More Related Content Similar to บทที่ 3 ฐานข้อมูลและการค้นคืน Similar to บทที่ 3 ฐานข้อมูลและการค้นคืน (20) More from Srion Janeprapapong More from Srion Janeprapapong (14) บทที่ 3 ฐานข้อมูลและการค้นคืน2. • ความหมายของฐานข้อมูล
• บทบาทของฐานข้อมูล
• ส่วนประกอบของฐานข้อมูล
• ประเภทของฐานข้อมูล
• ประโยชน์ของฐานข้อมูล
• ระบบบริหารจัดการฐานข้อมูล
• ภาษา SQL
• โครงสร้างและการทางานของฐานข้อมูล
• หลักการออกแบบฐานข้อมูล
• ระบบการค้นคืนสารสนเทศกับฐานข้อมูล
3. • มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า database
• หมายถึง แหล่งสะสมข้อเท็จจริงต่างๆ โดยรวบรวม
ข้อมูลทีมีความสัมพันธ์กนไว้ด้วยกัน และมีโปรแกรม
่ ั
การจัดการฐานข้อมูล (Database Management
System- -DBMS) มาช่วยในการจัดเก็บ จัดเรียง
และสืบค้นสารสนเทศ รวมถึงปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย
อยู่เสมอ (Rothwell อ้างถึงใน เดชา นันทพิชัย,
2546: 28)
4. • Databases are searchable collections of
records.
• The Libraries' databases allow you to search for
many different types of materials (articles in
journals, images, primary sources,
newspaper articles, books, and more)
important for your research.
• (http://libraries.claremont.edu/help/glossary.asp)
5. บทบาทของฐานข้อมูล
ฐานข้อมูลมีบทบาทต่อการดาเนินงานสารสนเทศ ดังนี้
1. บทบาทต่อการสร้างสารสนเทศของหน่วยงาน
วิเคราะห์ IR ที่มี /การใช้ IR ความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้
ได้สารสนเทศใหม่ ทารายงานสรุปเพื่อวางแผนและตัดสินใจต่อไป
2. บทบาทในการจัดการข้อมูล (Information Organization)
คือจัดการเนื้อหาของสารสนเทศให้อยู่ในที่เดียวกัน เพื่อให้สามารถ
สืบค้นได้ และเข้าถึงเนื้อหาในระดับลึกได้
3. บทบาทในการสืบค้นข้อมูล (Retrieval of Information)
ช่วยให้ค้นสารสนเทศได้สะดวก รวดเร็ว ตรงกับความต้องการ ทันเวลา
4. บทบาทในการเผยแพร่สารสนเทศ (Dissemination of
Information) ช่วยให้การทารายงาน (Report) การจัดเรียง
(Sorting) เร็วขึ้นส่งผลให้การเผยแพร่สารสนเทศเร็วยิ่งขึ้น
6. ส่วนประกอบของฐานข้อมูล
• 1. บิต (Bit)
• 2. อักขระ (Character)
• 3. เขตข้อมูล (Field/ Data Item)
• 4. ระเบียนข้อมูล (Record)
• 5. แฟ้มข้อมูล (File)
• 6. ฐานข้อมูล (Database)
8. ส่วนประกอบของฐานข้อมูล (ต่อ)
• บิต (bit) ย่อมาจาก Binary Digit
ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ 1 บิต จะแสดงได้ 2 สถานะคือ 0 หรือ 1
การเก็บข้อมูลต่างๆ ได้จะต้องนาบิตหลายๆ บิตมาเรียงต่อกัน
เช่น นา 8 บิต มาเรียงเป็น 1 ชุด เรียกว่า 1ไบต์ เช่น
10100001 หมายถึง ก
10100010 หมายถึง ข
1 ไบต์ เป็นตัวแทนอักขระ 1 ตัวของตัวอักษร (alphabetic)
ตัวเลข (numeric) หรือสัญลักษณ์ (symbol)
9. ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ 1 บิต จะแสดงได้ 2 สถานะ
คือ 0 หรือ 1 เพราะ .....
การทางานของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยกระแสไฟฟ้า โดยสายไฟ 1 สายหากมีไฟฟ้าจะ
แทนด้วยเลข 1 หากไม่มีกระแสไฟฟ้า จะแทนด้วย 0 นั่นเอง
เมื่อมีการนาสายไฟ 8 เส้นมาใช้ในการส่งสัญญาณข้อมูล ก็จะได้สภาวะการมี/ไม่มี
กระแสไฟฟ้าได้ ดังตัวอย่าง
1 0 1 0 0 0 0 1
10100001 หมายถึง ก
10. ส่วนประกอบของฐานข้อมูล (ต่อ)
• เมื่อเรานา ไบต์ (byte) หลายๆ ไบต์ มาเรียงต่อกัน เรียกว่า เขต
ข้อมูล (field) เช่น Author ใช้เก็บชื่อและนามสกุลของผู้แต่ง เป็นต้น
• เมื่อนาเขตข้อมูลหลายๆ เขตข้อมูลมาเรียงต่อกันเรียกว่า ระเบียน
(record) เช่น ระเบียนที่ 1 เก็บข้อมูลทางบรรณานุกรมของหนังสือ 1
เล่ม เป็นต้น
• การเก็บระเบียนหลายๆระเบียน รวมกัน เรียกว่า แฟ้มข้อมูล (File)
เช่น แฟ้มข้อมูลหนังสือจะเก็บระเบียนของหนังสือจานวน 10,000
ระเบียน เป็นต้น
• การจัดเก็บแฟ้มข้อมูลหลายๆ แฟ้มข้อมูลไว้ภายใต้ระบบเดียวกัน
เรียกว่า ฐานข้อมูล (Database) เช่น เก็บแฟ้มข้อมูลหนังสือ
แฟ้มข้อมูลงานวิจัยแฟ้มข้อมูลบทความในวารสาร แฟ้มข้อมูลวีดิทัศน์
เป็นต้น
22. ประเภทของฐานข้อมูล
1. ฐานข้อมูลอ้างอิง (Reference Databases)
บางครั้งเรียกว่า ฐานข้อมูลบรรณานุกรม
(Bibliographic Databases)
2. ฐานข้อมูลต้นแหล่ง (Source Databases)
หรือ Non-bibliographic Databases หรือ
Factual Databases บางครั้งเรียกว่า ธนาคาร
ข้อมูล (Databank)
23. ประเภทของฐานข้อมูล (ต่อ)
2. ฐานข้อมูลต้นแหล่ง (Source Databases) (ต่อ)
2.1 ฐานข้อมูลตัวเลข (Numeric Databases)
2.2 ฐานข้อมูลเนื้อหาผสมตัวเลข (Textual-Numeric
Databases)
2.3 ฐานข้อมูลคุณสมบัติ (Properties Databases)
2.4 ฐานข้อมูลเนื้อหาสมบูรณ์ หรือฐานข้อมูลฉบับเต็ม
(Full-text Databases)
24. ประเภทของฐานข้อมูล (ต่อ)
• นอกจากนั้นอาจจาแนกเป็น
1. ฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด (Web OPAC)
2. ฐานข้อมูลออนไลน์ (Online Databases)
3. ฐานข้อมูลซีดีรอม
4. ฐานข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
• หรือจาแนกตามสาขาวิชาเป็น
1. ฐานข้อมูลมนุษยศาสตร์
2. ฐานข้อมูลสังคมศาสตร์
3. ฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
25. ประเภทของฐานข้อมูล (ต่อ)
• นอกจากนั้นอาจจาแนกเป็น
1. ฐานข้อมูลภายในที่เป็นผลผลิตของหน่วยงาน =
ฐานข้อมูลองค์กร
2. ฐานข้อมูลภายนอก
ความแตกต่างของฐานข้อมูลภายในและฐานข้อมูลภายนอก
ดูที่หน้า 38
27. ระบบบริหารจัดการฐานข้อมูล
• DBMS - Database Management System
• ซอฟต์แวร์ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการฐานข้อมูล
• ทาหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล
• ตัวอย่าง DBMS
– dBASE
– FoxPro
– Microsoft Access
– DB2
– Oracle
– Microsoft SQL Server
– MySQL
– PostgreSQL
28. ภาษา SQL
• Structured Query Language
• ภาษาที่มีรูปแบบเป็นภาษาอังกฤษ ง่ายต่อการเรียนรู้
และเขียนโปรแกรม
• มีความสามารถในการนิยามโครงสร้างตารางภายใน
ฐานข้อมูล การจัดการข้อมูล และควบคุมสิทธิการใช้
งานฐานข้อมูล
30. คาถาม: โครงสร้างและการทางานของฐานข้อมูล
• 1. ระเบียนของฐานข้อมูลบรรณานุกรมจะประกอบด้วย
ส่วนต่าง ๆ ที่สาคัญกี่ส่วน อะไรบ้าง (ดูหน้า 39-40)
• 2. ระบบฐานข้อมูลจะประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลหลัก ๆ กี่
ประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย (ดูหน้า 41)
• 3. แฟ้มพิมพ์ (Print File) คืออะไร (ดูหน้า 41)
• 4. Index File กับ Posting File ต่างกันตรงไหน
(ดูหน้า 41)
• 5. จงอธิบายหน้าที่ของ Index File Posting File
และ Print File
31. คาถาม: โครงสร้างและการทางานของฐานข้อมูล
• 6. จงอธิบายการทางานของแฟ้มข้อมูลผกผันที่ช่วยในการ
สืบค้นข้อมูลในฐานข้อมูล (ดูหน้า 41 และ 43)
• 7. ในการออกแบบฐานข้อมูลต้องให้ความสาคัญในเรื่อง
ใดบ้าง (ดูหน้า 42, 44-47)
**************
33. โครงสร้างและการทางานของฐานข้อมูล
• ฐานข้อมูลบรรณานุกรม ประกอบด้วย 3 ส่วนสาคัญ
1. ข้อมูลทางบรรณานุกรม (Bibliographic Data)
เช่น ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง สถานที่ผลิต ชื่อผู้ผลิต ปีที่ผลิต
ฯลฯ
2. ข้อมูลเกี่ยวกับคาสาคัญ (Keywords) หรือ ศัพท์บังคับ
(Descriptors)
3. สาระสังเขป (Abstract) หรือ บทคัดย่อ
• โดยสรุประเบียนหนึ่ง ๆ จะพบเขตข้อมูลอยู่ 3 ชนิด คือ
1. เขตข้อมูลบรรณานุกรม (Bibliographic Fields)
2. เขตข้อมูลสาระสังเขป (Abstract Fields)
3. เขตข้อมูลดรรชนี (Index Fields)
34. โครงสร้างและการทางานของฐานข้อมูล
• ตัวอย่าง ลักษณะการทาดรรชนีในแต่ละเขตข้อมูล
ลักษณะคาดรรชนี เขตข้อมูล
1. ดรรชนีคา (Keyword Index) au, ti, yr, la, ab
2. ดรรชนีวลี (Phrase Index) au, so (source)
3. ดรรชนีคาและวลี (Keyword & Phrase Index) de (descriptor)
4. ไม่นามาทาดรรชนี p, vol
• ดูตัวอย่างระเบียนบรรณานุกรมบทความในวารสาร ภาพที่ 8 (หน้า
40) และการกาหนดคาค้นเป็นดรรชนีในหน้าที่ 41
• การทาดรรชนีจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นคาแต่ละคาในเขตข้อมูลได้สะดวก
ส่วนแหล่งที่มา (Source) ให้ค้นได้เฉพาะรูปแบบวลีเท่านั้น ทาให้หาก
ต้องการค้นชื่อวารสารต้องพิมพ์ชื่อเต็มของวารสารลงไป
35. โครงสร้างและการทางานของฐานข้อมูล
• โครงสร้างแฟ้มข้อมูลของฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลจะแบ่งแฟ้มข้อมูลออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. แฟ้มข้อมูลเรียงลาดับ (Linear File)
ได้แก่ แฟ้มพิมพ์ (Print File)
หรือเรียกว่า “แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File)”
ประกอบด้วยข้อมูลที่มีความสมบูรณ์
จัดเก็บจัดเรียงตามลาดับเลขทะเบียน
เช่น รายการทรัพยากรสารสนเทศ
2. แฟ้มข้อมูลผกผัน (Inverted File)
คือ 2.1) แฟ้มดรรชนี (Index File) และ
2.2) แฟ้มจานวนรายการที่มีคาดรรชนี (Posting File)
36. โครงสร้างและการทางานของฐานข้อมูล
• แฟ้มดรรชนี (Index File)
ประกอบด้วยศัพท์ดรรชนีต่าง ๆ ของแต่ละรายการ (ระเบียน)
จัดเรียงตามลาดับอักษรของคาดรรชนี
เมื่อมีการเพิ่มข้อมูลลงใน Print File ดรรชนีที่เพิ่มขึ้นจะถูก
กาหนดลงใน Index File อัตโนมัติ หากคาดรรชนี
นั้นไม่เคยมีมาก่อนก็จะถูกเพิ่มเข้าไปใหม่โดยเรียง
ตามลาดับอักษร
ใน Index File จะระบุจานวนรายการ (ระเบียน) ที่มีคาดรรชนี
นั้นปรากฏในฐานข้อมูล
ใน Index File แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) จานวนรายการคาดรรชนีปรากฏ
2) คาศัพท์ดรรชนี
3) ตาแหน่งที่รายการ (ระเบียน) ที่มีคาดรรชนีปรากฏ
(ดูตัวอย่างหน้า 43)
38. โครงสร้างและการทางานของฐานข้อมูล
การทางานของ Inverted File ที่ช่วยในการสืบค้นข้อมูลในฐานข้อมูล
ใส่คาค้น ลงในระบบสืบค้น
ตรวจสอบคาค้นที่ Index File ไม่มีคาค้น แสดงผล
มีคาค้น บอกว่ามีกี่รายการ (ระเบียน)
ตรวจสอบที่ Posting File เพื่อเรียกรายการที่มีคาดรรชนีมาแสดงผล
ในการแสดงผลระบบจะเรียกข้อมูลที่สมบูรณ์จาก Print File ขึ้นมา.
40. หลักการออกแบบฐานข้อมูล
• การออกแบบฐานข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งของวงจรชีวิตการพัฒนา
ระบบฐานข้อมูล
• ขั้นตอนการพัฒนาระบบฐานข้อมูล คือ
การวิเคราะห์ความต้องการของระบบ
* มีข้อมูลอะไรที่ผู้ใช้ต้องการ
* ลักษณะของการเรียกใช้ข้อมูล
* ความถี่ของการใช้ข้อมูล
* ลักษณะของการแสดงผลลัพธ์
* ความต้องการเกี่ยวกับการรายงาน (Report)
ฯลฯ
การกาหนดคุณลักษณะของระบบฐานข้อมูล
จุดมุ่งหมาย ปัญหา ขอบเขต กฎระเบียบต่างๆ
การออกแบบฐานข้อมูล
41. หลักการออกแบบฐานข้อมูล
• สถาปัตยกรรมฐานข้อมูล (Database Architecture)
แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1. ระดับภายใน (Internal / Physical Level)
เป็นโครงสร้างทางกายภาพในการจัดเก็บข้อมูล จะ
อยู่ในระดับต่าสุด เช่น เนื้อที่ในการจัดเก็บ
ประเภทของข้อมูล ฯลฯ
2. ระดับเชิงแนวคิด (Conceptual Level)
เป็นระดับเหนือขึ้นมา เกี่ยวข้องกับมุมมองที่ผู้ใช้มี
ต่อข้อมูลในลักษณะกลุ่มว่ามีเอนทิตีอะไร ลักษณะ
ประจา ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี ผู้มีสิทธิ์ใช้
ข้อมูล ฯลฯ
3. ระดับภายนอก (External / View Level)
เป็นระดับเหนือสุดซึ่งมองเห็นข้อมูลและ
การใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนในงานต่าง ๆ
42. หลักการออกแบบฐานข้อมูล
• ขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมูล
1. การออกแบบเชิงแนวคิด (Conceptual Design)
เป็นการประมวลความต้องการของผู้ใช้
การออกแบบแนวคิดจะเกี่ยวข้องกับ เนื้อหาฐานข้อมูล
การใช้ฐานข้อมูล ข้อมูลที่ต้องการ รายงานที่ต้องการ
2. การออกแบบเชิงตรรกะ (Logical Design)
เป็นระดับต่อเนื่องจาก 1 แปลงแนวคิดให้อยู่ในรูป โครงสร้าง
ของฐานข้อมูล กาหนดเขตข้อมูล ระเบียนข้อมูล
เพื่อนาไปสร้างเป็นฐานข้อมูลจริง
3. การออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design)
เป็นการนาเอา 2 มาออกแบบการจัดเก็บข้อมูลในฮาร์ดแวร์
พิจารณารูปแบบข้อมูล ขนาดค่าข้อมูล โครงสร้างจัดเก็บ
วิธีการเข้าถึงข้อมูล การรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูล
44. หลักการออกแบบฐานข้อมูล
• การทางานของระบบฐานข้อมูล มี 4 ขั้นตอน
1. การสร้างระบบฐานข้อมูล ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
1.1 การกาหนดนิยามฐานข้อมูล
ใช้ภาษานิยามฐานข้อมูล หรือ ภาษาดีดีแอล (Data
Definition Language - DDL)
1.2 กาหนดเค้าร่างข้อมูล
เช่น entity ลักษณะประจาว่ามีข้อมูลอะไรบ้าง ขนาด
ความยาว ฯลฯ
1.3 การสร้างฐานข้อมูล (Database Creation)
โดยการเขียนคาสั่งเพื่ออ่านและจัดเก็บค่าของข้อมูลเข้า
ไปอยู่ในฐานข้อมูลตามโครงสร้างที่กาหนดไว้ในนิยาม
ฐานข้อมูล
เมื่อสร้างฐานเสร็จแล้ว ต้องการปรับแก้โครงสร้าง เช่น เพิ่มเขต
ข้อมูล ให้แก้ไขนิยามฐานข้อมูลเดิมได้
45. หลักการออกแบบฐานข้อมูล
• การทางานของระบบฐานข้อมูล มี 4 ขั้นตอน (ต่อ)
ในระบบจัดการฐานข้อมูลจะมีพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary)
ซึ่งบอกถึง “ข้อมูลของข้อมูล” หรือเมทาดาทา ซึ่งใช้เก็บ
คาจากัดความ พร้อมคุณลักษณะของข้อมูล เจ้าของ-
ผู้รับผิดชอบ ข้อมูล ฯลฯ
2. การสอบถามข้อมูล
การค้นหา หรือสอบถามข้อมูลจากฐานข้อมูลใช้ภาษาสอบถาม
(Query Language)
ภาษาที่เป็นมาตรฐานของระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คือ
ภาษา SQL
46. หลักการออกแบบฐานข้อมูล
• การทางานของระบบฐานข้อมูล มี 4 ขั้นตอน (ต่อ)
3. การปรับค่าการเพิ่มเติมและลบทิ้งข้อมูล
คือ การใช้ภาษาเพื่อการปรับแต่งข้อมูล หรือภาษา DML (Data
Manipulation Language) เช่น การปรับค่า (update)
การเพิ่มข้อมูลใหม่ (insertion) การลบทิ้งข้อมูลเดิม
(deletion) ฯลฯ
4. การดูแลความปลอดภัยและบูรณภาพของฐานข้อมูล
คือ วิธีการที่จะรับประกันว่าผู้ใช้ได้ใช้ข้อมูลเฉพาะในส่วนที่มี
สิทธิเท่านั้น ซึ่งจะมีการกาหนดบัญชีผู้ใช้ (User
Account) การใช้รหัสผ่าน (password) และการ
กาหนดสิทธิในการใช้ฐานข้อมูล
การควบคุมบูรณภาพของข้อมูล หมายถึง ระบบจัดการ
ฐานข้อมูลที่ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องเสมอ ค่าของข้อมูลที่
อยู่ในตารางที่สัมพันธ์กันจะต้องมีค่าตรงกันเสมอ
48. ระบบการค้นคืนสารสนเทศกับฐานข้อมูล (ต่อ)
• การออกแบบฐานข้อมูลเพื่อการค้นคืน
เป็นการกาหนดโครงสร้างฐานข้อมูล กาหนดหมายเลขเขต
ข้อมูล (Field Tag) คุณสมบัติและค่าต่างๆ ของเขตข้อมูล
ลักษณะของเขตข้อมูลหลัก เขตข้อมูลย่อย และจานวนที่
เหมาะสม เช่น ถ้าเป็นหนังสือควรมีเขตข้อมูลอะไรบ้าง
แต่ละเขตข้อมูลเป็นเอกเทศของตน
หรือจัดให้ข้อมูลที่มีลักษณะเดียวกันให้เป็นกลุ่มเดียวกัน
เช่น Imprint ประกอบด้วยเขตข้อมูลย่อย สถานที่
พิมพ์ สานักพิมพ์ ปีพิมพ์ เป็นต้น
49. ระบบการค้นคืนสารสนเทศกับฐานข้อมูล (ต่อ)
• การสร้างดรรชนีของฐานข้อมูล (Database Indexing)
การจัดทาแฟ้มดรรชนี (Index File) เพื่อใช้สาหรับ
การสืบค้น โดยส่วนใหญ่ระบบจะสร้างแฟ้มข้อมูลผกผัน
(Inverted File) ไว้ด้วยซอฟต์แวร์ที่เลือกแล้ว ซึ่งซอฟต์แวร์แต่
ละตัวจะมีกระบวนการ หรือเครื่องมือในการกาหนดเขตข้อมูล
สาหรับทาดรรชนีไว้ต่างกัน และวิธีการสร้างแฟ้มดรรชนีก็ยัง
ต่างกันด้วย ผู้ออกแบบต้องศึกษาและปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง
50. ระบบการค้นคืนสารสนเทศกับฐานข้อมูล (ต่อ)
• การสร้างแบบบันทึกข้อมูล (Data Entry Form / Worksheet)
หรือ แผ่นงาน เป็นแบบฟอร์มเปล่า ๆ ที่ใช้บันทึกข้อมูลเข้า
สู่ฐาน แต่บางโปรแกรมใช้ระบุหมายเลขเขตข้อมูล หรือชื่อเขต
ข้อมูลก็ได้
• การสร้างรูปแบบการแสดงผล (Output Format)
ต้องรู้ว่าผู้ใช้ต้องการให้ระเบียนแสดงผลอะไรบ้าง ใน
รูปแบบใดบ้าง หรือให้ผู้ใช้สามารถกาหนดรูปแบบการ
แสดงผลที่ตนเองต้องการได้
51. ระบบการค้นคืนสารสนเทศกับฐานข้อมูล (ต่อ)
• วิธีการบันทึกข้อมูล (Data Entry) วิธีการสืบค้น (Search)
และวิธีการพิมพ์ผล (Printing)
ในการสร้างระเบียนใหม่ทาได้ด้วยวิธีใดบ้าง
* Key-in เข้าไปทีละหน่วย ทีละเขตข้อมูล ทีละ
เขตข้อมูลย่อย เข้าไปใน Worksheet
* Loading ถ่ายโอนข้อมูลระเบียนจากฐานข้อมูล
ที่มีอยู่แล้วเข้าสู่ฐานข้อมูลใหม่
เมื่อระเบียนถูกบันทึก หรือนาเข้าสู่ฐานข้อมูล ดรรชนีเพื่อ
การสืบค้นจะถูกจัดทาขึ้นอัตโนมัติ เพื่อใช้ในการสืบค้น แต่ใน
บางครั้งอาจจะต้องจัดทาขึ้นต่างหาก โดยใช้ทางเลือกการ
ปรับปรุงแฟ้มข้อมูลผกผัน (Inverted File) และหลังจากสร้าง
ดรรชนีขึ้นแล้ว ผู้ใช้ก็จะสามารถทาการค้นได้โดยใช้ทางเลือก
เมนู (menu) ของซอฟต์แวร์นั้น ๆ
52. ระบบการค้นคืนสารสนเทศกับฐานข้อมูล (ต่อ)
• วิธีการบันทึกข้อมูล (Data Entry) วิธีการสืบค้น (Search)
และวิธีการพิมพ์ผล (Printing) (ต่อ)
วิธีการพิมพ์ผล:
แสดงผลที่หน้าจอคอม อาจออกมาตามรูปแบบที่ได้กาหนดไว้
หรือมีทางเลือกให้ผู้ใช้เลือกตามที่ต้องการ
การเลือกรูปแบบการพิมพ์ผล การจัดเรียงผลการสืบค้น
Export ข้อมูลออกจากฐานข้อมูล (เป็นไปตามมาตรฐาน ISO
2709)
54. บรรณานุกรม
เดชา นันทพิชัย. 2546. การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval).
พิมพ์ครั้งที่ 2. นครศรีธรรมราช: หลักสูตรการจัดการสารสนเทศ สานักวิชา
สารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์.
พิมพ์ราไพ เปรมสมิทธ์. 2538. ฐานข้อมูลบรรณานุกรม: การสร้างและการใช้.
กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2545. แนวการศึกษาชุดวิชาการจัดเก็บและการค้น
คืนสารสนเทศ (Information Storage and Retrieval) หน่วยที่ 1-15.
นนทบุรี: สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ลัดดา โกรดิ. 2545. “เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ.” ใน
ประมวลสาระชุดวิชาการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ (Information
Storage and Retrieval), หน่วยที่ 1-4, หน้า 63-106. นนทบุรี: สาขาวิชา ศิลปะ
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.