More Related Content
Similar to สงครามโลกครั้งที่1
Similar to สงครามโลกครั้งที่1 (20)
สงครามโลกครั้งที่1
- 2. สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความขัดแย้งระดับโลก เริ่ม
ใน ค.ศ. 1914 สิ้นสุดในค.ศ.1918 เป็นความขัดแย้งระหว่าง
มหาอานาจ 2 ค่าย คือ ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย –
ฮังการี และอิตาลี (ผู้นาสาคัญ คือบิสมาร์ค แห่งเยอรมนี) กับ
ฝ่าย ประกอบด้วย Triple Entente ได้แก่ บริเตนใหญ่ (
อังกฤษ ) ฝรั่งเศส และรัสเซีย การรบเริ่มขึ้นหลังการลอบ
สังหารมกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย – ฮังการี และสิ้นสุดลง
ด้วยความพ่ายแพ้ของมหาอานาจกลาง หรือ Triple Alliance
มีการทาสนธิสัญญาแวร์ซายส์ บังคับให้เยอรมนีและ
แผนที่สงครามโลครั้งที่ 1 แสดง
พันธมิตรเสียค่าปฏิกรรมสงครามชดใช้จานวนมหาศาลและ การรบในยุโรปและตะวันออก
กลาง
เสียดินแดนที่เป็นอาณานิคมให้แก่ฝ่าย Triple Entente
- 3. สาเหตุสงครามโลกครั้งที่ 1
1.ลัทธิชาตินยม
ิ
การเกิดลัทธิชาตินิยมจากคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา
ทาให้เกิดระบบรวมรัฐชาติ สร้างระบบรวมอานาจเข้าสู่
ส่วนกลาง รัฐชาติในประเทศยุโรปต่างแสวงหาความเป็น
มหาอานาจ ทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ รัฐชาติหมายถึง รัฐหรือ
ประเทศที่ประชาชนมีความรู้สึกผูกพันกัน มีความสามัคคี
ภาคภูมิใจในความเป็นชาติ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
ความรักชาติที่รุนแรงจนเป็นลัทธิชาตินิยม ทาให้เชื่อว่าชาติตน
เหนือกว่าชาติอื่น ผลักดันชาติของตนได้เปรียบชาติอื่นไม่ว่าด้าน
เศรษฐกิจ หรือการทหาร นาไปสู่การแข่งขันอานาจกัน จน
กลายเป็นสงคราม เช่น สงครามการรวมอิตาลี การรวมเยอรมนี
จนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
- 4. 2.ลัทธิจักรวรรดินิยม
ลัทธิชาตินิยมนาไปสู่ลัทธิจักรวรรดินิยม ลัทธิจักรวรรดินิยม หมายถึงประเทศที่พัฒนา
แล้วประสบความสาเร็จด้านเศรษฐกิจ การทหาร และวิทยาศาสตร์ เข้าครอบครอง ที่ด้อยพัฒนา
กว่า ลัทธิจักรวรรดินิยมเริ่มจากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทาให้
ต้องการวัตถุดิบและตลาด มหาอานาจยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ปรัสเซีย ( เยอรมนี)
เนเธอร์แลนด์ ต่างแข่งขันกันขยายอานาจในการครอบครองดินแดนในทวีปเอเชียอเมริกากลาง
และอัฟริกาโดยครอบงาทาวัฒนธรรม และวิถีชีวิต เป็นแหล่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้เมืองแม่
- 5. 3.การแบ่งกลุ่มพันธมิตรยุโรป
นโยบายการรวมกลุ่มที่มีผลประโยชน์ตรงกัน เริ่มต้นใน ค.ศ. 1907 เมื่อ เยอรมัน
และออสเตรีย-ฮังการีลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรไตรมิตร (Triple Alliance )
ประจันหน้ากับรุสเซีย เนืองจากเยอรมนี ต้องการไม่ให้รัสเซียเป็นใหญ่ในชนเผ่าสลาฟ
่
แหลมสมุทรบอลข่าน ต่อมามีอิตาลีมาร่วมประเทศ เพราะไม่พอใจฝรั่งเศสที่แย่ง
ครอบครองตูนิเซีย ในฐานะรัฐในอารักขา ฝ่ายออสเตรีย – ฮังการีซึ่งต้องการเป็นใหญ่
ในแหลมบอลข่านเช่นกัน โดยได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส และ
รัสเซียลงนามในสนธิสัญญาฉันทไมตรีไตรมิตร (Triple Entente ) ค.ศ. 1907และเป็น
พันธมิตรกับญี่ปุ่นด้วย
- 6. 4. ความขัดแย้งเรื่องแหลมบอลข่าน
สาเหตุสาคัญเกิดจากการที่ออสเตรีย – ฮังการีขัดแย้ง
กับเซอร์เบีย เรื่องการสร้างเขตอิทธิพลในแหลมบอลข่าน
เยอรมนีสนับสนุนออสเตรีย – ฮังการี ขณะที่รัสเซีย
สนับสนุนเซอร์เบีย ความขัดแย้งขยายความรุนแรงเป็น
สงครามระหว่างรัฐในแหลมบอลข่าน มหาอานาจจึงมี
โอกาสแทรกแซงและตั้งกลุ่มพันธมิตร
- 7. จุดระเบิดของสงครามโลกครั้งที่ 1 มกุฎราชกุมารแห่ง
ออสเตรีย-ฮังการีคือ อาร์ค ฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ กับพระชายา
โซเฟีย ถูกลอบปลงพระชนม์ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.1914ที่เมือง
ซาราเจโว ขณะเสด็จเยือนเมืองหลวงของบอสเนีย โดยคนร้ายชื่อ
กาฟริโล ปรินซิพ นักศึกษาชาวบอสเนียสัญชาติเซอร์เบีย
ออสเตรียเรียกร้องให้เซอร์เบียปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง เซอร์เบีย
ปฏิเสธออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย 28
กรกฎาคม 1914 รัสเซียแสดงตนว่าเป็นผู้พิทักษ์เผ่าสลาฟจึงระดม
พล เยอรมนีประกาศสงครามกับฝรั่งเศสและรัสเซีย ต่อมาอังกฤษ
เข้าสู่สงครามเมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม และญี่ปุ่นได้ประกาศสงคราม
ต่อเยอรมนี เพราะมุ่งหวังในอาณานิคมของเยอรมนีในจีน
ภายหลังจากอาร์คดยุกแห่งออสเตรียถูกลอบปลงประชนม์
ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นอริกันต่างกล่าวหาซึ่งกันและกัน ในที่สุดจึงประกาศ
สงครามต่อกันเป็นลูกโซ่ กลายเป็นสงครามใหญ่
- 8. ฝ่ายไตรพันธมิตร/พันธมิตร
ฝ่ายไตรภาคี/มหาอานาจกลาง
Triple Alliance/ Triple Entente/ Allied
Central Powers/Triple Entente
(Entente) Powers
อังกฤษ เยอรมันนี
ฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี
รัสเซีย (เกิดปฏิวัติของเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองในประเทศ ปี ค.ศ. 1917 จึงถอนตัว
ออตโตมานเติร์ก
ออกไป)
อเมริกา (เข้ามาร่วมตอนหลัง ค.ศ. 1917)
บัลแกเรีย
จีน ญี่ปุ่น ไทย .. อิตาลี (เข้ามาร่วมทีหลัง)
- 9. การแข่งขันการสะสมอาวุธ
การแข่งขันแสนยานุภาพทางทะเลระหว่างอังกฤษและเยอรมนีนั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อ
กองทัพเรืออังกฤษสร้างเรือประจัญบานชั้นเดรตนอท ซึ่งเป็นเรือประจัญบานขนาดหนักได้สาเร็จ
ในปี ค.ศ. 1906 การคิดค้นเรือดังกล่าวนับเป็นการปฏิวัติทั้งขนาดและพลังอานาจที่เหนือกว่าเรือ
ประจัญบานธรรมดาอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น อังกฤษยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นาทางทะเลได้
เหนือกว่าเยอรมนีและอิตาลี พอล เคเนดี้ได้ชี้ว่าทั้งสองประเทศมีความเชื่อว่า แนวคิดของอัลเฟรด
เทย์เลอร์ มาฮานเกี่ยวกับการบัญชาการรบทางทะเลว่าเป็นความสาคัญต่อสถานภาพของประเทศ
อย่างมาก แต่การผ่านการจารกรรมทางพาณิชย์อาจพิสูจน์ว่าแนวคิดของเขาอาจจะผิดก็เป็นได้
เดวิด สตีเวนสัน นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวบริเตน ได้กล่าวถึงการ
แข่งขันการสะสมอาวุธว่าเป็น "การสร้างเสริมตัวเองเป็นวงกลมแห่งการเตรียมความพร้อมด้าน
การทหารอย่างแรงกล้า" เดวิด เฮอร์มันน์ได้มองการแข่งขันแสนยานุภาพทางทะเลว่าเป็นหลักที่
จะชี้ชะตาทิศทางของสงคราม
- 10. อย่างไรก็ตาม ไนอัล เฟอร์กูสัน นักประวัติศาสตร์ชาวสก็อต ได้โต้แย้งว่า ความสามารถของ
อังกฤษที่จะรักษาความเป็นผู้นาทางการทหารไว้มิได้เป็นปัจจัยของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นใน
เวลาต่อมา
อังกฤษและเยอรมนีต่างใช้จ่ายเงินในการแข่งขันสะสมอาวุธเป็นจานาวนมาก จากสถิติแล้ว
หกชาติมหาอานาจยุโรป อันได้แก่ อังกฤษ จักรวรรดิรัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนี จักรวรรดิ
ออสเตรีย-ฮังการีและอิตาลี ได้ใช้งบประมาณเพื่อการแข่งขันการสะสมอาวุธเพิ่มขึ้นถึง 50%
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปีค.ศ. 1908กับปี ค.ศ. 1913
- 11. แผนการ ความไม่ไว้วางใจและการประกาศระดมพล
แนวคิดดังกล่าวถูกเสนอโดยนักปกครองจานวนมากว่า แผนการระดมพลของเยอรมนี
ฝรั่งเศสและรัสเซียนั้นได้ทาให้ความขัดแย้งขยายไปกว้างขึ้น ฟริทซ์ ฟิสเชอร์ได้กล่าวถึงความ
รุนแรงโดยเนื้อหาของแผนการชลีฟเฟ็นซึ่งได้แบ่งเอากองทัพเยอรมันต้องทาการรบทั้งสองด้าน การ
ทาศึกทั้งสองด้านหมายความว่ากองทัพเยอรมันจาเป็นที่จะต้องรบให้ชนะศัตรูจากทางด้านหนึ่งอย่าง
รวดเร็วก่อนที่จะทาการรบกับศัตรูที่เหลือได้ แผนการดังกล่าวเรียกว่าเป็น "อุบายการตีกระหนาบ"
เพื่อที่จะทาลายเบลเยี่ยมและทาให้กองทัพฝรั่งเศสกลายเป็นอัมพาตโดยการโจมตีอย่างรวดเร็วก่อนที่
ฝรั่งเศสจะพร้อมระดมพล หลังจากได้ชัยชนะแล้ว กองทัพเยอรมันจะเคลื่อนไปยังทิศตะวันออกโดย
ทางรถไฟและทาลายกองทัพรัสเซียซึ่งระดมพลได้อย่างเชื่องช้า
แผนการที่สิบเจ็ดของฝรั่งเศสมีจุดประสงค์ที่จะส่งกองทัพของตนเข้าเป็นยึดครองหุบเขารูร์
อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรมของเยอรมนี ซึ่งทางทฤษฏีแล้วจะเป็นการทาให้
เยอรมนีหมดสภาพที่จะทาสงครามสมัยใหม่ต่อไป
- 13. ลัทธินิยมทหารและเอกาธิปไตย
ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกาและคนอื่น ๆ ได้มีความเห็นว่าสงครามโลก
ครั้งที่หนึ่งอาจเกิดจากลัทธินิยมทหาร บางคนอาจโต้เถียงว่าเป็นเพราะการปกครองแบบอภิชนาธิป
ไตย และสาหรับพวกนายทหารชั้นสูงในกองทัพมีอานาจมากมายดังเช่นในประเทศอย่างเยอรมนี
รัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ผู้ซึ่งเห็นว่าสงครามเป็นโอกาสทองที่พวกเขาจะสามารถได้รับ
ตอบสนองความต้องการเพื่ออานาจทางการทหารและดูถูกการปกครองแบบประชาธิปไตย โดย
เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นอย่างโดดเด่นในโฆษณาต่อต้านเยอรมนี เนื่องจากว่าผู้สนับสนุน
แนวคิดดังกล่าวได้เรียกร้องให้มีการสละราชสมบัติของผูนาประเทศ อย่างเช่น สมเด็จพระ
จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี รวมไปถึงการกาจัดพวกชนชั้นสูงซึ่งมีส่วนร่วมในการ
ปกครองของยุโรปมาหลายศตวรรษรวมไปถึงลัทธินิยมทหารด้วย เวทีนี้ได้ให้เหตุผลอันสมควรแก่
สหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อจักรวรรดิรัสเซียยอมจานนเมื่อปี 1917
- 14. ฝ่ายพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส มีการปกครองระบบ
ประชาธิปไตย ได้ต่อสู้กบฝ่ายมหาอานาจกลางซึ่งประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการีและ
ั
จักรวรรดิออตโตมาน รวมไปถึงรัสเซีย พันธมิตรของอังกฤษและฝรั้งเศสเอง ยังคงมีการปกครอง
ระบบจักรวรรดิจนกระทั่งถึงปี 1917-1918 แต่ก็ตรงกันข้ามกับการปราบปรามเชื้อชาติสลาฟของ
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
โดยหลังฉากนี้ มุมมองของสงครามของหนึ่งในกลุมประชาธิปไตยกับการปกครองแบบ
่
เผด็จการมาตั้งแต่ก่อนสงครามนั้นดูสมเหตุสมผลและมีน้าหนักพอสมควร แต่มุมมองเหล่านั้นได้
สูญเสียความน่าเชื่อถือไปเรื่อย ๆ ขณะที่ความขัดแย้งยังคงดาเนินต่อไป
วิลสันนั้นหวังว่าสันนิบาตชาติและการปลดอาวุธนั้นจะช่วยให้สามารถธารงสันติภาพให้
คงอยู่กาลนาน โดยยืมแนวคิดมาจากเอช.อี.เวลส์ เขาได้อธิบายเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งว่า
เป็น "สงครามเพื่อที่จะยุติสงครามทั้งมวล" เขายังหวังที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรของอังกฤษ
และฝร่งเศสตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีลัทธินิยมทหารอยู่บ้าง
- 15. สมดุลแห่งอานาจ
หนึ่งในเป้าหมายของประเทศมหาอานาจก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็คือ การ
รักษา "สมดุลแห่งอานาจ" ในทวีปยุโรป ทาให้ต่อมาได้กลายเป็นระบบที่ประณีตของข้อตกลงและ
สนธิสัญญาต่าง ๆ ทั้งต่อหน้า (เผยแพร่ต่อสาธารณชน) และลับหลัง (เป็นความลับ) ตัวอย่างเช่น
หลังจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย อังกฤษก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เยอรมนีอันแข็งแกร่ง ซึ่ง
อังกฤษหวังว่าจะช่วยรักษาสมดุลกับศัตรูทางวัฒนธรรมของอังกฤษ นั่นคือ ฝรั่งเศส แต่ว่าภายหลัง
จากที่เยอรมนีเริ่มที่จะสร้างกองทัพเรือขึ้นมาแข่งขันกับอังกฤษ ก็ทาให้สถานภาพนี้เปลี่ยนไป
ฝรั่งเศสผู้กาลังหาพันธมิตรใหม่เพื่อรักษาความปลอดภัยจากอันตรายของเยอรมนี คือ จักรวรรดิ
รัสเซีย ส่วนจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเผชิญกับภัยจากรัสเซีย ได้รับความช่วยเหลือจากเยอรมนี
- 17. เศรษฐกิจลัทธิจักรวรรดินิยม
วลาดีมีร์ เลนินได้ยืนยันว่าสาเหตุของสงครามนั้นตั้งอยู่บนจักรวรรดินิยม เขาได้กล่าว
พรรณาถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของคาร์ล มาร์กซ และนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ จอห์น
เอ. ฮอบสัน ซึ่งได้ทานายว่าการแข่งขันอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อการขยายตลาดการค้านั้นจะนาไปสู่
ความขัดแย้งในระดับโลก โดยเหตุผลดังกล่าวนั้นมีผู้เชื่อถือเป็นจานวนมากและได้สนับสนุน
การเจริญเติบโตของลัทธิคอมมิวนิสต์ เลนินยังได้กล่าวว่าความสนใจในการเงินของมหาอานาจ
ลัทธิทุนนิยม-จักรวรรดินิยมจานวนมากได้ก่อให้เกิดสงคราม
- 18. การแข่งขันทางการเมืองและมนุษยชาติ
สงครามบนคาบสมุทรบอลข่านระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและเซอร์เบียนั้นถูก
พิจารณาว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยอิทธิพลของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้เสื่อมถอยและการ
เจริญเติบโตของลัทธิรวมเชื้อชาติสลาฟ และความเจิรญขึ้นของลัทธิชาตินิยมภายในประจวบกับการ
เจริญเติบโตของเซอร์เบีย ซึ่งความรู้สึกต่อต้านชาวออสเตรียอาจจะมีความรุนแรงมากที่สุด
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้นได้ยึดครองแคว้นบอลเนีย-เฮอร์เซโกวิเนียของจักรวรรดิออตโตมาน
ซึ่งมีจานวนประชากรชาวเซิร์บเป็นจานวนมากในปี 1878 และจากนั้นก็ได้ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่ง
ของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในปี 1908 ความรู้สึกรักชาติที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับที่จักรวรรดิออต
โตมาน รัสเซียนั้นได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อการรวมเชื้อชาติสลาฟ และกระตุ้นโดย
มนุษยธรรมและความจงรักภักดีต่อศาสนาและการแข่งขันกับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีย้อนกลับ
ไปยังสงครามไครเมีย เหตุการณ์ปัจจุบันอย่างเช่น สนธิสัญญาล้มเหลวระหว่างออสเตรีย-ฮังการีกับ
รัสเซีย และความฝันเก่าตั้งแต่ต้นศตวรรษเรื่องท่าเรือน้าอุ่นก็ได้ถูกกระตุนในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
้
- 19. นอกจากในบอสเนียแล้ว ก็ยังมีเจตนาอยู่ในสถานที่อื่น ๆ อีกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการสูญเสีย
แคว้นอัลซาซและแคว้นลอร์เรนภายหลังสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียได้ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านใน
กลุ่มประชากรไปโดยปริยาย ในที่สุด ฝรั่งเศสก็ได้รัสเซียเป็นพันธมิตร และได้สร้างสิ่งที่ตั้งเค้าว่าจะ
กลายเป็นบศึกสองด้านกับเยอรมนี
วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคมและการประกาศสงคราม
รัฐบาลของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนี ได้ยกเอาเหตุผล
ของการลอบปลงพระชนม์ อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย เป็นการตั้งคาถามกับ
เซอร์เบีย เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรีย-ฮังการีได้ยื่นคาขาดแก่เซอร์เบียโดยมีความ
ต้องการสิบข้อ ซึ่งบางข้อนั้นเซอร์เบียเห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงปฏิเสธคาขาดข้อที่หก เซอร์เบียนั้น
ไว้ใจว่าตนจะได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากรัสเซีย จึงทาให้เกิดการปฏิเสธคาขาดบางกรณี
- 20. และหลังจากนั้นก็มีการออกคาสั่งระดมพล จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้ตอบสนอง
โดยการประกาศสงครามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ในตอนเริ่มต้น กองทัพรัสเซียได้สั่งระดมพล
เป็นบางส่วน มุ่งตรงมายังชายแดนของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม
หลังจากที่กองเสนาธิการทั่วไปของรัสเซียได้ทูลแก่พระเจ้าซาร์ว่า การส่งกาลังบารุงแก่ทหาร
เกณฑ์นันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงได้เปลี่ยนเป็นการระดมพลเต็มขนาดแทน แผนการชลีฟ
เฟ็นซึ่งมีเป้าหมายที่จะโจมตีสายฟ้าแลบต่อฝรั่งเศสนั้น ไม่สามารถให้รัสเซียสามารถระดมพล
ได้ นอกจากภายหลังกองทัพเยอรมันได้เข้าโจมตีแล้ว ดังนั้น เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับ
รัสเซียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม และฝรั่งเศสในอีกสองวันต่อมา หลังจากนั้นเยอรมนีก็ได้ฝ่าฝืนต่อ
ความเป็นกลางของเบลเยี่ยมโดยการเดินทัพผ่านเพื่อไปโจมตีกรุงปารีส ซึ่งส่งผลให้จักรวรรดิ
อังกฤษเข้าสู่สงคราม ด้วยสาเหตุนี้ ห้าในหกประเทศมหาอานาจของยุโรป จึงเข้ามาพัวพันอยู่
ในความขัดแย้งวงกว้างภายในทวีปยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามนโปเลียน
- 21. เส้นทางของสงคราม
กระสุนนัดแรก
ความสับสนภายในฝ่ายมหาอานาจกลางแผนการทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายมหาอานาจกลาง
ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพของการคมนาคมและการสื่อสารระหว่างกัน
เยอรมนีให้คามั่นแก่ออสเตรีย-ฮังการีว่าตนจะช่วยสนับสนุนในการรุกรานเซอร์เบีย จึงทาให้เกิด
ความผิดใจกันในฝ่ายมหาอานาจกลาง ออสเตรีย-ฮังการีนั้นเชื่อว่าเยอรมนีจะช่วยส่งกองทัพเข้า
มาป้องกันประเทศทางชายแดนด้านทิศเหนือซึ่งติดกับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ออสเตรีย-ฮังการีได้มี
ความเห็นที่จะส่งกองทัพหลักของตนพุ่งเป้าไปยังรัสเซีย ขณะที่เยอรมนีจัดการกับประเทศ
ฝรั่งเศส จากสาเหตุดังกล่าวได้สร้างความสับสนให้แก่กองทัพออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งจาเป็นต้อง
แบ่งกองทัพของตนเพื่อรบกับทั้งเซอร์เบียและรัสเซียทั้งสองด้านเขตสงครามทวีปแอฟริกาดู
บทความหลักได้ที่ เขตปฏิบัติการทวีปแอฟริกา (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)
- 23. สงครามทางทะเล
ในตอนเริ่มต้นของสงคราม จักรวรรดิเยอรมนีนนมีเรือลาดตระเวนเป็นจานวนประปราย แต่อยู่
ั้
ทั่วทั้งโลก ในภายหลังกองทัพเรือเยอรมันได้ใช้เรือรบดังกล่าวเพื่อการจมเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตร
กองทัพเรืออังกฤษนั้นได้พยายามตามล่าเรือรบเหล่านี้อย่างเป็นระบบ แต่ว่ากองเรือเหล่านี้มีความอับ
อายเนื่องจากเรือรบเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันเรือพาณิชย์ได้ จึงได้มีการกระทาบางประการ เช่น มีเรือ
ลาดตระเวนเบาอันสันโดษของเยอรมัน "เอมเดน" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองเรือเอชียตะวันออก
ประจาการอยู่ในเมืองท่าซิงเทา ถูกเผาและพ่อค้า 15 ตนบนเรือเสียชีวิต รวมไปถึงการจมเรือ
ลาดตระเวนเบาของรัสเซียและเรือพิฆาตฝรั่งเศสอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดใหญ่โตของกองเรือ
เอเชียตะวันออกของเยอรมัน-ซึ่งประกอบด้วยเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะ Scharnhorst และ Gneisenau
เรือลาดตระเวนเบา Nürnberg และ Leipzig และเรือบรรทุกอีกสองลา- นั้นมิได้รับคาสั่งให้เข้าปล่นเรือ
สินค้าฝ่ายพันธมิตรแต่อย่างใด
- 24. และกาลังเดินทางกลับสู่เยอรมนีเมื่อกองเรือเหล่านี้ปะทะเข้ากับกองเรืออังกฤษ กองเรือ
เล็กเยอรมัน พร้อมด้วยเรือเดรสเดน ได้จมเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะไปสองลาในยุทธนาวีโค
โรเนลแต่ว่ากองเรือดังกล่าวก็เกือบจะถูกทาลายจนสิ้นในยุทธนาวีหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ในเดือน
ธันวาคม 1914 เหลือเพียงเรือเดรสเดนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้
ไม่นานหลังจากการรบทางทะเลเริ่มต้น อังกฤษก็ได้ทาการปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนี
ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่พิสูจน์ว่าได้ผลในสงครามครั้งนี้ การปิดล้อมได้ตัดเสบียงและทรัพยากรของ
เยอรมนี แม้ว่าการกระทาดังกล่าวจะเป็นการละเมิดประมวลกฤหมายนานาชาติซึ่งถูกร่างขึ้นโดย
ทั้งสองประเทศก็ตาม กองทัพเรืออังกฤษยังได้วางทุ่นระเบิดตามนานน้าสากลเพื่อป้องกันมิให้
กองเรือใดๆ เข้าออกเขตมหาสมุทร ซึ่งเป็นอันตรายแม้แต่กับเรือของประเทศที่เป็นกลางและ
เนื่องจากอังกฤษไม่ออกมารับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดจากยุทธวิธีนี้ เยอรมนีจึงได้กระทาแบบ
เดียวกันกับกลยุทธ์เรือดาน้าของตนเช่นกัน
- 25. ปี 1916ยุทธนาวีแห่งคาบสมุทรจัตแลนด์ (ภาษาเยอรมัน: "Skagerrakschlacht", หรือ
"Battle of the Skagerrak") ได้กลายเป็นยุทธนาวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งนี้ ซึ่งเป็นการ
ปะทะกันเต็มอัตราศึกของกองทัพเรือทั้งสองฝ่าย ซึ่งกินเวลาตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม - 1
มิถุนายน 1916 บริเวณทะเลเหนือห่างจากคาบสมุทรจัตแลนด์ กองเรือทะเลหลวงของกองทัพเรือ
เยอรมันบัญชาการโดยพลเรือโท Reinhard Scheer เผชิญหน้ากับกองเรือหลวงของกองทัพเรือ
อังกฤษภายใต้การนาของพลเรือเอก เซอร์ John Jellicoe ผลชองยุทธนาการครั้งนี้คือเสมอกัน ฝ่าย
เยอรมันนั้นมีชัยชนะเชิงเล่ห์เหลี่ยมเหนือกองทัพอังกฤษที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งกองเรือเยอรมัน
วางแผนที่จะหลบหนีและได้สร้างความเสียหายต่อกองทัพเรืออังกฤษมากกว่าที่กองเรือเยอรมัน
ได้รับ แต่ทางยุทธศาสตร์แล้ว กองทัพเรืออังกฤษยังคงครองความเป็นเจ้าสมุทรเหนือมหาสมุทร
ต่อไป และกองทัพเรือบนผิวน้าก็ถูกกักให้อยู่แต่ในท่า (ไม่สามารถปฏิบัติการได้) อีกเลยตลอด
ช่วงเวลาของสงคราม
- 28. ชัยชนะของฝ่ายพันธมิตร
ฝ่ายพันธมิตรได้โจมตีโต้กลับ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าการรุกร้อยวัน เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม
1918 ในยุทธการแห่งอเมนส์ กองทัพพันธมิตรสามารถรุกเข้าไปในแนวรบเยอรมันได้ 12 กิโลเมตรใน
เวลาเพียง 7 ชั่วโมง นายพลอิริค ลูเดนดอร์ฟได้กล่าวถึงวันนี้ว่าเป็น "วันอันมืดมนของกองทัพเยอรมัน"
กองทัพฝ่ายพันธมิตรนาโดยกองทัพผสมออสเตรเลีย-แคนาดาที่อเมนส์ และสนับสนุนการ
เดินทัพของกองทัพอังกฤษไปทางทิศเหนือ และกองทัพฝรั่งเศสไปทางทิศใต้ ขณะที่การต้านทานของ
ฝ่ายเยอรมันที่มีต่อแนวรบกองทัพอังกฤษที่สี่ที่อเมนส์ หลังจากที่กองทัพอังกฤษสามารถรุกเข้าไปได้
23 กิโลเมตร และสามารถยุติการรบลงได้ ส่วนกองทัพฝรั่งเศสที่สามได้ขยายแนวรบที่อเมนส์ในวันที่
10 สิงหาคม ขณะที่อยู่ทางปีกขวาของกองทัพฝรั่งเศสที่หนึ่ง และสามารถรุกเข้าไปได้ 6 กิโลเมตร เข้า
ปลดปล่อยเมืองลาร์ชิญี ในการรบที่ดาเนินต่อไปจนกระทั่งถึงวันที่ 16 สิงหาคม ส่วนทางตอนใต้ นาย
พลมานแชงได้นากองทัพฝรั่งเศสที่สิบมุ่งหน้าไปยังเมืองชัวสซอนส์ในวันที่ 20 สิงหาคม และสามารถ
จับทหารข้าศึกเป็นเชลยได้กว่าแปดพันคน ปืนใหญ่สองร้อยกระบอกและที่ราบสูงแอเนอ ซึ่งเป็นการ
กดดันทหารเยอรมันซึ่งประจาอยู่ทางตอนเหนือของเวสเลอ ซึ่งเป็น "วันอันมืดมน" อีกวันหนึ่งที่นาย
พลลูเดนดอร์ฟได้กล่าวถึง
- 30. ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทาให้แผนที่ยุโรปเปลี่ยนไปเนื่องจากการล่มสลายของ
จักรวรรดิใหญ่ทั้งสี่ ก่อให้เกิดประเทศใหม่ ๆ อีกหลายประเทศ เศรษฐกิจตกต่าครั้งใหญ่ทั่วโลก
ประเทศยุโรปหลายแห่งต่างเป็นลูกหนี้ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเติบโตจนกลายเป็นประเทศมหาอานาจ
ของโลกหลังจากสงครามนี้
สงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากจะจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรแล้ว ยังส่งผลกระทบ
สาคัญ อื่น ๆ ตามมาอีกหลายประการ ประการแรก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมรบและ
ประกาศศักดาในสงครามครั้งนี้ให้เป็นที่ประจักร ทาให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งใน
มหาอานาจโลกเสรีบนเวทีโลกเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส
- 31. รัสเซียกลายเป็นมหาอานาจโลกสังคมนิยม(โลกคอมมิวนิสต์) หลังจากเลนินทาการ
ปฏิวัติยึดอานาจในปี ค.ศ. 1917 (ช่วงก่อนที่สงครามครั้งที่ 1 จะยุติ) และต่อมาเมื่อสามารถขยาย
อานาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต
(Union of Soviet Republics -USSR) ในปี ค.ศ. 1922
การร่างสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ (The Treaty of Veraailles) โดยฝ่ายชนะ
สงครามสาหรับเยอรมนี และสนธิสัญญาสันติภาพอีก 4 ฉบับสาหรับพันธมิตรของเยอรมนี
เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้อง
เสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกาลังทหาร อาวุธ และ
ต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลง
นามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น
- 32. เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารใน
ญี่ปุ่น ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอานาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อ
ต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ (Axis)
ความสูญเสียจากสงครามโลกครั้งนี้ทาให้เกิดการตระหนักถึงความจาเป็นที่จะต้อง
มีความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก ดังนั้น
จึงมีการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ระหว่างประเทศ กระนั้นความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939ได้เกิด
สงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2
(สนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเป็นไปตามหลัก 14 ประการ ของประธานาธิบดีวิลสัน
ของสหรัฐฯ ซึ่งสนธิสัญญาแวร์ซายส์ข้อที่ 1 ทาให้เกิด "สันนิบาตแห่งประชาชาติ")
- 34. สนธิสัญญาสันติภาพที่สัมพันธมิตรทากับประเทศผู้แพ้สงคราม 5 ประเทศ ได้แก่
- สนธิสญญาแวร์ซายส์ (Versailles Treaty) ทากับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919
ั
- สนธิสญญาแซงต์แยร์แมง ทากับออสเตรีย
ั
- สนธิสญญาเนยยี ทากับบัลแกเรีย
ั
- สนธิสญญาตริอานอง ทากับฮังการี
ั
- สนธิสญญาแซฟส์ ทากับตุรกี ภายหลังตุรกีขอแก้ไขสัญญาใหม่เป็นสนธิสัญญาโลซานน์
ั
- 35. ผลกระทบของสงคราม
1. ความพ่ายแพ้ของมหาอานาจกลางและความหายนะของมนุษยชาติ ทาให้ประเทศ
ต่างๆ มีแนวคิดร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ โดยสันติวิธโดยการก่อตั้ง
ี
องค์การสันนิบาตชาติ
2. เกิดประเทศเอกราชใหม่ๆ
3. สภาพเศรษฐกิจตกต่าทั่วโลก
4. ความสูญเสียทางสังคมและทางจิตวิทยา
- 36. ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 1
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นในยุโรปใน พ.ศ.
2457 นั้น ประเทศไทยยังคงยึดมั่นอยู่ในความ เป็นกลางแต่
พระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสังเกต
ความเคลื่อนไหวของคู่สงคราม อย่างใกล้ชิดการสงคราม
ได้รุนแรงขึ้นเป็นลาดับ ทรงเห็นว่าฝ่ายเยอรมนีเป็นฝ่าย
รุกรานจึงทรงตัดสินพระ ทัยประกาศสงครามกับเยอรมนี
และออสเตรีย -ฮังการี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460
แล้วประกาศเรียกพลทหารอาสาสาหรับกองบินและกอง
ยานยนต์ทหารบก เพื่อส่งไปช่วย สงครามยุโรป การส่ง
ทหารไปรบครั้งนี้นับว่าเป็นประโยชน์ เพราะเท่ากับได้
เรียนรู้วิชาการทางเทคนิคการรบและการช่างในสมรภูมิ
จริงๆ
- 37. เมื่อเสร็จสงครามสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ ประเทศไทย
ได้ส่งผู้แทนเข้าประชุม ณ พระราชวังแวร์ซาย ด้วยผลพลอยได้
จากการเข้าสงครามนี้ ก็คือสัญญาต่างๆ ที่ไทยทากับเยอรมนีและ
ออสเตรีย -ฮังการี ย่อมสิ้นสุดลงตั้งแต่ไทยประกาศสงครามกับ
ประเทศนั้น และไทยก็ได้พยายามขอเจรจาข้อแก้ไขสนธิสัญญา
ฉบับเก่า ซึ่งทาไว้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส และ ชาติอื่นๆ แต่ก็ประสบ
ความยากลาบากอย่างมาก อาศัยที่ไทยได้ความช่วยเหลือจาก ดร.
ฟราน ซิส บี แซยร์ (Dr. Francis B. Sayre)
- 39. ยกเว้นบางอย่างที่อังกฤษขอลดหย่อนต่อไปอีก 10 ปี
เช่น ภาษีสินค้าฝ้ายเป็น เหล็ก ไทยพยายามเร่งชาระประมวล
กฎหมายต่างๆ ต่อมาจนแล้วเสร็จ และเปิดการเจรจาอีกครั้ง
หนึ่งในที่สุด ประเทศต่างๆ ก็ยอมทาสัญญาใหม่กับไทย เมื่อ
พ.ศ. 2480 ไทย ได้อิสรภาพทางอานาจศาล และภาษีอากรคืน
มาโดยสมบูรณ์
- 40. QuickTime™ and a
decompressor
are needed to see this picture.
• สงครามโลกครั้งที่ 1
- 43. ขอบคุณครับ
จัดทาโดย
นายกิตติพงศ์ จันทวีสมบูรณ์ ม.6/2 เลขที่ 1
นายบุญยภัทร อินต๊ะสิน ม.6/2 เลขที่ 2