O slideshow foi denunciado.
Seu SlideShare está sendo baixado. ×

การลำเลียงน้ำของพืช (2).pdf

Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Anúncio
Carregando em…3
×

Confira estes a seguir

1 de 18 Anúncio

Mais Conteúdo rRelacionado

Semelhante a การลำเลียงน้ำของพืช (2).pdf (20)

Mais recentes (20)

Anúncio

การลำเลียงน้ำของพืช (2).pdf

  1. 1. การลาเลียงน้าของพืช
  2. 2. โครงสร้างของรากพืชใบเลี้ยงคู่
  3. 3. เอพิเดอร์มิส คอร์เทกซ์ เอนโด เดอร์มิส เพอริไซเคิล กลุ่มท่อ ลาเลียง
  4. 4. • การดูดน้าของพืชเกิดขึ้นที่ราก • ด้วยกระบวนการออสโมซิส • สารละลายภายในเซลล์ของรากมี ความเข้มข้นสูงกว่าภายนอก ดังนั้น น้าในดินก็จะแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ เข้าสู่เซลล์ของราก แต่ถ้าน้าในดิน น้อย ความเข้มข้นของสารมาก พืชจะ ดูดน้าไม่ได้และเหี่ยวตาย
  5. 5. ขนราก คอร์เท็กซ์ เอนโดเดอร์มิส เพอริไซเคิล ไซเล็ม เส้นทางการลาเลียงน้า
  6. 6. การลาเลียงน้าจากขนรากไปสู่ไซเล็มมี 2 วิถี คือ แบบอโพพลาสต์(apoplast) ซึ่งเป็นการลาเลียงน้าไปตามผนังเซลล์หรือ ช่องว่างระหว่างเซลล์ แบบซิมพลาสต์(symplast) ซึ่งเป็นการลาเลียงน้าผ่านจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์ หนึ่งทางพลาสโมเดสมาตา (plasmodesmata) นอกจากนั้นน้ายังเคลื่อนที่ ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของสองเซลล์ที่ติดกัน (transmembrane) ได้อีกด้วย
  7. 7. ระหว่างเซลล์พืชสองเซลล์มีช่องเล็ก เปิดสู่เซลล์ที่ติดกัน เรียกว่า พลาสโมเดสมาตา(Plasmodesmata)
  8. 8. • โมเลกุลของน้าที่ลาเลียงแบบอโพพลาสต์ที่ผ่านเซลล์ขนรากและเซลล์ต่างๆ ในชั้นคอร์เทกซ์ น้าจะไม่สามารถลาเลียงผ่านทางผนังเซลล์ด้านที่มีแถบแค สพาเรียนได้ • น้าจึงถูกลาเลียงเข้าไปในเซลล์แบบซิมพลาสต์ ผ่านทางผนังเซลล์ที่ไม่มีแถบ แคสพาเรียน เข้าสู่ชั้นในไปจนถึงเซลล์ของไซเล็ม
  9. 9. วิถีอโพพลาสต์ จะเปลี่ยนมาเป็นซิมพาสต์ เมื่อเจอแถบแคสพาเรียน(casparian strip)บริเวณผนังเซลล์ของเอนโดเดอร์มิส โดยแถบแคสพาเรียนจะมีสารพวกซู เบอริน ที่กันน้าได้
  10. 10. การลาเลียงน้ามีการ ลาเลียงจากรากไปสู่ยอด โดยผ่านท่อลาเลียงน้า (xylem) โดยผ่านเซลล์2 ชนิดคือ • เทรคีด • เวสเซล
  11. 11. • เมื่อพืชลาเลียงน้าเข้าสู่ไซเล็มของรากแล้ว พืชจะอาศัยแรงดึงจาก การคายน้าเพื่อลาเลียงน้าขึ้นสู่ด้านบน การลาเลียงน้าในไซเล็ม จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อน้าในไซเล็มต่อกันเป็นสายไม่ขาดตอน ดังนั้นจึง จาเป็นที่จะต้องมี แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของน้าดัวยกันเอง เรียก แรงโคฮีชัน (cohesion) และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้า กับผนังเซลล์ของท่อไซเล็ม เรียกว่า แรงแอดฮีชัน (adhesion)
  12. 12. หากแรงดึงจากการคายน้ามีค่ามากกว่าแรงโคฮีชัน ทาให้สายน้าไม่ ต่อเนื่อง เกิดฟองแก๊สเกิดขึ้น ซึ่งขัดขวางการลาเลียงน้า แต่เมื่อพืชหยุด การคายน้า เช่น ในเวลากลางคืน ที่ปากใบปิด และน้าในดินมีเพียงพอ และยังคงเคลื่อนที่เข้าสู่ไซเล็มของรากได้ ทาให้เกิดแรงดันของมวลน้า ภายในราก เรียกว่า แรงดันราก (root pressure) ซึ่งจะดันน้าขึ้นไปบีบ ฟองอากาศที่เกิดขึ้น เนื่องจากแรงดันจากการคายน้าให้หายไปได้
  13. 13. ในสภาวะที่ไม่มีการคายน้า เช่น ปากใบปิดในเวลากลางคืน หรือในสภาวะที่อากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูงมาก หากปริมาณน้าใน ดินมีเพียงพอที่พืชจะลาเลียงเข้าสู่ภายในได้ จะทาให้พืชบางชนิด เกิดปรากฏการณ์ กัตเตชัน(guttation) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มี ลักษณะเป็นหยดน้าผ่านออกมาทางรูหยาดน้า หรือไฮดาโทด (hydatode)
  14. 14. ป ั จจัยที่มีผลต่อการลาเลียงของพืช • น้าในดิน ถ้าน้าในดินมีมากพืชก็จะดูดได้เร็ว แต่ถ้ามีมากเกินไป จะทาให้ พืชดูดน้าได้น้อยลง เนื่องจากอากาศในดินมีน้อย ทาให้รากพืชหายใจไม่ได้ จึงขาดพลังงานในการเมแทบอลิซึม • อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิสูงหรือต่าเกินไปจนเป็นน้าแข็ง จะทาให้พืชดูดน้าได้ น้อยลง หรือดูดน้าไม่ได้ • ความเข้มข้นของสารละลายภายในดิน ถ้าความเข้มข้นในดินสูงกว่า หรือ เท่ากับสารละลายในราก จะทาให้รากพืชไม่สามารถดูดน้าจากดินได้

×