SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 11
Baixar para ler offline
Math Online VI                               http://www.pec9.com                               บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
                                   บทที่ 18 คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า
! ตอนที่ 1 คลืนแมเหล็กไฟฟา!! ! ! ! ! ! ! ! !
              ่
        ทฤษฎี ของแมกซเวลล กลาววา “สนามแมเหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลง สามารถเหนี่ยวนํา
    ใหเกิดสนามไฟฟา และสนามไฟฟาที่เปลี่ยนแปลง สามารถทําใหเกิดสนามแมเหล็กได”




    ตามทฤษฎีของแมกซเวลล เมื่อมีสนามแมเหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลง จะเกดการเหนยว
                                                                         ิ        ่ี
    นําระหวางสนามแมเหล็กกับไฟฟาอยางตอเนื่อง สุดทายจะกอเกิดเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟา
1. คลื่นแมเหล็กไฟฟาเกิดจาก....................................................................................................
    ขอควรทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับคลื่นแมเหล็กไฟฟา


                                                                                                      !
        1) สนามไฟฟา สนามแมเหล็ก และทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น จะอยูในทิศที่ตั้งฉากกัน
    ตลอดเวลา จงถอวา คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวาง
                   ึ ื 
        2) อิเลคตรอนทีสนสะเทือน จะเหนี่ยวนําทําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟารอบแนวการสั่น
                          ่ ่ั
    ได ตัวอยางเชนอิเลคตรอนในเสนลวดตัวนําที่มีกระแสไฟฟาสลับไหลผาน หรือ อิเลคตรอน
    ในวัตถุที่มีอุณหภูมิสูง ๆ หรออเิ ลคตรอนทเ่ี ปลยนวงโคจรรอบๆ อะตอม
                                    ื              ่ี
        3) อเิ ลคตรอนทเ่ี คลอนทดวยความเรง จะเหนี่ยวนําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดเชนกัน
                               ่ื ่ี       
        4) อิเลคตรอนทีสนสะเทือน จะทําใหเกิด
                         ่ ่ั
           คลื่นแมเหล็กไฟฟารอบแนวการสั่นทุก
           ทิศทาง ยกเวนแนวที่ตรงกับการสั่นสะ
           เทอน จะไมมีคลื่นแผออกมา
               ื
        5) คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกชนิด จะเคลอนทดวยความเรวเทากน คือ 3x108 เมตร/วินาที
                                              ่ื ่ี      ็  ั
        6) สนามแมเหล็ก และสนามไฟฟาทกสนามในคลนแมเ หลกไฟฟา ถือวาเกิดพรอมกันหมด
                                         ุ           ่ื     ็     


!                                                                "!
Math Online VI                                   http://www.pec9.com                                    บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
2. ไฟฟากระแสตรงเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็กได แตไมเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟา
   เพราะ.......................................................................................................................................
3. ขอความตอไปนี้ขอใดกลาวถูกตองตามทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแมเหล็กไฟฟา       (ขอ ข.)
                                                                                
      1. ขณะประจุเคลือนทีดวยความเรงหรือความหนวง จะแผคลื่นแมเหล็กไฟฟา
                      ่ ่
      2. เมื่อสนามแมเหล็กเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามไฟฟาโดยรอบยกเวนบริเวณ
         นันเปนฉนวน
           ้
      3. บริเวณรอบตัวนําที่มีกระแสไฟฟาจะเกิดสนามแมเหล็ก
          ก. 1 , 2 และ 3                      ข. 1 และ 3                    ค. 3 เทานน
                                                                                    ้ั                    ง. ตอบเปนอยางอืน
                                                                                                                            ่
ตอบ
4(มช 38) คลื่นแมเหล็กไฟฟาเกิดจาก
      1. กระแสไฟฟาที่มีคาคงที่ไหลจากแบตเตอรี่ผานตัวนําไฟฟาวงจรไฟฟา
      2. การเคลือนทีของนิวตรอนดวยความเรง
                  ่ ่
      3. วัตถุที่มีอุณหภูมิสูง
      4. การเคลื่อนที่ของประจุไฟฟาดวยความเร็วคงที่                                                                                  (ขอ 3.)
                                                                                                                                        
ตอบ
5(มช 31) ขอใด ไมใช แหลงกําเนิดของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
                                                                                                                                      (ขอ ง.)
      ก. วัตถุมีอุณหภูมิสูง
      ข. อะตอมปลดปลอยพลังงาน
      ค. อิเล็กตรอนปลดปลอยพลังงาน
      ง. อิเล็กตรอนในกระแสไฟฟาตรงปลดปลอยพลังงาน
ตอบ
6(En 33) จงพิจารณาขอความตอไปนี้
      ก. อเิ ลกตรอนเคลอนทดวยความเรวสง
                         ่ื ่ี          ็ ู
      ข. กลุมอิเลกตรอนเคลือนทีในตัวนํา
                              ่ ่
      ค. อเิ ลกตรอนเคลอนทดวยความหนวง
                         ่ื ่ี            
   เหตุการณที่จะทําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาคือ
      1. ก และ ข                2. ข และ ค        3. ข           4. ค                                                                (ขอ 4.)
                                                                                                                                       
!                                                                      #!
Math Online VI                http://www.pec9.com             บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
7(มช 32) หากมีประจุเคลื่อนกลับไปมาคูหนึ่งดังรูป
   ตามทฤษฎีแมกซเวลล ประจุคูนี้จะแผคลื่นแมเหล็ก
   ไฟฟาออกมา แตมีแนวหนึ่งที่ไมมีคลื่นแผออกมา
   เลยแนวนนคอ
           ้ั ื                             (ขอ ก.)
                                               
      ก. A      ข. B         ค. C ง. D
ตอบ

8(มช 33) สนามแมเหล็กที่มาพรอมกับการเคลื่อนที่ของแสงนั้นจะมีทิศทาง
      ก. ขนานกับทิศทางของการเคลื่อนที่ของแสง
      ข. ขนานกับสนามไฟฟา แตเฟสตางกัน 90 องศา
      ค. ตั้งฉากกับทั้งสนามไฟฟาและทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง
      ง. ตั้งฉากกับสนามไฟฟา แตขนานกับทิศทางการ เคลอนทของแสง
                                                       ่ื ่ี                     (ขอ ค.)
                                                                                   
ตอบ


9(มช 33) จงพิจารณาขอความตอไปนี้ ขอใดไมถูกตอง
      ก. การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟาทําใหเกิดสนามแมเหล็ก และ การเปลี่ยนแปลงสนาม
         แมเหล็กทําใหเกิดสนามไฟฟา
      ข. สนามไฟฟาและสนามแมเหล็กของคลื่นแมเหล็กไฟฟามีเฟสตางกัน 90o
      ค. สําหรับคลื่นแมเหล็กไฟฟา สนามไฟฟา และ สนามแมเหล็กมีทิศตั้งฉากซึ่งกัน
         และกัน และตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นดวย
      ง. ในตัวกลางเดียวกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกความถี่มี ความเรวเทากันหมด
                                                                ็              (ขอ ข.)
                                                                                  
ตอบ


                      !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!




!                                          $!
Math Online VI               http://www.pec9.com              บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
! ตอนที่ 2 สเปกตรัมคลืนแมเหล็กไฟฟา! ! ! ! ! ! ! ! ! !
                      ่
      แหลงกําเนิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ใหญที่สุดในจักรวาลนี้ คือ ดวงอาทิตย
      คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ออกมาจากดวงอาทิตย จะแบงแยกได 8 ชนด ดงตารางตอไปน้ี
                                                                      ิ ั       
                                   การเรียง       การเรียงลําดับ การเรียงลําดับ
                สเปกตรัม
                                ลําดับความถี่ ความยาวคลื่น             พลังงาน
               รังสีแกมมา            มาก              นอย              มาก
                 รังสีเอกซ
          รังสีอลตราไวโอเลต
                    ั
                      แสงขาว
              รังสีอนฟาเรด
                        ิ
             คลนไมโครเวฟ
                 ่ื
                    คลื่นวิทยุ
           ไฟฟากระแสสลับ            นอย             มาก               นอย
      อยาลืม คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกสเปกตรัม จะมความเรวเทากันหมด คือ 3x108 m/s
                                                   ี       ็ 

10(มช 32) คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกชนิดขณะเคลื่อนที่ในสูญญากาศจะมีสิ่งหนึ่งเทากันเสมอ คือ
     ก. ความยาวคลื่น           ข. แอมปลิจูด      ค. ความถี่   ง. ความเร็ว (ขอ ง.) 
ตอบ
!
11(En 42/1) คลนวทยไมโครเวฟ และแสงเลเซอร มีความถี่ อยูในชวง 104 −109 เฮิรตซ
                 ่ื ิ ุ
   108 − 1012 เฮิรตซ และ 1014 เฮิรตซ ตามลําดับ ถาสงคลื่นเหลานี้จากโลกไปยัง
   ดาวเทยมดวงหนง ขอตอไปนี้ขอใดถูกตองมากที่สุด
         ี           ่ึ
      1. คลื่นวิทยุจะใชเวลาในการเคลื่อนที่ไปถึงดาวเทียมนอยที่สุด
      2. แสงเลเซอรจะใชเวลาในการเคลื่อนที่ไปถึงดาวเทียมนอยที่สุด
      3. คลื่นทั้งสามใชเวลาเดินทางไปถึงดาวเทียมเทากัน
      4. หาคําตอบไมไดเพราะไมไดกําหนดคาความยาว คลื่นของคลื่นเหลานี้    (ขอ 3.)
                                                                                
ตอบ

!                                         %!
Math Online VI                 http://www.pec9.com                บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
12(มช 33) การแผรังสีคลื่นแมเหล็กไฟฟาตอไปนี้ขอใดมีความยาวคลื่นสั้นที่สุด
     ก. รังสีแกมมา                              ข. แสงทตามองเหน
                                                           ่ี    ็
     ค. ไมโครเวฟ                                ง. รังสีอลตราไวโอเลต
                                                         ั                           (ขอ ก.)
                                                                                       
ตอบ
13. คลื่นแมเหล็กไฟฟาตอไปนี้คลื่นชนิดใดมีพลังงานมากที่สุด
      ก. ไมโครเวฟ         ข. อินฟราเรด          ค. แสง              ง. รังสีเอ็กซ   (ขอ ง.)
                                                                                       
ตอบ

    พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
       เราสามารถหาคาพลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดจากสมการ
                   E = hf            และ        E = hC
                                                         λ
          เมือ ่   E = พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา (จล)
                                                       ู
                   h = คานิจของพลังค = 6.62 x 10–34 J.s
                   f = ความถี่ (s–1)
                   λ = ความยาวคลื่น (m)
                   C = ความเร็วคลื่นแมเหล็กไฟฟา = 3 x 108 m/s
          หรือ E = hef               และ        E = hC
                                                       eλ
          เมือ
             ่     E = พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา หนวยเปน อเิ ลคตรอนโวลต (eV)
                                                          
                   e = 1.6 x 10–19
          หมายเหตุ 1eV = 1.6 x 10–19 จูล
14. คลื่นแมเหล็กไฟฟาชนิดหนึ่ง มีความถี่ 1x1014 Hz คลื่นนี้จะมีพลังงานกี่จูล (6.62x10–20)
วิธทา
   ี ํ


15. จงหาพลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟาซึ่งมีความยาวคลื่น 600 nm ในหนวยจล (3.31x10–19)
                                                                   ู
วิธทา
   ี ํ


!                                            &!
Math Online VI                http://www.pec9.com               บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
16. คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีพลังงาน 1.324 x 10–20 จล จะมีความถี่เทาใด
                                                  ู                         (2x1013 Hz)
วิธทา
   ี ํ

17(มช 36) จงหาความถี่ในหนวยเฮิรตซของแสงที่โฟตอนมีพลังงานเทากับ 1.5 ev (3.63x1014)
วิธทา
   ี ํ

                      !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


    คลื่ น วิ ท ยุ คลื่ น โทรทั ศ น
    คลื่นวิทยุมีความถี่อยูในชวง 106–109 เฮิรตช คลื่นวิทยุมี 2 ระบบ ไดแก
        1. คลื่นวิทยุระบบ AM มีความถี่ตั้งแต 530–1600 กโลเฮรตซ ที่สถานีวิทยุสงออกอากาศ
                                                           ิ ิ
ในระบบเอเอ็ม เปนการสื่อสารโดยการผสม (modulate) คลื่นเสียงเขากับคลื่นวิทยุ ซึ่งเรียกวา
คลื่นพาหนะ และสัญญาณเสียงจะบังคับใหแอมพลิจูดของคลื่นพาหนะเปลี่ยนแปลงไป




       เมื่อคลื่นวิทยุที่ผสมสัญญาณเสียงกระจายออกจากสายอากาศไปยังเครื่องรับวิทยุเครื่องรับ
วิทยุจะทําหนาที่แยกสัญญาณเสียงซึ่งอยูในรูปของสัญญาณไฟฟาออกจากสัญญาณคลื่นวิทยุ
แลวขยายใหมีแอมพลิจูดสูงขึ้น เพื่อสงใหลําโพงแปลงสัญญาณออกมาเปนเสียงที่หูรับฟงได
       2. คลื่นวิทยุระบบ FM เปนการผสมสัญญาณเสียงเขากับคลื่นพาหะโดยใหความถี่ของ
คลื่นพาหะเปลี่ยนแปลงสัญญาณเสียง




!                                           '!
Math Online VI                  http://www.pec9.com                บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
         การสงคลื่นในระบบ FM ใชชวงความถี่จาก 88–108 เมกะเฮิรตซ ระบบการสงคลื่น
แบบเอเอ็มและเอฟเอ็มตางกันที่วิธีการผสมคลื่น ดังนันเครืองรับวิทยุระบบเอเอ็มกับเอฟเอ็มจึง
                                                       ้ ่
ไมสามารถรับคลื่นวิทยุของอีกระบบหนึ่งได
         ในการสงกระจายเสียงดวยคลื่นวิทยุระบบเอเอ็ม คลื่นสามารถเดินทางถึงเครื่องรับวิทยุได
สองทาง คือเคลื่อนที่ไปตรงๆในระดับสายตา ซึ่งเรียกวา คลื่นดิน สวนคลื่นที่สะทอนกลับลงมา
จากชนไอโอโนสเฟยร ซึ่งเรียกวาคลื่นฟา สวนคลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม ซึ่งมีความถี่สูงจะมีการ
      ้ั
สะทอนทชนไอโอโนสเฟยรนอย ดังนั้นถาตองการสงกระจายเสียงดวยระบบเอฟเอ็มใหครอบ
      ่ี ้ั                  
คลุมพื้นที่ไกลๆ จึงตองมีสถานีถายทอดเปนระยะๆ และผูรับตองตั้งสายอากาศใหสูง ในขณะที่
คลื่นวิทยุเคลื่อนที่ผานสิ่งกีดขวางที่มีขนาดใกลเคียงความยาวคลื่นจะมีการเลี้ยวเบนเกิดขึ้น ทํา
ใหคลื่นวิทยุออมผานไปได แตถาสิ่งกีดขวางมีขนาดใหญมากเชน ภูเขา คลื่นวิทยุที่มีความยาว
คลื่นสั้นจะไมสะทอนออนผานภูเขาไปได ทาใหดานตรงขามของภเู ขาเปนจดปลอดคลน
                                             ํ                        ุ           ่ื
         โลหะมีสมบัติสามารถสะทอนและดูดกลืนคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดดี ดังนั้นคลื่นวิทยุจะ
ทะลุผานเขาไปถึงภายในโลหะไดยาก อาจจะสังเกตไดงายเมื่อฟงวิทยุในรถยนต เมือรถยนต่
ผานใตสะพานที่มีโครงสรางเปนเหล็ก เสียงวิทยุจะเบาลง หรือเงียบหายไป
         ในการสงกระจายเสียง สถานีสงคลื่นวิทยุหนึ่งๆ จะใชคลื่นวิทยุที่มีความถี่คลื่นโดยเฉพาะ
เพราะถาใชคลื่นที่มีความถี่เดียวกัน จะเขาไปในเครืองรับพรอมกัน เสียงจะรบกวนกัน แตถา
                                                     ่
สถานีสงวิทยุอยูหางกันมากๆ จนคลื่นวิทยุของสถานีทั้งสองไมสามารถรบกวนกันได สถานีทั้ง
สองอาจใชความถี่เดียวกันได

        คลื่นโทรทัศนมีความถี่ประมาณ 108 เฮิรตซ คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงขนาดนี้จะ
ไมสะทอนทชนไอโอโนสเฟยร แตจะทะลุผานชั้นบรรยากาศไปนอกโลก ดังนั้นการสงคลื่น
       ่ี ้ั              
โทรทัศนไปไกลๆ จะตองใชสถานีถายทอดคลื่นเปนระยะๆ เพื่อรับคลื่นโทรทัศนจากสถานีสง
ซึงมาในแนวเสนตรง แลวขยายใหสัญญาณแรงขึ้นกอนที่จะสงไปยังสถานีที่อยูถัดไป เพราะ
  ่
สัญญาณเดินทางเปนเสนตรง ดังนั้นสัญญาณจะไปไดไกลสุดเพียงประมาณ 80 กิโลเมตร บนผว           ิ
โลกเทานั้น ทงนเ้ี พราะผวโลกโคง หรือาจใชคลื่นไมโครเวฟนําสัญญาณจากสถานีสงไปยังดาว
               ้ั         ิ        
เทยมซงโคจรอยในวงโคจรทตาแหนงหยดนงเมอเทยบกบตาแหนงหนง ๆบนผิวโลก นนคอ
    ี ่ึ          ู          ่ี ํ    ุ ่ิ ่ื ี ั ํ           ่ึ                  ่ั ื
ดาวเทยมมความเรวเชงมมเดยวกบความเรวในการหมนรอบตวเองของโลกจากนนดาวเทยมกจะ
       ี ี           ็ ิ ุ ี ั          ็         ุ       ั                 ้ั        ี ็
สงคลื่นตอไปยังสถานีรับที่อยูไกลๆได

!                                             (!
Math Online VI                  http://www.pec9.com                บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
    คลื่นไมโครเวฟ
       คลื่นไมโครเวฟมีความถี่ตั้งแต 1x109 เฮิรตซ ถึง 3x1011 เฮิรตซ ปจจุบันเราใชคลื่น
ไมโครเวฟที่มีความถี่ 2400 เมกะเฮิรตซ ในการทําอาหาร เปดปดประตโรงรถ ถายภาพพื้นผิว
                                                                    ู
ดาวเคราะห ศึกษากําเนิดของจักรวาล เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟสะทอนจากผิวโลหะไดดี ดังนัน        ้
จึงมีการนําสมบัตินี้ไปใชประโยชน ในการตรวจหาตาแหนงของอากาศยาน ตรวจจบอตราเรว
                                                   ํ                           ั ั       ็
ของรถยนต ซึ่งอุปกรณดังกลาวเรียกวา เรดาร

    รงสอนฟราเรด
     ั ีิ
     เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่ในชวง 1011–1014 เฮิรตซ สามารถแบงเปน 3 ชวง
                                                                                  
         1. อินฟราเรดใกล (0.7–1.5 ไมโครเมตร)
         2. อินฟราเรดปานกลาง (1.5–4.0 ไมโครเมตร)
         3. อินฟราเรดไกล (4.0–1000 ไมโครเมตร)
     วตถรอนจะแผรงสอนฟราเรดทมความยาวคลนสนกวา 100 ไมโครเมตร ประสาทสัมผัสทาง
       ั ุ         ั ีิ           ่ี ี             ่ื ้ั 
ผิวหนังของมนุษยรับรังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นบางชวงได ฟลมถายรูปบางชนิดสามารถ
ตรวจจับรังสีอนฟราเรดได ตามปกตแลวสงมชวตทกชนดจะแผรงสอนฟราเรดตลอดเวลา และ
                ิ                        ิ  ่ิ ี ี ิ ุ ิ      ั ีิ
รังสีอินฟราเรดสามารถทะลุผานเมฆหมอกที่หนาทึบเกินกวาที่แสงธรรมดาจะผานได นักเทค
โนโลยีจึงอาศัยสมบัตินี้ในการถายภาพพื้นโลกจากดาวเทียม เพื่อศึกษาการแปรสภาพของปาไม
หรอการอพยพเคลอนทยายของฝงสตวเ ปนตน รงสอนฟราเรดมใชในระบบควบคมทเ่ี รยกวา
   ื                  ่ื ่ี      ู ั   ั ีิ                  ี             ุ ี 
รโทคอนโทรล (remote control) หรือการควบคุมระยะไกล ซึ่งเปนระบบควบคุมการทํางานของ
 ี
เครองรบโทรทศนจากระยะไกล เชนทําการปดเปดเครือง การเปลี่ยนชอง ฯลฯ ในกรณีนี้รังสี
     ่ื ั         ั                                      ่
อินฟราเรดจะเปนตัวนําคําสังจากอุปกรณควบคุมไปยังเครืองรับ นอกจากนี้ในทางการทหารก็มี
                               ่                             ่
การนํารังสีอินฟราเรดมาใชควบคุมอาวุธนําวิถีใหเคลื่อนไปยังเปาหมายไดอยางแมนยํา
         เทคโนโลยีปจจุบันใชการสงสัญญาณดวยเสนใยนําแสง (optical fiber) และคลื่นที่เปน
พาหะนาสญญาณคอ รงสอนฟราเรด เพราะการใชแสงธรรมดานาสญญาณอาจถูกรบกวนโดย
          ํ ั           ื ั ีิ                                  ํ ั
แสงภายนอกไดงาย!
     !
!
!
!
!                                             )!
Math Online VI             http://www.pec9.com                 บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
       แสง!
      แสงมีความถี่โดยประมาณตั้งแต 4x1014 เฮิรตซ ถึง 8x1014 เฮิรตซ ประสาทตาของมนุษย
ไวตอคลื่นแมเหล็กไฟฟาชวงนี้มาก วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงมากๆ เชน ไสหลอดไฟฟาที่มีอุณหภูมิ
                                                                   
สูงประมาณ 2500 องศาเซลเซียส หรือผิวดวงอาทิตยทมอณหภูมประมาณ 6000 องศาเซลเซียส
                                                        ่ี ี ุ   ิ
จะเปลงแสงได สําหรับแสงที่มีความยาวคลื่นประมาณ 700 นาโนเมตร ประสาทตาจะรบรเู ปน     ั 
แสงสีแดง สวนแสงที่มีความยาวคลื่นนอยกวาประสาทตาจะรับรูเปนแสงสีสม เหลือง เขียว
น้าเงิน ตามลําดับ จนถึงแสงสีมวง ซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 400 นาโนเมตร แสงสีตางๆ ที่
  ํ
กลาวมานี้เมื่อรวมกันดวยปริมาณที่เหมาะสม จะเปนแสงสีขาว
          แสงเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาเชนเดียวกับคลื่นวิทยุ ดังนั้นอาจใชแสงเปนคลื่นพาหนะนํา
ขาวสารในการสื่อสารไดเชนเดียวกับการใชคลื่นวิทยุและคลื่นโทรทัศนเปนพาหะนําเสียงและ
ภาพดังกลาวแลว เหตุที่ไมสามารถใชแสงที่เกิดจากวัตถุรอนเปนคลื่นพาหะเพราะวาแสงเหลานี้
มีหลายความถี่และเฟสที่ไมแนนอน ปจจบนเรามเี ครองกาเนดเลเซอร ซึ่งเปนแหลงกําเนิดแสง
                                        ุ ั          ่ื ํ ิ
อาพันธที่ใหแสงได ไดมีผูทดลองผสมสัญญาณเสียงและภาพกับเลเซอรไดสําเร็จ นอกจากใชสื่อ
สารแลว เลเซอรยังใชในวงการตางๆไดอยางกวางขวาง เชน วงการแพทย ใชในการผาตัดนัยน
                                                               
ตาเปนตน 
         เลเซอรเขียนภาษาอังกฤษวา LASER ซึ่งยอมาจาก Light Amplification by Stimulated
Emission of Radiation ที่แปลเปนภาษาไทยไดวา “การขยายสัญญาณแสงโดยการปลอยรังสี
แบบเรงเรา” เพราะแสงเลเซอรเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ไดจากกระบสนการปลอยรังสีแบบเรง
          
เรา และสญญาณแสงถูกขยาย
           ั
       รงสอลตราไวโอเลต
        ั ีั
!



         เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่อยูในชวง 1015 ถึง 1018 เฮิรตซ รังสีอลตราไวโอเลต
                                                                                  ั
ทมในธรรมชาติ สวนใหญมาจากดวงอาทิตย และรังสีนี้ทําใหบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยรมี
   ่ี ี
ประจอสระ และไอออน เพราะรังสีอลตราไวโอเลต มีพลังงานสูงพอที่จะทําใหอิเล็กตรอนหลุด
        ุิ                             ั
จากโมเลกุลของอากาศพบวา ในไอโอโนสเฟยรมีโมเลกุลหลายชนิด เชน โอโซน ซึ่งสามารถ
                                                                         
กนรงสอลตราไวโอเลตไดดี ตามปกติรังสีอัลตราไวโอเลตไมสามารถทะลุผานสิ่งกีดขวางที่หนา
 ้ั ั ี ั                   
ได รงสนสามารถฆาเชอโรคบางชนดได ในวงการแพทยจึงใชรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณ
        ั ี ้ี          ้ื              ิ
พอเหมาะรกษาโรคผวหนงบางชนด แตถารังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตยสงลงมาถึงพื้น
               ั        ิ ั          ิ
!                                            *!
Math Online VI                  http://www.pec9.com                  บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
โลกในประเทศใดมากเกินไปประชากรจํานวนมากในประเทศนั้นอาจเปนมะเร็งผิวหนังได
เพราะไดรับรังสีนี้ในปริมาณมากเกินควร

    รังสีเอกซ
          เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่อยูในชวง 1017–1021 เฮิรตซ รังสีเอกซ สามารถทะลุ
ผานสิ่งกีดขวางหนาๆ ได ดังนันวงการอุตสาหกรรม จงใชรงสเี อกซตรวจหารอยราวภายในชน
                                ้                         ึ ั ็                         ้ิ
สวนโลหะขนาดใหญ เจาหนาทีดานตรวจก็ใชรงสีเอ็กซตรวจหาอาวุธปนหรือวัตถุระเบิดใน
                                   ่              ั
กระเปาเดนทางโดยไมตองเปดกระเปา โดยอาศัยหลักการวา รังสีเอกซจะถูกขวางกั้นโดย
          ิ                         
อะตอมของธาตุหนักไดดีกวาธาตุเบา แพทยจึงใชวิธีฉายรังสีเอกซผานรางกายคน ไปตกบน
ฟลมเพื่อตรวจดูลักษณะผิดปกติของอวัยวะภายในและกระดูก
    เมื่อฉายรังสีเอกซที่มีความยาวคลื่นประมาณ 10 นาโนเมตร ซึ่งเปนความยาวคลื่นที่ใกลเคียง
กนกบขนาดของอะตอม และระยะหางระหวางอะตอมของผลึกผานผลึกของโลหะที่จัดเรียงตัว
  ั ั
กันอยางมีระเบียบ จะเกิดปรากฏการณเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ เชนเดยวกบเมอแสงผานเกรตตง
                                                                    ี ั ่ื                  ิ
ทําใหสามารถคํานวณหาระยะหางระหวางอะตอมและลักษณะการจัดเรียงตัวของอะตอม จึงทํา
ใหทราบโครงสรางของผลึกแตละชนิดได
    รังสีแกมมา
       รังสีแกมมาเปนคลี่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงกวารังสีเอกซ แตเ ดมรงสแกมมาเปนชอ
                                                                           ิ ั ี        ่ื
เรียกคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงที่เกิดจากการสลายของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี แตใน
ปจจุบันคลื่นแมเหล็กไฟฟาใด ๆที่มีความถี่สูงกวารังสีเอกซ โดยทั่วไปจะเรียก รังสีแกมมา ทั้ง
นัน ปฏิกิริยานิวเคลียรบางปฏิกิริยาปลดปลอยรังสีแกมมา การระเบิดของลูกระเบิดนิวเคลียรก็
  ้
ใหรังสีแกมมาปริมาณมาก การมีความถี่สูงทําใหรังสีนี้เปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตทุกชนิด นอก
จากนี้ยังมีรังสีแกมมาที่ไมไดเกิดจากการสลายของธาตุกัมมันตรังสี เชน รังสีแกมมาที่มาจาก
                                                                      
อวกาศและรังสีคอสมิกนอกโลก อนภาคประจไฟฟาทถกเรงในเครองเรงอนภาคกสามารถให
                                     ุ        ุ  ่ี ู            ่ื  ุ ็
กําเนิดรังสีแกมมาไดเชนกัน

!




!                                             "+!
Math Online VI                  http://www.pec9.com                 บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา
! ตอนที่ 3 โพลาไรเซชันของคลืนแมเหล็กไฟฟา!
                            ่
             ปกติแลวคลื่นแมเหล็กไฟฟาของแสงทั่วไป จะมีระนาบการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟา (E )
ประกอบกันอยูหลายระนาบ ถาเราสามารถทําใหระนาบของสนามไฟฟา( E) ในคลื่นแมเหล็ก
ไฟฟา เหลือเพียงระนาบเดียวได คลื่นแมเหล็กไฟฟานั้นจะเรียกเปน คลื่นโพลาไรส
             สําหรับแสงที่ไมโพลาไรส เราสามารถทําใหโพลาไรสได ซึ่งอาจทําไดหลายวิธีเชน
             1. ฉายแสงผานแผนโพลารอยด
                                 
                  แผนโพลารอยดเปนแผนพลาสติกที่มีโมเลกุลของพอลิไวนิลแอลกอฮอล (polyvinyl
alcohol) ฝงอยูในเนื้อพลาสติก และแผนพลาสติกถูกยึดใหโมเลกุลยาวเรียงตัวในแนวขนานกับ
เมือแสงผานแผนโพลารอยด สนามไฟฟาที่มีทิศตั้งฉากกับแนวการเรียงตัวของโมเลกุลจะผาน
   ่
แผนโพลารอยดออกไปได สวนสนามไฟฟาที่มีทิศขนานกับแนวการเรียงตัวของโมเลกุลจะถูก
                      
โมเลกุลดูดกลืน ตอไปจะเรยกแนวทตงฉากกบแนวการเรยงตวของโมเลกลนวา ทิศของโพลา
                                   ี       ่ี ้ั    ั       ี ั              ุ ้ี 
ไรส
             2. ใชการสะทอนแสง เมื่อใหแสงไมโพลาไรสตกกระทบผิววัตถุ เชน แกว น้า หรือ
                                                                                     ํ
กระเบือง หากใชมุมตกกระทบที่เหมาะสม แสงที่สะทอนออกมาจะเปนแสงโพลาไรส
           ้
             มุมที่ทําใหแสงสะทอนเปนแสงโพลาไรส สามารถหาคาไดจากสมการ
                                          tanθB = n        ( สมการนีเ้ รียกวา กฏของบรูสเตอร )
                         เมือ n คือ คาดัชนีหักเหของสสารที่แสงตกกระทบ
                            ่
18. แสงไมโพลาไรสตกกระทบผิววัตถุ โดยทํามุมตกกระทบเทากับ 48 องศา พบวาแสง
         สะทอนจากผิววัตถุเปนแสงโพลาไรส ดรรชนหกเหของวตถนเ้ี ปนเทาใด
                                                       ี ั       ั ุ  
วธทา
 ิี ํ
19. นิลในอากาศ จงคานวณหามมบรสเตอรของนล ถามุมวิกฤตของนิลเทากับ 34.4 องศา
                                ํ        ุ ู           ิ
วธทา
 ิี ํ
             3. โพลาไรเซชันโดยการกระเจิงของแสง
             เมื่อแสงอาทิตยผานเขามาในบรรยากาศของโลก แสงจะกระทบโมเลกุลของอากาศหรือ
อนภาคในบรรยากาศ อิเล็กตรอนในโมเลกุลจะดูดกลืนแสงที่ตกกระทบนั้น และจะปลดปลอย
       ุ
แสงนั้นออกมาอีกครั้งหนึ่งในทุกทิศทาง ปรากฏการณนี้เรียกวา การกระเจิงของแสง แสงที่
กระเจิงออกมาจะเนแสงโพลาไรส
                        !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!                    !
!                                             ""!

Mais conteúdo relacionado

Mais procurados

การเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเกิดปฏิกิริยาเคมี
การเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเกิดปฏิกิริยาเคมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเกิดปฏิกิริยาเคมี
การเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเกิดปฏิกิริยาเคมีครูเสกสรรค์ สุวรรณสุข
 
ปริมาณกระแสไฟฟ้าในผลไม้
ปริมาณกระแสไฟฟ้าในผลไม้ปริมาณกระแสไฟฟ้าในผลไม้
ปริมาณกระแสไฟฟ้าในผลไม้ดีโด้ ดีโด้
 
สมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่นสมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่นbenjamars nutprasat
 
การเคลื่อนที่แบบ shm
การเคลื่อนที่แบบ shmการเคลื่อนที่แบบ shm
การเคลื่อนที่แบบ shmAey Usanee
 
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้krupornpana55
 
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2Wichai Likitponrak
 
แบบฝึกหัดกฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
แบบฝึกหัดกฏการเคลื่อนที่ของนิวตันแบบฝึกหัดกฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
แบบฝึกหัดกฏการเคลื่อนที่ของนิวตันเซิฟ กิ๊ฟ ติวเตอร์
 
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทานไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่าง  ความต่างศักย์ไฟฟ้า  กระแสไฟฟ้า  และ ความต้านทานไฟฟ้าความสัมพันธ์ระหว่าง  ความต่างศักย์ไฟฟ้า  กระแสไฟฟ้า  และ ความต้านทานไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทานไฟฟ้าเรียนฟิสิกส์กับครูเอ็ม Miphukham
 
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวันเล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวันPreeyapat Lengrabam
 
มิวเทชัน (Mutation)
มิวเทชัน (Mutation)มิวเทชัน (Mutation)
มิวเทชัน (Mutation)Wan Ngamwongwan
 
แรงและการเคลื่อนที่
แรงและการเคลื่อนที่แรงและการเคลื่อนที่
แรงและการเคลื่อนที่Supaluk Juntap
 
การจัดหมู่
การจัดหมู่การจัดหมู่
การจัดหมู่supamit jandeewong
 

Mais procurados (20)

Kingdom plantae
Kingdom plantaeKingdom plantae
Kingdom plantae
 
การเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเกิดปฏิกิริยาเคมี
การเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเกิดปฏิกิริยาเคมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเกิดปฏิกิริยาเคมี
การเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเกิดปฏิกิริยาเคมี
 
ปริมาณกระแสไฟฟ้าในผลไม้
ปริมาณกระแสไฟฟ้าในผลไม้ปริมาณกระแสไฟฟ้าในผลไม้
ปริมาณกระแสไฟฟ้าในผลไม้
 
Ast.c2560.6tp
Ast.c2560.6tpAst.c2560.6tp
Ast.c2560.6tp
 
สมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่นสมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่น
 
การเคลื่อนที่แบบ shm
การเคลื่อนที่แบบ shmการเคลื่อนที่แบบ shm
การเคลื่อนที่แบบ shm
 
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
 
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2
 
แบบฝึกหัดกฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
แบบฝึกหัดกฏการเคลื่อนที่ของนิวตันแบบฝึกหัดกฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
แบบฝึกหัดกฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
 
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทานไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่าง  ความต่างศักย์ไฟฟ้า  กระแสไฟฟ้า  และ ความต้านทานไฟฟ้าความสัมพันธ์ระหว่าง  ความต่างศักย์ไฟฟ้า  กระแสไฟฟ้า  และ ความต้านทานไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทานไฟฟ้า
 
o net-2552
o net-2552o net-2552
o net-2552
 
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวันเล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
 
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
 
มิวเทชัน (Mutation)
มิวเทชัน (Mutation)มิวเทชัน (Mutation)
มิวเทชัน (Mutation)
 
Punmanee study 4
Punmanee study 4Punmanee study 4
Punmanee study 4
 
O-net วิทยาศาสตร์ 2557
O-net วิทยาศาสตร์ 2557O-net วิทยาศาสตร์ 2557
O-net วิทยาศาสตร์ 2557
 
แรงและการเคลื่อนที่
แรงและการเคลื่อนที่แรงและการเคลื่อนที่
แรงและการเคลื่อนที่
 
123
123123
123
 
การจัดหมู่
การจัดหมู่การจัดหมู่
การจัดหมู่
 
แรง (Force)
แรง (Force)แรง (Force)
แรง (Force)
 

Destaque

เรื่องที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่ 18  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรื่องที่ 18  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าthanakit553
 
เอกสารประกอบการเรียน วิชานาฏศิลป์ นาฏศิลป์พื้นเมือง ม.2
เอกสารประกอบการเรียน  วิชานาฏศิลป์  นาฏศิลป์พื้นเมือง ม.2เอกสารประกอบการเรียน  วิชานาฏศิลป์  นาฏศิลป์พื้นเมือง ม.2
เอกสารประกอบการเรียน วิชานาฏศิลป์ นาฏศิลป์พื้นเมือง ม.2Panomporn Chinchana
 
นาฏศิลป์2
นาฏศิลป์2นาฏศิลป์2
นาฏศิลป์2Kruanchalee
 
แบบทดสอบ ศิลปะ ม.2
แบบทดสอบ ศิลปะ ม.2แบบทดสอบ ศิลปะ ม.2
แบบทดสอบ ศิลปะ ม.2teerachon
 
อิเล็กทรอนิกส์
อิเล็กทรอนิกส์อิเล็กทรอนิกส์
อิเล็กทรอนิกส์Chakkrawut Mueangkhon
 
การเคลื่อนที่แบบต่างๆ
การเคลื่อนที่แบบต่างๆการเคลื่อนที่แบบต่างๆ
การเคลื่อนที่แบบต่างๆChakkrawut Mueangkhon
 
ไฟฟ้าแม่เหล็ก2
ไฟฟ้าแม่เหล็ก2ไฟฟ้าแม่เหล็ก2
ไฟฟ้าแม่เหล็ก2Chakkrawut Mueangkhon
 
การเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แบบหมุนการเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แบบหมุนChakkrawut Mueangkhon
 
มวลแรงกฎการเคลื่อนที่
มวลแรงกฎการเคลื่อนที่มวลแรงกฎการเคลื่อนที่
มวลแรงกฎการเคลื่อนที่Chakkrawut Mueangkhon
 
สมดุลและสภาพยืดหยุ่น
สมดุลและสภาพยืดหยุ่นสมดุลและสภาพยืดหยุ่น
สมดุลและสภาพยืดหยุ่นChakkrawut Mueangkhon
 
การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่Chakkrawut Mueangkhon
 
ฟิสิกส์อะตอม
ฟิสิกส์อะตอมฟิสิกส์อะตอม
ฟิสิกส์อะตอมChakkrawut Mueangkhon
 
การเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แบบหมุนการเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แบบหมุนChakkrawut Mueangkhon
 
แสงและทัศน์ปกรณ์
แสงและทัศน์ปกรณ์แสงและทัศน์ปกรณ์
แสงและทัศน์ปกรณ์Chakkrawut Mueangkhon
 

Destaque (20)

เรื่องที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่ 18  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรื่องที่ 18  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
เอกสารประกอบการเรียน วิชานาฏศิลป์ นาฏศิลป์พื้นเมือง ม.2
เอกสารประกอบการเรียน  วิชานาฏศิลป์  นาฏศิลป์พื้นเมือง ม.2เอกสารประกอบการเรียน  วิชานาฏศิลป์  นาฏศิลป์พื้นเมือง ม.2
เอกสารประกอบการเรียน วิชานาฏศิลป์ นาฏศิลป์พื้นเมือง ม.2
 
นาฏศิลป์2
นาฏศิลป์2นาฏศิลป์2
นาฏศิลป์2
 
แบบทดสอบ ศิลปะ ม.2
แบบทดสอบ ศิลปะ ม.2แบบทดสอบ ศิลปะ ม.2
แบบทดสอบ ศิลปะ ม.2
 
อิเล็กทรอนิกส์
อิเล็กทรอนิกส์อิเล็กทรอนิกส์
อิเล็กทรอนิกส์
 
การเคลื่อนที่แบบต่างๆ
การเคลื่อนที่แบบต่างๆการเคลื่อนที่แบบต่างๆ
การเคลื่อนที่แบบต่างๆ
 
ไฟฟ้าแม่เหล็ก2
ไฟฟ้าแม่เหล็ก2ไฟฟ้าแม่เหล็ก2
ไฟฟ้าแม่เหล็ก2
 
ของไหล
ของไหลของไหล
ของไหล
 
การเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แบบหมุนการเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แบบหมุน
 
มวลแรงกฎการเคลื่อนที่
มวลแรงกฎการเคลื่อนที่มวลแรงกฎการเคลื่อนที่
มวลแรงกฎการเคลื่อนที่
 
ของไหล
ของไหลของไหล
ของไหล
 
บทนำ
บทนำบทนำ
บทนำ
 
โมเมนตัม
โมเมนตัมโมเมนตัม
โมเมนตัม
 
สมดุลและสภาพยืดหยุ่น
สมดุลและสภาพยืดหยุ่นสมดุลและสภาพยืดหยุ่น
สมดุลและสภาพยืดหยุ่น
 
การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่
 
ฟิสิกส์อะตอม
ฟิสิกส์อะตอมฟิสิกส์อะตอม
ฟิสิกส์อะตอม
 
การเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แบบหมุนการเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แบบหมุน
 
แสงและทัศน์ปกรณ์
แสงและทัศน์ปกรณ์แสงและทัศน์ปกรณ์
แสงและทัศน์ปกรณ์
 
งานพลังงาน
งานพลังงานงานพลังงาน
งานพลังงาน
 

Semelhante a คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

ไฟฟ้าแม่เหล็ก1
ไฟฟ้าแม่เหล็ก1ไฟฟ้าแม่เหล็ก1
ไฟฟ้าแม่เหล็ก1Chakkrawut Mueangkhon
 
เรื่องที่ 16 แม่เหล็กไฟฟ้า 1
เรื่องที่ 16  แม่เหล็กไฟฟ้า 1เรื่องที่ 16  แม่เหล็กไฟฟ้า 1
เรื่องที่ 16 แม่เหล็กไฟฟ้า 1thanakit553
 
เรื่องที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม
เรื่องที่ 19  ฟิสิกส์อะตอมเรื่องที่ 19  ฟิสิกส์อะตอม
เรื่องที่ 19 ฟิสิกส์อะตอมthanakit553
 
เรื่องที่18คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่18คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรื่องที่18คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่18คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าApinya Phuadsing
 
เรื่องท่ี16ไฟฟ้าและแม่เหล็ก
เรื่องท่ี16ไฟฟ้าและแม่เหล็กเรื่องท่ี16ไฟฟ้าและแม่เหล็ก
เรื่องท่ี16ไฟฟ้าและแม่เหล็กApinya Phuadsing
 
บทที่ 17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
บทที่ 17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2บทที่ 17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
บทที่ 17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2thanakit553
 
เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
เรื่อง  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการเรื่อง  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการSomporn Laothongsarn
 
ฟิสิกส์ 5 ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
ฟิสิกส์ 5 ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1ฟิสิกส์ 5 ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
ฟิสิกส์ 5 ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1Wijitta DevilTeacher
 
ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1Wijitta DevilTeacher
 
เรื่องที่17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
เรื่องที่17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2เรื่องที่17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
เรื่องที่17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2Apinya Phuadsing
 
งานนำเสนอ11
งานนำเสนอ11งานนำเสนอ11
งานนำเสนอ11Nang Ka Nangnarak
 
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าNang Ka Nangnarak
 
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าNang Ka Nangnarak
 

Semelhante a คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (20)

ไฟฟ้าแม่เหล็ก1
ไฟฟ้าแม่เหล็ก1ไฟฟ้าแม่เหล็ก1
ไฟฟ้าแม่เหล็ก1
 
P16
P16P16
P16
 
เรื่องที่ 16 แม่เหล็กไฟฟ้า 1
เรื่องที่ 16  แม่เหล็กไฟฟ้า 1เรื่องที่ 16  แม่เหล็กไฟฟ้า 1
เรื่องที่ 16 แม่เหล็กไฟฟ้า 1
 
P19
P19P19
P19
 
เรื่องที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม
เรื่องที่ 19  ฟิสิกส์อะตอมเรื่องที่ 19  ฟิสิกส์อะตอม
เรื่องที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม
 
เรื่องที่18คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่18คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรื่องที่18คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่18คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
เรื่องท่ี16ไฟฟ้าและแม่เหล็ก
เรื่องท่ี16ไฟฟ้าและแม่เหล็กเรื่องท่ี16ไฟฟ้าและแม่เหล็ก
เรื่องท่ี16ไฟฟ้าและแม่เหล็ก
 
P17
P17P17
P17
 
บทที่ 17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
บทที่ 17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2บทที่ 17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
บทที่ 17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
 
เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
เรื่อง  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการเรื่อง  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
 
ฟิสิกส์ 5 ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
ฟิสิกส์ 5 ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1ฟิสิกส์ 5 ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
ฟิสิกส์ 5 ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
 
ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
ไฟฟ้าสถิตย์ ตอนที่ 1
 
เรื่องที่17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
เรื่องที่17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2เรื่องที่17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
เรื่องที่17ไฟฟ้าและแม่เหล็ก2
 
Physics atom part 5
Physics atom part 5Physics atom part 5
Physics atom part 5
 
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
สนามแม่เหล็กไฟฟ้าสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
 
งานนำเสนอ11
งานนำเสนอ11งานนำเสนอ11
งานนำเสนอ11
 
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
Physics atom part 3
Physics atom part 3Physics atom part 3
Physics atom part 3
 
อบรมSme1 มฟล.1
อบรมSme1 มฟล.1อบรมSme1 มฟล.1
อบรมSme1 มฟล.1
 

Mais de Chakkrawut Mueangkhon (13)

แสงเชิงฟิสิกส์
แสงเชิงฟิสิกส์แสงเชิงฟิสิกส์
แสงเชิงฟิสิกส์
 
เสียง
เสียงเสียง
เสียง
 
คลื่นกล
คลื่นกลคลื่นกล
คลื่นกล
 
กฎของคูลอมป์
กฎของคูลอมป์กฎของคูลอมป์
กฎของคูลอมป์
 
ตัวเก็บประจุและประจุไฟฟ้า
ตัวเก็บประจุและประจุไฟฟ้าตัวเก็บประจุและประจุไฟฟ้า
ตัวเก็บประจุและประจุไฟฟ้า
 
Akaranee
AkaraneeAkaranee
Akaranee
 
568
568568
568
 
ฟิสิกส์นิวเคลียร์
ฟิสิกส์นิวเคลียร์ฟิสิกส์นิวเคลียร์
ฟิสิกส์นิวเคลียร์
 
ความร้อน
ความร้อนความร้อน
ความร้อน
 
ไฟฟ้าสถิต
ไฟฟ้าสถิตไฟฟ้าสถิต
ไฟฟ้าสถิต
 
heat
heatheat
heat
 
fluid
fluidfluid
fluid
 
แบบทดสอบเรื่องคลื่น
แบบทดสอบเรื่องคลื่นแบบทดสอบเรื่องคลื่น
แบบทดสอบเรื่องคลื่น
 

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

  • 1. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา บทที่ 18 คลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า ! ตอนที่ 1 คลืนแมเหล็กไฟฟา!! ! ! ! ! ! ! ! ! ่ ทฤษฎี ของแมกซเวลล กลาววา “สนามแมเหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลง สามารถเหนี่ยวนํา ใหเกิดสนามไฟฟา และสนามไฟฟาที่เปลี่ยนแปลง สามารถทําใหเกิดสนามแมเหล็กได” ตามทฤษฎีของแมกซเวลล เมื่อมีสนามแมเหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลง จะเกดการเหนยว ิ ่ี นําระหวางสนามแมเหล็กกับไฟฟาอยางตอเนื่อง สุดทายจะกอเกิดเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟา 1. คลื่นแมเหล็กไฟฟาเกิดจาก.................................................................................................... ขอควรทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับคลื่นแมเหล็กไฟฟา ! 1) สนามไฟฟา สนามแมเหล็ก และทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น จะอยูในทิศที่ตั้งฉากกัน ตลอดเวลา จงถอวา คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวาง ึ ื  2) อิเลคตรอนทีสนสะเทือน จะเหนี่ยวนําทําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟารอบแนวการสั่น ่ ่ั ได ตัวอยางเชนอิเลคตรอนในเสนลวดตัวนําที่มีกระแสไฟฟาสลับไหลผาน หรือ อิเลคตรอน ในวัตถุที่มีอุณหภูมิสูง ๆ หรออเิ ลคตรอนทเ่ี ปลยนวงโคจรรอบๆ อะตอม ื ่ี 3) อเิ ลคตรอนทเ่ี คลอนทดวยความเรง จะเหนี่ยวนําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดเชนกัน ่ื ่ี   4) อิเลคตรอนทีสนสะเทือน จะทําใหเกิด ่ ่ั คลื่นแมเหล็กไฟฟารอบแนวการสั่นทุก ทิศทาง ยกเวนแนวที่ตรงกับการสั่นสะ เทอน จะไมมีคลื่นแผออกมา ื 5) คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกชนิด จะเคลอนทดวยความเรวเทากน คือ 3x108 เมตร/วินาที ่ื ่ี  ็  ั 6) สนามแมเหล็ก และสนามไฟฟาทกสนามในคลนแมเ หลกไฟฟา ถือวาเกิดพรอมกันหมด  ุ ่ื ็  ! "!
  • 2. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา 2. ไฟฟากระแสตรงเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็กได แตไมเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟา เพราะ....................................................................................................................................... 3. ขอความตอไปนี้ขอใดกลาวถูกตองตามทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแมเหล็กไฟฟา (ขอ ข.)  1. ขณะประจุเคลือนทีดวยความเรงหรือความหนวง จะแผคลื่นแมเหล็กไฟฟา ่ ่ 2. เมื่อสนามแมเหล็กเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามไฟฟาโดยรอบยกเวนบริเวณ นันเปนฉนวน ้ 3. บริเวณรอบตัวนําที่มีกระแสไฟฟาจะเกิดสนามแมเหล็ก ก. 1 , 2 และ 3 ข. 1 และ 3 ค. 3 เทานน  ้ั ง. ตอบเปนอยางอืน ่ ตอบ 4(มช 38) คลื่นแมเหล็กไฟฟาเกิดจาก 1. กระแสไฟฟาที่มีคาคงที่ไหลจากแบตเตอรี่ผานตัวนําไฟฟาวงจรไฟฟา 2. การเคลือนทีของนิวตรอนดวยความเรง ่ ่ 3. วัตถุที่มีอุณหภูมิสูง 4. การเคลื่อนที่ของประจุไฟฟาดวยความเร็วคงที่ (ขอ 3.)  ตอบ 5(มช 31) ขอใด ไมใช แหลงกําเนิดของคลื่นแมเหล็กไฟฟา  (ขอ ง.) ก. วัตถุมีอุณหภูมิสูง ข. อะตอมปลดปลอยพลังงาน ค. อิเล็กตรอนปลดปลอยพลังงาน ง. อิเล็กตรอนในกระแสไฟฟาตรงปลดปลอยพลังงาน ตอบ 6(En 33) จงพิจารณาขอความตอไปนี้ ก. อเิ ลกตรอนเคลอนทดวยความเรวสง ่ื ่ี  ็ ู ข. กลุมอิเลกตรอนเคลือนทีในตัวนํา  ่ ่ ค. อเิ ลกตรอนเคลอนทดวยความหนวง ่ื ่ี   เหตุการณที่จะทําใหเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาคือ 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ข 4. ค (ขอ 4.)  ! #!
  • 3. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา 7(มช 32) หากมีประจุเคลื่อนกลับไปมาคูหนึ่งดังรูป ตามทฤษฎีแมกซเวลล ประจุคูนี้จะแผคลื่นแมเหล็ก ไฟฟาออกมา แตมีแนวหนึ่งที่ไมมีคลื่นแผออกมา เลยแนวนนคอ ้ั ื (ขอ ก.)  ก. A ข. B ค. C ง. D ตอบ 8(มช 33) สนามแมเหล็กที่มาพรอมกับการเคลื่อนที่ของแสงนั้นจะมีทิศทาง ก. ขนานกับทิศทางของการเคลื่อนที่ของแสง ข. ขนานกับสนามไฟฟา แตเฟสตางกัน 90 องศา ค. ตั้งฉากกับทั้งสนามไฟฟาและทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง ง. ตั้งฉากกับสนามไฟฟา แตขนานกับทิศทางการ เคลอนทของแสง ่ื ่ี (ขอ ค.)  ตอบ 9(มช 33) จงพิจารณาขอความตอไปนี้ ขอใดไมถูกตอง ก. การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟาทําใหเกิดสนามแมเหล็ก และ การเปลี่ยนแปลงสนาม แมเหล็กทําใหเกิดสนามไฟฟา ข. สนามไฟฟาและสนามแมเหล็กของคลื่นแมเหล็กไฟฟามีเฟสตางกัน 90o ค. สําหรับคลื่นแมเหล็กไฟฟา สนามไฟฟา และ สนามแมเหล็กมีทิศตั้งฉากซึ่งกัน และกัน และตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นดวย ง. ในตัวกลางเดียวกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกความถี่มี ความเรวเทากันหมด ็  (ขอ ข.)  ตอบ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ! $!
  • 4. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา ! ตอนที่ 2 สเปกตรัมคลืนแมเหล็กไฟฟา! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ่ แหลงกําเนิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ใหญที่สุดในจักรวาลนี้ คือ ดวงอาทิตย คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ออกมาจากดวงอาทิตย จะแบงแยกได 8 ชนด ดงตารางตอไปน้ี ิ ั  การเรียง การเรียงลําดับ การเรียงลําดับ สเปกตรัม ลําดับความถี่ ความยาวคลื่น พลังงาน รังสีแกมมา มาก นอย มาก รังสีเอกซ รังสีอลตราไวโอเลต ั แสงขาว รังสีอนฟาเรด ิ คลนไมโครเวฟ ่ื คลื่นวิทยุ ไฟฟากระแสสลับ นอย มาก นอย อยาลืม คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกสเปกตรัม จะมความเรวเทากันหมด คือ 3x108 m/s ี ็  10(มช 32) คลื่นแมเหล็กไฟฟาทุกชนิดขณะเคลื่อนที่ในสูญญากาศจะมีสิ่งหนึ่งเทากันเสมอ คือ ก. ความยาวคลื่น ข. แอมปลิจูด ค. ความถี่ ง. ความเร็ว (ขอ ง.)  ตอบ ! 11(En 42/1) คลนวทยไมโครเวฟ และแสงเลเซอร มีความถี่ อยูในชวง 104 −109 เฮิรตซ ่ื ิ ุ 108 − 1012 เฮิรตซ และ 1014 เฮิรตซ ตามลําดับ ถาสงคลื่นเหลานี้จากโลกไปยัง ดาวเทยมดวงหนง ขอตอไปนี้ขอใดถูกตองมากที่สุด ี ่ึ 1. คลื่นวิทยุจะใชเวลาในการเคลื่อนที่ไปถึงดาวเทียมนอยที่สุด 2. แสงเลเซอรจะใชเวลาในการเคลื่อนที่ไปถึงดาวเทียมนอยที่สุด 3. คลื่นทั้งสามใชเวลาเดินทางไปถึงดาวเทียมเทากัน 4. หาคําตอบไมไดเพราะไมไดกําหนดคาความยาว คลื่นของคลื่นเหลานี้ (ขอ 3.)  ตอบ ! %!
  • 5. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา 12(มช 33) การแผรังสีคลื่นแมเหล็กไฟฟาตอไปนี้ขอใดมีความยาวคลื่นสั้นที่สุด ก. รังสีแกมมา ข. แสงทตามองเหน ่ี ็ ค. ไมโครเวฟ ง. รังสีอลตราไวโอเลต ั (ขอ ก.)  ตอบ 13. คลื่นแมเหล็กไฟฟาตอไปนี้คลื่นชนิดใดมีพลังงานมากที่สุด ก. ไมโครเวฟ ข. อินฟราเรด ค. แสง ง. รังสีเอ็กซ (ขอ ง.)  ตอบ พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา เราสามารถหาคาพลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดจากสมการ E = hf และ E = hC λ เมือ ่ E = พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา (จล) ู h = คานิจของพลังค = 6.62 x 10–34 J.s f = ความถี่ (s–1) λ = ความยาวคลื่น (m) C = ความเร็วคลื่นแมเหล็กไฟฟา = 3 x 108 m/s หรือ E = hef และ E = hC eλ เมือ ่ E = พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟา หนวยเปน อเิ ลคตรอนโวลต (eV)   e = 1.6 x 10–19 หมายเหตุ 1eV = 1.6 x 10–19 จูล 14. คลื่นแมเหล็กไฟฟาชนิดหนึ่ง มีความถี่ 1x1014 Hz คลื่นนี้จะมีพลังงานกี่จูล (6.62x10–20) วิธทา ี ํ 15. จงหาพลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟาซึ่งมีความยาวคลื่น 600 nm ในหนวยจล (3.31x10–19)  ู วิธทา ี ํ ! &!
  • 6. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา 16. คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีพลังงาน 1.324 x 10–20 จล จะมีความถี่เทาใด ู (2x1013 Hz) วิธทา ี ํ 17(มช 36) จงหาความถี่ในหนวยเฮิรตซของแสงที่โฟตอนมีพลังงานเทากับ 1.5 ev (3.63x1014) วิธทา ี ํ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! คลื่ น วิ ท ยุ คลื่ น โทรทั ศ น คลื่นวิทยุมีความถี่อยูในชวง 106–109 เฮิรตช คลื่นวิทยุมี 2 ระบบ ไดแก 1. คลื่นวิทยุระบบ AM มีความถี่ตั้งแต 530–1600 กโลเฮรตซ ที่สถานีวิทยุสงออกอากาศ ิ ิ ในระบบเอเอ็ม เปนการสื่อสารโดยการผสม (modulate) คลื่นเสียงเขากับคลื่นวิทยุ ซึ่งเรียกวา คลื่นพาหนะ และสัญญาณเสียงจะบังคับใหแอมพลิจูดของคลื่นพาหนะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อคลื่นวิทยุที่ผสมสัญญาณเสียงกระจายออกจากสายอากาศไปยังเครื่องรับวิทยุเครื่องรับ วิทยุจะทําหนาที่แยกสัญญาณเสียงซึ่งอยูในรูปของสัญญาณไฟฟาออกจากสัญญาณคลื่นวิทยุ แลวขยายใหมีแอมพลิจูดสูงขึ้น เพื่อสงใหลําโพงแปลงสัญญาณออกมาเปนเสียงที่หูรับฟงได 2. คลื่นวิทยุระบบ FM เปนการผสมสัญญาณเสียงเขากับคลื่นพาหะโดยใหความถี่ของ คลื่นพาหะเปลี่ยนแปลงสัญญาณเสียง ! '!
  • 7. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา การสงคลื่นในระบบ FM ใชชวงความถี่จาก 88–108 เมกะเฮิรตซ ระบบการสงคลื่น แบบเอเอ็มและเอฟเอ็มตางกันที่วิธีการผสมคลื่น ดังนันเครืองรับวิทยุระบบเอเอ็มกับเอฟเอ็มจึง ้ ่ ไมสามารถรับคลื่นวิทยุของอีกระบบหนึ่งได ในการสงกระจายเสียงดวยคลื่นวิทยุระบบเอเอ็ม คลื่นสามารถเดินทางถึงเครื่องรับวิทยุได สองทาง คือเคลื่อนที่ไปตรงๆในระดับสายตา ซึ่งเรียกวา คลื่นดิน สวนคลื่นที่สะทอนกลับลงมา จากชนไอโอโนสเฟยร ซึ่งเรียกวาคลื่นฟา สวนคลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม ซึ่งมีความถี่สูงจะมีการ ้ั สะทอนทชนไอโอโนสเฟยรนอย ดังนั้นถาตองการสงกระจายเสียงดวยระบบเอฟเอ็มใหครอบ  ่ี ้ั    คลุมพื้นที่ไกลๆ จึงตองมีสถานีถายทอดเปนระยะๆ และผูรับตองตั้งสายอากาศใหสูง ในขณะที่ คลื่นวิทยุเคลื่อนที่ผานสิ่งกีดขวางที่มีขนาดใกลเคียงความยาวคลื่นจะมีการเลี้ยวเบนเกิดขึ้น ทํา ใหคลื่นวิทยุออมผานไปได แตถาสิ่งกีดขวางมีขนาดใหญมากเชน ภูเขา คลื่นวิทยุที่มีความยาว คลื่นสั้นจะไมสะทอนออนผานภูเขาไปได ทาใหดานตรงขามของภเู ขาเปนจดปลอดคลน ํ    ุ ่ื โลหะมีสมบัติสามารถสะทอนและดูดกลืนคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดดี ดังนั้นคลื่นวิทยุจะ ทะลุผานเขาไปถึงภายในโลหะไดยาก อาจจะสังเกตไดงายเมื่อฟงวิทยุในรถยนต เมือรถยนต่ ผานใตสะพานที่มีโครงสรางเปนเหล็ก เสียงวิทยุจะเบาลง หรือเงียบหายไป ในการสงกระจายเสียง สถานีสงคลื่นวิทยุหนึ่งๆ จะใชคลื่นวิทยุที่มีความถี่คลื่นโดยเฉพาะ เพราะถาใชคลื่นที่มีความถี่เดียวกัน จะเขาไปในเครืองรับพรอมกัน เสียงจะรบกวนกัน แตถา ่ สถานีสงวิทยุอยูหางกันมากๆ จนคลื่นวิทยุของสถานีทั้งสองไมสามารถรบกวนกันได สถานีทั้ง สองอาจใชความถี่เดียวกันได คลื่นโทรทัศนมีความถี่ประมาณ 108 เฮิรตซ คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงขนาดนี้จะ ไมสะทอนทชนไอโอโนสเฟยร แตจะทะลุผานชั้นบรรยากาศไปนอกโลก ดังนั้นการสงคลื่น   ่ี ้ั  โทรทัศนไปไกลๆ จะตองใชสถานีถายทอดคลื่นเปนระยะๆ เพื่อรับคลื่นโทรทัศนจากสถานีสง ซึงมาในแนวเสนตรง แลวขยายใหสัญญาณแรงขึ้นกอนที่จะสงไปยังสถานีที่อยูถัดไป เพราะ ่ สัญญาณเดินทางเปนเสนตรง ดังนั้นสัญญาณจะไปไดไกลสุดเพียงประมาณ 80 กิโลเมตร บนผว ิ โลกเทานั้น ทงนเ้ี พราะผวโลกโคง หรือาจใชคลื่นไมโครเวฟนําสัญญาณจากสถานีสงไปยังดาว ้ั ิ  เทยมซงโคจรอยในวงโคจรทตาแหนงหยดนงเมอเทยบกบตาแหนงหนง ๆบนผิวโลก นนคอ ี ่ึ ู ่ี ํ  ุ ่ิ ่ื ี ั ํ  ่ึ ่ั ื ดาวเทยมมความเรวเชงมมเดยวกบความเรวในการหมนรอบตวเองของโลกจากนนดาวเทยมกจะ ี ี ็ ิ ุ ี ั ็ ุ ั ้ั ี ็ สงคลื่นตอไปยังสถานีรับที่อยูไกลๆได ! (!
  • 8. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา คลื่นไมโครเวฟ คลื่นไมโครเวฟมีความถี่ตั้งแต 1x109 เฮิรตซ ถึง 3x1011 เฮิรตซ ปจจุบันเราใชคลื่น ไมโครเวฟที่มีความถี่ 2400 เมกะเฮิรตซ ในการทําอาหาร เปดปดประตโรงรถ ถายภาพพื้นผิว   ู ดาวเคราะห ศึกษากําเนิดของจักรวาล เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟสะทอนจากผิวโลหะไดดี ดังนัน ้ จึงมีการนําสมบัตินี้ไปใชประโยชน ในการตรวจหาตาแหนงของอากาศยาน ตรวจจบอตราเรว ํ  ั ั ็ ของรถยนต ซึ่งอุปกรณดังกลาวเรียกวา เรดาร รงสอนฟราเรด ั ีิ เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่ในชวง 1011–1014 เฮิรตซ สามารถแบงเปน 3 ชวง  1. อินฟราเรดใกล (0.7–1.5 ไมโครเมตร) 2. อินฟราเรดปานกลาง (1.5–4.0 ไมโครเมตร) 3. อินฟราเรดไกล (4.0–1000 ไมโครเมตร) วตถรอนจะแผรงสอนฟราเรดทมความยาวคลนสนกวา 100 ไมโครเมตร ประสาทสัมผัสทาง ั ุ ั ีิ ่ี ี ่ื ้ั  ผิวหนังของมนุษยรับรังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นบางชวงได ฟลมถายรูปบางชนิดสามารถ ตรวจจับรังสีอนฟราเรดได ตามปกตแลวสงมชวตทกชนดจะแผรงสอนฟราเรดตลอดเวลา และ ิ ิ  ่ิ ี ี ิ ุ ิ ั ีิ รังสีอินฟราเรดสามารถทะลุผานเมฆหมอกที่หนาทึบเกินกวาที่แสงธรรมดาจะผานได นักเทค โนโลยีจึงอาศัยสมบัตินี้ในการถายภาพพื้นโลกจากดาวเทียม เพื่อศึกษาการแปรสภาพของปาไม หรอการอพยพเคลอนทยายของฝงสตวเ ปนตน รงสอนฟราเรดมใชในระบบควบคมทเ่ี รยกวา ื ่ื ่ี  ู ั   ั ีิ ี  ุ ี  รโทคอนโทรล (remote control) หรือการควบคุมระยะไกล ซึ่งเปนระบบควบคุมการทํางานของ ี เครองรบโทรทศนจากระยะไกล เชนทําการปดเปดเครือง การเปลี่ยนชอง ฯลฯ ในกรณีนี้รังสี ่ื ั ั  ่ อินฟราเรดจะเปนตัวนําคําสังจากอุปกรณควบคุมไปยังเครืองรับ นอกจากนี้ในทางการทหารก็มี ่ ่ การนํารังสีอินฟราเรดมาใชควบคุมอาวุธนําวิถีใหเคลื่อนไปยังเปาหมายไดอยางแมนยํา เทคโนโลยีปจจุบันใชการสงสัญญาณดวยเสนใยนําแสง (optical fiber) และคลื่นที่เปน พาหะนาสญญาณคอ รงสอนฟราเรด เพราะการใชแสงธรรมดานาสญญาณอาจถูกรบกวนโดย ํ ั ื ั ีิ  ํ ั แสงภายนอกไดงาย! ! ! ! ! ! )!
  • 9. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา แสง! แสงมีความถี่โดยประมาณตั้งแต 4x1014 เฮิรตซ ถึง 8x1014 เฮิรตซ ประสาทตาของมนุษย ไวตอคลื่นแมเหล็กไฟฟาชวงนี้มาก วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงมากๆ เชน ไสหลอดไฟฟาที่มีอุณหภูมิ  สูงประมาณ 2500 องศาเซลเซียส หรือผิวดวงอาทิตยทมอณหภูมประมาณ 6000 องศาเซลเซียส ่ี ี ุ ิ จะเปลงแสงได สําหรับแสงที่มีความยาวคลื่นประมาณ 700 นาโนเมตร ประสาทตาจะรบรเู ปน ั  แสงสีแดง สวนแสงที่มีความยาวคลื่นนอยกวาประสาทตาจะรับรูเปนแสงสีสม เหลือง เขียว น้าเงิน ตามลําดับ จนถึงแสงสีมวง ซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 400 นาโนเมตร แสงสีตางๆ ที่ ํ กลาวมานี้เมื่อรวมกันดวยปริมาณที่เหมาะสม จะเปนแสงสีขาว แสงเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาเชนเดียวกับคลื่นวิทยุ ดังนั้นอาจใชแสงเปนคลื่นพาหนะนํา ขาวสารในการสื่อสารไดเชนเดียวกับการใชคลื่นวิทยุและคลื่นโทรทัศนเปนพาหะนําเสียงและ ภาพดังกลาวแลว เหตุที่ไมสามารถใชแสงที่เกิดจากวัตถุรอนเปนคลื่นพาหะเพราะวาแสงเหลานี้ มีหลายความถี่และเฟสที่ไมแนนอน ปจจบนเรามเี ครองกาเนดเลเซอร ซึ่งเปนแหลงกําเนิดแสง  ุ ั ่ื ํ ิ อาพันธที่ใหแสงได ไดมีผูทดลองผสมสัญญาณเสียงและภาพกับเลเซอรไดสําเร็จ นอกจากใชสื่อ สารแลว เลเซอรยังใชในวงการตางๆไดอยางกวางขวาง เชน วงการแพทย ใชในการผาตัดนัยน  ตาเปนตน  เลเซอรเขียนภาษาอังกฤษวา LASER ซึ่งยอมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation ที่แปลเปนภาษาไทยไดวา “การขยายสัญญาณแสงโดยการปลอยรังสี แบบเรงเรา” เพราะแสงเลเซอรเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ไดจากกระบสนการปลอยรังสีแบบเรง   เรา และสญญาณแสงถูกขยาย  ั รงสอลตราไวโอเลต ั ีั ! เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่อยูในชวง 1015 ถึง 1018 เฮิรตซ รังสีอลตราไวโอเลต ั ทมในธรรมชาติ สวนใหญมาจากดวงอาทิตย และรังสีนี้ทําใหบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยรมี ่ี ี ประจอสระ และไอออน เพราะรังสีอลตราไวโอเลต มีพลังงานสูงพอที่จะทําใหอิเล็กตรอนหลุด ุิ ั จากโมเลกุลของอากาศพบวา ในไอโอโนสเฟยรมีโมเลกุลหลายชนิด เชน โอโซน ซึ่งสามารถ  กนรงสอลตราไวโอเลตไดดี ตามปกติรังสีอัลตราไวโอเลตไมสามารถทะลุผานสิ่งกีดขวางที่หนา ้ั ั ี ั  ได รงสนสามารถฆาเชอโรคบางชนดได ในวงการแพทยจึงใชรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณ ั ี ้ี  ้ื ิ พอเหมาะรกษาโรคผวหนงบางชนด แตถารังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตยสงลงมาถึงพื้น ั ิ ั ิ ! *!
  • 10. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา โลกในประเทศใดมากเกินไปประชากรจํานวนมากในประเทศนั้นอาจเปนมะเร็งผิวหนังได เพราะไดรับรังสีนี้ในปริมาณมากเกินควร รังสีเอกซ เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่อยูในชวง 1017–1021 เฮิรตซ รังสีเอกซ สามารถทะลุ ผานสิ่งกีดขวางหนาๆ ได ดังนันวงการอุตสาหกรรม จงใชรงสเี อกซตรวจหารอยราวภายในชน ้ ึ ั ็   ้ิ สวนโลหะขนาดใหญ เจาหนาทีดานตรวจก็ใชรงสีเอ็กซตรวจหาอาวุธปนหรือวัตถุระเบิดใน ่ ั กระเปาเดนทางโดยไมตองเปดกระเปา โดยอาศัยหลักการวา รังสีเอกซจะถูกขวางกั้นโดย  ิ     อะตอมของธาตุหนักไดดีกวาธาตุเบา แพทยจึงใชวิธีฉายรังสีเอกซผานรางกายคน ไปตกบน ฟลมเพื่อตรวจดูลักษณะผิดปกติของอวัยวะภายในและกระดูก เมื่อฉายรังสีเอกซที่มีความยาวคลื่นประมาณ 10 นาโนเมตร ซึ่งเปนความยาวคลื่นที่ใกลเคียง กนกบขนาดของอะตอม และระยะหางระหวางอะตอมของผลึกผานผลึกของโลหะที่จัดเรียงตัว ั ั กันอยางมีระเบียบ จะเกิดปรากฏการณเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ เชนเดยวกบเมอแสงผานเกรตตง  ี ั ่ื  ิ ทําใหสามารถคํานวณหาระยะหางระหวางอะตอมและลักษณะการจัดเรียงตัวของอะตอม จึงทํา ใหทราบโครงสรางของผลึกแตละชนิดได รังสีแกมมา รังสีแกมมาเปนคลี่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงกวารังสีเอกซ แตเ ดมรงสแกมมาเปนชอ ิ ั ี  ่ื เรียกคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงที่เกิดจากการสลายของนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี แตใน ปจจุบันคลื่นแมเหล็กไฟฟาใด ๆที่มีความถี่สูงกวารังสีเอกซ โดยทั่วไปจะเรียก รังสีแกมมา ทั้ง นัน ปฏิกิริยานิวเคลียรบางปฏิกิริยาปลดปลอยรังสีแกมมา การระเบิดของลูกระเบิดนิวเคลียรก็ ้ ใหรังสีแกมมาปริมาณมาก การมีความถี่สูงทําใหรังสีนี้เปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตทุกชนิด นอก จากนี้ยังมีรังสีแกมมาที่ไมไดเกิดจากการสลายของธาตุกัมมันตรังสี เชน รังสีแกมมาที่มาจาก  อวกาศและรังสีคอสมิกนอกโลก อนภาคประจไฟฟาทถกเรงในเครองเรงอนภาคกสามารถให ุ ุ  ่ี ู  ่ื  ุ ็ กําเนิดรังสีแกมมาไดเชนกัน ! ! "+!
  • 11. Math Online VI http://www.pec9.com บทที่ 18 คลื่นแมเหล็กไฟฟา ! ตอนที่ 3 โพลาไรเซชันของคลืนแมเหล็กไฟฟา! ่ ปกติแลวคลื่นแมเหล็กไฟฟาของแสงทั่วไป จะมีระนาบการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟา (E ) ประกอบกันอยูหลายระนาบ ถาเราสามารถทําใหระนาบของสนามไฟฟา( E) ในคลื่นแมเหล็ก ไฟฟา เหลือเพียงระนาบเดียวได คลื่นแมเหล็กไฟฟานั้นจะเรียกเปน คลื่นโพลาไรส สําหรับแสงที่ไมโพลาไรส เราสามารถทําใหโพลาไรสได ซึ่งอาจทําไดหลายวิธีเชน 1. ฉายแสงผานแผนโพลารอยด   แผนโพลารอยดเปนแผนพลาสติกที่มีโมเลกุลของพอลิไวนิลแอลกอฮอล (polyvinyl alcohol) ฝงอยูในเนื้อพลาสติก และแผนพลาสติกถูกยึดใหโมเลกุลยาวเรียงตัวในแนวขนานกับ เมือแสงผานแผนโพลารอยด สนามไฟฟาที่มีทิศตั้งฉากกับแนวการเรียงตัวของโมเลกุลจะผาน ่ แผนโพลารอยดออกไปได สวนสนามไฟฟาที่มีทิศขนานกับแนวการเรียงตัวของโมเลกุลจะถูก   โมเลกุลดูดกลืน ตอไปจะเรยกแนวทตงฉากกบแนวการเรยงตวของโมเลกลนวา ทิศของโพลา  ี ่ี ้ั ั ี ั ุ ้ี  ไรส 2. ใชการสะทอนแสง เมื่อใหแสงไมโพลาไรสตกกระทบผิววัตถุ เชน แกว น้า หรือ  ํ กระเบือง หากใชมุมตกกระทบที่เหมาะสม แสงที่สะทอนออกมาจะเปนแสงโพลาไรส ้ มุมที่ทําใหแสงสะทอนเปนแสงโพลาไรส สามารถหาคาไดจากสมการ tanθB = n ( สมการนีเ้ รียกวา กฏของบรูสเตอร ) เมือ n คือ คาดัชนีหักเหของสสารที่แสงตกกระทบ ่ 18. แสงไมโพลาไรสตกกระทบผิววัตถุ โดยทํามุมตกกระทบเทากับ 48 องศา พบวาแสง สะทอนจากผิววัตถุเปนแสงโพลาไรส ดรรชนหกเหของวตถนเ้ี ปนเทาใด ี ั ั ุ   วธทา ิี ํ 19. นิลในอากาศ จงคานวณหามมบรสเตอรของนล ถามุมวิกฤตของนิลเทากับ 34.4 องศา ํ ุ ู  ิ วธทา ิี ํ 3. โพลาไรเซชันโดยการกระเจิงของแสง เมื่อแสงอาทิตยผานเขามาในบรรยากาศของโลก แสงจะกระทบโมเลกุลของอากาศหรือ อนภาคในบรรยากาศ อิเล็กตรอนในโมเลกุลจะดูดกลืนแสงที่ตกกระทบนั้น และจะปลดปลอย ุ แสงนั้นออกมาอีกครั้งหนึ่งในทุกทิศทาง ปรากฏการณนี้เรียกวา การกระเจิงของแสง แสงที่ กระเจิงออกมาจะเนแสงโพลาไรส !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ! ! ""!