More Related Content
Similar to วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1
Similar to วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1 (20)
More from Thanyamon Chat.
More from Thanyamon Chat. (18)
วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1
- 3. ประวัติการค้นพบเซลล์
• กาลิเลโอ (Galileo Galilei) ได้ประดิษฐ์แว่นขยายส่องดูสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ
• โรเบิร์ต ฮุก (Robert Hooke) ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์
ประกอบด้วยเลนส์ 2 อัน ซึ่งมีกาลังขยายสูงประมาณ 270 เท่า ใช้ส่อง
ดูไม้คอร์ก พบว่าประกอบด้วยช่องขนาดเล็กมากมาย เขาเรียกแต่ละช่องว่า
เซลล์(cell) ถือเป็นคนแรกที่ใช้คาว่า “เซลล์” ซึ่งหมายถึง ห้องว่างเล็กๆ
• ชไรแดน(M.J. Schleiden) และ ชวานน์(Theodor Schwann)
ได้ร่วมกันตั้ง “ทฤษฎีเซลล์” ขึ้นมีใจความว่า “สิ่งมีชีวิตทั้งมวล
ประกอบด้วยเซลล์และผลิตภัณฑ์ของเซลล์”
- 5. กล้องจุลทรรศน์ (microscope)
• เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สาหรับส่องดูวัตถุที่มีขนาดเล็ก ซึ่งไม่สามารถมองเห็น
รายละเอียดได้ด้วยตาเปล่า แบ่งได้เป็น
1. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope) กล้องจุลทรรศน์
แบบใช้แสงประกอบด้วยเลนส์ 2 ชุด คือเลนส์ใกล้ตาและเลนส์ใกล้วัตถุ
กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงที่ดีที่สุดในปัจจุบันมีกาลังขยายประมาณ
2,000 เท่า
กาลังขยายของกล้อง = กาลังขยายของเลนส์ใกล้ตา x กาลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ
- 7. 2. กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (electron microscope) ใช้ส่องวัตถุที่มี
ขนาดเล็กเกินกว่าที่จะสังเกตให้เห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง ใช้ลา
อิเล็กตรอนแทนรังสีของแสง ซึ่งภาพจะปรากฏบนจอเรืองแสง และสามารถ
บันทึกภาพได้โดยง่าย มีกาลังขยายสูงถึง 500,000 เท่า มี 2 แบบ ได้แก่
• 2.1 กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน (transmission
electron microscope : TEM) ใช้ในการศึกษารายละเอียดโครงสร้าง
ภายในของวัตถุที่มีขนาดเล็กประมาณ 0.5 นาโนเมตรได้
• 2.2 กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (scanning
electron microscope : SEM) ใช้ในการศึกษาลักษณะภายนอกของ
วัตถุที่มีขนาดเล็กประมาณ 0.5 นาโนเมตรได้
- 18. 2. กระบวนการดูดน้าและแร่ธาตุ พืชจะดูดน้าด้วยวิธีการออสโมซิส และมี
การดูดแร่ธาตุใช้วิธีการแพร่ ซึ่งจะถูกลาเลียงจากรากขึ้นสู่ลาต้น ไปกิ่ง
ก้าน และใบ ผ่านทางไซเลม (Xylem) โดยอาศัยกระบวนการต่างๆคือ
- แรงดึงจากการคายน้า (TRANSPIRATION PULL) เมื่อพืชมี
การคายน้าทางปากใบ
- แรงดันราก (ROOT PRESSURE) เมื่อรากดูดน้าเข้าสู่ราก
มากๆ จะเกิดแรงดันน้าเคลื่อนที่เข้าไปสู่เซลล์ถัดไปตามท่อลาเลียงน้าสู่ยอด
- แรงแคพิลลารี (CAPILLARY ACTION) เกิดจากแรงดึงดูด
ระหว่างโมเลกุลของน้ากับผนังด้านข้างหลอดในท่อลาเลียงของไซเลม
- 23. ความแตกต่างระหว่างโฟลเอมและไซเลม มีดังนี้
• อัตราการลาเลียง อัตราการลาเลียงในโฟลเอมช้ากว่าไซเลมมาก
• ทิศทางการลาเลียง ทิศทางการลาเลียงในโฟลเอมสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งใน
แนวขึ้นและแนวลงในเวลาเดียวกัน ส่วนในไซเลมเกิดในแนวขึ้นเพียง
ทิศทางเดียว
• ชนิดของเซลล์ เซลล์ที่ทาหน้าที่ลาเลียงอาหารจะต้องเป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ส่วนเซลล์ที่ใช้ในการลาเลียงน้าและแร่ธาตุมักจะเป็นเซลล์ที่ไม่มีชีวิต
- 27. พืชอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มตามความหนาแน่นของปากใบ ดังนี้
• พืชบกโดยทั่ว ๆ ไป มีจานวนปากใบอยู่ที่ผิวใบด้านล่างมากกว่าผิวใบ
ด้านบน เช่น ชบา มะม่วง ประดู่
• พืชน้าที่มีใบปริ่มน้า มีปากใบที่ผิวใบด้านบน ด้านล่างไม่มีปากใบ เช่น
บัวสาย แพงพวยน้า
• พืชที่เจริญใต้น้า จะไม่มีปากใบ เช่น สาหร่ายหางกระรอก
- 28. ปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้าของพืช
1. แสงสว่าง ถ้ามีความเข้มข้นของแสงมาก ปากใบเปิดได้กว้าง พืชคายน้าได้มาก
2. อุณหภูมิของอากาศ ถ้าอุณหภูมิสูง พืชจะคายน้าได้มากและรวดเร็ว
3. ความชื้นในอากาศ ความชื้นสูงพืชจะคายน้าน้อย ถ้าความชื้นน้อยคายน้ามาก
4. ลม ถ้าลมแรง พืชจะคายน้าได้มาก แต่ถ้าลมแรงจนเป็นลมพายุ ปากใบจะปิด
พืชจะคายน้าได้น้อยลง
5. ความกดดันของอากาศ ถ้าความกดดันของอากาศต่า พืชจะคายน้าได้มาก
6. ปริมาณน้าในดิน ถ้ามีน้าน้อย จะทาให้พืชคายน้าน้อยไปด้วย
- 33. 2. พิจารณาส่วนประกอบทั้ง 4 ส่วนของดอก ได้แก่ กลีบเลี้ยง กลีบดอก
เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย เป็นเกณฑ์
2.1 ดอกสมบูรณ์ หรือดอกครบส่วน (Complete Flower)
2.2 ดอกไม่สมบูรณ์ (Incomplete Flower)
3. พิจารณาชนิดของเกสรตัวเมีย และเกสรตัวผู้ เป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น
3.1 ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect Flower)
3.2 ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (Imperfect Flower)
- 40. สารควบคุมการเจริญเติบโต (plant growth regulators)
1. ออกซิน (Auxin) สร้างขึ้นจากบริเวณปลายยอดพืช แล้วขนส่งจาก
ปลายยอดสู่ปลายราก ทาหน้าที่เกี่ยวกับการขยายขนาดของเซลล์ ยับยั้งการ
แตกของตาข้าง ฮอร์โมนที่พืชสร้างขึ้นก็คือ ไอเอเอ (IAA)
2. ไซโตไคนิน (Cytokinin) เป็นสารที่ทาหน้าที่เกี่ยวกับการแบ่งเซลล์
ของพืช ชะลอการแก่ชราและกระตุ้นการแตกของตาข้าง พบมากในบริเวณ
เนื้อเยื่อเจริญและในเอ็มบริโอ
3. จิบเบอเรลลิน (Gibberellin) เป็นสารที่ทาหน้าที่เกี่ยวกับการยืดตัว
ของเซลล์ (Cell elongation) ทาลายการพักตัวของพืช กระตุ้นการออก
ดอกของพืชบางชนิด และยับยั้งการออกดอกของพืชบางชนิด
- 41. 4. เอทิลีน (Ethylene) เอทิลีนเป็นก๊าซชนิดหนึ่งและจัดเป็นฮอร์โมน
พืช โดยมีผลควบคุมการแก่ชรา การสุก การออกดอกของพืชบางชนิด และ
เกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของใบ ดอก ผล การเหลืองของใบ การงอกของหัว
พืช และเมล็ดพืชบางชนิด สร้างมากในส่วนของพืชที่กาลังเข้าสู่ระยะชรา
ภาพ (Senescence) เช่น ในผลแก่หรือใบแก่ใกล้หลุดร่วง ใช้การบ่ม
ผลไม้ การเร่งการออกดอกของสับปะรด
5. กรดแอบไซซิก (Abscisic acid) สารกลุ่มนี้ทาหน้าที่เกี่ยวกับการ
ยับยั้งการแบ่งเซลล์ และการเติบโตของเซลล์ ทาให้เกิดการพักตัว
(Dormancy) และเกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของอวัยวะพืช
- 44. 2. แสงสว่าง (Light) เป็นผู้ให้พลังงานสาหรับการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ระหว่างน้าและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นวัตถุดิบสาคัญในการสร้าง
น้าตาลกลูโคส โดยมีคลอโรฟิลล์ทาหน้าที่เป็นตัวรับพลังงานแสง
3. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นวัตถุดิบสาหรับการสร้างอาหารของ
พืชทาหน้าที่เป็นแหล่งคาร์บอน (C) สาหรับการสร้างสารประกอบ
คาร์โบไฮเดรต (น้าตาลและแป้ง)
4. น้า (H2O) เป็นวัตถุดิบสาหรับการสร้างอาหารของพืชโดยเป็นสารที่ให้
ไฮโดรเจน(H) เพื่อรวมตัวกับคาร์บอน(C) จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) แล้วสร้างเป็นสารอาหารคือ คาร์โบไฮเดรต