More Related Content Similar to ระบบปฏิบัติการและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ Similar to ระบบปฏิบัติการและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (20) ระบบปฏิบัติการและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์2. ระบบปฏิบัติการ หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า โอเอสเป็นซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีเช่น DOS, Windows,โอเอสทู (OS/2) ,ยูนิกซ์ (UNIX) 3. DOS เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ Windows ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส เพื่อเน้นการใช้งานที่ง่ายขึ้น สามารถทำงานหลายงานพร้อมกันได้ วินโดวส์จึงได้รับความนิยมในปัจจุบัน OS/2 เป็นระบบปฏิบัติการแบบเดียวกับวินโดวส์ แต่บริษัทผู้พัฒนาคือ บริษัทไอบีเอ็ม ปัจจุบันไม่มีการใช้งานกันแล้ว Unix ระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้หลายงานพร้อมกัน และทำงานได้หลาย ๆ งานในเวลาเดียวกัน ยูนิกซ์จึงใช้ได้กับเครื่องที่เชื่อมโยงและต่อกับเครื่องปลายทางได้หลายเครื่องพร้อมกัน 4. ส่วนประกอบของ Windows 1.Start - คลิกปุ่มนี้ จะมีเมนูแสดงขึ้นมา 2.Desktop - บริเวณพื้นที่ของ Windows เพื่อแสดงไอคอน หรือโปรแกรมที่เราเรียกใช้งาน 3.Task Bar - บริเวณที่แสดงว่ามีโปรแกรมใดทำงานค้างอยู่ 4.Icons - รูปภาพแทนคำสั่ง สำหรับไอคอนพื้นฐาน ได้แก่ - My Computer ไอคอนแสดงดิสก์ไดร์ฟในเครื่องคอมฯของคุณ- My Document เก็บตำแหน่งของเอกสารที่มีการเปิดใช้งาน- Internet Explorer เว็บบราวเซอร์สำหรับเล่น WWW- Recycle Bin ถังขยะสำหรับเก็บไฟล์ที่มีการลบ สามารถกู้คืนกลับมาได้- Outlook Express โปรแกรมสำหรับรับ-ส่ง อีเมล์- Network Neighborhood ไอคอนแสดงระบบเครือข่าย หรือกลุ่มคอมพิวเตอร์ของคุณ 5. ขั้นตอนการเปิด-ปิด Windows 1.คลิกปุ่ม Start เลือก Shutdown จะมีปุ่ม ให้คลิกเลือก สำหรับความหมายแต่คำสั่งมีดังนี้- Shutdown : ปิดเครื่องทันที- Restart : ให้เริ่มเข้า windows ใหม่ (ใช้กรณีมีปัญหาการใช้ windows) - Stand by : ให้เข้าระบบพักเครื่อง 2.หลังจากเลือกหัวข้อที่ต้องการแล้ว ให้คลิกปุ่ม OK 3.รอจนกระทั่ง Windows ถูกปิดไป (บางรุ่นเวลา Shutdown เครื่องระบบ power ของเครื่องจะปิดให้อัตโนมัติ ส่วน Monitor อาจยังไม่ปิด ดังนั้นให้ปิดสวิทซ์ Monitor ด้วย) 4.ห้ามปิดเครื่องโดยไม่ Shutdown Windows อาจะทำให้ไม่สามารถเข้า Windows ได้อีก 5.ยกเว้นกรณีเครื่อง Hank หรือ กดปุ่มใด ๆ ไม่ได้ ให้กดปุ่ม Power เพื่อทำการปิดได้ (คอมพิวเตอร์บางรุ่น จะต้องกดแช่ ค้างไว้ สักครู่) 6. การปรับแต่งหน้าตาของ Windows เราสามารถปรับแต่งหน้าตาของ Windows ในรูปแบบของเราได้ โดยการเข้าคลิกขวา บริเวณหน้าจอ (Desktop) จากนั้นเลือกคำสั่ง Properties รายละเอียดแต่ละคำสั่งบนแท็ป - Background - สำหรับปรับแต่ง Wallpaper ของหน้าจอภาพ หรือ Desktop - Screen Saver - สำหรับปรับเปลี่ยนโปรแกรมพักหน้าจอ สามารถกำหนดระยะเวลาให้ แสดง Screen Saver ได้ - Appearance - แสดงรูปแบบ ขนาดตัวอักษร (ไม่มีความเข้าใจ ไม่ควรเข้าไปปรับเปลี่ยน) - Effects - สำหรับปรับขนาดไอคอน รูปแบบการแสดงเมนู - Web - สำหรับแสดงหน้า Desktop ในรูปแบบของ Web - Settings - สำหรับกำหนดขนาดของหน้าจอ และจำนวนสีที่แสดง 7. การปรับเปลี่ยน Background 1.คลิกแท็ป Background 2.บริเวณ Select a background picture เลือกรูปแบบที่เราต้องการ หรือ 3.คลิกคำสั่ง Browse เพื่อกำหนดตำแหน่งของไฟล์ภาพอื่นๆ ที่เราต้องการนำมาแสดงเป็น Wallpaper การปรับเปลี่ยน Settings 1.คลิกแท็ป Settings 2.คลิกเลือกจำนวนสีที่ต้องการ ถ้าทำได้ควรกำหนดสีอย่างน้อย 256 สีขึ้นไป 3.Screen Area สำหรับกำหนดขนาดของหน้าจอ ขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้คือ 800 by 600 8. ทำความรู้จัก Control Panel Control Panel ที่เป็นที่เก็บโปรแกรมสำคัญๆ ของ Windows เป็นโปรแกรมที่เกี่ยวกับการควบคุมการทำงานของ Windows ทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม บางโปรแกรมอาจสามารถเรียกโดยไม่ต้องผ่าน Control Panel ก็ได้ ตัวอย่างเช่น หน้าต่าง Display Properties สามารถเรียกโดย คลิกขวา เลือก Properties ผ่านทางหน้า Desktop ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องผ่านหน้าต่าง Control Panel ในส่วนของ Display เป็นต้น การเรียกใช้ Control Panel 1.คลิกปุ่ม Start 2.คลิกเมนู Settings 3.คลิกเลือก Control Panel 9. การจัดการไฟล์ ด้วย Windows Explorer การเรียนใช้ Windows Explorer 1.เรียกจากเมนู Start 2.คลิกเมนู Programs 3.คลิกเลือก Accessoriesเลือก Windows Explorer (สำหรับ Windows ME) หรือสามารถเรียกได้จาก คลิกไอคอนที่ My Computer 5.คลิกขวา เลือก Explore 6.กรณีต้องการปรับเปลี่ยนการดูรายชื่อ ไฟล์และโฟลเดอร์ ให้คลิกเมนู View เลือก Large Icons, Small Icons, List, Details การใช้งาน Windows Explorer นี้ สามารถ copy, delete หรือ move ทั้งไฟล์และโฟลเดอร์ไปยังไดร์ฟต่างๆ ภายในเครื่องคอมฯ ของเราได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรระวัง ถ้ามีการย้ายผิด อาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมของเราได้ด้วย 10. การปรับแต่งไอคอน บน Desktop รูปภาพเล็ก ๆ บนหน้าจอ หรือที่เราเรียกว่า ไอคอน "Icon"เป็นตัวช่วยในการเรียกใช้โปรแกรมให้สะดวกขึ้น วิธีการปรับแต่งไอคอน 1.เปลี่ยนชื่อไอคอน ให้คลิกเลือกไอคอน จากนั้นกดปุ่ม F2 พิมพ์ชื่อใหม่ตามต้องการ สามารถพิมพ์ชื่อภาษาไทยได้ด้วย 2.ลบไอคอนให้คลิกเลือกไอคอน จากนั้นกดปุ่ม Del 11. 3.จัดเรียงไอคอน-ให้คลิกขวาบริเวณว่าง ๆ บนหน้าจอ เลือก Arrange Icons-จากนั้นเลือกว่าจะให้เรียงตามอะไร เช่น Name, Type, Size, Dateแต่ถ้าต้องการให้เรียงอัตโนมัติให้คลิก Auto Arrange 4.เปลี่ยนไอคอนให้คลิกเลือกไอคอนนั้นๆ จากนั้นคลิกขวา เลือก Propertiesเลือก Change Iconเลือกรูปแบบที่ต้องการ 13. ความสำคัญของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ธรรมชาติมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เมื่อมนุษย์มีความจำเป็นที่จะติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ทางด้านคอมพิวเตอร์จึงต้องตอบสนองเพื่อให้ใช้งานได้ตามความต้องการ การใช้งานคอมพิวเตอร์จึงแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพราะการใช้งานง่าย ราคาไม่สูงมาก สามารถจัดหามาใช้ได้ไม่ยาก เมื่อมีการใช้งานกันมาก บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ก็ปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการที่จะทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มในรูปแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงเป็นวิธีการหนึ่ง และกำลังได้รับความนิยมสูงมาก 15. ชนิดของเครือข่าย เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งแยกตามสภาพการเชื่อมโยงได้ 2 ชนิด 1.เครือข่ายแลน (Local Area Network : LAN) การสื่อสารในระยะใกล้ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท้องถิ่นเช่น ภายในอาคาร หรือภายในองค์การที่มีระยะทางไม่ไกล ลักษณะสำคัญของเครือข่ายแลน คืออุปกรณ์ที่ประกอบภายในเครือข่ายสามารถรับส่งสัญญาณกันด้วยความเร็วสูงมาก การรับส่งข้อมูลมีความผิดพลาดน้อยและสามารถรับส่งข้อมูลจำนวนมากในเวลาจำกัดได้ 2.เครือข่ายแวน (Wide Area Network : WAN) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะไกล เช่น เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ระหว่างประเทศ ความเร็วในการสื่อสารไม่สูง เนื่องจากมีสัญญาณรบกวนในสาย และการเชื่อมโยงระยะไกลจำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษในการลดปัญหาข้อผิดพลาดของการรับส่งข้อมูล 16. เทคโนโลยีเครือข่ายแลน เครือข่ายแลนที่น่าสนใจ เช่น 1.อีเทอร์เน็ต (Ethernet) 2.โทเก็นริง (Token Ring) 3.สวิตชิง (Switching) 17. 1.อีเทอร์เน็ต (Ethernet) อีเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่พัฒนามาจากโครงสร้างการเชื่อมต่อแบบสายสัญญาณร่วมที่เรียกว่า บัส โดยใช้สายสัญญาณแบบแกนร่วม คือ สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) เป็นตัวเชื่อม สำหรับระบบบัส เป็นระบบ เทคโนโลยีที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเชื่อมโยงเข้ากับสายสัญญาณเส้นเดียวกัน คือ เมื่อมีผู้ต้องการส่งข้อมูล ก็ส่งข้อมูลได้เลย แต่เนื่องจากไม่มีวิธีการค้นหาเส้นทางที่ส่งว่างหรือเปล่า จึงไม่ทราบว่ามีอุปกรณ์ใดหรือคอมพิวเตอร์ เครื่องใดที่ส่งข้อมูลมาในช่วงเวลาเดียวกัน จะทำให้เกิดการชนกันขึ้นและเกิดการสูญหายของข้อมูล ผู้ส่งต้องส่งข้อมูล ไปยังปลายทางอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เสียเวลามาก จึงมีการพัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์กลางที่เรียกว่า ฮับ (Hub) และเรียกระบบใหม่นี้ว่า เทนเบสที (10 base t) โดยใช้สายสัญญาณที่มีขนาดเล็กลงและราคาถูกซึ่งเรียกว่า สายคู่บิตเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded twisted pair : UTP) ทำให้การเชื่อมต่อนี้ มีลักษณะแบบดาว วิธีการเชื่อมแบบนี้จะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ฮับ จุดเด่นของดาวตัวนี้ เมื่อมีการส่งข้อมูล จะมีการตรวจสอบความผิดพลาดว่า อุปกรณ์ใดจะส่งข้อมูลมาบ้างและจะมีการสับสวิตซ์ให้ส่ง ได้หรือไม่ แต่ ถ้าฮับเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ หรือคอมพิวเตอร์ ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้อีก 18. 2.โทเก็นริง (Token Ring) โทเก็นริง เป็นเครือข่ายที่บริษัท ไอบีเอ็ม พัฒนาขึ้น รูปแบบการเชื่อมโยงจะเป็น วงแหวน โดยด้านหนึ่งเป็นตัวรับสัญญาณและอีกด้านหนึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณ การเชื่อมต่อแบบนี้ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสามารถส่งข้อมูลถึงกันได้ โดยผ่านเส้นทางวงแหวนนี้ การติดต่อสื่อสารแบบนี้จะมีการจัดลำดับให้ผลัดกันส่งเพื่อว่าจะได้ไม่สับสน โทเก็นริงที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้มีความเร็วในการรับส่งสัญญาณได้ 16 ล้านบิตต่อวินาที ข้อมูลแต่ละชุดจะมี การกำหนดตำแหน่งแน่นอนว่ามาจากสถานีใด และจะส่งไปที่สถานีใด 19. 3.สวิตชิง (Switching) สวิตชิง เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาเพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลระหว่างสถานีทำได้เร็วยิ่งขึ้น การคัดเลือกข้อมูลที่ส่งมาและส่งไปยังสถานีปลายทางจะกระทำที่ชุมสายกลางที่เรียกว่า สวิตชิง รูปแบบของเครือข่ายจะมีลักษณะเป็นแบบดาว ซึ่งโครงสร้างนี้จะเหมือนกับแบบอีเทอร์เน็ตที่มีฮับเป็นศูนย์กลาง แต่แตกต่างกันที่ฮับเป็นจุดร่วมของสายสัญญาณที่จะต่อกระจายไปยังทุกสาย สวิตชิงจะเลือกการสลับสัญญาณไปยังตำแหน่งที่ต้องการเท่านั้น ทำให้รับส่งสัญญาณไม่มีปัญหาเรื่องการชนกันของข้อมูล อุปกรณ์ที่ใช้ในการสวิตชิง มีหลายแบบ เช่น อีเทอร์เน็ตสวิตซ์ และเอทีเอ็มสวิตซ์ เอทีเอ็มสวิตซ์เป็นอุปกรณ์การสลับสายสัญญาณในการรับส่งข้อมูลที่มีการรับส่งกันเป็นชุด ๆ ข้อมูลแต่ละชุดเรียกว่า เซล มีขนาดจำกัด การสวิตชิงแบบเอทีเอ็มทำให้ข้อมูลจากสถานีหนึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่งดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งกำลังได้รับความสนใจและมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น 20. การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างการใช้งานเครือข่าย 1.การใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน งานขององค์กรบางอย่างมีความจำเป็นต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน ถ้าแต่ละฝ่ายทำการหาหรือรวบรวมข้อมูลเอง ข้อมูลอาจ จะมีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันก็ได้ และยังทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคลและวัสดุอุปกรณ์สิ้นเปลืองเวลาอีกด้วย แต่ถ้ามีการจัดเก็บข้อมูลที่ดี มีสถานีให้บริการเก็บข้อมูล แล้วให้ผู้ใช้บริการในองค์กร นั้นดึงข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายไปใช้ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นยังสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกน กล้องดิจิตอล ฯลฯ 21. 2.การติดต่อสื่อสารระหว่างกันบนเครือข่าย เมื่อมีการเชื่อมโยงอุปกรณ์เข้าด้วยกัน ผู้ใช้ ทุกคนที่อยู่บนเครือข่าย จะสามารถ ติดต่อสื่อสารระหว่างกันสามารถส่ง ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิคส์ระหว่างกัน ตลอดจนสามารถโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันได้ 3.สำนักงานอัตโนมัติ แนวคิดของสำนักงานสมัยใหม่ ก็คือ ลดการใช้กระดาษ หันมาใช้ระบบการทำงาน ด้วยคอมพิวเตอร์ที่สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ทันทีทันใด ระบบสำนักงานอัตโนมัติ จึงเป็นระบบการทำงานที่เปรียบเสมือน โต๊ะทำงาน ทำให้เกิดความคล่องตัว และรวดเร็ว 23. อินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 โดยกระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริกาให้ทุนกับมหาวิทยาลัย สมัยแรกใช้ชื่อว่า อาร์ปาเน็ต และจึงมีการเปลี่ยนชื่อเป็น อินเทอร์เน็ตในภายหลัง เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้รับการพัฒนาให้เป็นมาตรฐาน โดยมาตรฐานการรับส่งข้อมูลมีชื่อว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP) การกำหนดตำแหน่งอุปกรณ์ด้วยรหัสหมายเลขที่เรียกว่า แอดเดรส กำหนดรหัสแอดเดรสเรียกว่า ไอพีแอดเดรส และถือเป็นรหัสสากลที่ไม่ซ้ำกันเลย ไอพีแอดเดรสจะประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด โดยเน้นเป็นรหัสของเครือข่ายและรหัสของอุปกรณ์ เช่น รหัสแทนเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใช้รหัส 158.108 24. ส่วนรหัสของเครื่องจะมีอีกสองพิกัดตามมา เช่น 2.71 เมื่อเขียนรวมกันจะได้ 158.108.2.71 เพื่อให้จดจำได้ง่ายจึงมีการตั้งชื่อคู่กับหมายเลข เราเรียกชื่อนี้ว่า โดเมน เช่น ku.ac.th โดย thหมายถึงประเทศไทย ac หมายถึงสถาบันการศึกษาและ ku หมายถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในเครือข่ายหลายเครื่อง ก็ให้มีการตั้งชื่อเครื่องด้วย เช่น nontri เมื่อมีการเรียกรวมกันก็จะเป็นnontri.ku.ac.th การใช้ชื่อนี้ทำให้ใช้งานง่ายกว่าตัวเลข เมื่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก ทำให้โลกไร้พรมแดน ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ สามารถสื่อถึงได้อย่าง รวดเร็ว