มีทางที่มน ่ ่ ้ ั จะเกิดขึ ้นในชีวิตจริ ง หากตังใจจะท�ำอะไรซักอย่างในชีวิต ไม่ต้องสรรหาถ้ อยค�ำ ้ ที่เลิศหรู ไม่ต้องมีค�ำมันสัญญา แต่ถ้าอยากให้ มนประสบผลส�ำเร็ จ คนเราล้ วน ่ ั ต้ องการแค่ ค�ำพูด “ธรรม ดา” แต่วา “ลงมือทำ�” ่
  • 18. ดยส่วนตวแล้วผมเป็นคนที่ชอบฝันบ่อยมาก อาจจะเป็ นเพราะว่า ั ผมเป็นคนที่ชอบคิด ชอบจินตนาการก็เป็นได้ และในตอนเช้าของวัน ๆหนึ่ง ในช่วงที่ผมก�ำลังเรี ยนอยูชนประถมศึกษา ผมตื่นขึ ้นมาพร้ อมกับอากาศที่แจ่มใส ่ ั้ เหมือนปกติในทุกๆวัน แต่มีบางสิงที่แตกต่างออกไปก็คือการตื่นขึ ้นมาพร้ อมกับ ่ คราบของรอยน� ้ำตาที่ใหลอาบบนแก้ มทังสองข้ าง ในตอนนันเองที่ผมรู้สกมึนงง ้ ้ ึ กับน� ้ำตาที่ไม่ร้ ูไหลออกมาในตอนไหน เกิดความสงสัยอย่างมากจึงเดินเข้ าไป ถามแม่ในห้ องครัว ธรรม : แม่ครับ! เมื่อคืนผมฝั นด้ วยแหละ รู้ สกเหมือนกับว่ามันจะเป็ นฝั นดี ึ ด้ วยนะแม่ ดีจนน� ้ำตาไหลเลยครับ แต่พอตื่นขึ ้นมากลับจ�ำอะไรไม่ได้ ซักอย่างเลย ท�ำไมมันเป็ นแบบนันครับแม่ ้ แม่ : แม่ว่า นะลูก “บางที ส มองของคนเรามันอาจจะสร้ างมาเพื่ อให้ ชี วิ ต ของเราอยูกบโลกแห่งความเป็ นจริ ง มากกว่าอยู่กบโลกแห่งความฝั น ่ ั ั ก็เป็ นได้ นะครับ” ลูกเลยจ�ำอะไรไม่ได้ ไงละครับ แต่ลกก็ไม่ต้องคิดมาก ู หรอกนะ เพราะแม่คดว่า ิ “คนเราจะเจอกับฝั นที่สวยงามที่สดในชีวิตได้ ก็เมื่อตอนตื่นนันแหละ” ุ ่ หลงจากฟังที่แม่พูดจบ ผมก็เลิกที่จะนึกคิดว่าเมื่อคืนผมฝันถึงอะไร ั และน� ้ำตามันไหลออกมาตอนไหน และผมก็หาค�ำตอบให้ กับตัวเองได้ แล้ วว่า ท�ำไมคนเราถึงมีความฝั นในตอนที่นอนหลับอยู ผมคิดว่า “บางทีการที่คนเรามี ่ ชี วิ ต อยู่กับ ความเป็ นจริ งมากจนเกิ นไป มันคงเจ็ บปวดจนเกิ นที่ จะทนรั บได้ ดังนันคนเราจึงต้ องมีสงที่เรี ยกกันว่าความฝั นไว้ คอยเป็ นส่วนเติมเต็มให้ กบชีวิต” ้ ิ่ ั หรื อมันอาจจะเป็ นเพราะเหตุผลอะไรอื่นๆอีกมากมายก็ตามที แต่ ณ ตอนนี ้ผม ก็ดีใจที่ผมได้ “ตื่น” ขึ ้นมาและเจอกับสิงที่เป็ นยิ่งกว่าในความฝั นซะอีก นันก็คือ ่ ่ โลกแห่ง “ความเป็ นจริ ง” นันเอง ่ 7
  • 19. ชี วิตในวัยประถมเป็ นชีวิตที่แสนจะสุขสบาย ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้อง รับผิดชอบอะไรมากมาย ผมโชคดีมากๆที่มีพอแม่คอยดูแล คอยท�ำตามที่ทาน ่ ่ บอกท่านสอน ลูกที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุนมีฐานะค่อนข้ างดีหรื อปานกลาง ่ พออยูพอกินก็คงจะไม่ล�ำบาก ในแต่ละวันพอเรี ยนเสร็ จก็วิ่งเล่น แต่กบคนที่เกิด ่ ั มาในครอบครัวที่ยากจน ปากกัดตีนถีบไปในแต่ละวัน ล�ำบากล�ำบนข้ นแค้ น จงเชื่อผมเถอะว่า อย่าได้ พยายามไปกล่าวโทษพระเจ้ าว่าล�ำเอียงแล้ วท�ำให้ เรามี ชีวิตแบบนี ้เลย “ความล�ำบาก” นันอาจจะเป็ นของขวัญที่คนส่วนใหญ่ไม่คอยจะ ่ ่ อยากได้ กนซักเท่าไหร่ แต่จะคิดให้ มนทุกข์ไปใย ในเมื่อเราคือคนพิเศษที่ได้ รับ ั ั ของขวัญแห่งความยากจนมาแล้ ว จงเปิ ดใช้ ของขวัญชิ ้นนันให้ ชีวิตมันแข็งแกร่ง ้ มากขึ ้นกว่าเดิม จงคิดเสียว่า “คุณเป็ นคนที่ได้ รับรู้ถงความรู้สกที่คนยากคนจน ึ ึ เท่านันถึงจะมีสทธิรับรู้มนได้ ” ก็มนเกิดมาแล้ ว ชีวิตมันก็ยงคงต้ องด�ำเนินต่อไป ้ ิ ั ั ั “ความยากจนถึงแม้มนจะไม่ใช่ความสข แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นความ ั ุ ทุกข์เสมอไป” ถึงแม้ จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่ชีวิตมันเลือกที่จะเป็ นได้ คุณไม่สามารถเลือกเกิดเป็ น “ทายาท” ของตระกูลที่ยงใหญ่ ิ่ แต่คุณสามารถเลือกเป็ น “บรรพบุรุษ” ของตระกูลที่ใหญ่ยงได้ ิ่ หากใครคิดว่าตนเองเจอกับเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ที่สดแล้ ว จงคิดไว้ เถอะว่า “ยังมีคนที่เลวร้ ายกว่าเราเสมอในโลกใบนี ้ แล้ วท�ำไม ุ เราจะก้ าวข้ ามผ่านมันไปไม่ได้ ” อย่าได้ พยายามหาคนที่เราจะไปกล่าวโทษเขา แต่จงหาข้ อดีของมันให้ เจอ ทุกอย่างมันไม่ได้ มีแค่สองด้ าน ทุกๆอย่างมันมีอยู่ หลายๆด้ านให้ ชีวิตเราได้ เลือกมองเสมอ เพราะขนาด “คนที่เลวร้ ายที่สด เขาก็ ุ อาจจะให้ค�ำแนะน�ำที่ดีที่สดได้เช่นกน” และถ้าเมื่อใดเราเจอปัญหาเจอความ ุ ั ทุกข์ ให้ คดไว้ เสมอว่า นันคือความโชคดีอย่างสุดๆ เพราะว่า “ความสุขไม่ได้ ิ ่ ให้ อะไรมากมายกับชีวิตนักหรอก กับความทุกข์ตางหากที่จะท�ำให้ คนเราเรี ยนรู้ ่ และเติบโตขึ ้นเป็ นผู้ใหญ่อย่างแท้ จริ ง”
  • 20. เมื่อใดที่เรารู้สกว่าชีวิตของตนเองต�่ำต้ อย รู้สกท้ อแท้ ด้วยเรื่ องใดก็ตาม ึ ึ ถ้ าเรามองตนเองเทียบกับคนที่สงกว่า เราจะรู้สกแย่มากที่ส้ เู ขาไม่ได้ แต่ถ้ามอง ู ึ เทียบกับคนที่ต�่ำกว่า เราจะรู้ สกล�ำพองอหังการ ขณะเดียวกันถ้ าเรามองตัวเอง ึ เทียบกบคน “ธรรมดา” ทวไป เราก็จะพบว่ายงมีคนอีกมากมายที่เขาก็พบกบ ั ั่ ั ั ปั ญหา มีความทุกข์มากมายในชีวิตเหมือนกันกับเรา และนันจะท�ำให้ เราค้ นพบ ่ ความจริงว่าเรายังคงมี “เพื่อนทุกข์” อีกมากมายในโลกใบนี ้ ไม่ว่าชีวิตคุณ มันจะตกต�่ำหรื อล้ มเหลวซักเพียงใดก็ตาม แต่จงจ�ำไว้ เถอะว่า ในขณะที่คุณ “เกลี ยด” ชีวตของคุณ ิ มีบางคน “ฝัน” อยากที่จะมีชีวตแบบคุณ ิ 9
  • 21. ถ้าเราตงใจว่า "ความทกข์เกิดขึ ้นมาเพื่อเป็นอาจารย์ของเรา" ความทกข์ก็ไม่ใช่สิ่ง ั้ ุ ุ น่ากลัว ถ้ าเราไม่กลัวความทุกข์ ยังจะมีอะไรในโลกนี ้ให้ ต้องประหวันพรั่นพรึงกันอีก จงเรี ยนรู้ ่ จากทุกข์ อย่ามัวแต่เป็ นทุกข์ จงเติบโตจากความทุกข์ อย่ายอมสยบเพราะความทุกข์
  • 22. ากเด็กบ้ านนอกต่างอ�ำเภอที่พอจะมีดีตดตัวอยูบ้าง พอเข้ าเรี ยนชัน ิ ่ ้ มัธ ยมศึก ษาก็ ต้ อ งจากบ้ า นไปเข้ าเรี ย นในโรงเรี ย นที่ มีชื่อเสี ยงในตัว จัง หวัด ชนมธยมต้นคือช่วงเวลาแห่งการอยากร้ ู อยากเห็นและเป็นช่วงเวลาแห่งการล้อ ั้ ั ชื่อพ่อชื่อแม่ ในห้ องผมมันก็จะมีเด็กในตัวเมืองอยูคนหนึงชื่อว่า “เก่ง” มันเป็ น ่ ่ เด็ก เรี ย นเก่ ง หน้ าตาดี และผิ วขาว เสมื อ นว่าจะเพี ย บพร้ อมไปซะทุกอย่า ง แต่เสียอย่างเดียวคือมัน “ปากหมา” ชอบดูถกคนอื่น ตอนเข้ าไปเรี ยนในวันแรกๆ ู มัน ก็ ไ ม่ ก ล้ า ที่ จ ะคุย กับ ผมเท่ า ไหร่ นั ก หรอก เพราะผมเป็ นเด็ ก บ้ า นนอก ตัวคล� ้ำๆด�ำๆ แต่อยูมาวันหนึงระหว่างเปลี่ยนคาบเรี ยนมันก็เดินมาพูดกับผม ่ ่ เก่ง : คนบ้ าอะไรว่ะ ชื่อโครตเชยเลยวะ (ผมมองหน้ ามั น แล้ วก็ นั่ ง อ่ า นหนั ง สื อ การ์ ตู น ต่ อ ) เก่ง : เด็กบ้ านนอกสอบเข้ าโรงเรี ยนดังในตัวเมืองได้ เนี่ย มึงคิดว่ามึงเจ๋งนักเหรอวะ! ธรรม : กูไม่เคยคิดว่ากูเจ๋งไปกว่าใครหรอกนะ แต่ ถ้ า “ตอนไหนที่มึงดูถูก คนอื่น ณ ตอนนันใจมึงก็ต�่ำกว่าเขาคนนันแล้ วแหละเพื่อนเอ๋ย” ้ ้ เก่ง : อ่าว! ไอ้ นี่ มึงรู้หรื อเปล่ากูเป็ นใคร กูสอบเข้ าโรงเรี ยนนี ้ได้ ที่หนึงนะโว้ ย ่ ธรรม : แล้วไงวะ ก็เรื่องของมึงนิ แล้วเกี่ยวอะไรกบกละ แต่กจะบอกมึงไว้ ั ู ู อย่างนะ “อย่าคิดว่ามึงเหนือกว่าใครเขา เพราะขนาดหนังสือที่มึง ใช้ เรี ยน มันยังมีคนเขียนให้ มงอ่านเลย” ึ (หลั ง จากที่ ผ มพู ด จบ มั น ก็ เ งี ย บไปซั ก พั ก ส่ ว นผมก็ นั่ ง อ่ า นการ์ ตู น ของผมต่ อ แต่ สุ ด ท้ ายมั น ก็ พู ด ขึ น มาอี ก ว่ า ) ้ เก่ง : ด�ำเอ้ย! พ่อแม่มึงคน “ผิวสี” หรือเปล่านิ เกิดมามึงถึงได้ด�ำขนาดนี ้ 11
  • 23. (หลั ง จากมั น พู ด ประโยคนั น จบ ผมก็ ลุ ก ขึ น ชกมั น ลงไปนอนกองกั บ พื น ้ ้ ้ จากนั น ผมก็ ดึ ง คอเสื อ มั น ขึ น มา ) ้ ้ ้ ธรรม : ตอนกูเกิดมานะ ผิวกูก็ “สีด�ำ” ตอนกูโตขึ ้น ผิวกูก็ “สีด�ำ” ตอนกูออกไปเจอแสงแดด ผิวกูก็ “สีด�ำ” ตอนกูมีแผล ผิวกูก็ “สีด�ำ” ตอนกูเจ็บป่ วย ผิวกูก็ “สีด�ำ” และเมื่อวันที่จะตายมาถึง ผิวกูก็ยงคง “สีด�ำ” ั แต่ส�ำหรับมึง บุคคลผู้สง่างาม มีผิว “ขาวผ่อง” ตอนมึงเกิดมา ผิวมึง “สีชมพู” ตอนมึงโตขึ ้น ผิวมึง “สีขาว” ตอนมึงออกไปเจอแสงแดด ผิวมึง “สีแดง” ตอนมึงมีแผล ผิวมึง “สีเหลือง” ตอนมึงเจ็บป่ วย ผิวมึง “สีเขียว” และเมื่อถึงวันตายนะ ซึงมันอาจจะเป็ นวันนี ้ก็ได้ ่ ผิวมึงก็จะเป็ น “สีเทา” มึงได้ ค�ำตอบหรื อยัง ว่าพ่อแม่กู “ผิวสี” หรื อเปล่า ค�ำว่า “ผิวสี” มันควรจะใช้ กบใคร มึงเข้ าใจรึยง! ั ั เก่ง : เอ่อๆ! กูเข้ าใจละ กูขอโทษ มีคนเคยพูดเอาไว้ วา ่ ไม่วาตอนเกิดคุณจะมีสีผิวอย่างไร แต่ตอนปิ ดไฟทุกคนสีผิวเดียวกัน ่ “อย่าได้ดู ถกใคร เพราะไม่มีใคร ต่างจากตัวเรา”
  • 24. หลังจากที่ผมและเก่งได้ “คุย” กันในวันนัน สิงที่ท�ำให้ ผมคิดว่าผมเป็ น ้ ่ คนที่ฉลาดกว่าไอ้ เก่งก็คือ “ผมเห็นความโง่ในตัวของผมเอง ในขณะที่ไอ้ เก่งมัน อวดฉลาดไปซะทุกเรื่ อง” จงจ�ำเอาไว้ วา “ความโง่” คือสิงที่ “คนฉลาด” พึงมีเอา ่ ่ ไว้ ใช้ ในเวลาที่เหมาะสมที่สด แต่หลังจากวันนันเป็ นต้ นมา ไอ้ เพื่อนคนนี ้ของผม ุ ้ มันก็เริ่ มเปลี่ยนไป เลิกดูถกและก็คอยช่วยเหลือเพื่อนคนอื่นๆ และมีอีกสิงหนึง ู ่ ่ ที่มนเปลี่ยนก็คือ มันเรี ยกผมว่า “ลูกพี่” ั พูดถึงการเรี ยนในช่วง ม.ต้ น พ่อของผมเคยสอนเคล็ดลับในการเรี ยน เอาไว้ใ ห้ ผ มหนึ่ง ข้ อ โดยพ่อบอกผมว่าลูกไม่ต้องไปพึ่งการเรียนพิเศษหรอก แค่ตงใจเรี ยนในห้ องก็พอแล้ ว ไม่เข้ าใจอะไรตรงไหนก็ถามคุณครู “ถ้ าลูกถามครู ั้ ลูกอาจจะดูวาโง่เพียงแค่ 5 นาที แต่คนที่ไม่เคยถามซักทีนนแหละ มันอาจจะโง่ ่ ั่ ไปตลอดชีวิต” เด็กหลายๆคนไม่กล้าถามครูในห้องเรียนเพราะกลวถกเพื่อนใน ั ู ห้ องมองว่า “โง่” แต่ในความเป็ นจริ งแล้ ว มันเป็ นสิงที่ตรงข้ ามกันอย่างสิ ้นเชิง ่ คนที่กล้าถามในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจและอาจโดนเพื่อนมองว่าโง่นนแหละ ต่อไป ั่ ในอนาคตเขาจะเป็ นคนที่ “ฉลาด” ที่สดในห้ อง ส่วนคนที่ฉลาดตลอดเวลาเพราะ ุ ถึงจะไม่เข้ าใจก็ไม่เคยจะถามซักที เชื่อเถอะว่าคนประเภทนันคือคนที่ “โง่” ที่สด ้ ุ คนที่ “เ ข ้าใจ” อะไรต่อมิอะไรได้ดีที่สุดคือ คนที่สามารถเอ่ยถามในเวลาที่ตน “ไม่เข้าใจ” 13
  • 25.
  • 26. อเริ่มเข้าเรียนช่วงมัธยมปลาย ร้ ู สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งการ “ตดเพื่อน” อยากร้ ู อยากลองไปซะทกอย่าง เริ่มร้ ู สกว่าอยากมีแฟน เป็นชวง ิ ุ ึ ่ เวลาของความ “กวนตีน” ทะลึงตึงตัง สิ่งที่ผมจ�ำได้ เป็ นอย่างดีในช่วงชีวิตวัยนี ้ ่ ก็คือในคาบเรียนวิชาภาษาไทย ในวนนนมีคณครูสาวสวยพึ่งจบใหม่มาสอน ั ั้ ุ แทนอาจารย์ประจ�ำวิชาที่แกลาป่ วย หลังจากที่คณครูคนสวยสอนเสร็ จ คุณครู ุ ก็พดขึ ้นมาว่า ู คุณครู : มีใครมีค�ำถามอะไรไหมค่ะ (ผมยกมื อ ขึ น แล้ วก็ ถ ามคุ ณ ครู ) ้ ธรรม : ผมมี ค�ำถามครั บคุณครู ! อยากถามครู ว่าใครเป็ นคนคิดค้ นค� ำว่า “ผมรักคุณ” ขึ ้นมาครับ คุณครู : เอ่อ! เอ่อ! มันต้องคิดขึนมาเลยเหรอค่ะค�ำนี คุณครูไม่ร้ ู ค่ะ ้ ้ ท�ำไมถึงถามแบบนัน นักเรี ยนรู้เหรอว่าใครเป็ นคนที่คดค�ำๆนี ้ขึ ้นมา ้ ิ ธรรม : ผมว่าน่าจะเป็ น “ประเทศจีน” นะครับ คุณครู : ท�ำไมเธอว่าอย่างนันละ ้ ธรรม : “ก็เพราะว่ามันไม่มีทงคุณภาพและการรับประกันนะซิครับ” ั้ หากมันได้ ผลมันก็จะคงอยูตลอดไปแต่หากว่ามันไม่ได้ ผล ่ มันก็จะไม่มีสงใดเกิดขึ ้นเลย ิ่ คุณครู : ฮาๆ คิดได้ นะเราน่ะ! งันคุณครูขอถามคืนหน่อยละกัน ้ ให้ เธอแหละตอบ ครูจะถามว่า สสารคืออะไร 15
  • 27. ธรรม : ง่ายมากๆเลยครับคุณครู ตวอย่างของสสารเอาแบบชดๆเลยก็คือ ั ั น� ้ำแข็ง เพราะว่ามนมีอย่จริงบนโลกใบนี ้ เราสามารถสมผัสได้และ ั ู ั มันไม่สูญสลายไปไหน อย่างเช่น น�ำแข็งสามารถเปลี่ยนกลายมา ้ เป็ นน� ้ำได้ และจากน� ้ำสามารถเปลี่ยนกลายเป็ นไอน� ้ำได้ ด้วยเช่นกัน คุณครู : เก่งมากๆเลยค่ะ! ถูกต้ องที่สด! ุ แล้ วถ้ าอย่างนัน “ความรัก” ก็เป็ น “สสาร” เหมือนกันซิคะ ้ ่ ธรรม : เอ่อ! ท�ำไมครูพดแบบนันละครับ ู ้ คุณครู : ก็มน “เปลี่ยนสถานะ” ได้ เหมือนกันนี่คะ ั ่ หลังจากคุณครูพดจบ นักเรี ยนในห้ องทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา ู และผมก็ ป ระทับ ใจใน “ไหวพริ บ ” ของคุณ ครู ค นสวยคนนี เ้ ป็ นอย่ า งมาก เพราะในการใช้ชีวิตในสงคมของโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่จ�ำเป็นว่าคณ ั ุ ต้องเป็นคนที่เรียนเก่ง ไม่จ�ำเป็นว่าคณต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสง ขอเพียง ุ ู แค่ในชีวิตมี “ไหวพริ บ” ในการใช้ ชีวิตให้ อยูรอด ใช้ ชีวิตให้ มีความสุข แค่นนมันก็ ่ ั้ เพียงพอแล้ วส�ำหรับการ “ใช้ ชีวิตให้ มนมีชีวิตอย่างแท้ จริ ง” ั พอพูดถึงเรื่องไหวพริบ มันท�ำให้ผมนึกถึงเรื่องๆหนึ่งขึนมาทันที ้ เพื่อนของผมคนหนึงมันเคยเอาข่าวๆหนึงมาให้ ผมอ่าน เนื ้อหาในข่าวมันมีอยูวา ่ ่ ่่ มีนกหนังสือพิมพ์ปากจัดนายหนึง ถูกฟองร้ องข้ อหาหมิ่นประมาทเนื่องจากเขา ั ่ ้ ไปเรี ยก รัฐมนตรี ทานหนึง (จ�ำไม่ได้ วามาจากรัฐบาลไหน) ว่า “ควาย” หลังจาก ่ ่ ่ การไต่สวนหลายนัด ศาลก็ตดสินให้ นกหนังสือพิมพ์มีความผิดตามฟอง ลงโทษ ั ั ้ ปรับ 5,000 บาทกับจ�ำคุกอีก 1 เดือน โดยให้ รอลงอาญาไว้ ก่อน นักหนังสือพิมพ์รับค�ำตัดสินอย่างไม่ยินยอมพร้ อมใจนัก เขาจึงถาม ผู้พิพากษาไปว่า
  • 28. นักหนังสือพิมพ์ : อย่างนัน ถ้ าผมเรี ยก “ควาย” ว่า “รัฐมนตรี ” ้ ผมจะมีความผิดไหมครับ ผู้พิพากษา : อืม! ก็คงจะไม่ผิดอะไร (นั ก หนั ง สื อ พิ ม พ์ ยิ ม รั บ ค� ำ ตอบอย่ า งพอใจ ก่ อ นจะหั น ไปหารั ฐ มนตรี คู่ ก รณี ) ้ นักหนังสือพิมพ์ : ไงครับ! ท่านรัฐมนตรี ข้ อคิดของข่าวๆนี ้ ท�ำให้ ร้ ูวาในประเทศไทย “ควาย” สามารถเป็ นได้ ่ ทุกๆอย่าง หลายต่อหลายคนเข้ าใจผิดคิดว่ามนุษย์เป็ นสิงมีชีวิตที่ประเสริ ฐสุด ่ บนโลกใบนี ้ แต่จะพยายามยกตนไว้ สงเหนือสัตว์อื่นท�ำไมละคนเอ๋ย เพราะสิง ู ่ ที่เราอยากเป็ นนัน "เยี่ยงสัตว์" ทังนัน อยากบินได้ เหมือนนก อยากอยู่ในน�ำ ้ ้ ้ ้ เหมือนปลา อยากรวดเร็ วปานสัต ว์ สี่ขาและอยากมี ความอดทนได้ เ หมื อน "ควาย" ผมก็งงเหมือนกันนะ เวลามีใครด่ากันว่า “ควาย” ท�ำไมต้องโกรธ แต่พอด่ากันว่า ไอ้ ปลาดาว ไอ้ กระต่าย ไอ้ แมงกะพรุน กลับไม่มีใครสนใจที่จะ เดือดร้ อนซักนิด “ควาย” อยูอย่างเป็ นสุขในขณะที่โดนมนุษย์กร่นด่า แต่มนุษย์กลับไม่ ่ เคยมองเห็นความสุขจากการ “เพิกเฉย” ในสิงที่ไม่ควรสนใจของควายในขณะ ่ ที่เราไปด่ามัน มนุษย์กลับไปคิดว่าควาย “โง่” แต่ในความเป็ นจริ งแล้ ว ควาย ไม่ได้ สนใจซักนิดในสิ่งที่มนุษย์หลายคนถากถางแต่คนที่ร้อนรนกลับเป็ นมนุษย์ หลายๆคนที่ตนเองเป็นยิ่งกว่า “ควาย” จงอย่าใส่ใจและจงภูมิใจ หากมีใคร 17 เรี ยกเราว่า “ควาย”
  • 29.
  • 30. อี กหนึงช่วงเวลาที่เป็ นช่วงหัวเลี ้ยวหัวต่อในชีวิต คือช่วงชันมัธยมศึกษา ่ ้ ปีที่ 6 ซงมนก็มาพร้อมกบการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลย ในช่วงที่ใกล้จะ ึ่ ั ั ั สมัครสอบ ผมก็ยงตัดสินใจไม่ได้ ซกทีวาจะลงคณะไหน เรี ยนอะไร เย็นวันหนึง ั ั ่ ่ จึงตัดสินใจเดินเข้ าไปคุยกับพ่อ ธรรม : พอครับ! ผมจะเลือกเรี ยนคณะไหนดี ่ ให้ มนจบออกมาแล้ วมีงานดีๆท�ำ ั พ่อ : สงที่ลกจะเรี ยนนะ พ่อเลือกไว้ ให้ ตงแต่แรกแล้ ว ิ่ ู ั้ ธรรม : อะไรเหรอพ่อ พ่อ : สิ่งที่ พ่อจะให้ ธรรมเรี ยนก็ คือ สิ่งเดี ยวกันกับสิ่งที่ อยู่ในใจของธรรม นนแหละ ชอบอะไรก็เรียนอนนันไปเลย เพราะสิ่งที่ลูกชอบกับสิ่งที่ ั่ ั ้ ลูก เรี ย นมันจะอยู่กับลูก ไปตลอดชี วิต ดัง นัน ลูก คื อ คนที่ ตัด สิ น ใจ ้ พ่อว่านะ! จะเรียนอะไรก็ตามแต่ไม่ต้องไปห่วงหรอกว่าจบมาแล้ว จะมีงานแบบไหนให้ เราท�ำ เพราะว่ามัน ไม่มีงานใดหรอกที่ ต่ำ� ถ้าเราท�ำด้วยใจที่ สูง ธรรม : ครับพ่อ! แต่แม่หรือญาติๆก็อยากให้ผมเรียนหมอกนทงนน ก็มนมี ั ั้ ั้ ั ทัง เงิ น มี ทังเกี ย รติ สังคมไทยก็ ย อมรั บว่า เป็ นอาชี พ อัน ดับ หนึ่ ง ้ ้ แต่ผมก็ไม่ได้ อยากเป็ นเท่าไหร่หรอก เอาไงดีพอ! ่ พ่อ : งันพ่อขอถามอะไรเราซักข้ อนะ ธรรมคิดว่าอะไรที่ มันส�ำคัญที่ สุด ้ ในโลกใบนี ้ อากาศ, น� ้ำ, ดิน, มนุษย์, สัตว์ หรื อธรรมคิดว่าอะไร 19
  • 31. ธรรม : เอ่อ! อืม! ไม่ร้ ูซพอ ิ ่ พ่อ : น� ้ำหยดเล็กๆมันก่อให้ เกิดผืนป่ า ป่ าย่อมๆมันช่วยฟอกอากาศให้ สดชื่น อากาศเพียงน้อยนิดท�ำให้เกิดสิ่งมีชีวิต ชีวิตมนุษย์พกพิงอยู่บนผืน ั แผ่นดินหรื อแม้ แต่จลนทรี ย์ที่ดไร้ คามันยังช่วยย่อยสลายสิงต่างๆให้ เกิด ุิ ู ่ ่ สมดุล พ่อเองก็ไม่ร้ ูเหมือนกันหรอกนะว่าสิงไหนมันส�ำคัญที่สดในโลก ่ ุ ร้ ู แต่ว่าถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป โลกใบนีมันก็จะไม่เป็นโลกอีกต่อไป ้ แล้วมันจะมีอาชีพไหนไหมละลูกที่ดีที่สุดหรือส�ำคญที่สุด มันอยู่ที่ ั ตวเราจะมองจะตดสินใจต่างหาก อย่า ตัดสิน ใจอะไรเพียงเพราะ ั ั บรรทัดฐานของสังคมจนเกินไป ธรรม : ครับพ่อ! เข้ าใจแล้ วครับพ่อ พ่อ : สิ่งที่ลูกต้องเรียนก็เรียนตามหัวใจตวเองนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก ั ว่าจบออกมาแล้วจะมาท�ำอะไร เพราะไม่ว่าจะท�ำอะไรขอแค่ท�ำให้ มนสดๆ เพราะมนจะเป็นความร้ ู สกที่ยิ่งใหญ่เวลาที่เราบอกใครไปว่า ั ุ ั ึ “เราเก่ งในสิ่งที่ เราเป็ น” แม้ ว่าหน้ าที่ นัน มัน จะเป็ นเรื่ องที่ เ ล็กน้ อย ้ ต้อยต�่ำเพียงใดก็ตาม และมีอีกสิ่งหนึ่งที่พ่ออยากจะบอกลกมากคือ ู อย่า ไปดูถูก ใครหรื อ ดูถูก อาชี พใดๆ เพี ยงเพราะเราคิดว่า เขา “โง่” หรื อต้ อยต�่ำ ในโลกนี้ ไม่เคยมี “คนโ ง ่” ทุกคนล้วนแต่เป็ นคน “อัจฉริยะ” เพราะถ้าเราไปตัดสินปลาโดยใช้ความสามารถในการปี นต้นไม้ ทั้งชีวตมันก็จะคิดว่ามันโง่ ิ ธรรม : ขอบคุณครับพ่อ
  • 32. วันนันหลังจากที่ผมคุยกับพ่อเสร็จ ผมก็ตดสินใจได้ วาสิงที่ผมต้ องการ ้ ั ่ ่ จะเรี ย นในมหาวิ ท ยาลัย คื อ สิ่ ง ใด และมี อี ก สิ่ ง หนึ่ ง ที่ ผ มได้ เ รี ย นร้ ู มาก็ คื อ “ใจเราเป็นเช่นไร โลกของเราก็จะเป็นเช่นนัน ้ ถ้าใจเราแคบ โลกของเรามันก็แคบ ถ้าใจเรากว้าง โลกของเรามนก็กว้าง ั และถ้าใจเราสว่างต่อให้โลกมืดซกแค่ไหน ั ก็จะยังคงเห็นทางไปเสมอ” อย่าไปดถกใคร อย่าไปดถกอาชีพใด เพราะถ้าขาดใครไป โลกใบนี ้ ู ู ู ู มันก็คงไม่นาอยูอีกต่อไป ่ ่ 21
  • 33.
  • 34. ห นึงในช่วงชีวิตที่สนุกและมีความสุขมากที่สดก็คือการได้ เข้ าเรี ยนใน ่ ุ มหาวิทยาลัย ผมตัดสินใจสอบเข้ าเรี ยนได้ ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย ขอนแก่ น ที่ ผ มเลื อกคณะนี เ้ ป็ นเพราะผมเป็ นคน “ขี โ้ รค” มี โ รคประจ� ำ ตัว เยอะแยะไปหมด จึงอยากเรียนเกี่ยวกบยาเพื่อให้มีความร้ ู และไม่ไปเป็นภาระ ั ของคนอื่น สิงที่ประทับใจมากที่สดในการเรี ยนเกิดขึ ้นในคาบเรี ยนแรกของการ ่ ุ เป็นนักศึกษา วิชานันก็คือจรรยาบรรณวิชาชีพ โดยหลังจากที่ อาจารย์เ ดิน ้ เข้ ามาในห้ อง นักศึกษาทุกคนต่างก็พากันนังเงียบ ่ อาจารย์ : สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกคนเข้ าสูชวงชีวิตที่สนุกที่สด ่่ ุ (หลั ง จากพู ด จบ อาจารย์ ก็ ห ยิ บ ตั ง ค์ แ บงค์ 1,000 หนึ่ ง ใบออกมาจากกระเป๋ า แล้ วก็ ชู มั น ขึ น เหนื อ หั ว ) ้ อาจารย์ : แบงค์ 1,000 ในมืออาจารย์เนี่ย! มีใครอยากได้ บ้าง (นั ก ศึ ก ษาในห้ องต่ า งมองหน้ ากั น แล้ วท� ำ หน้ า งงๆ แต่ ก็ ย กมื อ ขึ น และตอบ ้ อาจารย์ ไ ปว่ า ) นักศึกษา : ผมอยากได้ ครับ! เอาให้ หนูก็ได้ คะอาจารย์! ่ อาจารย์ : แล้ วถ้ าหากว่าอาจารย์ขย�ำจนมันยับยูยี่แบบนี ้ แล้ วยังจะมีใครอยาก ่ ได้ อยูหรื อเปล่า ่ นักศึกษา : ผมยงอยากได้ครับอาจารย์! อาจารย์ไม่เอาก็เอามาให้หนเู ถอะค่ะ! ั อาจารย์ : แล้วหากว่าแบงค์ 1,000 แบงค์นี ้ มนหล่นอย่บนพื ้นถนนที่เปือนไป ั ู ้ ด้วยโคลน พวกเธอยังอยากที่จะหยิบแบงค์ 1,000 แบงค์นีขึนมา ้้ อยูรึเปล่า ่ 23
  • 35. นักศึกษา : ผมไม่ รั ง เกี ย จเลยครั บ ! ถ้ า หนูเ ห็ น ต่ อ ให้ มัน สกปรกแค่ ไ หน หนูก็จะหยิบขึ ้นมาค่ะ! อาจารย์ : นันแหละคือสิงมีคาที่พวกเธอได้ เรี ยนรู้ไปในวันนี ้ ่ ่ ่ “ไม่ ว่ า พวกเธอจะท� ำ อะไรกั บ ธนบัต รใบนี ้ มั น ก็ ยั ง คงมี ร าคา 1,000 บาท ชี วิ ต ของคนเราก็ เ ช่ น เดี ย วกั น บางครั ง ล้ ม เหลว ้ บางครังถูกคนอื่นเหยียบย�่ำ จนบางครังเกิดความรู้ สกว่าตัวเองไร้ ค่า ้ ้ ึ แต่ ไ ม่ ว่ า อะไรจะเกิ ด ขึ น พวกคุณ ทุก คนก็ ยัง มี คุณ ค่ า ของความ ้ เป็ นคนอยู่ ไม่วาพวกเธอจะสะอาดเอี่ยมหรื อยับยูยี่อยูก็ตาม” ่ ่ ่ (นั ก ศึ ก ษาทุ ก คนในห้ องต่ า งเงี ย บกริ บ) อาจารย์ : บางคนในห้ องนี ้อาจใช้ ชีวิตตังแต่เกิดมาจนถึง ณ ตอนนี ้โดยที่ไม่เคย ้ เจอกั บ ความผิ ด หวัง เลยแม้ แต่ ค รั ง เดี ย ว เรี ย นหนัง สื อ ตามที่ ้ พ่อแม่บอก ไม่เคยเที่ยวกลางคืน สอบอะไรก็ผานหมด แต่ตอจากนี ้ ่ ่ ไปคือชีวิตที่ต้องรับผิดชอบด้ วยตัวของเราเอง คือเวลาแห่งการเติบโต เป็ นผู้ใหญ่อย่างแท้ จริ ง และจากนีไ้ ป หากใครเจอเรื่ องใดๆที่ท�ำให้ ท้ อแท้ ใจในชีวิตก็ตาม ขอให้ จ�ำแบงค์ 1,000 ในมืออาจารย์แบงค์นี ้ไว้ ให้ ดี และจดจ�ำมันไปตลอดทังชีวิต้
  • 36. บทสรุ ป สุด ท้ ายของวันนันก็ คือ ไม่มี ใ ครได้ แ บงค์ 1,000 ในมื อของ ้ อาจารย์ ไ ป แต่ทุก คนล้ วนอมยิ ม เพราะสิ่งที่ ไ ด้ จากอาจารย์ นั น มั น เป็ นสิ่ง ที่ ้ ้ มีค่าที่ประเมินเป็ นราคาไม่ได้ เลย พระนักปราชญ์อย่างท่าน ว.วชิรเมธี เคยกล่าวเอาไว้ วา การเกิดเป็ น ่ “มนุษย์” เป็นสิ่งที่เป็นไปได้แสนยาก ต้องใช้เวลาสงสมบุญญาบารมีกันกว่า ั่ แสนล้านชาติภพ แต่ไม่ว่าจะยากเพียงไร เราก็ควรดีใจที่ได้เกิดมาเป็นคนกบ ั เขาชาติหนึง ่ ต่อให้ชีวตนี้ หมดสิ้ นทุกอย่าง ไม่เหลืออะไรเป็ นสมบัติติดตัวเลย ิ ก็ขอให้ภมิใจเถิดว่า ู การที่เรายังคงเป็ นมนุ ษย์อยู่ แค่นี้ก็นับเป็ นสมบัติที่สงค่าที่สุดแล้ว ู ชี วิตในรัวมหาวิทยาลัยเป็ นอะไรที่ “วิเศษ” อย่างมากมาย มีเพื่อนให้ ้ สนุกสนานร่วมกันอย่างมากมาย รับน้ องก็ซึ ้งอย่างมากมาย ใกล้ วนสอบก็ ั เครี ยดอย่างมากมาย รับผิดชอบชีวิตตัวเองอย่างมากมาย ทุกสิงทุกอย่างล้ วน ่ “มากมาย” ผมโชคดีที่ตนเอง “อดเปรี ยวไว้ กินหวาน” ตังใจเรี ยนในช่วงมอปลาย ้ ้ และบอกได้ เ ลยว่ า ความสนุก ของช่ ว งชี วิ ต ในตอนมอปลาย มัน เที ย บกัน ไม่ติดเลยกับช่วงที่เรี ยนในรัวของมหาวิทยาลัย ้ 25