SlideShare a Scribd company logo
1 of 15
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
1. ความหมายของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) เป็นฐานข้อมูลที่ใช้โมเดลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database
Model) ซึ่งผู้คิดค้นโมเดลเชิงสัมพันธ์นี้คือ Dr. E.F. Codd โดยใช้หลักพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เนื่องด้วยแนวคิดของ
แบบจาลองแบบนี้มีลักษณะที่คนใช้กันทั่วกล่าวคือมีการเก็บเป็นตาราง ทาให้ง่ายต่อการเข้าใจและการประยุกต์ใช้งาน
ด้วยเหตุนี้ ระบบฐานข้อมูลแบบนี้จึงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในแง่ของ entity แบบจาลองแบบนี้คือ แฟ้มข้อมูลใน
รูปตาราง และ attribute ก็เปรียบเหมือนเขตข้อมูล ส่วนความสัมพันธ์คือความสัมพันธ์ระหว่าง entityฐานข้อมูลเชิง
สัมพันธ์ คือ การเก็บข้อมูลในรูปของตาราง (Table)หลายๆตารางที่มีความสัมพันธ์กัน ในแต่ละตารางแบ่งออกเป็น
แถวๆ และในแต่ละแถวจะแบ่งเป็นคอลัมน์ (Column) ในทางทฤษฎีจะมีคาศัพท์เฉพาะแตกต่างออกไป เนื่องจาก
แบบจาลองแบบนี้เกิดจากทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เรื่องเซ็ท (Set)
แสดงรายละเอียดของส่วนประกอบต่าง ๆ ของโมเดลแบบความสัมพันธ์
อาจจะเขียนในรูปสมการดังต่อไปนี้ R(รหัสประจาตัวประชาชน,ชื่อ,นามสกุล,วันเกิด) เนื่องจากแต่ละ
ตารางสามารถมีความสัมพันธ์กันได้ดังที่กว่าไว้ในข้างต้น ทาให้การเก็บข้อมูลในรูปแบบนี้ มีความคล่องตัว
สูงเพราะเราสามารถแยกเก็บข้อมูลใน หลายตารางโดยอาศัยความสัมพันธ์ดังกล่าว และสามารถสืบค้นได้
จากรหัสพิเศษที่เรียกว่า กุญแจ(key) ดังรูป
แสดงตัวอย่างการสืบค้นข้อมูลโดยอาศัยความสัมพันธ์
Dr.E.F.Codd ได้กาหนดส่วนประกอบของโมเดลเชิงสัมพันธ์นี้ แบ่งเป็น 3 ส่วนได้แก่
1. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของข้อมูล
2. ส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมความถูกต้องให้กับข้อมูล
3. ส่วนในการจัดการกับข้อมูล
2. โครงสร้างของข้อมูล (Data Structure)
2.1. Relation
โครงสร้างของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ จะอยู่ในลักษณะของตาราง 2 มิติ ประกอบด้วยทางด้านแถว และคอลัมน์ ซึ่งจะเรียกว่า
รีเลชัน (Relation) โดยทั่ว ๆ ไป Relation หนึ่ง ๆ จะมีคุณสมบัติต่าง ๆ ดังนี้
1) ไม่มี Tuples คู่ใด ๆ เลยที่ซ้ากัน (No duplicate tuples)
2) ลาดับที่ของ Tuples ไม่มีความสาคัญ
3) ลาดับที่ของ Attributesไม่มีความสาคัญ
4) ค่าของ Attribute จะเป็นค่าเดี่ยว ๆ (Atomic) นั่นคือ ค่าของข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในตารางจะเป็นค่า ๆ เดียว เป็นลิสต์ของค่า
หลาย ๆ ค่าไม่ได้ซึ่ง Relation ที่มีคุณสมบัติข้อนี้จะถูกเรียกว่าเป็น Relation ที่อยู่ในรูปแบบ Normal form
5) ค่าของข้อมูลในแต่ละ Attribute จะบรรจุค่าของข้อมูลประเภทเดียวกัน
ชนิดของ Relations
ในระบบจัดการฐานข้อมูลทั่ว ๆ ไป Relation อาจจาแนกออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้คือ
1) Relation หลัก (Base Relation)
เป็น Relation ที่ถูกกาหนดขึ้นเพื่อเก็บข้อมูลและเพื่อนาข้อมูลไปใช้เมื่อมีการสร้าง Relation โดยใช้ Data Definition
Languageเช่น ใน SQL คาสั่ง CREATE TABLE เป็นการสร้าง Relation หลัก หลังจากนั้นก็จะทาการเก็บข้อมูลเพื่อการ
เรียกใช้ข้อมูลในภายหลัง Relation หลักจะเป็นตารางที่จัดเก็บข้อมูลจริงไว้
2) วิว (View) หรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Relation สมมุติ (Virtual Relation)
เป็น Relation ที่ถูกสร้างขึ้นตามความต้องการใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน เนื่องจาก ผู้ใช้แต่ละคนอาจต้องการใช้ข้อมูลใน
ลักษณะที่แตกต่างกัน จึงทาการกาหนดวิวของตัวเองขึ้นมาจาก Relation หลัก เพื่อความสะดวกในการใช้ข้อมูล และช่วยให้
การรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูลทาได้ง่ายขึ้น Relation ที่ถูกสมมติขึ้นมานี้จะไม่มีการเก็บข้อมูลจริง ๆ ในระบบ
ฐานข้อมูล
ลักษณะของรีเลชั่นแสดงดังรูป
โครงสร้างของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
ตารางข้อมูลทั้งหมด จะเรียกว่า Relation แต่โดยส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า Table หรือ ตาราง เนื่องจาก
โครงสร้างการจัดเก็บเป็นแบบตาราง ส่วนข้อมูลในแต่ละแถว จะเรียกว่า ทูเพิล (Tuple) ส่วนข้อมูลในแต่
ละคอลัมน์ จะเรียกว่า แอตทริบิวส์ (Attribute) ดังตัวอย่างมี 4 แอตทริบิวส์ คือ SID, Sname, GPA, Major
เขียนเป็นสมการได้ดังนี้ Student(SID,Sname,GPA,Major)
2.2. Domain
โดเมน (Domain) คือการกาหนดขอบเขตและชนิดของข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่ผู้ใช้จัดเก็บ มีความผิดพลาดไปจาก
ความเป็นจริงที่ควรจะเป็นตัวอย่างดังรูป
โดเมนของข้อมูล
2.3. คีย์(Key)
คีย์คือ แอตทริบิวส์ หรือ กลุ่มของแอตทริบิวส์ที่สามารถแยกความแตกต่างของข้อมูลในแต่ละทูเพิลได้หรือแอตทริบิวส์ที่ข้อมูลในแอตทริ
บิวส์นั้นต้องมีข้อมูลที่ไม่ซ้ากัน ซึ่งคีย์มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ได้แก่
1. คีย์อย่างง่าย (Simple key) หมายถึง key ที่ประกอบด้วย attributeเดียว
2. คีย์ประกอบ (Combine key หรือ Composite key) หมายถึง key ที่ ประกอบด้วย attribute มากกว่า 1 attribute
3. คีย์คู่แข่ง (Candidate Key) คือคีย์ที่เล็กที่สุด ที่แยกความแตกต่างของข้อมูลแต่ละทูเพิลได้ยกตัวอย่างเช่น ในรีเลชัน Student มีข้อมูลที่
สามารถเป็นคีย์คู่แข่ง คือแอตทริบิวส์ รหัสนักศึกษา และการใช้แอตทริบิวส์ ชื่อรวมกับนามสกุล ซึ่งทั้งสองแบบสามารถระบุความแตกต่างของข้อมูล แต่
ละทูเพิลได้
4. คีย์หลัก (Primary Key) คือคีย์คู่แข่งซึ่งได้เลือกมาเพื่อใช้กาหนดให้เป็นค่าคีย์หลักของ รีเลชัน ซึ่งข้อมูลที่เป็นคีย์หลักนั้นจะต้องมีข้อมูลที่
ไม่ซ้ากัน และมักจะเลือกคีย์คู่แข่ง ที่มีขนาดเล็กมาเป็นคีย์หลัก ตัวอย่างเช่น การเลือกแอตทริบิวส์รหัสนักศึกษา มาเป็นค่าคีย์หลัก เนื่องจาก มีขนาดเล็กกว่า
แอตทริบิวส์ ชื่อ รวมกับ นามสกุล ซึ่งจะทาให้การทางานเร็วกว่า เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า
5. คีย์รอง (AlternateKey หรือ Secondary key) คือคีย์คู่แข่งอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกเลือกมาใช้งานยกตัวอย่างเช่น แอตทริบิวส์ ชื่อรวมกับ
นามสกุล ซึ่งไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นคีย์หลักของรีเลชันก็จะกลายเป็น AlternateKey
6. คีย์นอก (Foreign Key)เป็นคีย์ที่ใช้เชื่อมความสัมพันธ์ของรีเลชัน ตัวอย่างแสดงดังรูป
คีย์หลักและคีย์นอก
จากรูปที่ รีเลชัน Student มีค่าคีย์หลักคือ SID ซึ่งเป็นรหัสนักศึกษา โดยข้อมูลของรหัสนักศึกษาจะต้องมี
ข้อมูลที่ไม่ซ้ากัน และมีคีย์นอกของตารางคือแอตทริบิวส์ Major ซึ่งเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไปยังแอตทริ
บิวส์ Major ของรีเลชัน Major ซึ่งข้อมูลทุกตัวของแอตทริบิวส์ Major ในรีเลชัน Student จะต้องมีอยู่ใน
แอตทริบิวส์ Major ของรีเลชัน Major ส่วนตาราง Major มีคีย์หลักคือแอตทริบิวส์ Major
7. ซุปเปอร์คีย์ (Super key) หมายถึง attribute หรือ เซ็ทของ attribute ที่ สามารถบ่งบอกว่าแต่
ละแถว (Tuple) แตกต่างกัน ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ จะต้องมีอย่างน้อย หนึ่ง super key ในเซ็ทของ
attributes
3. กฎที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความถูกต้อง
กฎที่ใช้สาหรับรักษาความถูกต้องของข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 กฎคือ กฎที่เกี่ยวข้องกับเอนทิตี้ และกฎที่
เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเอนทิตี้
3.1. กฎความบูรณภาพของเอนทิตี้ (Entity Integrity Rule)
กฎความบูรณภาพของเอนทิตี้ เป็นกฎที่ใช้กาหนดเพื่อให้ข้อมูลของเอนทิตี้ มีความถูกต้อง ซึ่งกล่าวไว้ว่า
"แอตทริบิวส์ที่ทาหน้าที่เป็นคีย์หลักของรีเลชัน ไม่สามารถมีค่าเป็นค่าว่างได้ (Null Value)" และจะต้องมี
คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ (Identity) คือสามารถระบุข้อมูลแอตทริบิวส์อื่นๆ ที่อยู่ในทูเพิลเดียวกันได้
3.2. กฎความบูรณภาพของการอ้างอิง (Referential Integrity Rule)
กฎความบูรณภาพของการอ้างอิง คือกฎที่ใช้รักษาความถูกต้องของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันของเอนทิตี้
ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า "ค่าของคีย์นอกในรีเลชัน จะต้องมีข้อมูลอยู่ในอีก รีเลชันหนึ่ง ที่คีย์นอกของรีเลชันนั้น
อ้างอิงถึง"
ในบางกรณีคีย์นอกอาจเป็นค่าว่างได้ ถ้านโยบายขององค์กร อนุญาตให้ค่าคีย์นอกเป็น ค่าว่างได้กรณีหาก
มีการลบ หรือแก้ไขข้อมูล ในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึง ซึ่งจะทาให้สูญเสียความบูรณภาพของข้อมูล ดัง
ตัวอย่างรูปที่ 3.6 หากมีการแก้ไขหรือลบข้อมูลของรีเลชัน Major ในแอตทริบิวส์ Major ซึ่งมี
ความสัมพันธ์อยู่กับรีเลชัน Student จะทาให้ความสัมพันธ์ของข้อมูลเสียหาย ดังนั้นจึงต้องเลือก การ
กระทาเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของข้อมูลสูญเสียไป
กรณีการแก้ไขข้อมูล
1. ห้ามทาการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างถึงนั้น เนื่องจากจะทาให้ข้อมูลในรีเลชันที่อ้างอิงมา
ไม่สามารถอ้างอิงข้อมูลได้
2. อนุญาตให้ทาการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึงได้ แต่จะต้องตามไปแก้ไขข้อมูล ในรีเล
ชันที่อ้างอิงมาให้ตรงกับข้อมูลที่แก้ไขใหม่ทั้งหมด
3. อนุญาตให้ทาการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึงได้ โดยการแก้ไขข้อมูลในรีเลชัน ที่
อ้างอิงมาให้มีค่าเป็น ค่าว่าง
อ้างอิง
http://203.172.182.81/wbidatabase/unit3/unit3.php
ขอบคุณที่รับชม

More Related Content

What's hot

แบบรูป ลักษณะคุณสมบัติและข้อดีของฐานข้อมูลเชิงวัตถุ
แบบรูป ลักษณะคุณสมบัติและข้อดีของฐานข้อมูลเชิงวัตถุแบบรูป ลักษณะคุณสมบัติและข้อดีของฐานข้อมูลเชิงวัตถุ
แบบรูป ลักษณะคุณสมบัติและข้อดีของฐานข้อมูลเชิงวัตถุAmIndy Thirawut
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล Watuka Wannarun
 
การใช้โปรแกรม Access เบื้องต้น
การใช้โปรแกรม Access เบื้องต้นการใช้โปรแกรม Access เบื้องต้น
การใช้โปรแกรม Access เบื้องต้นtechno UCH
 
บทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูล
บทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูลบทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูล
บทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูลRungnapa Rungnapa
 
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลkruthanyaporn
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nunzaza
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10nunzaza
 
Lecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูล
Lecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูลLecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูล
Lecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูลskiats
 
พจนานุกรมข้อมูล
พจนานุกรมข้อมูลพจนานุกรมข้อมูล
พจนานุกรมข้อมูลtumetr
 
แนวคิดแผนภาพกระแสข้อมูล
แนวคิดแผนภาพกระแสข้อมูลแนวคิดแผนภาพกระแสข้อมูล
แนวคิดแผนภาพกระแสข้อมูลShengyou Lin
 
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลYongyut Nintakan
 
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุลงานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุลchanoot29
 

What's hot (19)

แบบรูป ลักษณะคุณสมบัติและข้อดีของฐานข้อมูลเชิงวัตถุ
แบบรูป ลักษณะคุณสมบัติและข้อดีของฐานข้อมูลเชิงวัตถุแบบรูป ลักษณะคุณสมบัติและข้อดีของฐานข้อมูลเชิงวัตถุ
แบบรูป ลักษณะคุณสมบัติและข้อดีของฐานข้อมูลเชิงวัตถุ
 
บทที่ 3 ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
บทที่ 3 ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์บทที่ 3 ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
บทที่ 3 ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
 
งานคอม#2
งานคอม#2งานคอม#2
งานคอม#2
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
 
การใช้โปรแกรม Access เบื้องต้น
การใช้โปรแกรม Access เบื้องต้นการใช้โปรแกรม Access เบื้องต้น
การใช้โปรแกรม Access เบื้องต้น
 
Lesson 1
Lesson 1Lesson 1
Lesson 1
 
บทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูล
บทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูลบทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูล
บทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูล
 
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
Lecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูล
Lecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูลLecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูล
Lecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูล
 
Database
DatabaseDatabase
Database
 
แนวการสอบ ม.4
แนวการสอบ ม.4แนวการสอบ ม.4
แนวการสอบ ม.4
 
พจนานุกรมข้อมูล
พจนานุกรมข้อมูลพจนานุกรมข้อมูล
พจนานุกรมข้อมูล
 
SA Chapter 6
SA Chapter 6SA Chapter 6
SA Chapter 6
 
แนวคิดแผนภาพกระแสข้อมูล
แนวคิดแผนภาพกระแสข้อมูลแนวคิดแผนภาพกระแสข้อมูล
แนวคิดแผนภาพกระแสข้อมูล
 
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูล
 
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุลงานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

Similar to ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลkruthanyaporn
 
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลOrapan Chamnan
 
ระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลchanoot29
 
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลYongyut Nintakan
 
2. ใบความรู้ที่ 1
2. ใบความรู้ที่ 12. ใบความรู้ที่ 1
2. ใบความรู้ที่ 1ครูเพชร
 
Database
DatabaseDatabase
Databasepaween
 
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลApirada Prayougsab
 
งานกลุ่ม ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ม.2/4 เลขที่ 1-18-26-29-31-34-40
งานกลุ่ม ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ม.2/4 เลขที่ 1-18-26-29-31-34-40งานกลุ่ม ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ม.2/4 เลขที่ 1-18-26-29-31-34-40
งานกลุ่ม ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ม.2/4 เลขที่ 1-18-26-29-31-34-40KittinanSuksom2
 
งานกลุ่ม3ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
งานกลุ่ม3ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์งานกลุ่ม3ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
งานกลุ่ม3ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์Earn'kanittha Thunyadee
 
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5สิรินยา ปาโจด
 
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5สิรินยา ปาโจด
 
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์  น่านกร ม.5หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์  น่านกร ม.5
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5palmyZommanow
 
หน่วยที่ 1
หน่วยที่ 1หน่วยที่ 1
หน่วยที่ 1palmyZommanow
 
การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์2
การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์2การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์2
การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์2sunisa3112
 
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลIsareeya Keatwuttikan
 
บทที่1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล และหลักการออกแบบฐานข้อมูล
บทที่1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล และหลักการออกแบบฐานข้อมูลบทที่1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล และหลักการออกแบบฐานข้อมูล
บทที่1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล และหลักการออกแบบฐานข้อมูลniwat50
 

Similar to ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (20)

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
 
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูล
 
ระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูล
 
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูล
 
2. ใบความรู้ที่ 1
2. ใบความรู้ที่ 12. ใบความรู้ที่ 1
2. ใบความรู้ที่ 1
 
Database
DatabaseDatabase
Database
 
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
 
Db1
Db1Db1
Db1
 
งานกลุ่ม ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ม.2/4 เลขที่ 1-18-26-29-31-34-40
งานกลุ่ม ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ม.2/4 เลขที่ 1-18-26-29-31-34-40งานกลุ่ม ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ม.2/4 เลขที่ 1-18-26-29-31-34-40
งานกลุ่ม ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ม.2/4 เลขที่ 1-18-26-29-31-34-40
 
งานกลุ่ม3ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
งานกลุ่ม3ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์งานกลุ่ม3ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
งานกลุ่ม3ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
 
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
 
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
 
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์  น่านกร ม.5หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์  น่านกร ม.5
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5
 
หน่วยที่ 1
หน่วยที่ 1หน่วยที่ 1
หน่วยที่ 1
 
การจัดเก็บข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลการจัดเก็บข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูล
 
การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์2
การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์2การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์2
การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์2
 
บท1
บท1บท1
บท1
 
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูลความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
 
บท1
บท1บท1
บท1
 
บทที่1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล และหลักการออกแบบฐานข้อมูล
บทที่1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล และหลักการออกแบบฐานข้อมูลบทที่1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล และหลักการออกแบบฐานข้อมูล
บทที่1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล และหลักการออกแบบฐานข้อมูล
 

More from กฤศอนันต์ ชาญเชี่ยว (9)

Kingdom plantae
Kingdom plantaeKingdom plantae
Kingdom plantae
 
Kingdom animal
Kingdom animalKingdom animal
Kingdom animal
 
การปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาลการปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาล
 
สื่อการสอนครูรุ่งนภา คงเพ็ชรศักดิ์
สื่อการสอนครูรุ่งนภา คงเพ็ชรศักดิ์สื่อการสอนครูรุ่งนภา คงเพ็ชรศักดิ์
สื่อการสอนครูรุ่งนภา คงเพ็ชรศักดิ์
 
Garena gas
Garena gasGarena gas
Garena gas
 
android
androidandroid
android
 
แสดงหมายเลขบรรทัดใน Word
แสดงหมายเลขบรรทัดใน Wordแสดงหมายเลขบรรทัดใน Word
แสดงหมายเลขบรรทัดใน Word
 
Page number
Page numberPage number
Page number
 
เปลี่ยนบ้านเป็นสมาทร์โฟน
เปลี่ยนบ้านเป็นสมาทร์โฟนเปลี่ยนบ้านเป็นสมาทร์โฟน
เปลี่ยนบ้านเป็นสมาทร์โฟน
 

ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์

  • 2. 1. ความหมายของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) เป็นฐานข้อมูลที่ใช้โมเดลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Model) ซึ่งผู้คิดค้นโมเดลเชิงสัมพันธ์นี้คือ Dr. E.F. Codd โดยใช้หลักพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เนื่องด้วยแนวคิดของ แบบจาลองแบบนี้มีลักษณะที่คนใช้กันทั่วกล่าวคือมีการเก็บเป็นตาราง ทาให้ง่ายต่อการเข้าใจและการประยุกต์ใช้งาน ด้วยเหตุนี้ ระบบฐานข้อมูลแบบนี้จึงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในแง่ของ entity แบบจาลองแบบนี้คือ แฟ้มข้อมูลใน รูปตาราง และ attribute ก็เปรียบเหมือนเขตข้อมูล ส่วนความสัมพันธ์คือความสัมพันธ์ระหว่าง entityฐานข้อมูลเชิง สัมพันธ์ คือ การเก็บข้อมูลในรูปของตาราง (Table)หลายๆตารางที่มีความสัมพันธ์กัน ในแต่ละตารางแบ่งออกเป็น แถวๆ และในแต่ละแถวจะแบ่งเป็นคอลัมน์ (Column) ในทางทฤษฎีจะมีคาศัพท์เฉพาะแตกต่างออกไป เนื่องจาก แบบจาลองแบบนี้เกิดจากทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เรื่องเซ็ท (Set)
  • 3. แสดงรายละเอียดของส่วนประกอบต่าง ๆ ของโมเดลแบบความสัมพันธ์ อาจจะเขียนในรูปสมการดังต่อไปนี้ R(รหัสประจาตัวประชาชน,ชื่อ,นามสกุล,วันเกิด) เนื่องจากแต่ละ ตารางสามารถมีความสัมพันธ์กันได้ดังที่กว่าไว้ในข้างต้น ทาให้การเก็บข้อมูลในรูปแบบนี้ มีความคล่องตัว สูงเพราะเราสามารถแยกเก็บข้อมูลใน หลายตารางโดยอาศัยความสัมพันธ์ดังกล่าว และสามารถสืบค้นได้ จากรหัสพิเศษที่เรียกว่า กุญแจ(key) ดังรูป
  • 4. แสดงตัวอย่างการสืบค้นข้อมูลโดยอาศัยความสัมพันธ์ Dr.E.F.Codd ได้กาหนดส่วนประกอบของโมเดลเชิงสัมพันธ์นี้ แบ่งเป็น 3 ส่วนได้แก่ 1. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของข้อมูล 2. ส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมความถูกต้องให้กับข้อมูล 3. ส่วนในการจัดการกับข้อมูล
  • 5. 2. โครงสร้างของข้อมูล (Data Structure) 2.1. Relation โครงสร้างของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ จะอยู่ในลักษณะของตาราง 2 มิติ ประกอบด้วยทางด้านแถว และคอลัมน์ ซึ่งจะเรียกว่า รีเลชัน (Relation) โดยทั่ว ๆ ไป Relation หนึ่ง ๆ จะมีคุณสมบัติต่าง ๆ ดังนี้ 1) ไม่มี Tuples คู่ใด ๆ เลยที่ซ้ากัน (No duplicate tuples) 2) ลาดับที่ของ Tuples ไม่มีความสาคัญ 3) ลาดับที่ของ Attributesไม่มีความสาคัญ 4) ค่าของ Attribute จะเป็นค่าเดี่ยว ๆ (Atomic) นั่นคือ ค่าของข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในตารางจะเป็นค่า ๆ เดียว เป็นลิสต์ของค่า หลาย ๆ ค่าไม่ได้ซึ่ง Relation ที่มีคุณสมบัติข้อนี้จะถูกเรียกว่าเป็น Relation ที่อยู่ในรูปแบบ Normal form 5) ค่าของข้อมูลในแต่ละ Attribute จะบรรจุค่าของข้อมูลประเภทเดียวกัน
  • 6. ชนิดของ Relations ในระบบจัดการฐานข้อมูลทั่ว ๆ ไป Relation อาจจาแนกออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้คือ 1) Relation หลัก (Base Relation) เป็น Relation ที่ถูกกาหนดขึ้นเพื่อเก็บข้อมูลและเพื่อนาข้อมูลไปใช้เมื่อมีการสร้าง Relation โดยใช้ Data Definition Languageเช่น ใน SQL คาสั่ง CREATE TABLE เป็นการสร้าง Relation หลัก หลังจากนั้นก็จะทาการเก็บข้อมูลเพื่อการ เรียกใช้ข้อมูลในภายหลัง Relation หลักจะเป็นตารางที่จัดเก็บข้อมูลจริงไว้ 2) วิว (View) หรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Relation สมมุติ (Virtual Relation) เป็น Relation ที่ถูกสร้างขึ้นตามความต้องการใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน เนื่องจาก ผู้ใช้แต่ละคนอาจต้องการใช้ข้อมูลใน ลักษณะที่แตกต่างกัน จึงทาการกาหนดวิวของตัวเองขึ้นมาจาก Relation หลัก เพื่อความสะดวกในการใช้ข้อมูล และช่วยให้ การรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูลทาได้ง่ายขึ้น Relation ที่ถูกสมมติขึ้นมานี้จะไม่มีการเก็บข้อมูลจริง ๆ ในระบบ ฐานข้อมูล ลักษณะของรีเลชั่นแสดงดังรูป
  • 7. โครงสร้างของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ตารางข้อมูลทั้งหมด จะเรียกว่า Relation แต่โดยส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า Table หรือ ตาราง เนื่องจาก โครงสร้างการจัดเก็บเป็นแบบตาราง ส่วนข้อมูลในแต่ละแถว จะเรียกว่า ทูเพิล (Tuple) ส่วนข้อมูลในแต่ ละคอลัมน์ จะเรียกว่า แอตทริบิวส์ (Attribute) ดังตัวอย่างมี 4 แอตทริบิวส์ คือ SID, Sname, GPA, Major เขียนเป็นสมการได้ดังนี้ Student(SID,Sname,GPA,Major)
  • 8. 2.2. Domain โดเมน (Domain) คือการกาหนดขอบเขตและชนิดของข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่ผู้ใช้จัดเก็บ มีความผิดพลาดไปจาก ความเป็นจริงที่ควรจะเป็นตัวอย่างดังรูป โดเมนของข้อมูล
  • 9. 2.3. คีย์(Key) คีย์คือ แอตทริบิวส์ หรือ กลุ่มของแอตทริบิวส์ที่สามารถแยกความแตกต่างของข้อมูลในแต่ละทูเพิลได้หรือแอตทริบิวส์ที่ข้อมูลในแอตทริ บิวส์นั้นต้องมีข้อมูลที่ไม่ซ้ากัน ซึ่งคีย์มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ได้แก่ 1. คีย์อย่างง่าย (Simple key) หมายถึง key ที่ประกอบด้วย attributeเดียว 2. คีย์ประกอบ (Combine key หรือ Composite key) หมายถึง key ที่ ประกอบด้วย attribute มากกว่า 1 attribute 3. คีย์คู่แข่ง (Candidate Key) คือคีย์ที่เล็กที่สุด ที่แยกความแตกต่างของข้อมูลแต่ละทูเพิลได้ยกตัวอย่างเช่น ในรีเลชัน Student มีข้อมูลที่ สามารถเป็นคีย์คู่แข่ง คือแอตทริบิวส์ รหัสนักศึกษา และการใช้แอตทริบิวส์ ชื่อรวมกับนามสกุล ซึ่งทั้งสองแบบสามารถระบุความแตกต่างของข้อมูล แต่ ละทูเพิลได้ 4. คีย์หลัก (Primary Key) คือคีย์คู่แข่งซึ่งได้เลือกมาเพื่อใช้กาหนดให้เป็นค่าคีย์หลักของ รีเลชัน ซึ่งข้อมูลที่เป็นคีย์หลักนั้นจะต้องมีข้อมูลที่ ไม่ซ้ากัน และมักจะเลือกคีย์คู่แข่ง ที่มีขนาดเล็กมาเป็นคีย์หลัก ตัวอย่างเช่น การเลือกแอตทริบิวส์รหัสนักศึกษา มาเป็นค่าคีย์หลัก เนื่องจาก มีขนาดเล็กกว่า แอตทริบิวส์ ชื่อ รวมกับ นามสกุล ซึ่งจะทาให้การทางานเร็วกว่า เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า 5. คีย์รอง (AlternateKey หรือ Secondary key) คือคีย์คู่แข่งอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกเลือกมาใช้งานยกตัวอย่างเช่น แอตทริบิวส์ ชื่อรวมกับ นามสกุล ซึ่งไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นคีย์หลักของรีเลชันก็จะกลายเป็น AlternateKey 6. คีย์นอก (Foreign Key)เป็นคีย์ที่ใช้เชื่อมความสัมพันธ์ของรีเลชัน ตัวอย่างแสดงดังรูป
  • 10. คีย์หลักและคีย์นอก จากรูปที่ รีเลชัน Student มีค่าคีย์หลักคือ SID ซึ่งเป็นรหัสนักศึกษา โดยข้อมูลของรหัสนักศึกษาจะต้องมี ข้อมูลที่ไม่ซ้ากัน และมีคีย์นอกของตารางคือแอตทริบิวส์ Major ซึ่งเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไปยังแอตทริ บิวส์ Major ของรีเลชัน Major ซึ่งข้อมูลทุกตัวของแอตทริบิวส์ Major ในรีเลชัน Student จะต้องมีอยู่ใน แอตทริบิวส์ Major ของรีเลชัน Major ส่วนตาราง Major มีคีย์หลักคือแอตทริบิวส์ Major 7. ซุปเปอร์คีย์ (Super key) หมายถึง attribute หรือ เซ็ทของ attribute ที่ สามารถบ่งบอกว่าแต่ ละแถว (Tuple) แตกต่างกัน ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ จะต้องมีอย่างน้อย หนึ่ง super key ในเซ็ทของ attributes
  • 11. 3. กฎที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความถูกต้อง กฎที่ใช้สาหรับรักษาความถูกต้องของข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 กฎคือ กฎที่เกี่ยวข้องกับเอนทิตี้ และกฎที่ เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเอนทิตี้ 3.1. กฎความบูรณภาพของเอนทิตี้ (Entity Integrity Rule) กฎความบูรณภาพของเอนทิตี้ เป็นกฎที่ใช้กาหนดเพื่อให้ข้อมูลของเอนทิตี้ มีความถูกต้อง ซึ่งกล่าวไว้ว่า "แอตทริบิวส์ที่ทาหน้าที่เป็นคีย์หลักของรีเลชัน ไม่สามารถมีค่าเป็นค่าว่างได้ (Null Value)" และจะต้องมี คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ (Identity) คือสามารถระบุข้อมูลแอตทริบิวส์อื่นๆ ที่อยู่ในทูเพิลเดียวกันได้
  • 12. 3.2. กฎความบูรณภาพของการอ้างอิง (Referential Integrity Rule) กฎความบูรณภาพของการอ้างอิง คือกฎที่ใช้รักษาความถูกต้องของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันของเอนทิตี้ ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า "ค่าของคีย์นอกในรีเลชัน จะต้องมีข้อมูลอยู่ในอีก รีเลชันหนึ่ง ที่คีย์นอกของรีเลชันนั้น อ้างอิงถึง" ในบางกรณีคีย์นอกอาจเป็นค่าว่างได้ ถ้านโยบายขององค์กร อนุญาตให้ค่าคีย์นอกเป็น ค่าว่างได้กรณีหาก มีการลบ หรือแก้ไขข้อมูล ในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึง ซึ่งจะทาให้สูญเสียความบูรณภาพของข้อมูล ดัง ตัวอย่างรูปที่ 3.6 หากมีการแก้ไขหรือลบข้อมูลของรีเลชัน Major ในแอตทริบิวส์ Major ซึ่งมี ความสัมพันธ์อยู่กับรีเลชัน Student จะทาให้ความสัมพันธ์ของข้อมูลเสียหาย ดังนั้นจึงต้องเลือก การ กระทาเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของข้อมูลสูญเสียไป
  • 13. กรณีการแก้ไขข้อมูล 1. ห้ามทาการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างถึงนั้น เนื่องจากจะทาให้ข้อมูลในรีเลชันที่อ้างอิงมา ไม่สามารถอ้างอิงข้อมูลได้ 2. อนุญาตให้ทาการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึงได้ แต่จะต้องตามไปแก้ไขข้อมูล ในรีเล ชันที่อ้างอิงมาให้ตรงกับข้อมูลที่แก้ไขใหม่ทั้งหมด 3. อนุญาตให้ทาการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึงได้ โดยการแก้ไขข้อมูลในรีเลชัน ที่ อ้างอิงมาให้มีค่าเป็น ค่าว่าง