More Related Content Similar to การรักษาดุลยภาพในร่างกาย (20) การรักษาดุลยภาพในร่างกาย9. การแลกเปลี่ยนก๊าซของไส้เดือนดินการแลกเปลี่ยนก๊าซของไส้เดือนดิน
อาศัยอาศัย 33 ส่วนสำาคัญคือส่วนสำาคัญคือ
ผิวหนังผิวหนัง เป็นบริเวณที่ใช้ในการแลกเป็นบริเวณที่ใช้ในการแลก
เปลี่ยนก๊าซจากภายนอกเข้าสู่ภายในโดยเปลี่ยนก๊าซจากภายนอกเข้าสู่ภายในโดย
อาศัยกระบวนการแพร่อาศัยกระบวนการแพร่
เส้นเลือด ได้แก่เส้นเลือด ได้แก่
• เส้นเลือดขนาดใหญ่ด้านบน รับเส้นเลือดขนาดใหญ่ด้านบน รับ O2O2
จากผิวหนัง และกำาจัดจากผิวหนัง และกำาจัด Co2Co2 ออกทางออกทาง
ผิวหนังผิวหนัง
• เส้นเลือดฝอย กระจายไปทั่วเพื่อนำาเส้นเลือดฝอย กระจายไปทั่วเพื่อนำา
21. เหงือกเหงือก (gill)(gill) สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนำ้า เช่นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนำ้า เช่น
หอย ปู กุ้ง ปลา จะมีเหงือกเป็นโครงสร้างที่ใช้หอย ปู กุ้ง ปลา จะมีเหงือกเป็นโครงสร้างที่ใช้
ในการแลกเปลี่ยนแก๊สในการแลกเปลี่ยนแก๊ส
เส้นเหงือกเส้นเหงือก (gill filament)(gill filament) มีลักษณะเป็นซี่มีลักษณะเป็นซี่
เส้นเล็กๆ งอกออกมาจากกระดูกคำ้าเหงือกเส้นเล็กๆ งอกออกมาจากกระดูกคำ้าเหงือก
ช่องเหงือกช่องเหงือก (gill slit)(gill slit) คือ ช่องว่างระหว่างคือ ช่องว่างระหว่าง
เส้นเหงือกแต่ละเส้น เมื่อปลาฮุบนำ้าเส้นเหงือกแต่ละเส้น เมื่อปลาฮุบนำ้า
ส่วนที่เป็นกระดูกแก้มจะเปิดออกเพื่อให้นำ้าไหลส่วนที่เป็นกระดูกแก้มจะเปิดออกเพื่อให้นำ้าไหล
ผ่านเส้นเหงือก ซึ่งมีผนังบาง และมีหลอดเลือดผ่านเส้นเหงือก ซึ่งมีผนังบาง และมีหลอดเลือด
ฝอยมาหล่อเลี้ยงมากมายเมื่อนำ้าไหลผ่านแก๊สฝอยมาหล่อเลี้ยงมากมายเมื่อนำ้าไหลผ่านแก๊ส
ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในนำ้าจะแพร่เข้าสู่หลอดออกซิเจนที่ละลายอยู่ในนำ้าจะแพร่เข้าสู่หลอด
เลือดฝอย และลำาเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของเลือดฝอย และลำาเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของ
ร่างกายร่างกาย
23. ปอดของนกแตกต่างจากปอดของสิ่งปอดของนกแตกต่างจากปอดของสิ่ง
มีชีวิตอื่นๆ อย่างไร ลักษณะดังกล่าวมีชีวิตอื่นๆ อย่างไร ลักษณะดังกล่าว
เหมาะสมต่อเหมาะสมต่อการดำารงชีวิตอย่างไรการดำารงชีวิตอย่างไร
((ปอดของนกจะมีถุงลมปอดของนกจะมีถุงลม (air sac)(air sac) ซึ่งช่วยซึ่งช่วย
ในการสำารองอากาศในการบินทำาให้ในการสำารองอากาศในการบินทำาให้
อากาศบริสุทธิ์ผ่านปอดทั้งเข้าและออกอากาศบริสุทธิ์ผ่านปอดทั้งเข้าและออก
ทำาให้ปอดแลกเปลี่ยนแก๊สได้ทำาให้ปอดแลกเปลี่ยนแก๊สได้ 22 ครั้ง ช่วยครั้ง ช่วย
ระบายความร้อน ช่วยในการบิน เพราะถุงระบายความร้อน ช่วยในการบิน เพราะถุง
ลมจะแทรกตามอวัยวะต่างๆ ทำาให้ตัวเบาลมจะแทรกตามอวัยวะต่างๆ ทำาให้ตัวเบา
บินขึ้นสู่ที่สูงได้บินขึ้นสู่ที่สูงได้))
35. O2 เข้าไปในปอดเข้าสู่เส้นเลือดฝอยที่อยู่
รอบ ๆ ถุงลม รวมกับ hemoglobin ใน
เซลล์เม็ดเลือดแดงกลายเป็น
oxyhemoglobin แล้วลำาเลียงไปยัง
เนื้อเยื่อต่าง ๆ จากนั้น O2 ก็จะแพร่จาก
เส้นเลือดฝอยให้แก่เนื้อเยื่อ และถูก
ลำาเลียงต่อไปเพื่อรับ O2 ที่ปอดใหม่
56. แมลงแมลง
อวัยวะขับถ่ำยของแมลง คือ ท่อมัลพิอวัยวะขับถ่ำยของแมลง คือ ท่อมัลพิ
เกียนเกียน ((Malpighian tubule)Malpighian tubule)
ท่อมัลพิเกียนจะล่องลอยอยู่ในท่อมัลพิเกียนจะล่องลอยอยู่ใน
ของเหลวในช่องภำยในลำำตัวของของเหลวในช่องภำยในลำำตัวของ
เสียจะลำำเลียงเข้ำสู่ท่อมัลพิเกียนแล้วเสียจะลำำเลียงเข้ำสู่ท่อมัลพิเกียนแล้ว
กำำจัดออกทำงทวำรหนักกำำจัดออกทำงทวำรหนัก
59. กุ้งกุ้ง
อวัยวะขับถ่ำย เรียกว่ำ ต่อมแอนอวัยวะขับถ่ำย เรียกว่ำ ต่อมแอน
เทนนัลเทนนัล ((Antennal glandAntennal gland)) ต่อมต่อม
เขียวเขียว(( Green gland )Green gland )
ภำพที่ 5.9 แสดงต่อมแอนเทนนัล (Antennal gland)
หรือต่อมเขียว ( Green gland ) ของกุ้ง
Antennal glandAntennal gland
61. ปลำปลำ
มีอวัยวะขับถ่ำยประกอบด้วย ไตมีอวัยวะขับถ่ำยประกอบด้วย ไต 11 คู่คู่
อยู่ภำยในช่องท้องติดกับกระดูกสันอยู่ภำยในช่องท้องติดกับกระดูกสัน
หลัง ไตทำำหน้ำที่กำำจัด ของเสียยูเรียหลัง ไตทำำหน้ำที่กำำจัด ของเสียยูเรีย
และของเสียอื่น ๆ ออกจำกเลือด ของและของเสียอื่น ๆ ออกจำกเลือด ของ
เสียจะผ่ำนท่อไตเสียจะผ่ำนท่อไต (Ureter)(Ureter) ไปยังไปยัง
กระเพำะปัสสำวะกระเพำะปัสสำวะ ((UninaryUninary
bladderbladder))และเปิดออกทำงและเปิดออกทำง
Urogenital openingUrogenital opening
62. กบกบ
อวัยวะขับถ่ำยประกอบด้วย ไตอวัยวะขับถ่ำยประกอบด้วย ไต 11 คู่คู่
ไตแต่ละข้ำงจะมีท่อไตไตแต่ละข้ำงจะมีท่อไต ((UrinaryUrinary
ductduct หรือหรือ UreterUreter)) นำำนำ้ำปัสสำวะนำำนำ้ำปัสสำวะ
ไปเปิดเข้ำโคลเอกำไปเปิดเข้ำโคลเอกำ (Cloaca)(Cloaca)ทำงทำง
ด้ำนหลัง ทำงด้ำนท้องของโคลเอกำมีด้ำนหลัง ทำงด้ำนท้องของโคลเอกำมี
ถุงผนังบำงปลำยหยักติดอยู่ คือถุงผนังบำงปลำยหยักติดอยู่ คือ
กระเพำะปัสสำวะกระเพำะปัสสำวะ (Urinary(Urinary
bladder)bladder) ของเสียที่เข้ำสู่โคลเอกำจะของเสียที่เข้ำสู่โคลเอกำจะ
69. กำรขับของเสียออกทำงไตกำรขับของเสียออกทำงไต
ไตของคนมีไตของคนมี 11 คู่ อยู่ในช่องท้องสองข้ำงของคู่ อยู่ในช่องท้องสองข้ำงของ
กระดูกสันหลังบริเวณเอว ยำวประมำณกระดูกสันหลังบริเวณเอว ยำวประมำณ 10-1310-13
เซนตริเมตร กว้ำงเซนตริเมตร กว้ำง 66 เซนตริเมตร และหนำเซนตริเมตร และหนำ 33
เซนตริเมตร ไตแต่ละข้ำงหนักประมำณเซนตริเมตร ไตแต่ละข้ำงหนักประมำณ 150150
กรัมกรัม
79. กรวยไตกรวยไต (Renal pelvis)(Renal pelvis)
ทำำหน้ำที่รองรับนำ้ำปัสสำวะที่มำทำำหน้ำที่รองรับนำ้ำปัสสำวะที่มำ
จำกแคลิกซ์ และส่งต่อไปสู่ท่อไตจำกแคลิกซ์ และส่งต่อไปสู่ท่อไต
(Ureter)(Ureter) นำำเข้ำสู่กระเพำะนำำเข้ำสู่กระเพำะ
ปัสสำวะและนำำนำ้ำปัสสำวะออกทำงปัสสำวะและนำำนำ้ำปัสสำวะออกทำง
ท่อปัสสวะท่อปัสสวะ
81. เส้นเลือดที่นำำเลือดเข้ำสู่โกลเมอรูลัสเส้นเลือดที่นำำเลือดเข้ำสู่โกลเมอรูลัส
เส้นเลือดที่นำำเลือดเข้ำไต คือ เส้นเลือดรีนัลเส้นเลือดที่นำำเลือดเข้ำไต คือ เส้นเลือดรีนัล
อำร์เตอรีอำร์เตอรี((Renal artery)Renal artery)
เส้นเลือดที่นำำเลือดออกจำกไต คือ เส้นเลือดเส้นเลือดที่นำำเลือดออกจำกไต คือ เส้นเลือด
รีนัลเวนรีนัลเวน((Renal vein)Renal vein)
เส้นเลือดรีนัลจะแตกแขนงเล็กลงเรื่อยๆจนเป็นเส้นเลือดรีนัลจะแตกแขนงเล็กลงเรื่อยๆจนเป็น
เส้นเลือดฝอยที่ที่แยกเข้ำสู่หน่วยไตบริเวณเส้นเลือดฝอยที่ที่แยกเข้ำสู่หน่วยไตบริเวณ
โกลเมอรูลัสโกลเมอรูลัส
-- เส้นเลื่อดฝอยที่แยกเข้ำสู่หน่วยไต เรียกเส้นเลื่อดฝอยที่แยกเข้ำสู่หน่วยไต เรียก
AfferentAfferent arteriolearteriole
96. ไม่มีฮีโมโกลบิน้ไม่มีฮีโมโกลบิน้ มีแต่มีแต่ ฮีโมไซยาน้ิน้ฮีโมไซยาน้ิน้
(hemocyanin)(hemocyanin) ที่มีทองแดงที่มีทองแดง (Cu)(Cu)
เป็น้องค์ประกอบเป็น้องค์ประกอบ
เส้น้เลือดเส้น้เลือด (blood vessel)(blood vessel) มีอยู่มีอยู่
เส้น้เดียวเหน้ือทางเดิน้อาหารเส้น้เดียวเหน้ือทางเดิน้อาหาร ไม่มีไม่มี
เส้น้เลือดฝอยเส้น้เลือดฝอย ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่รับเลือดออกรับเลือดออก
จากร่างกายจากร่างกาย ช่องว่างภายใน้ลำาตัวช่องว่างภายใน้ลำาตัว
(hemoceol)(hemoceol) ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่รับเลือดจากรับเลือดจาก
เส้น้เลือด เพื่อลำาเลียงสารไปสู่ส่วน้เส้น้เลือด เพื่อลำาเลียงสารไปสู่ส่วน้
ต่างๆของร่างกายต่างๆของร่างกาย และเป็น้แหล่งแลกและเป็น้แหล่งแลก
เปลี่ยน้ก๊าซเปลี่ยน้ก๊าซ
101. เลือดดำา right atrium Ventricle
อวัยวะแลกเปลี่ยน้แก๊ส เลือดแดง
left atrium
Ventricle ร่างกาย เลือดดำา
ว์สะเทิน้น้ำ้าสะเทิน้บก ( Amphibi
จ 3 ห้อง (2atrium + 1Ventric
105. โครงสร้างโครงสร้าง
ของหัวใจของหัวใจ
1.1. กล้ามเน้ื้อหัวใจกล้ามเน้ื้อหัวใจ ประกอบด้วยประกอบด้วย
เน้ื้อเยื่อหุ้มเน้ื้อเยื่อหุ้ม 33 ชั้น้ชั้น้
-- ชั้น้น้อกชั้น้น้อก (epicardium)(epicardium) หุ้มหัวใจหุ้มหัวใจ
ไว้ไว้ มีเน้ื้อเยื่อไขมัน้มีเน้ื้อเยื่อไขมัน้เป็น้จำาน้วน้เป็น้จำาน้วน้
มาก พบเส้น้เลือดขน้าดใหญ่ผ่าน้มาก พบเส้น้เลือดขน้าดใหญ่ผ่าน้
ชั้น้น้ี้ชั้น้น้ี้ ผน้ังด้าน้น้อกของหัวใจมีผน้ังด้าน้น้อกของหัวใจมี
เส้น้เลือดที่น้ำาเลือดมาเลี้ยงหัวใจเส้น้เลือดที่น้ำาเลือดมาเลี้ยงหัวใจ
เรียกว่าเรียกว่า โคโรน้ารี อาร์เทอรีโคโรน้ารี อาร์เทอรี
(coronary artery)(coronary artery) เป็น้เส้น้เลือดเป็น้เส้น้เลือด
ที่มาเลี้ยงกล้ามเน้ื้อหัวใจที่มาเลี้ยงกล้ามเน้ื้อหัวใจ หากหาก
106.
-- ชั้น้กลางชั้น้กลาง (myocardium)(myocardium)
หน้ามากที่สุด ประกอบขึ้น้หน้ามากที่สุด ประกอบขึ้น้
จากจาก กล้ามเน้ื้อหัวใจกล้ามเน้ื้อหัวใจ
(cardiac muscle)(cardiac muscle) และเป็น้และเป็น้
ส่วน้ของกล้ามเน้ื้อหัวใจซึ่งมีส่วน้ของกล้ามเน้ื้อหัวใจซึ่งมี
ลักษณะพิเศษที่มีลักษณะพิเศษที่มีการทำางาน้การทำางาน้
อยู่น้อกอำาน้าจจิตใจอยู่น้อกอำาน้าจจิตใจ
-- ชั้น้ใน้ชั้น้ใน้ (endocardium)(endocardium)
ประกอบด้วยประกอบด้วย เน้ื้อเยื่อบุผิวเน้ื้อเยื่อบุผิว
107. 2.2. ห้องห้อง
หัวใจหัวใจหัวใจคน้มีหัวใจคน้มี 44 ห้อง คือ ห้องบน้ห้อง คือ ห้องบน้ (atrium,(atrium,
auricle) 2auricle) 2 ห้อง และห้องล่างห้อง และห้องล่าง (ventricle) 2(ventricle) 2
ห้อง แต่ละห้องแยกกัน้อย่างสมบูรณ์ ดังน้ี้ห้อง แต่ละห้องแยกกัน้อย่างสมบูรณ์ ดังน้ี้
• -- เอเตรียมขวาเอเตรียมขวา (right atrium)(right atrium) เป็น้หัวใจเป็น้หัวใจ
ห้องบน้ขวาห้องบน้ขวา มีขน้าดเล็ก ผน้ังกล้ามเน้ื้อมีขน้าดเล็ก ผน้ังกล้ามเน้ื้อ
บางบาง หน้้าที่หน้้าที่ รับเลือดที่ใช้แล้วจากส่วน้รับเลือดที่ใช้แล้วจากส่วน้
ต่างๆของร่างกายต่างๆของร่างกาย (CO(CO22)) ลำาเลียงมากับลำาเลียงมากับ
เส้น้เลือดซูพีเรียเวน้าคาวาเส้น้เลือดซูพีเรียเวน้าคาวา (superior(superior
vena cava)vena cava) ซึ่งรับเลือดที่ใช้แล้วจากซึ่งรับเลือดที่ใช้แล้วจาก
ศีรษะและแขน้ศีรษะและแขน้ และและ เส้น้เลือดอิน้ฟีเรียเส้น้เลือดอิน้ฟีเรีย
เวน้าคาวาเวน้าคาวา (inferior vena cava)(inferior vena cava) ซึ่งรับซึ่งรับ
เลือดที่ใช้แล้วจากอวัยวะภายใน้และขาเลือดที่ใช้แล้วจากอวัยวะภายใน้และขา
• -- เอเตรียมซ้ายเอเตรียมซ้าย (left atrium)(left atrium) เป็น้หัวใจเป็น้หัวใจ
108.
-- เวน้ตริเคิลขวาเวน้ตริเคิลขวา (right ventricle)(right ventricle)
เป็น้หัวใจห้องล่างขวาเป็น้หัวใจห้องล่างขวา มีขน้าดเล็กมีขน้าดเล็ก
ช่องภายใน้มีลักษณะเป็น้รูปช่องภายใน้มีลักษณะเป็น้รูป
สามเหลี่ยมสามเหลี่ยม หน้้าที่หน้้าที่ รับเลือดจากเอรับเลือดจากเอ
เตรียมขวาเตรียมขวา และส่งไปฟอกที่ปอดและส่งไปฟอกที่ปอด
โดยเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรีโดยเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรี
(pulmonary artery)(pulmonary artery)
-- เวน้ตริเคิลซ้ายเวน้ตริเคิลซ้าย (left ventricle)(left ventricle)
เป็น้หัวใจห้องล่างซ้ายเป็น้หัวใจห้องล่างซ้าย มีผน้ังกล้ามมีผน้ังกล้าม
เน้ื้อหน้าที่สุด และหน้าประมาณเน้ื้อหน้าที่สุด และหน้าประมาณ 33
เท่าของด้าน้ขวาเท่าของด้าน้ขวา เพราะทำาหน้้าที่เพราะทำาหน้้าที่
113. 3.3. ลิ้น้ลิ้น้
หัวใจหัวใจ
เป็น้โครงสร้างที่ป้องกัน้ไม่ให้เลือดไหลเป็น้โครงสร้างที่ป้องกัน้ไม่ให้เลือดไหล
ย้อน้กลับ ลิ้น้ภายใน้หัวใจมีตำาแหน้่งย้อน้กลับ ลิ้น้ภายใน้หัวใจมีตำาแหน้่ง
ลักษณะและชื่อเรียกดังน้ี้ลักษณะและชื่อเรียกดังน้ี้
• -- ลิ้น้พัลโมน้ารี เซมิลูน้าร์ลิ้น้พัลโมน้ารี เซมิลูน้าร์ (pulmonary(pulmonary
semilunar valve)semilunar valve) อยู่ที่โคน้ของเส้น้เลือดอยู่ที่โคน้ของเส้น้เลือด
พัลโมน้ารีอาร์เทอรีพัลโมน้ารีอาร์เทอรี ลักษณะเป็น้ถุงรูปลักษณะเป็น้ถุงรูป
พระจัน้ทร์ครึ่งเสี้ยวพระจัน้ทร์ครึ่งเสี้ยว 33 ใบ บรรจบกัน้ แต่ใบ บรรจบกัน้ แต่
ไม่ได้ยึดติดกัน้ด้วยเน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้ไม่ได้ยึดติดกัน้ด้วยเน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้
ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่กัน้ไม่ให้เลือดไหลกลับสู่เวน้ตริกัน้ไม่ให้เลือดไหลกลับสู่เวน้ตริ
เคิลขวาเคิลขวา
• -- ลิ้น้ไตรคัสปิดลิ้น้ไตรคัสปิด (tricuspid valve)(tricuspid valve) อยู่อยู่
114.
-- ลิ้น้ไบคัสปิดลิ้น้ไบคัสปิด (bicuspid valve)(bicuspid valve) หรือหรือ
ลิ้น้ไมทรัลลิ้น้ไมทรัล ((mitral valvemitral valve))อยู่ที่โคน้อยู่ที่โคน้
ของเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรีของเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรี
ลักษณะเป็น้ถุงรูปพระจัน้ทร์ครึ่งเสี้ยวลักษณะเป็น้ถุงรูปพระจัน้ทร์ครึ่งเสี้ยว
22 ใบ บรรจบกัน้แต่ไม่ได้ยึดติดกัน้ใบ บรรจบกัน้แต่ไม่ได้ยึดติดกัน้
ด้วยเน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้ด้วยเน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่ กัน้ไม่กัน้ไม่
ให้เลือดไหลกลับสู่เวน้ตริเคิลขวาให้เลือดไหลกลับสู่เวน้ตริเคิลขวา
-- ลิ้น้เอออร์ติก เซมิลูน้าร์ลิ้น้เอออร์ติก เซมิลูน้าร์ (aortic(aortic
semilunar valve)semilunar valve) อยู่ที่โคน้ของอยู่ที่โคน้ของ
เส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรีเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรี ลักษณะลักษณะ
115. 4.4.เน้ื้อเยื่อของเน้ื้อเยื่อของ
หัวใจหัวใจ
เน้ื้อเยื่อหัวใจมีเน้ื้อเยื่อหัวใจมี 44 ชน้ิด คือชน้ิด คือ
เน้ื้อเยื่อบุผิวเน้ื้อเยื่อบุผิว บุทั้งภายน้อกและภายใน้บุทั้งภายน้อกและภายใน้
หัวใจหัวใจ
เน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้เน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้ ทำาหน้้าที่ ยึดลิ้น้หัวใจทำาหน้้าที่ ยึดลิ้น้หัวใจ
และกล้ามเน้ื้อหัวใจและกล้ามเน้ื้อหัวใจ
เน้ื้อเยื่อกล้ามเน้ื้อหัวใจเน้ื้อเยื่อกล้ามเน้ื้อหัวใจ แตกต่างจากแตกต่างจาก
กล้ามเน้ื้อลายและกล้ามเน้ื้อเรียบ ที่กล้ามเน้ื้อลายและกล้ามเน้ื้อเรียบ ที่ไม่มีไม่มี
ลายมากเหมือน้กล้ามเน้ื้อลายลายมากเหมือน้กล้ามเน้ื้อลาย แต่ไม่อยู่แต่ไม่อยู่
ใน้อำาน้าจจิตเหมือน้กับกล้ามเน้ื้อเรียบใน้อำาน้าจจิตเหมือน้กับกล้ามเน้ื้อเรียบ
เน้ื้อเยื่อโดน้ัลเน้ื้อเยื่อโดน้ัล เปลี่ยน้แปลงมาจากกล้ามเปลี่ยน้แปลงมาจากกล้าม
เน้ื้อหัวใจระยะเน้ื้อหัวใจระยะ embryoembryo ขณะที่สร้างขณะที่สร้าง
กล้ามเน้ื้อหัวใจกล้ามเน้ื้อหัวใจ แต่การหดตัวไม่ดีเท่าแต่การหดตัวไม่ดีเท่า
119. 2. เส้น้เลือดดำาหรือเวน้ (Vein) ทำาหน้้าที่น้ำา
เลือดเข้าสู่หัวใจ ได้แก่ เวน้าคาวา
(Vena cava) มีขน้าดใหญ่ที่สุด เวน้
(Vein) ขน้าดต่างๆ เวนู้ล (Venule)
เป็น้เส้น้เลือดดำาที่มีขน้าดเล็กที่สุด
เส้น้เลือดดำาขน้าดใหญ่มีอีลาสติกไฟเบอร์
และกล้ามเน้ื้อเรียบอยู่บ้าง แต่น้้อยกว่า
เส้น้เลือดแดงมาก เส้น้เลือดดำาเล็ก เช่น้
เวนู้ลมีผน้ังบางมากไม่มีกล้ามเน้ื้อเรียบ
เลย - เส้น้เลือดดำา
สามารถยืดขยายได้ดีจึงมีความจุสูง
124. **พลาสมา หรือน้ำ้าเลือด
(plasma) 55 %
**เม็ดเลือด (blood
corpuscle) 45 %
เซลล์เม็ดเลือดแดง
(erythrocyte)
**พลาสมา หรือน้ำ้าเลือด
(plasma) 55 %
**เม็ดเลือด (blood
corpuscle) 45 %
เซลล์เม็ดเลือดแดง
(erythrocyte)
127. -ระยะเอ็มบริโอ สร้างจาก ตับ ม้าม
ไขกระดูก ภายหลังคลอดแล้ว สร้าง
จากไขกระดูก เมื่อสร้างมาใหม่ๆ จะ
มีน้ิวเคลียส และไม่มีไมโทคอน้เดรีย
แต่เมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีน้ิวเคลียส
และมีฮีโมโกบิลรวมกับ O2 ได้ดีมาก
-- อายุของเซลล์เม็ดเลือดแดง
130. อายุ - เซลล์เม็ดเลือดขาวมีอายุสั้น
ประมาณ 2 – 14 วัน (บางชนิด
อาจมีอายุ 200 – 300 วัน)
หน้าที่ - โอบล้อมและจับกินเชื้อโรค
แบบฟาโกไซโทซิส (phagocytosis)
และสร้างแอนติบอดี (antibody)
ออกมาต่อต้านและทำาลาย
ชนิด - อาจแบ่งออกเป็น 2 พวก
ตามลักษณะของอนุภาคเล็ก ๆ
(granule) คือ กลุ่มที่มีแกรนูล เรียก
132. ไซต์(granulocytes) เช่น
นิวโตรฟิล (neutrophil) เบ
โซฟิล (basophil) และอีโอ
ซิโนฟิล (eosinophil) ซึ่ง
สร้างจาก
ไขกระดูก มีอายุ 2 – 14
วัน ดังนี้
ไซต์(granulocytes) เช่น
นิวโตรฟิล (neutrophil) เบ
โซฟิล (basophil) และอีโอ
ซิโนฟิล (eosinophil) ซึ่ง
สร้างจาก
ไขกระดูก มีอายุ 2 – 14
วัน ดังนี้
133. 1 นิวโตรฟิล (neutrophil) มีแกรนูลสีม่วงชมพู
ทำาลายเชื้อโรคโดยวิธีโดยวิธีฟาโกไซโทซิส น
ะกลายเป็นหนอง (pus) และกลายเป็นฝีได้
นิวโตรฟิลนิวโตรฟิล
134. 1.2 เบโซฟิล (basophil) มีแกรนูล
สีนำ้าเงิน
หน้าที่ ทำาลายเชื้อโรคโดยการหลั่ง
เอนไซม์หรือสารเคมี และปล่อยสารเฮ
พารินป้องกันการแข็งตัวของเลือดใน
เส้นเลือด
เบโซฟิลเบโซฟิล
135. 1.3 อีโอซิโนฟิล (eosinophil) มี
แกรนูลสีส้มแดง หน้าที่ ช่วยในการ
ป้องกันการแพ้พิษต่างๆ และทำาลาย
พยาธิที่เข้าสู่ร่างกาย
อีโอซิโนฟิลอีโอซิโนฟิล
136. 2. พวกอะแกรนนูโลไซต์
(agranulocytes) กลุ่มที่ไม่มีแกรนูล เช่น
โมโนไซต์ (monocyte) และลิมโฟไซต์
(lymphocyte) สร้างมาจากม้ามและต่อมนำ้า
เหลือง มีอายุประมาณ 100 – 300 วัน
2. พวกอะแกรนนูโลไซต์
(agranulocytes) กลุ่มที่ไม่มีแกรนูล เช่น
โมโนไซต์ (monocyte) และลิมโฟไซต์
(lymphocyte) สร้างมาจากม้ามและต่อมนำ้า
เหลือง มีอายุประมาณ 100 – 300 วัน
138. ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) มี 2 ชนิด ได้แก่
2.2.1 ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B-lymphocyte) หรือ
(B-cell) สร้างและเจริญในไขกระดูก
2.2.2. ลิมโฟไซต์ชนิดที (T-lymphocyte) หรือ
(T-cell) สร้างจากไขกระดูกแล้วไปเจริญที่ต่อมไทมัส
ลิมโฟไซต์
139. 2.2.1 ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B-
lymphocyte) หรือ
เซลล์บี (B-cell) สร้างและเจริญใน
ไขกระดูก
- เซลล์บี (B-cell) บางชนิดเปลี่ยนไป
ทำาหน้าที่สร้างแอนติบอดีจำาเพาะต่อ
แอนติเจน เรียกว่า เซลล์พลาสมา
( plasma cell) จากนั้นแอนติบอดีจะจดจำา
แอนติเจนนั้นไว้ เรียกว่า เซลล์เมมเมอรี
(memory cell) ถ้ามีแอนติเจนนี้เข้าสู่
ร่างกายอีกเซลล์เมมเมอรีจะแบ่งตัวอย่าง
140. 2.2.2. ลิมโฟไซต์ชนิดที (T-
lymphocyte) หรือ เซลล์ที (T-cell) สร้าง
จากไขกระดูกแล้วไปเจริญที่ต่อมไทมัส
- เซลล์ทีผู้ช่วย (helper T-cell หรือ
CD4+) หน้าที่กระตุ้นให้เซลล์บีสร้าง
แอนติบอดีมาต่อต้านแอนติเจน
- เซลล์ทีที่ทำาลายสิ่งแปลกปลอม
(cytotoxic T-cell หรือ CD8+) หน้าที่
ทำาลายเซลล์แปลกปลอม หรือเซลล์ที่มีสิ่ง
แปลกปลอม เซลล์มะเร็ง เซลล์ติดเชื้อ
ไวรัส เซลล์จากอวัยวะที่ร่างกายได้รับการ
142. เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว
1. มีจำานวนมากกว่า
- ชาย 5-5.5
ล้านเซลล์/เลือด 1
ลูกบาศก์มิลลิเมตร
- หญิง 4.5-5
ล้านเซลล์/เลือด 1
ลูกบาศก์มิลลิเมตร
2. มีจำานวนน้อยกว่า
ชาย-หญิง มี 5,000-
10,000 เซลล์/เลือด
1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
2. มีขนาดเล็กกว่า
เส้นผ่านศูนย์กลาง 7-
8ไมโครเมตร
2. มีขนาดใหญ่กว่า
เส้นผ่านศูนย์กลาง 8-
20ไมโครเมตร
147. นำ้าเลือดประกอบด้วย
1. นำ้า ประมาณ 90-93 % รักษา
ระดับของนำ้าเลือด และความดันเลือด
ให้คงที่ เป็นตัวกลางในการลำาเลียง
สาร
2. โปรตีน 7-10 % (ไพรบริโนเจน, อัล
บูมิน, โกลบูลิน) ช่วยในการแข็งตัวของ
เลือด
153. ระบบเลือด Rh
ไม่มี Agไม่มี Ag
ไม่มี Ab แต่ถ้ารับ Rh+ จะสร้าง Abไม่มี Ab แต่ถ้ารับ Rh+ จะสร้าง Ab
รับ Rh- ได้
รับ Rh+ ได้ ครั้ง
เดียว
รับ Rh- ได้
รับ Rh+ ได้ ครั้ง
เดียว
มี Agมี Ag
ไม่มี Ab และไม่สร้าง Aไม่มี Ab และไม่สร้าง Ab
รับได้ทั้ง Rh- และ Rh+รับได้ทั้ง Rh- และ Rh+
R
h+
R
h+
R
h-
R
h-
168. ภูมิคุ้มกันของร่างกาย
1. ภูมิคุ้มกันโดยกำาเนิด
( INNATE IMMUNITY ) หรือ
แบบไม่จำาเพาะ เป็นการป้องกัน และ
กำาจัดแอนติเจนที่มีมาก่อนหน้าที่
แอนติเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น การขับเหงื่อ
ของผิวหนัง ขนจมูกช่วยกรองแอนติเจน
ต่างๆ LYSOZYME ในนำ้าลาย นำ้าตาล
นำ้ามูก ตลอดจนปฏิกิริยารีเฟลกซ์ต่างๆ
เช่น การไอ การจาม
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย
1. ภูมิคุ้มกันโดยกำาเนิด
( INNATE IMMUNITY ) หรือ
แบบไม่จำาเพาะ เป็นการป้องกัน และ
กำาจัดแอนติเจนที่มีมาก่อนหน้าที่
แอนติเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น การขับเหงื่อ
ของผิวหนัง ขนจมูกช่วยกรองแอนติเจน
ต่างๆ LYSOZYME ในนำ้าลาย นำ้าตาล
นำ้ามูก ตลอดจนปฏิกิริยารีเฟลกซ์ต่างๆ
เช่น การไอ การจาม
169. - ภูมิคุ้มกันก่อเอง ( ACTIVE
IMMUNIZATION ) เป็นการสร้าง
ภูมิคุ้มกันโดยการนำาสารที่เป็นแอนติเจนที่
ทำาให้อ่อนกำาลัง ไม่สามารถทำาให้เกิด
อันตรายต่อร่างกายได้ มาฉีด กิน หรือทา
เพื่อกระคุ้นให้ร่างกายแอนติบอดีขึ้นมาต่อ
ด้านแอนติเจนชนิดนั้น
วัคซีน ( VACCINE ) ทำามาจากเชื้อ
โรคที่ทำาให้อ่อนกำาลัง เช่น ไอกรน ไทฟอยด์
อหิวาตกโรค วัณโรค โปลิโอ หัด หัด
เยอรมัน คางทูม
- ภูมิคุ้มกันก่อเอง ( ACTIVE
IMMUNIZATION ) เป็นการสร้าง
ภูมิคุ้มกันโดยการนำาสารที่เป็นแอนติเจนที่
ทำาให้อ่อนกำาลัง ไม่สามารถทำาให้เกิด
อันตรายต่อร่างกายได้ มาฉีด กิน หรือทา
เพื่อกระคุ้นให้ร่างกายแอนติบอดีขึ้นมาต่อ
ด้านแอนติเจนชนิดนั้น
วัคซีน ( VACCINE ) ทำามาจากเชื้อ
โรคที่ทำาให้อ่อนกำาลัง เช่น ไอกรน ไทฟอยด์
อหิวาตกโรค วัณโรค โปลิโอ หัด หัด
เยอรมัน คางทูม
170. - ภูมิคุ้มกันรับมา ( PASSIVE
IMMUNIZATION )
- ซีรัมหรือ เซรุ่ม ( SERUM ) คือ
ส่วนนำ้าใสของนำ้าเลือดของกระต่ายหรือ
ม้าที่ได้รับการกระตุ้นให้สร้าง
แอนติบอดี มาฉีดให้ผู้ป่วย เช่น คอตีบ
พิษงู เป็นต้น
- นำ้านมที่ทารกๆ ได้รับจากการดูด
นำ้านมแม่ และภูมิคุ้มกันที่ทารกในครรภ์
- ภูมิคุ้มกันรับมา ( PASSIVE
IMMUNIZATION )
- ซีรัมหรือ เซรุ่ม ( SERUM ) คือ
ส่วนนำ้าใสของนำ้าเลือดของกระต่ายหรือ
ม้าที่ได้รับการกระตุ้นให้สร้าง
แอนติบอดี มาฉีดให้ผู้ป่วย เช่น คอตีบ
พิษงู เป็นต้น
- นำ้านมที่ทารกๆ ได้รับจากการดูด
นำ้านมแม่ และภูมิคุ้มกันที่ทารกในครรภ์