SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 37
Baixar para ler offline
ความสาคัญของภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Language) เป็นสัญลักษณ์ที่
ผู้พัฒนาภาษากาหนดรหัสคาสั่ง ขึ้นมา ใช้ควบคุมการทางาน
อุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ เริ่ม
จากรหัส คาสั่งอยู่ในรูปแบบเลขฐานสอง จากนั้นพัฒนารูปแบบ
เป็นข้อความภาษาอังกฤษ ในยุคปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์มีอีก
มากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่นด้านประสิทธิภาพ
คาสั่งแตกตางกันไป ดังนั้นผู้สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่าภาษา
ใดมีคาสั่งที่มีประสิทธิภาพควบคุมการทางานตามต้องการ เพื่อ
เลือกไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่ได้กาหนดจุดประสงค์
ไว้
1. พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาควบคู่กับการประดิษฐ์เครื่อง
คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นคาสั่ง ควบคุมการทางาน มีพัฒนาการของ
การสร้างรหัสคาสั่งจนมาเป็นรูปแบบในปัจจุบัน ดังนี้ ช่วงที่ 1
คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่องมือคานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงทางาน
ลักษณะวงจรเปิด – ปิด แทนค่าด้วย 0 กับ 1 ผู้สร้างภาษาจึง
ออกแบบรหัสคาสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า ภาษาเครื่อง
(Machine Language) ผู้ที่จะเขียนรหัสคาสั่งควบคุมระบบได้
จึงจากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม และใช้ในห้องปฏิบัติการทดลองดาเนินงาน
ช่วงที่ 2 จากช่วงแรกที่รหัสคาสั่งเป็นชุดเลขฐานสองมีความยุ่งยากในการจาชุดของรหัส
คาสั่ง ควบคุมการทางาน จึงมีผู้พัฒนารหัสคาสั่งเป็นอักษรภาษาอังกฤษรวมกับเลขฐาน
อื่น เช่น เลขฐานสิบหก เพื่อให้เขียนคาสั่งควบคุมงานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่า แอสแซมบลี
หรือภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) พร้อมกันนี้ต้อง
พัฒนาโปรแกรมแปลภาษาขึ้นมาด้วย (Translator Program) คือโปรแกรมแอ
สแซมเบลอร์ (Assembler) ใช้แปลรหัสคาสั่งกลับมาเป็นเลขฐานสอง เพื่อให้ระบบ
สามารถประมวลผลได้
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งสร้างภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลายภาษา เน้นให้ใช้
งานง่ายขึ้น โดยรหัสคาสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารกันอยู่
แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม ภาษาระดับสูง (High Level Language) เช่น ภาษาเบสิก
ภาษาปาสคาล ภาษาซี ในส่วนของ โปรแกรมแปลภาษามี 2 ลักษณะ คือ อินเทอรพรีต
เทอร์ และคอมไพเลอร์
ช่วงที่ 4 เน้นเพิ่มประสิทธิภาพภาษาคอมพิวเตอร์ให้นาไปใช้ควบคุมการ
ทางานระบบ คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานรวมกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ภาษามี
รูปแบบการเขียนรหัสคาสั่งเป็นงานโปรแกรม เชิงวัตถุ
(Object – Oriented Programming Language :
OOP) ติดต่อใช้งานกับผู้ใช้โปรแกรมเชิง กราฟฟิก (Graphic
User Interface : GUI) ลดขั้นตอนการจดจาเพื่อพิมพ์รหัส
คาสั่งมาเป็นการคลิก เลือกรายการคาสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่น
ภาษาวิชวลเบสิก (Visual BASIC) ภาษาจาว่า (JAVA)
2. ภาษาระดับสูง
ภาษาคอมพิวเตอร์กลุ่มภาษาระดับสูงได้รับความนิยม
ใช้งานจนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นภาษาที่มี รูปแบบการ
เขียนรหัสคาสั่งสั้น สื่อความหมายตรงกับการทางาน ใช้
ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้เพื่อเขียน ชุดรหัสคาสั่ง
ควบคุมการทางาน ใช้หน่วยความจาระบบน้อย จึง
เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะการสร้างงาน โปรแกรม
ประยุกต์งานคานวณในสาขางานต่าง ๆ เช่น ระบบงาน
คานวณทางวิศวกรรมโยธา ระบบงาน คานวณทาง
วิทยาศาสตร์ ตัวอย่างภาษาระดับสูงที่ได้รับความนิยม
ใช้งาน มีดังนี้
1) ภาษาเบสิก (BASIC : Beginner’s All-
purpose Symbolic Instruction Code) เป็น
ภาษาในระยะเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการ
ของสถาบันการศึกษา เพื่อฝึกทักษะการ เขียนรหัสคาสั่ง
ควบคุมการทางานของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก คือ
ไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ รูปแบบที่ใช้งานสั้น มีจานวน
คาสั่งไม่มาก กฎเกณฑ์การใช้คาสั่งน้อย ใช้ระยะเวลาศึกษา
เรียนรู้สั้น เหมาะสมที่จะใช่ในการเรียนการสอน เพื่อฝึกทักษะ
การเขียนรหัสควบคุมการ ทางานระบบ ข้อจากัด คือ
ประสิทธิภาพของคาสั่งงานมีน้อย เป็นภาษาที่ไม่มีรูปแบบ
โครงสร้าง จึงไม่เหมาะสมในการนาไปใช้สร้างโปรแกรม
ประยุกต์งานในองค์กร
2) ภาษาโคบอล (COBOL : Common Business
Oriented Language) เป็นภาษาในยุคแรกที่มีลักษณะ
โปรแกรมเชิงโครงสร้าง ช่วงต้นของภาษาได้รับการออกแบบรหัส
คาสั่งเพื่อ ควบคุมการทางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท
เมนเฟรม และมินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคาสั่งให้ใช้กับ
ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ข้อดี คือ ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเขียน
รหัสคาสั่งควบคุมการทางาน ไมโครคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะไป
เขียนรหัสคาสั่งควบคุมคอมพิวเตอร์ขนาดให้ญืในการทางานจริง
ข้อจากัด คือ โครงสร้างภาษามีส่วนประกอบของบรรทัดคาสั่ง
งานมาก รูปแบบรหัส คาสั่งมีความยาว จดจาคาสั่งได้ยาก ไม่
เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะสร้างงานโปรแกรม
3) ภาษาปาสคาล (PASCAL) เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็น
โครงสร้าง ได้รับการออกแบบ มาเพื่อใช้เขียนรหัสคาสั่ง
ควบคุมการทางานไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ แต่ละส่วน
ของโครงสร้างกาหนดหน้าที่การเขียนรหัสคาสั่งควบคุมงาน
ชัดเจน คาสั่งสั้น สื่อความหมายดี จึงจดจาได้งาย
ประสิทธิภาพคาสั่งงานมีเลือกใช้งานหลากหลาย รูปแบบ
ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ เหมาะสมกับการนาไปใช้ใน
หลักสูตรการเรียนการสอน ข้อจากัด คือ ประสิทธิภาพของ
คาสั่งไม่สามารถใช้ควบคุมการทางานในลักษณะ
ระบบงานแบบฐานข้อมูล หรือแบบเครือขายได้ แต่อาจใช้
พื้นฐานความรู้สาหรับภาษาอื่นได้ เช่น ภาษา เดลไฟ
(DELPHI) ที่คาสั่งงานคลายภาษาปาสคาล
4) ภาษาซี เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เน้นให้คาสั่งมี
ประสิทธิภาพการคานวณที่ รวดเร็ว เข้าถึงอุปกรณ์ในระบบรวมกับ
ภาษาแอสแซมบลีได้ ใช้ควบคุมการทางานไมโครคอมพิวเตอร์
ข้อดี คือ ภาษาได้รับการพัฒนามาอย่างตอเนื่อง การออกแบบรหัส
คาสั่งมีมาตรฐาน รวมกัน ถึงแม้จะเป็นภาษาซีตางบริษัทก็ใช้งานส่วน
คาสั่งพื้นฐานรวมกันได้ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ จึงเหมาะสม
สาหรับนาไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน และนาไปใช้สร้างงาน
โปรแกรมระบบขนาด ใหญ่ได้ ข้อจากัด คือ อยู่ในส่วนของรุนภาษาซี
มากกว่า เช่น เทอรโบซีจะไม่สามารถนาไป สร้างระบบงานฐานข้อมูล
ได้ แต่หากต้องการนาไปสร้างงานโปรแกรมแบบฐานข้อมูล ต้องใช้
วิชวล ซีพลัสพลัส (Visual C++) เป็นต้น
3. ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator
Program)
การเขียนรหัสคาสั่งควบคุมการทางานระบบด้วย
ภาษาคอมพิวเตอร์ใด ๆ ก็ตาม ที่มิใช้ ภาษาเครื่อง
ระบบไม่สามารถประมวลผลได้ทันที เพราะการทางาน
ของระบบเป็นรหัสเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 ดังนั้น
ผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ ต้องสร้างโปรแกรมสาหรับ
แปลรหัสคาสั่งให้เป็นรหัส เลขฐานสองด้วย โปรแกรม
แปลรหัสคาสั่งภาษาคอมพิวเตอร์มีการทางาน 3
ลักษณะ คือ 1.)โปรแกรมแปลภาษาแบบแอสแซม
เบลอร (Assembler) ใช้แปลรหัสคาสั่งเฉพาะ
ภาษา แอสแซมบลีให้เป็นเลขฐานสอง
2.) โปรแกรมแปลภาษาแบบคอมไพเลอร์ (Compiler) ลักษณะการแปลคือ แปล
คาสั่งทั้ง โครงสร้างโปรแกรม แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข จากนั้นต้อง
ประมวลผลให้ หากไม่มี ข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้มโปรแกรมให้อัตโนมัติเพื่อเก็บรหัสเครื่อง
ภายหลังเมื่อเรียกใช้โปรแกรมนี้ เครื่อง จะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่สร้างไว้นั้น จึงไม่ต้อง
เริ่มแปลรหัสให้ ข้อดี คือ ทางานได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแปลรหัสให้ทุกครั้ง ข้อจากัด คือ
ต้องเขียนโปรแกรมให้ครบทุกส่วนของโครงสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ จึง จะสามารถคอม
ไพลปละประมวลผลเพื่อแสดงผลได้ 3.) โปรแกรมแปลภาษาแบบอินเทอรพรีตเทอร์
(Interpreter) ลักษณะการแปล คือ แปลรหัสทีละคาสั่ง เมื่อพบข้อผิดพรากจะหยุด
ทางาน แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดให้ทราบ เพื่อแก้ไข จากนั้นประมวลผลให้ จนกว่าจะไม่มี
ข้อผิดพลาด แต่ไม่มีการสร้างแฟ้มโปรแกรมให้เพื่อเก็บรหัสคาสั่ง คือ สั่งให้ประมวลผล
รหัสคาสั่งเพื่อดูผลการทางานได้ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ ข้อดี ต้องเขียนโปรแกรมถึงบรรทัด
สุดทาย ข้อจากัด คือ หากโปรแกรมมีบรรทัดคาสั่งจานวนมากจะประมวลผลชา เพราะ
ต้องเริ่ม แปลรหัสคาสั่งให้ที่บรรทัดคาสั่งแรกทุกครั้งที่สั่งให้ประมวลผล
4.) การเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ มี
ข้อแนะนาในการนาไปใช้เป็นแนวทางพิจารณา เลือกภาษาคอมพิวเตอร์ ดังนี้
1. พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคาสั่งงานของแต่ละภาษา เปรียบเทียบกับ
ลักษณะงาน เช่น สร้างโปรแกรมระบบงานคานวณทางวิศวกรรมศาสตร์ อาจ
เลือกใช้ภาษาซี ภาษา ปาสคาล
2. พิจารณาลักษณะการประมวลผล เช่น ระบบงานต้องประมวลผลบนเครือข่าย
อาจ เลือกใช้ภาษาวิชวลเบสิก ในรุ่นของโปรแกรมที่มีคาสั่งควบคุมการทางานได้
3. พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์และรุนของระบบปฏิบัติการที่ใช้ควบคุม
เพื่อเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานรวมกันกับระบบได้
4. ควรเลือกภาษาที่ทีมงานพัฒนาระบบงานโปรแกรมมีความชานาญอยู่แล้ว เพื่อ
ไม่ต้อง เสียเวลาเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้ภาษาให้ หรือหากเป็นภาษาให้ ควรเป็น
ภาษาที่มี ลักษณะใกล้เคียงกับความรู้เดิม 5. ควรเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็น
โครงสร้าง มีความยืดหยุ่นสูง เอื้ออานวยความสะดวกใน การปรับปรุงพัฒนา
ระบบงานในอนาคต
6. หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่อง
การเข้าถึงข้อมูล ต้องคัดเลือก
ภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเรื่องนี้ด้วย
7. พิจารณางบประมาณ ใช้จัดหาคอมพิวเตอร์
ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้งาน เพื่อป้องกัน
ปัญหาทางกฎหมายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะ
ไม่ก่อปัญหาเมื่อขยายพัฒนาระบบงานเพิ่ม
มากขึ้นในอนาคต
8. เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมใช้
งานทั่วไปเพื่อศึกษารวบรวมข้อมูล และ
ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
และมีความเชื่อมั่นว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญให้
คาปรึกษาหากเกิดปัญหาขึ้น
4.การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์ การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์ การพัฒนา
ระบบงาน (System Development) เป็นกระบวนการพัฒนาระบบงานเดิม ให้เป็น
ระบบการทางานแบบให้ มีจุดประสงค์ให้ระบบการทางานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สาหรับการ
พัฒนา ระบบงานทางคอมพิวเตอร์นอกจากจัดหาอุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อ
นามาใช้งานแล้วยังต้อง จัดหาโปรแกรมประยุกต์งานมาใช้ในการดาเนินงานอีกด้วย ขั้นตอน
การสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ในที่นี้มีแนวทาง
ดาเนินงานดังนี้
1) ขั้นกาหนดขอบเขตปัญหา
2) ขั้นวางแผนและการออกแบบ
3) ขั้นดาเนินการเขียน คาสั่งงาน
4) ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม
5) ขั้นจัดทาคู่มือระบบ
6) ขั้นการติดตั้ง
7) ขั้น การบารุงรักษา
1. ขั้นกาหนดขอบเขตปัญหา (Problem Definition)
เริ่มต้นด้วยการศึกษาวิเคราะห์ระบบงานเดิม เพื่อพัฒนาระบบงานให้ อาจวิเคราะห์งานจาก
ผลลัพธ์ เช่น รูปแบบรายงาน เพื่อวิเคราะห์ส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สมการที่ใช้คานวณ
การนาเข้า ข้อมูลที่ใช้ประมวลผล กรณีเป็นระบบงานใหญ่ ความซับซ้อนของงาน
ย่อมมากขึ้น อาจเริ่มจากสภาพปัญหา โดย รวบรวมข้อมูลปัญหาและ ความต้องการ ต่าง ๆ
จากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อสรุป และศึกษา ความเป็นไปได้ ในการพัฒนา
ระบบงานให้ การกาหนดความต้องการ (Requirements Specification) เป็น
ความต้องการ ประสิทธิภาพการทางานจากระบบงานให้ รวบรวมข้อมูลความต้องการโดยใช้
เครื่องมือทางสถิติ เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสังเกต เพื่อหาข้อสรุปรวมกันที่
ชัดเจนระหว่างผู้พัฒนาระบบและผู้ใช้ ระบบ การกาหนดความต้องการนั้นมีแนวทางในการ
ดาเนินงาน ดังนี้
1) ประสานงานรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวของกับระบบ เพื่อประมวลความต้องการ
ทั้งหมด
2) จัดทาข้อสรุปความต้องการ บันทึกลงเอกสาร และลงนามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อ
ป้องกัน ข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนรับมอบระบบงาน
3) การให้คาจากัดความตาง ๆ ในเอกสาร ต้องมีความชัดเจน ไม่กากวม การศึกษาความ
เป็นไปได้ (Feasibility Study) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวของกับระบบงานที่เป็นปัจจัย เอื้อ
ต่อการทางาน หรืออุปสรรคในการทางานมีแนวศึกษา ดังนี้
1) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านเทคนิค (Technical Feasibility) เช่น ศึกษาระบบ
คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เดิมต้องปรับปรุง (Upgrade) ประสิทธิภาพเครื่องอย่างไรบาง
2) ศึกษาความเป็นไปได้เชิงเศรษฐศาสตร์ (Economical Feasibility) เช่น
ต้นทุนค่าใช้จ่าย ในการดาเนินงานระบบงานให้ หรือด้านงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร
รวบรวมโดย นางพวงพรรณ สุพิพัฒนโมลี ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนชัยภูมิภักดี
ชุมพล 3) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติงาน (Operational
Feasibility) เช่น ทักษะเดิมของ ผู้ใช้ระบบงานให้ การยอมรับระบบให้ที่ก่อให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงในการทางาน
2. ขั้นวางแผนและการออกแบบ (Planning & Design)
ขั้นตอนการวางแผนวิเคราะลาดับการทางานมีหลายวิธีให้เลือกใช้ เช่น วิธี
อัลกอริทึม (Algorithm) วิธีซูโดโคด (Pseudocode Design) วิธี
ผังงาน (Flowchart) ลาดับขั้นตอนการออกแบบ ระบบ เช่น การ
ออกแบบรูปแบบการแสดงผล (Output Design) การออกแบบรูปแบบ
การนาเข้า ข้อมูล (Input Design) มีแนวทางการออกแบบระบบ ดังนี้
1) จานวนและประเภทเนื้อหาของข้อมูล (Content) ต้องมีเพียงพอ
ครบถ้วนสมบูรณ์ นาเสนอเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวของกันและแยกเป็นระบบงาน
ย่อย
2) รูปแบบ (Form) การนาเสนอข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบที่ผู้ใช้ระบบเข้าใจ
งาย เช่น การ นาเสนอข้อมูลสรุปด้วยกราฟดีกว่าการนาเสนอข้อมูลสรุปใน
รูปแบบตาราง
3) รูปแบบแสดงผล (Output Format) คานึงว่าเป็นการแสดงผล
รายงานทางจอภาพ หรือ เครื่องพิมพ์ เพราะการกาหนดรูปแบบ และ
รายละเอียดมีความแตกตางกัน
3. ขั้นดาเนินการเขียนคาสั่งงาน (Coding)
เป็นขั้นตอนเขียนคาสั่งควบคุมงาน ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ตาม
กฎเกณฑ์ไวยากรณ์ที่กาหนดไว้ ต้องลาดับคาสั่งตามขั้นตอนที่
วิเคราะห์ว่า สาหรับขั้นตอนการเขียนคาสั่งงาน มีแนวทาง
ดาเนินงาน ดังนี้ 1) จัดทีมงานในองค์กรวิเคราะห์และพัฒนา
ระบบงานเอง มีข้อดี คือ ปรับแก้ไขโปรแกรมได้ ตามต้องการ
ได้รับความรวมมือจากคนในองค์กรในระดับดี เพราะเป็นกลุ่ม
บุคคลในองค์กร เดียวกัน ข้อเสีย คือ หากไม่มีหน่วยงาน
รับผิดชอบโดยตรง เป็นการทางานเฉพาะกิจ จะ เกิดความเสี่ยง
ในระบบงาน เช่น งานลาชา หรืองานไม่เสร็จสิ้นตามกาหนด
2) จัดซื้อโปรแกรมสาเร็จรูป ข้อดี คือ มีโปรแกรมที่
นามาใช้กับงานได้ทันที งานขององค์กรไม่ หยุดชะงัก
และมีบริการอบรมการใช้โปรแกรม ส่วนใหญ่โปรแกรม
ออกแบบมาดี จึงใช้งาน ง่าย ข้อเสีย คือ โปรแกรม
สาเร็จรูปมีข้อจากัดในตัวเอง ไม่สามารถตอบสนอง
ความ ต้องการผู้ใช้ระบบได้ครอบคลุมทุกด้าน และผู้ใช้
ไม่สามารถแก้ไขข้อจากัดตาง ๆ ของ โปรแกรมได้ด้วยต้น
เอง 3) จัดจ้างบริษัทพัฒนาระบบ ข้อดี คือ พัฒนา
ระบบงานได้รวดเร็วเพราะมีทีมงานที่มีความ ชานาญ
งานระบบงานตรงตามความต้องการของผู้ใช้ระบบ
ข้อเสีย คือ ค่าจ้างการพัฒนามี ราค่าสูง เพราะต้อง
วิเคราะห์ระบบงานให้ และรวมราคาการบารุงรักษา
โปรแกรมใน อนาคตไวแล้ว
4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม (Testing & Debugging) การทดสอบการ
ทางานของโปรแกรมแบงออกเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกทดสอบโดยพัฒนา ระบบงาน
เองโดยใช้ข้อมูลสมมติ ทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาดจากการใช้ไวยากรณ์คาสั่ง และ
วิเคราะห์ เปรียบเทียบผลลัพธ์การทางานกับจุดประสงค์ของงาน หากไม่มี
ข้อผิดพลาดใด ๆ จึงสงมอบการทาสอบ อีกช่วงคือ ทดสอบโดยผู้ใช้ระบบงานจริง
ทั้งนี้ข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทดสอบ โดยสรุปมี 2 รูปแบบ คือ 1) ข้อผิดพลาดที่
เกิดจากการใช้คาสั่งผิดรูปแบบไวยากรณ์ที่ภาษากาหนดไว้ (Syntex Errors) 2)
ข้อผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการวิเคราะห์งานผิด (Logic Error) กรณี
ระบบงานขนาดใหญ่ การทดสอบระบบงานให้ โดยผู้ใช้ระบบอาจต้องฝึกอบรมการ
ใช้ โปรแกรมก่อนแล้วจึงหาข้อสรุปข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มีแนวทางจัดฝึกอบรมการ
ใช้โปรแกรม ดังนี้ 1) ฝึกอบรมโดยวิทยากร ใช้วิธี บรรยาย สาธิต และจาลองข้อมูล
นาเข้า เพื่อทดสอบระบบ 2) เรียนรู้ด้วยต้นเอง ผู้ใช้ระบบศึกษาอ่านจากคู่มือ
ระบบงาน หรือใช้ซีดีรอมเรียนรู้ด้วยตนเอง
5. ขั้นจัดทาคู่มือระบบ (Documentation)
เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบ ผู้พัฒนาระบบจะต้องรวบรวมเอกสารเพื่อจัดทา
คู่มือการใช้ ระบบงานให้ คู่มือระบบงานมีความสาคัญมาก เพราะเปรียบเสมือน
กับพิมพ์เขียวของบาน คู่มือระบบ จึงถูกใช้เพื่อศึกษารูปแบบระบบงานเพื่อพัฒนา
ระบบในอนาคต คู่มือระบบมีหลายรูปแบบ เช่น 1) คู่มือสาหรับผู้ใช้ระบบ
(User Documentation) เป็นส่วนอธิบายขั้นตอนการทางานของ ระบบ
เพื่อให้ผู้ใช้ระบบเรียนรู้การทางาน เช่น วิธีกรอกข้อมูลในส่วนตาง ๆ 2) คู่มือ
ระบบงาน (System Documentation) จัดทาสาหรับผู้ดูแลระบบ เช่น
ขั้นตอนการ ติดตั้งโปรแกรม การแก้ปัญหาระบบงานขั้นพื้นฐาน
6. ขั้นการติดตั้ง (Implementation)
เป็นขั้นตอนนาระบบให้ที่ผ่านการทดสอบ และได้รับการยอมรับจากกลุ่มตัวแทนผู้ใช้
ระบบว่า สามารถนามาทดแทนระบบงานเดิม มีแนวทางใช้ระบบงานให้ ดังนี้ 1)
ติดตั้งระบบแบบหยุดระบบงานเดิมทั้งหมด และใช้ระบบงานให้ทันที (Direct
Changeover) วิธีนี้สะดวกกับผู้ใช้คือ ทางานระบบงานเดียว แต่มีความเสี่ยงสูง
หาก ระบบงานให้มีปัญหาจะไม่สามารถใช้ระบบงานระบบใดได้เลย 2) ติดตั้งระบบ
แบบคู่ขนาน (Parallel Running) เป็นการทางาน 2 ระบบในคราวเดียวกัน เพื่อ
ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบงานให้ ยังคงมีระบบงานเดิมสารองความ
ผิดพลาด ที่ไม่อาจคาดคิด เกิดขึ้นได้ แต่เป็นการเพิ่มภาระงานของผู้ใช้ระบบที่ต้อง
ทางานทั้ง 2 ระบบ จนกว่าแน่ใจว่าระบบงานให้ สามารถใช้รองรับการทางานได้โดยไม่
มีข้อผิดพลาดใด ๆ
3) ติดตั้งระบบแบบทีละเฟส (Phase Changeover)
เป็นการติดตั้งระบบย่อยทีละระบบจาก ระบบงานทั้งหมด
เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพการทางาน หากมีข้อผิดพลาดที่
เฟสใดจะ ดาเนินการแก้ไขเฉพาะเฟสนั้นก่อน จากนั้นจึง
ขยายจนครบทั้งระบบ 4) ติดตั้งระบบแบบโครงการนารอง
(Pilot Project) พิจารณาจัดทาเฉพาะงานของ
หน่วยงาน ในองค์กรที่มีความสาคัญและความจาเป็น
พิจารณาผลงานที่ได้ หากไม่มีปัญหาเรื่องใด จึง ขยาย
ระบบงานตอไป
7. ขั้นการบารุงรักษา (Maintenance)
เป็นการดูแลระบบงานหลังติดตั้งระบบ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้
ตลอดเวลา สาเหตุที่ต้อง บารุงรักษา มีดังนี้ 1) การบารุงรักษาด้วยการแก้ไข
ระบบให้ถูกต้อง (Corrective Maintenance) เป็น ข้อผิดพลาดที่
เกิดขึ้นหลังจากมีการใช้ข้อมูลจริงในระบบงาน ซี่งตรวจสอบไม่พบในขั้นการ
ทดสอบระบบ 2) การบารุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ดีขึ้น (Perfective
Maintenance) เป็นการปรับ ระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การ
ปรับปรุงการคานวณภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตาม นโยบายของรัฐ 3)
การบารุงรักษาด้วยการป้องกัน (Preventive Maintenance) เช่น
ป้องกันการเกิดความ สูญหายของข้อมูลที่อาจเกิดจากระบบไฟฟ้า การทา
ระบบสารองข้อมูล การป้องกันไวรัส คอมพิวเตอร์ (Virus) การบุกรุก
ข้อมูล (Hacker)
แนวทางการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน
แนวทางการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน กรณีโปรแกรม
ประยุกต์งาน เป็นงานโปรแกรมเพื่อใช้แก้ปัญหางานคานวณใน
สายวิชาชีพเฉพาะ สาขา เช่น งานวิศวกรรมศาสตร์ งาน
วิทยาศาสตร์ ดังนั้นหากผู้สร้างงานโปรแกรมเป็นผู้อยู่ในสาย
วิชาชีพนั้นยอมสามารถวิเคราะห์ วางแผนลาดับการทางาน
และลาดับคาสั่งควบคุมการทางานได้ดี ถูกต้องกว่าให้ผู้อื่น
จัดทา ระบบงานโปรแกรมมีลักษณะตอบสนองความต้องการ
ของผู้ใช้ระบบได้มากที่สุด และสามารถปรับระบบงานได้ด้วย
ต้นเอง มีแนวทางดาเนินงานสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน ดังนี้
1. ขั้นวิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้น
อาจวิเคราะห์จากผลลัพธ์ หรือลักษณะรูปแบบรายงานของ
ระบบงานนั้น เพื่อวิเคราะห์ย้อนกลับ ไปถึงที่มาของข้อมูล
คือสมการคานวณ จนถึงข้อมูลที่ต้องปอนเข้าระบบเพื่อใช้
ในสมการ แนวทางการ วิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้นโดย
สรุปมีขั้นตอนย่อยดังนี้
1) สิ่งที่ต้องการ
2) สมการคานวณ
3) ข้อมูล นาเข้า
4) การแสดงผล
5) กาหนดคุณสมบัติตัวแปร
6) ลาดับขั้นตอนการทางาน
2. ขั้นวางแผนลาดับการทางาน
มีหลายวิธี เช่น อัลกอริทึม ซูโดโคด ผังงาน
ต่างมีจุดประสงค์เพื่อแสดงลาดับขั้นตอน
กระบวนการแก้ปัญหางานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์
ตามต้องการ ก่อนไปสู่ขั้นตอนการเขียนคาสั่ง
งาน และกรณี โปรแกรมมีข้อผิดพลาด
สามารถย้อนกลับมาตรวจสอบที่ขั้นตอนนี้ได้
3. ขั้นดาเนินการเขียนโปรแกรม
เป็นขั้นตอนการเขียนคาสั่งควบคุมตามลาดับ
การทางานที่ได้วิเคราะห์ไว้ในกระบวนการ
วางแผน ลาดับการทางาน ขั้นตอนนี้ต้องใช้
คาสั่งให้ถูกต้องตามรูปแบบกฎเกณฑ์
ไวยากรณ์การใช้งานคาสั่ง ที่แต่ ละภาษาได้
กาหนดไว้
4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม
กรณีผู้สร้างระบบงานและผู้ใช้ระบบงานเป็น
คนเดียวกัน การทดสอบจึงมีขั้นตอนเดียวคือ
ทดสอบไวยากรณ์คาสั่งงาน และทดสอบโดย
ใช้ข้อมูลจริงเพื่อตรวจสอบค่าผลลัพธ์ แต่กรณี
ที่ผู้สร้าง ระบบงานและผู้ใช้ระบบงานมิใช้คน
เดียวกัน การทดสอบระบบจะมี 2 ช่วงคือ
ทดสอบโดยใช้ผู้สร้าง ระบบงาน เมื่อไม่มี
ข้อผิดพลาดใด จึงส่งให้ผู้ใช้ระบบงานเป็นผู้
ทดสอบ หากมีข้อผิดพลาดใดจะถูก ส่งกลับไป
ให้ผู้สร้างระบบงานแก้ไข และตรวจสอบ
จนกว่าจะถูกต้องแล้วจึงสงมอบระบบงาน
5. ขั้นเขียนเอกสารประกอบ
เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบให้ผลลัพธ์การ
ทางานถูกต้อง ต้องจัดทาเอกสารประกอบการ
ใช้ โปรแกรมด้วย คู่มือระบบงานที่งายที่สุดคือ
รวมรวมเอกสารที่จัดทาจาก 1 – 4 มารวมเล่ม
นอกนั้น อาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีใช้
โปรแกรมระบบงาน เช่น วิธีปอนข้อมูล หรือ
อาจมีวิธีติดตั้งโปรแกรม ระบบงาน รวมทั้ง
คุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถนา
โปรแกรมไปใช้งาน เป็นต้น
การลาดับขั้นตอนงานด้วยผังงาน
การลาดับขั้นตอนงานด้วยผังงาน ผังงานเป็น
ขั้นตอนวางแผนการทางานของคอมพิวเตอร์
อย่างหนึ่ง มีจุดประสงค์เพื่อแสดงลาดับ การ
ควบคุมการทางาน โดยใช้สัญลักษณที่กาหนด
ความหมายใช้งานเป็นมาตรฐาน เชื่อมโยงการ
ทางาน ด้วยลูกศร ในที่นี้กล่าวถึงการลาดับ
ขั้นตอนการทางานด้วยผังงานประเภทผังงาน
โปรแกรม ดังนี้ 1.สัญลักษณ์ของผังงาน ใน
ที่นี้กล่าวถึงเฉพาะสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียน
ผังงานโปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ ดังน
2. หลักในการเขียนผังงาน
ข้อแนะนาในการเขียนผังงานเพื่อให้ผู้อานระบบงาน ใช้ศึกษา
ตรวจสอบลาดับการทางานได้งาย ไม่สับสน มีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1. ทิศทางการทางานต้องเรียงลาดับตามขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้
2. ใช้ชื่อหนวยความจา เช่น ตัวแปร ให้ตรงกับขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้
3. ลูกศรกากับทิศทางใช้หัวลูกศรตรงปลายทางเทานั้น
4. เส้นทางการทางานหามมีจุดตัดการทางาน
5. ต้องไม่มีลูกศรลอย ๆ โดยไม่มีการตอจุดการทางานใด ๆ
6. ใช้สัญลักษณ์ให้ตรงกับความหมายการใช้งาน 7. หากมีคาอธิบาย
เพิ่มเติมให้เขียนไว้ด้านขวาของสัญลักษณ์นั้น
3. ประโยชน์ของผังงาน
การเขียนผังงานโปรแกรมของคอมพิวเตอร์นั้นมีประโยชน ดังนี้
1. ทาให้องเห็นรูปแบบของงานได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่มาก
2. การเขียนผังงานเป็นสากล สามารถนาไปเขียนคาสั่งได้ทุก
ภาษา
3. สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว
4. รูปแบบการเขียนผังงาน การเขียนผังงานแสดงลาดับการ
ทางานของระบบงานไม่มีรูปแบบการเขียนตายตัว เพราะเป็น
เรื่องการออกแบบระบบงานของแต่ละบุคคล ในส่วนนี้เป็นการ
นาเสนอรูปแบบการเขียนผังงานโปรแกรม ดังนี้
1.) การเขียนผังงานแบบเรียงลาดับ แสดงขั้นตอนการทางาน
ตามลาดับ โดยไม่มีทางแยกการ ทางานแต่อย่างใด เ
2. ) การเขียนผังงานแบบมีทางเลือกการทางาน แสดงขั้นตอนการ
ทางานที่มีลักษณะกาหนด เงื่อนไขทางตรรกะ ให้ระบบสรุปว่าจริงหรือ
เท็จ เพื่อเลือกทิศทางประมวลผลคาสั่งที่ได้ กาหนดไว้ เช่น รวบรวมโดย
นางพวงพรรณ สุพิพัฒนโมลี ตาแหน่ง ผู้ชานาญการ โรงเรียนชัยภูมิ
ภักดีชุมพล
3. ) การเขียนผังงานตรวจสอบเงื่อนไขก่อนวนซ้าแสดงขั้นตอนการ
ทางานที่มีลักษณะกาหนด เงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบก่อน
เพื่อเลือกทิศทางการวนซ้าหรือออกจากการวน ซ้าเช่น 4. ) การเขียน
ผังงานแบบตรวจสอบเงื่อนไขหลังวนซ้าแสดงขั้นตอนการทางานที่มี
ลักษณะ ทางานก่อน 1 รอบ แล้วจึงกาหนดเงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบ
ตรวจสอบ เพื่อเลือกทิศ ทางการวนซ้าหรือออกจากการวนซ้า
จัดทาโดย
นาย พงศธร ดอนเจดีย์ เลขที่ 3
นาย ภาณุพงศ์ ปัจศรี เลขที่ 4
นาย ภาณุรุจ ไสยดี เลขที่ 5
นาย อดิศักดิ์ กระต่าย เลขที่ 7
นาย เอกกมล จันทร์สุขเกษม เลขที่ 8
นาย นัธพงค์ วิชาชาญ เลขที่ 10
นาย นราวิชญ์ ดีจัด เลขที่ 11
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
เสนอ
อาจารย์ ทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม
รายวิชาการเขียนโปรแกรมเพื่องานอาชีพ (ง30212)
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี

Mais conteúdo relacionado

Mais procurados

ภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาโปรแกรมSarocha Makranit
 
งานนำเสนอ
งานนำเสนองานนำเสนอ
งานนำเสนอAum Forfang
 
ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์Primprapa Palmy Eiei
 
การสร้างงานโปรแกรม
การสร้างงานโปรแกรมการสร้างงานโปรแกรม
การสร้างงานโปรแกรมComputer ITSWKJ
 
08 ณัฐนนท์-3-9
08 ณัฐนนท์-3-908 ณัฐนนท์-3-9
08 ณัฐนนท์-3-9naraporn buanuch
 
31 จิรภัืทร-ปวช.3-7
31 จิรภัืทร-ปวช.3-731 จิรภัืทร-ปวช.3-7
31 จิรภัืทร-ปวช.3-7naraporn buanuch
 
ความรู้ภาษาซี
ความรู้ภาษาซีความรู้ภาษาซี
ความรู้ภาษาซีssuser5adb53
 
16 พีรพล-ปวช3-7
16 พีรพล-ปวช3-716 พีรพล-ปวช3-7
16 พีรพล-ปวช3-7naraporn buanuch
 
การสร้างงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์การสร้างงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ttyuj tgyhuj
 
ตัวอย่างโรแกรมที่ใช้ระบบสารสนเทศ
ตัวอย่างโรแกรมที่ใช้ระบบสารสนเทศตัวอย่างโรแกรมที่ใช้ระบบสารสนเทศ
ตัวอย่างโรแกรมที่ใช้ระบบสารสนเทศPhutawan Murcielago
 
งานคอมกลุ่ม
งานคอมกลุ่มงานคอมกลุ่ม
งานคอมกลุ่มGroup1st
 
45 วัชเรนทร์-ปวช.3-7
45 วัชเรนทร์-ปวช.3-745 วัชเรนทร์-ปวช.3-7
45 วัชเรนทร์-ปวช.3-7naraporn buanuch
 
33 กิติศักดิ์-ปวช.3-7
33 กิติศักดิ์-ปวช.3-733 กิติศักดิ์-ปวช.3-7
33 กิติศักดิ์-ปวช.3-7naraporn buanuch
 
หน่วยที่ 2 โปรแกรมภาษา
หน่วยที่ 2 โปรแกรมภาษาหน่วยที่ 2 โปรแกรมภาษา
หน่วยที่ 2 โปรแกรมภาษาPhanupong Chanayut
 
13 อภิรักษ์-3-7
13 อภิรักษ์-3-713 อภิรักษ์-3-7
13 อภิรักษ์-3-7naraporn buanuch
 
12 ชัยวัฒน์-ปวช.3-7
12 ชัยวัฒน์-ปวช.3-712 ชัยวัฒน์-ปวช.3-7
12 ชัยวัฒน์-ปวช.3-7naraporn buanuch
 

Mais procurados (20)

ภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาโปรแกรม
 
งานนำเสนอ
งานนำเสนองานนำเสนอ
งานนำเสนอ
 
งาน #1
งาน #1งาน #1
งาน #1
 
งานนำเสนอ
งานนำเสนองานนำเสนอ
งานนำเสนอ
 
ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์
 
การสร้างงานโปรแกรม
การสร้างงานโปรแกรมการสร้างงานโปรแกรม
การสร้างงานโปรแกรม
 
08 ณัฐนนท์-3-9
08 ณัฐนนท์-3-908 ณัฐนนท์-3-9
08 ณัฐนนท์-3-9
 
31 จิรภัืทร-ปวช.3-7
31 จิรภัืทร-ปวช.3-731 จิรภัืทร-ปวช.3-7
31 จิรภัืทร-ปวช.3-7
 
ความรู้ภาษาซี
ความรู้ภาษาซีความรู้ภาษาซี
ความรู้ภาษาซี
 
16 พีรพล-ปวช3-7
16 พีรพล-ปวช3-716 พีรพล-ปวช3-7
16 พีรพล-ปวช3-7
 
การสร้างงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์การสร้างงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
 
ตัวอย่างโรแกรมที่ใช้ระบบสารสนเทศ
ตัวอย่างโรแกรมที่ใช้ระบบสารสนเทศตัวอย่างโรแกรมที่ใช้ระบบสารสนเทศ
ตัวอย่างโรแกรมที่ใช้ระบบสารสนเทศ
 
งานคอมกลุ่ม
งานคอมกลุ่มงานคอมกลุ่ม
งานคอมกลุ่ม
 
45 วัชเรนทร์-ปวช.3-7
45 วัชเรนทร์-ปวช.3-745 วัชเรนทร์-ปวช.3-7
45 วัชเรนทร์-ปวช.3-7
 
33 กิติศักดิ์-ปวช.3-7
33 กิติศักดิ์-ปวช.3-733 กิติศักดิ์-ปวช.3-7
33 กิติศักดิ์-ปวช.3-7
 
หน่วยที่ 2 โปรแกรมภาษา
หน่วยที่ 2 โปรแกรมภาษาหน่วยที่ 2 โปรแกรมภาษา
หน่วยที่ 2 โปรแกรมภาษา
 
13 อภิรักษ์-3-7
13 อภิรักษ์-3-713 อภิรักษ์-3-7
13 อภิรักษ์-3-7
 
โปรแกรมและภาษาคอมพิวเตอร์
โปรแกรมและภาษาคอมพิวเตอร์โปรแกรมและภาษาคอมพิวเตอร์
โปรแกรมและภาษาคอมพิวเตอร์
 
Software languge
Software langugeSoftware languge
Software languge
 
12 ชัยวัฒน์-ปวช.3-7
12 ชัยวัฒน์-ปวช.3-712 ชัยวัฒน์-ปวช.3-7
12 ชัยวัฒน์-ปวช.3-7
 

Semelhante a การสร้างงานโปรเเกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์

การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์Onpreeya Sahnguansak
 
32 วรดร-ปวช.3-7
32 วรดร-ปวช.3-732 วรดร-ปวช.3-7
32 วรดร-ปวช.3-7naraporn buanuch
 
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ฟลุ๊ค
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์  ฟลุ๊คการสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์  ฟลุ๊ค
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ฟลุ๊คThidaporn Kaewta
 
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ B'Benz Sunisa
 
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์benz18
 
บทที่2การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
บทที่2การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐานบทที่2การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
บทที่2การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐานBaramee Chomphoo
 
26 ธนาวุฒิ 3_7
26 ธนาวุฒิ 3_726 ธนาวุฒิ 3_7
26 ธนาวุฒิ 3_7naraporn buanuch
 
19 อมรเทพ-ปวช.3-7
19 อมรเทพ-ปวช.3-719 อมรเทพ-ปวช.3-7
19 อมรเทพ-ปวช.3-7naraporn buanuch
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1Chatkal Sutoy
 
โปรแกรมคอม
โปรแกรมคอมโปรแกรมคอม
โปรแกรมคอมOnrutai Intanin
 
โปรแกรมคอม
โปรแกรมคอมโปรแกรมคอม
โปรแกรมคอมOnrutai Intanin
 
การเขียนโปรแกรมภาษา
การเขียนโปรแกรมภาษาการเขียนโปรแกรมภาษา
การเขียนโปรแกรมภาษาtyt13
 
42 ธันชลัส-ปวช..3-7
42 ธันชลัส-ปวช..3-742 ธันชลัส-ปวช..3-7
42 ธันชลัส-ปวช..3-7naraporn buanuch
 
18 ธนวัต-ปวช.3-7
18 ธนวัต-ปวช.3-718 ธนวัต-ปวช.3-7
18 ธนวัต-ปวช.3-7naraporn buanuch
 
41 สุรศักดิ์-ปวช-3-7
41 สุรศักดิ์-ปวช-3-741 สุรศักดิ์-ปวช-3-7
41 สุรศักดิ์-ปวช-3-7naraporn buanuch
 

Semelhante a การสร้างงานโปรเเกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ (19)

การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
 
32 วรดร-ปวช.3-7
32 วรดร-ปวช.3-732 วรดร-ปวช.3-7
32 วรดร-ปวช.3-7
 
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ฟลุ๊ค
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์  ฟลุ๊คการสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์  ฟลุ๊ค
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ฟลุ๊ค
 
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
 
mindmap
mindmapmindmap
mindmap
 
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
 
Introprogramphp
IntroprogramphpIntroprogramphp
Introprogramphp
 
Intro program php
Intro program phpIntro program php
Intro program php
 
09 ณัฐพล-3-9
09 ณัฐพล-3-909 ณัฐพล-3-9
09 ณัฐพล-3-9
 
บทที่2การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
บทที่2การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐานบทที่2การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
บทที่2การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
 
26 ธนาวุฒิ 3_7
26 ธนาวุฒิ 3_726 ธนาวุฒิ 3_7
26 ธนาวุฒิ 3_7
 
19 อมรเทพ-ปวช.3-7
19 อมรเทพ-ปวช.3-719 อมรเทพ-ปวช.3-7
19 อมรเทพ-ปวช.3-7
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
โปรแกรมคอม
โปรแกรมคอมโปรแกรมคอม
โปรแกรมคอม
 
โปรแกรมคอม
โปรแกรมคอมโปรแกรมคอม
โปรแกรมคอม
 
การเขียนโปรแกรมภาษา
การเขียนโปรแกรมภาษาการเขียนโปรแกรมภาษา
การเขียนโปรแกรมภาษา
 
42 ธันชลัส-ปวช..3-7
42 ธันชลัส-ปวช..3-742 ธันชลัส-ปวช..3-7
42 ธันชลัส-ปวช..3-7
 
18 ธนวัต-ปวช.3-7
18 ธนวัต-ปวช.3-718 ธนวัต-ปวช.3-7
18 ธนวัต-ปวช.3-7
 
41 สุรศักดิ์-ปวช-3-7
41 สุรศักดิ์-ปวช-3-741 สุรศักดิ์-ปวช-3-7
41 สุรศักดิ์-ปวช-3-7
 

การสร้างงานโปรเเกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์

  • 1.
  • 2. ความสาคัญของภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Language) เป็นสัญลักษณ์ที่ ผู้พัฒนาภาษากาหนดรหัสคาสั่ง ขึ้นมา ใช้ควบคุมการทางาน อุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ เริ่ม จากรหัส คาสั่งอยู่ในรูปแบบเลขฐานสอง จากนั้นพัฒนารูปแบบ เป็นข้อความภาษาอังกฤษ ในยุคปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์มีอีก มากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่นด้านประสิทธิภาพ คาสั่งแตกตางกันไป ดังนั้นผู้สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่าภาษา ใดมีคาสั่งที่มีประสิทธิภาพควบคุมการทางานตามต้องการ เพื่อ เลือกไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่ได้กาหนดจุดประสงค์ ไว้
  • 3. 1. พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาควบคู่กับการประดิษฐ์เครื่อง คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นคาสั่ง ควบคุมการทางาน มีพัฒนาการของ การสร้างรหัสคาสั่งจนมาเป็นรูปแบบในปัจจุบัน ดังนี้ ช่วงที่ 1 คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่องมือคานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงทางาน ลักษณะวงจรเปิด – ปิด แทนค่าด้วย 0 กับ 1 ผู้สร้างภาษาจึง ออกแบบรหัสคาสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ผู้ที่จะเขียนรหัสคาสั่งควบคุมระบบได้ จึงจากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม และใช้ในห้องปฏิบัติการทดลองดาเนินงาน
  • 4. ช่วงที่ 2 จากช่วงแรกที่รหัสคาสั่งเป็นชุดเลขฐานสองมีความยุ่งยากในการจาชุดของรหัส คาสั่ง ควบคุมการทางาน จึงมีผู้พัฒนารหัสคาสั่งเป็นอักษรภาษาอังกฤษรวมกับเลขฐาน อื่น เช่น เลขฐานสิบหก เพื่อให้เขียนคาสั่งควบคุมงานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่า แอสแซมบลี หรือภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) พร้อมกันนี้ต้อง พัฒนาโปรแกรมแปลภาษาขึ้นมาด้วย (Translator Program) คือโปรแกรมแอ สแซมเบลอร์ (Assembler) ใช้แปลรหัสคาสั่งกลับมาเป็นเลขฐานสอง เพื่อให้ระบบ สามารถประมวลผลได้ ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งสร้างภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลายภาษา เน้นให้ใช้ งานง่ายขึ้น โดยรหัสคาสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารกันอยู่ แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม ภาษาระดับสูง (High Level Language) เช่น ภาษาเบสิก ภาษาปาสคาล ภาษาซี ในส่วนของ โปรแกรมแปลภาษามี 2 ลักษณะ คือ อินเทอรพรีต เทอร์ และคอมไพเลอร์
  • 5. ช่วงที่ 4 เน้นเพิ่มประสิทธิภาพภาษาคอมพิวเตอร์ให้นาไปใช้ควบคุมการ ทางานระบบ คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานรวมกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ภาษามี รูปแบบการเขียนรหัสคาสั่งเป็นงานโปรแกรม เชิงวัตถุ (Object – Oriented Programming Language : OOP) ติดต่อใช้งานกับผู้ใช้โปรแกรมเชิง กราฟฟิก (Graphic User Interface : GUI) ลดขั้นตอนการจดจาเพื่อพิมพ์รหัส คาสั่งมาเป็นการคลิก เลือกรายการคาสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่น ภาษาวิชวลเบสิก (Visual BASIC) ภาษาจาว่า (JAVA)
  • 6. 2. ภาษาระดับสูง ภาษาคอมพิวเตอร์กลุ่มภาษาระดับสูงได้รับความนิยม ใช้งานจนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นภาษาที่มี รูปแบบการ เขียนรหัสคาสั่งสั้น สื่อความหมายตรงกับการทางาน ใช้ ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้เพื่อเขียน ชุดรหัสคาสั่ง ควบคุมการทางาน ใช้หน่วยความจาระบบน้อย จึง เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะการสร้างงาน โปรแกรม ประยุกต์งานคานวณในสาขางานต่าง ๆ เช่น ระบบงาน คานวณทางวิศวกรรมโยธา ระบบงาน คานวณทาง วิทยาศาสตร์ ตัวอย่างภาษาระดับสูงที่ได้รับความนิยม ใช้งาน มีดังนี้
  • 7. 1) ภาษาเบสิก (BASIC : Beginner’s All- purpose Symbolic Instruction Code) เป็น ภาษาในระยะเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการ ของสถาบันการศึกษา เพื่อฝึกทักษะการ เขียนรหัสคาสั่ง ควบคุมการทางานของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก คือ ไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ รูปแบบที่ใช้งานสั้น มีจานวน คาสั่งไม่มาก กฎเกณฑ์การใช้คาสั่งน้อย ใช้ระยะเวลาศึกษา เรียนรู้สั้น เหมาะสมที่จะใช่ในการเรียนการสอน เพื่อฝึกทักษะ การเขียนรหัสควบคุมการ ทางานระบบ ข้อจากัด คือ ประสิทธิภาพของคาสั่งงานมีน้อย เป็นภาษาที่ไม่มีรูปแบบ โครงสร้าง จึงไม่เหมาะสมในการนาไปใช้สร้างโปรแกรม ประยุกต์งานในองค์กร
  • 8. 2) ภาษาโคบอล (COBOL : Common Business Oriented Language) เป็นภาษาในยุคแรกที่มีลักษณะ โปรแกรมเชิงโครงสร้าง ช่วงต้นของภาษาได้รับการออกแบบรหัส คาสั่งเพื่อ ควบคุมการทางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท เมนเฟรม และมินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคาสั่งให้ใช้กับ ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ข้อดี คือ ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเขียน รหัสคาสั่งควบคุมการทางาน ไมโครคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะไป เขียนรหัสคาสั่งควบคุมคอมพิวเตอร์ขนาดให้ญืในการทางานจริง ข้อจากัด คือ โครงสร้างภาษามีส่วนประกอบของบรรทัดคาสั่ง งานมาก รูปแบบรหัส คาสั่งมีความยาว จดจาคาสั่งได้ยาก ไม่ เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะสร้างงานโปรแกรม
  • 9. 3) ภาษาปาสคาล (PASCAL) เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็น โครงสร้าง ได้รับการออกแบบ มาเพื่อใช้เขียนรหัสคาสั่ง ควบคุมการทางานไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ แต่ละส่วน ของโครงสร้างกาหนดหน้าที่การเขียนรหัสคาสั่งควบคุมงาน ชัดเจน คาสั่งสั้น สื่อความหมายดี จึงจดจาได้งาย ประสิทธิภาพคาสั่งงานมีเลือกใช้งานหลากหลาย รูปแบบ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ เหมาะสมกับการนาไปใช้ใน หลักสูตรการเรียนการสอน ข้อจากัด คือ ประสิทธิภาพของ คาสั่งไม่สามารถใช้ควบคุมการทางานในลักษณะ ระบบงานแบบฐานข้อมูล หรือแบบเครือขายได้ แต่อาจใช้ พื้นฐานความรู้สาหรับภาษาอื่นได้ เช่น ภาษา เดลไฟ (DELPHI) ที่คาสั่งงานคลายภาษาปาสคาล
  • 10. 4) ภาษาซี เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เน้นให้คาสั่งมี ประสิทธิภาพการคานวณที่ รวดเร็ว เข้าถึงอุปกรณ์ในระบบรวมกับ ภาษาแอสแซมบลีได้ ใช้ควบคุมการทางานไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ ภาษาได้รับการพัฒนามาอย่างตอเนื่อง การออกแบบรหัส คาสั่งมีมาตรฐาน รวมกัน ถึงแม้จะเป็นภาษาซีตางบริษัทก็ใช้งานส่วน คาสั่งพื้นฐานรวมกันได้ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ จึงเหมาะสม สาหรับนาไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน และนาไปใช้สร้างงาน โปรแกรมระบบขนาด ใหญ่ได้ ข้อจากัด คือ อยู่ในส่วนของรุนภาษาซี มากกว่า เช่น เทอรโบซีจะไม่สามารถนาไป สร้างระบบงานฐานข้อมูล ได้ แต่หากต้องการนาไปสร้างงานโปรแกรมแบบฐานข้อมูล ต้องใช้ วิชวล ซีพลัสพลัส (Visual C++) เป็นต้น
  • 11. 3. ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator Program) การเขียนรหัสคาสั่งควบคุมการทางานระบบด้วย ภาษาคอมพิวเตอร์ใด ๆ ก็ตาม ที่มิใช้ ภาษาเครื่อง ระบบไม่สามารถประมวลผลได้ทันที เพราะการทางาน ของระบบเป็นรหัสเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 ดังนั้น ผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ ต้องสร้างโปรแกรมสาหรับ แปลรหัสคาสั่งให้เป็นรหัส เลขฐานสองด้วย โปรแกรม แปลรหัสคาสั่งภาษาคอมพิวเตอร์มีการทางาน 3 ลักษณะ คือ 1.)โปรแกรมแปลภาษาแบบแอสแซม เบลอร (Assembler) ใช้แปลรหัสคาสั่งเฉพาะ ภาษา แอสแซมบลีให้เป็นเลขฐานสอง
  • 12. 2.) โปรแกรมแปลภาษาแบบคอมไพเลอร์ (Compiler) ลักษณะการแปลคือ แปล คาสั่งทั้ง โครงสร้างโปรแกรม แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข จากนั้นต้อง ประมวลผลให้ หากไม่มี ข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้มโปรแกรมให้อัตโนมัติเพื่อเก็บรหัสเครื่อง ภายหลังเมื่อเรียกใช้โปรแกรมนี้ เครื่อง จะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่สร้างไว้นั้น จึงไม่ต้อง เริ่มแปลรหัสให้ ข้อดี คือ ทางานได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแปลรหัสให้ทุกครั้ง ข้อจากัด คือ ต้องเขียนโปรแกรมให้ครบทุกส่วนของโครงสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ จึง จะสามารถคอม ไพลปละประมวลผลเพื่อแสดงผลได้ 3.) โปรแกรมแปลภาษาแบบอินเทอรพรีตเทอร์ (Interpreter) ลักษณะการแปล คือ แปลรหัสทีละคาสั่ง เมื่อพบข้อผิดพรากจะหยุด ทางาน แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดให้ทราบ เพื่อแก้ไข จากนั้นประมวลผลให้ จนกว่าจะไม่มี ข้อผิดพลาด แต่ไม่มีการสร้างแฟ้มโปรแกรมให้เพื่อเก็บรหัสคาสั่ง คือ สั่งให้ประมวลผล รหัสคาสั่งเพื่อดูผลการทางานได้ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ ข้อดี ต้องเขียนโปรแกรมถึงบรรทัด สุดทาย ข้อจากัด คือ หากโปรแกรมมีบรรทัดคาสั่งจานวนมากจะประมวลผลชา เพราะ ต้องเริ่ม แปลรหัสคาสั่งให้ที่บรรทัดคาสั่งแรกทุกครั้งที่สั่งให้ประมวลผล
  • 13. 4.) การเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ มี ข้อแนะนาในการนาไปใช้เป็นแนวทางพิจารณา เลือกภาษาคอมพิวเตอร์ ดังนี้ 1. พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคาสั่งงานของแต่ละภาษา เปรียบเทียบกับ ลักษณะงาน เช่น สร้างโปรแกรมระบบงานคานวณทางวิศวกรรมศาสตร์ อาจ เลือกใช้ภาษาซี ภาษา ปาสคาล 2. พิจารณาลักษณะการประมวลผล เช่น ระบบงานต้องประมวลผลบนเครือข่าย อาจ เลือกใช้ภาษาวิชวลเบสิก ในรุ่นของโปรแกรมที่มีคาสั่งควบคุมการทางานได้ 3. พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์และรุนของระบบปฏิบัติการที่ใช้ควบคุม เพื่อเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานรวมกันกับระบบได้ 4. ควรเลือกภาษาที่ทีมงานพัฒนาระบบงานโปรแกรมมีความชานาญอยู่แล้ว เพื่อ ไม่ต้อง เสียเวลาเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้ภาษาให้ หรือหากเป็นภาษาให้ ควรเป็น ภาษาที่มี ลักษณะใกล้เคียงกับความรู้เดิม 5. ควรเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็น โครงสร้าง มีความยืดหยุ่นสูง เอื้ออานวยความสะดวกใน การปรับปรุงพัฒนา ระบบงานในอนาคต
  • 14. 6. หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่อง การเข้าถึงข้อมูล ต้องคัดเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเรื่องนี้ด้วย 7. พิจารณางบประมาณ ใช้จัดหาคอมพิวเตอร์ ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้งาน เพื่อป้องกัน ปัญหาทางกฎหมายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะ ไม่ก่อปัญหาเมื่อขยายพัฒนาระบบงานเพิ่ม มากขึ้นในอนาคต 8. เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมใช้ งานทั่วไปเพื่อศึกษารวบรวมข้อมูล และ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และมีความเชื่อมั่นว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญให้ คาปรึกษาหากเกิดปัญหาขึ้น
  • 15. 4.การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์ การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์ การพัฒนา ระบบงาน (System Development) เป็นกระบวนการพัฒนาระบบงานเดิม ให้เป็น ระบบการทางานแบบให้ มีจุดประสงค์ให้ระบบการทางานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สาหรับการ พัฒนา ระบบงานทางคอมพิวเตอร์นอกจากจัดหาอุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อ นามาใช้งานแล้วยังต้อง จัดหาโปรแกรมประยุกต์งานมาใช้ในการดาเนินงานอีกด้วย ขั้นตอน การสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ในที่นี้มีแนวทาง ดาเนินงานดังนี้ 1) ขั้นกาหนดขอบเขตปัญหา 2) ขั้นวางแผนและการออกแบบ 3) ขั้นดาเนินการเขียน คาสั่งงาน 4) ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม 5) ขั้นจัดทาคู่มือระบบ 6) ขั้นการติดตั้ง 7) ขั้น การบารุงรักษา
  • 16. 1. ขั้นกาหนดขอบเขตปัญหา (Problem Definition) เริ่มต้นด้วยการศึกษาวิเคราะห์ระบบงานเดิม เพื่อพัฒนาระบบงานให้ อาจวิเคราะห์งานจาก ผลลัพธ์ เช่น รูปแบบรายงาน เพื่อวิเคราะห์ส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สมการที่ใช้คานวณ การนาเข้า ข้อมูลที่ใช้ประมวลผล กรณีเป็นระบบงานใหญ่ ความซับซ้อนของงาน ย่อมมากขึ้น อาจเริ่มจากสภาพปัญหา โดย รวบรวมข้อมูลปัญหาและ ความต้องการ ต่าง ๆ จากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อสรุป และศึกษา ความเป็นไปได้ ในการพัฒนา ระบบงานให้ การกาหนดความต้องการ (Requirements Specification) เป็น ความต้องการ ประสิทธิภาพการทางานจากระบบงานให้ รวบรวมข้อมูลความต้องการโดยใช้ เครื่องมือทางสถิติ เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสังเกต เพื่อหาข้อสรุปรวมกันที่ ชัดเจนระหว่างผู้พัฒนาระบบและผู้ใช้ ระบบ การกาหนดความต้องการนั้นมีแนวทางในการ ดาเนินงาน ดังนี้
  • 17. 1) ประสานงานรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวของกับระบบ เพื่อประมวลความต้องการ ทั้งหมด 2) จัดทาข้อสรุปความต้องการ บันทึกลงเอกสาร และลงนามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อ ป้องกัน ข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนรับมอบระบบงาน 3) การให้คาจากัดความตาง ๆ ในเอกสาร ต้องมีความชัดเจน ไม่กากวม การศึกษาความ เป็นไปได้ (Feasibility Study) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวของกับระบบงานที่เป็นปัจจัย เอื้อ ต่อการทางาน หรืออุปสรรคในการทางานมีแนวศึกษา ดังนี้ 1) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านเทคนิค (Technical Feasibility) เช่น ศึกษาระบบ คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เดิมต้องปรับปรุง (Upgrade) ประสิทธิภาพเครื่องอย่างไรบาง 2) ศึกษาความเป็นไปได้เชิงเศรษฐศาสตร์ (Economical Feasibility) เช่น ต้นทุนค่าใช้จ่าย ในการดาเนินงานระบบงานให้ หรือด้านงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร รวบรวมโดย นางพวงพรรณ สุพิพัฒนโมลี ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนชัยภูมิภักดี ชุมพล 3) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติงาน (Operational Feasibility) เช่น ทักษะเดิมของ ผู้ใช้ระบบงานให้ การยอมรับระบบให้ที่ก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงในการทางาน
  • 18. 2. ขั้นวางแผนและการออกแบบ (Planning & Design) ขั้นตอนการวางแผนวิเคราะลาดับการทางานมีหลายวิธีให้เลือกใช้ เช่น วิธี อัลกอริทึม (Algorithm) วิธีซูโดโคด (Pseudocode Design) วิธี ผังงาน (Flowchart) ลาดับขั้นตอนการออกแบบ ระบบ เช่น การ ออกแบบรูปแบบการแสดงผล (Output Design) การออกแบบรูปแบบ การนาเข้า ข้อมูล (Input Design) มีแนวทางการออกแบบระบบ ดังนี้ 1) จานวนและประเภทเนื้อหาของข้อมูล (Content) ต้องมีเพียงพอ ครบถ้วนสมบูรณ์ นาเสนอเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวของกันและแยกเป็นระบบงาน ย่อย 2) รูปแบบ (Form) การนาเสนอข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบที่ผู้ใช้ระบบเข้าใจ งาย เช่น การ นาเสนอข้อมูลสรุปด้วยกราฟดีกว่าการนาเสนอข้อมูลสรุปใน รูปแบบตาราง 3) รูปแบบแสดงผล (Output Format) คานึงว่าเป็นการแสดงผล รายงานทางจอภาพ หรือ เครื่องพิมพ์ เพราะการกาหนดรูปแบบ และ รายละเอียดมีความแตกตางกัน
  • 19. 3. ขั้นดาเนินการเขียนคาสั่งงาน (Coding) เป็นขั้นตอนเขียนคาสั่งควบคุมงาน ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ตาม กฎเกณฑ์ไวยากรณ์ที่กาหนดไว้ ต้องลาดับคาสั่งตามขั้นตอนที่ วิเคราะห์ว่า สาหรับขั้นตอนการเขียนคาสั่งงาน มีแนวทาง ดาเนินงาน ดังนี้ 1) จัดทีมงานในองค์กรวิเคราะห์และพัฒนา ระบบงานเอง มีข้อดี คือ ปรับแก้ไขโปรแกรมได้ ตามต้องการ ได้รับความรวมมือจากคนในองค์กรในระดับดี เพราะเป็นกลุ่ม บุคคลในองค์กร เดียวกัน ข้อเสีย คือ หากไม่มีหน่วยงาน รับผิดชอบโดยตรง เป็นการทางานเฉพาะกิจ จะ เกิดความเสี่ยง ในระบบงาน เช่น งานลาชา หรืองานไม่เสร็จสิ้นตามกาหนด
  • 20. 2) จัดซื้อโปรแกรมสาเร็จรูป ข้อดี คือ มีโปรแกรมที่ นามาใช้กับงานได้ทันที งานขององค์กรไม่ หยุดชะงัก และมีบริการอบรมการใช้โปรแกรม ส่วนใหญ่โปรแกรม ออกแบบมาดี จึงใช้งาน ง่าย ข้อเสีย คือ โปรแกรม สาเร็จรูปมีข้อจากัดในตัวเอง ไม่สามารถตอบสนอง ความ ต้องการผู้ใช้ระบบได้ครอบคลุมทุกด้าน และผู้ใช้ ไม่สามารถแก้ไขข้อจากัดตาง ๆ ของ โปรแกรมได้ด้วยต้น เอง 3) จัดจ้างบริษัทพัฒนาระบบ ข้อดี คือ พัฒนา ระบบงานได้รวดเร็วเพราะมีทีมงานที่มีความ ชานาญ งานระบบงานตรงตามความต้องการของผู้ใช้ระบบ ข้อเสีย คือ ค่าจ้างการพัฒนามี ราค่าสูง เพราะต้อง วิเคราะห์ระบบงานให้ และรวมราคาการบารุงรักษา โปรแกรมใน อนาคตไวแล้ว
  • 21. 4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม (Testing & Debugging) การทดสอบการ ทางานของโปรแกรมแบงออกเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกทดสอบโดยพัฒนา ระบบงาน เองโดยใช้ข้อมูลสมมติ ทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาดจากการใช้ไวยากรณ์คาสั่ง และ วิเคราะห์ เปรียบเทียบผลลัพธ์การทางานกับจุดประสงค์ของงาน หากไม่มี ข้อผิดพลาดใด ๆ จึงสงมอบการทาสอบ อีกช่วงคือ ทดสอบโดยผู้ใช้ระบบงานจริง ทั้งนี้ข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทดสอบ โดยสรุปมี 2 รูปแบบ คือ 1) ข้อผิดพลาดที่ เกิดจากการใช้คาสั่งผิดรูปแบบไวยากรณ์ที่ภาษากาหนดไว้ (Syntex Errors) 2) ข้อผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการวิเคราะห์งานผิด (Logic Error) กรณี ระบบงานขนาดใหญ่ การทดสอบระบบงานให้ โดยผู้ใช้ระบบอาจต้องฝึกอบรมการ ใช้ โปรแกรมก่อนแล้วจึงหาข้อสรุปข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มีแนวทางจัดฝึกอบรมการ ใช้โปรแกรม ดังนี้ 1) ฝึกอบรมโดยวิทยากร ใช้วิธี บรรยาย สาธิต และจาลองข้อมูล นาเข้า เพื่อทดสอบระบบ 2) เรียนรู้ด้วยต้นเอง ผู้ใช้ระบบศึกษาอ่านจากคู่มือ ระบบงาน หรือใช้ซีดีรอมเรียนรู้ด้วยตนเอง
  • 22. 5. ขั้นจัดทาคู่มือระบบ (Documentation) เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบ ผู้พัฒนาระบบจะต้องรวบรวมเอกสารเพื่อจัดทา คู่มือการใช้ ระบบงานให้ คู่มือระบบงานมีความสาคัญมาก เพราะเปรียบเสมือน กับพิมพ์เขียวของบาน คู่มือระบบ จึงถูกใช้เพื่อศึกษารูปแบบระบบงานเพื่อพัฒนา ระบบในอนาคต คู่มือระบบมีหลายรูปแบบ เช่น 1) คู่มือสาหรับผู้ใช้ระบบ (User Documentation) เป็นส่วนอธิบายขั้นตอนการทางานของ ระบบ เพื่อให้ผู้ใช้ระบบเรียนรู้การทางาน เช่น วิธีกรอกข้อมูลในส่วนตาง ๆ 2) คู่มือ ระบบงาน (System Documentation) จัดทาสาหรับผู้ดูแลระบบ เช่น ขั้นตอนการ ติดตั้งโปรแกรม การแก้ปัญหาระบบงานขั้นพื้นฐาน
  • 23. 6. ขั้นการติดตั้ง (Implementation) เป็นขั้นตอนนาระบบให้ที่ผ่านการทดสอบ และได้รับการยอมรับจากกลุ่มตัวแทนผู้ใช้ ระบบว่า สามารถนามาทดแทนระบบงานเดิม มีแนวทางใช้ระบบงานให้ ดังนี้ 1) ติดตั้งระบบแบบหยุดระบบงานเดิมทั้งหมด และใช้ระบบงานให้ทันที (Direct Changeover) วิธีนี้สะดวกกับผู้ใช้คือ ทางานระบบงานเดียว แต่มีความเสี่ยงสูง หาก ระบบงานให้มีปัญหาจะไม่สามารถใช้ระบบงานระบบใดได้เลย 2) ติดตั้งระบบ แบบคู่ขนาน (Parallel Running) เป็นการทางาน 2 ระบบในคราวเดียวกัน เพื่อ ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบงานให้ ยังคงมีระบบงานเดิมสารองความ ผิดพลาด ที่ไม่อาจคาดคิด เกิดขึ้นได้ แต่เป็นการเพิ่มภาระงานของผู้ใช้ระบบที่ต้อง ทางานทั้ง 2 ระบบ จนกว่าแน่ใจว่าระบบงานให้ สามารถใช้รองรับการทางานได้โดยไม่ มีข้อผิดพลาดใด ๆ
  • 24. 3) ติดตั้งระบบแบบทีละเฟส (Phase Changeover) เป็นการติดตั้งระบบย่อยทีละระบบจาก ระบบงานทั้งหมด เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพการทางาน หากมีข้อผิดพลาดที่ เฟสใดจะ ดาเนินการแก้ไขเฉพาะเฟสนั้นก่อน จากนั้นจึง ขยายจนครบทั้งระบบ 4) ติดตั้งระบบแบบโครงการนารอง (Pilot Project) พิจารณาจัดทาเฉพาะงานของ หน่วยงาน ในองค์กรที่มีความสาคัญและความจาเป็น พิจารณาผลงานที่ได้ หากไม่มีปัญหาเรื่องใด จึง ขยาย ระบบงานตอไป
  • 25. 7. ขั้นการบารุงรักษา (Maintenance) เป็นการดูแลระบบงานหลังติดตั้งระบบ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ ตลอดเวลา สาเหตุที่ต้อง บารุงรักษา มีดังนี้ 1) การบารุงรักษาด้วยการแก้ไข ระบบให้ถูกต้อง (Corrective Maintenance) เป็น ข้อผิดพลาดที่ เกิดขึ้นหลังจากมีการใช้ข้อมูลจริงในระบบงาน ซี่งตรวจสอบไม่พบในขั้นการ ทดสอบระบบ 2) การบารุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ดีขึ้น (Perfective Maintenance) เป็นการปรับ ระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การ ปรับปรุงการคานวณภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตาม นโยบายของรัฐ 3) การบารุงรักษาด้วยการป้องกัน (Preventive Maintenance) เช่น ป้องกันการเกิดความ สูญหายของข้อมูลที่อาจเกิดจากระบบไฟฟ้า การทา ระบบสารองข้อมูล การป้องกันไวรัส คอมพิวเตอร์ (Virus) การบุกรุก ข้อมูล (Hacker)
  • 26. แนวทางการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน แนวทางการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน กรณีโปรแกรม ประยุกต์งาน เป็นงานโปรแกรมเพื่อใช้แก้ปัญหางานคานวณใน สายวิชาชีพเฉพาะ สาขา เช่น งานวิศวกรรมศาสตร์ งาน วิทยาศาสตร์ ดังนั้นหากผู้สร้างงานโปรแกรมเป็นผู้อยู่ในสาย วิชาชีพนั้นยอมสามารถวิเคราะห์ วางแผนลาดับการทางาน และลาดับคาสั่งควบคุมการทางานได้ดี ถูกต้องกว่าให้ผู้อื่น จัดทา ระบบงานโปรแกรมมีลักษณะตอบสนองความต้องการ ของผู้ใช้ระบบได้มากที่สุด และสามารถปรับระบบงานได้ด้วย ต้นเอง มีแนวทางดาเนินงานสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน ดังนี้
  • 27. 1. ขั้นวิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้น อาจวิเคราะห์จากผลลัพธ์ หรือลักษณะรูปแบบรายงานของ ระบบงานนั้น เพื่อวิเคราะห์ย้อนกลับ ไปถึงที่มาของข้อมูล คือสมการคานวณ จนถึงข้อมูลที่ต้องปอนเข้าระบบเพื่อใช้ ในสมการ แนวทางการ วิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้นโดย สรุปมีขั้นตอนย่อยดังนี้ 1) สิ่งที่ต้องการ 2) สมการคานวณ 3) ข้อมูล นาเข้า 4) การแสดงผล 5) กาหนดคุณสมบัติตัวแปร 6) ลาดับขั้นตอนการทางาน
  • 28. 2. ขั้นวางแผนลาดับการทางาน มีหลายวิธี เช่น อัลกอริทึม ซูโดโคด ผังงาน ต่างมีจุดประสงค์เพื่อแสดงลาดับขั้นตอน กระบวนการแก้ปัญหางานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ตามต้องการ ก่อนไปสู่ขั้นตอนการเขียนคาสั่ง งาน และกรณี โปรแกรมมีข้อผิดพลาด สามารถย้อนกลับมาตรวจสอบที่ขั้นตอนนี้ได้
  • 29. 3. ขั้นดาเนินการเขียนโปรแกรม เป็นขั้นตอนการเขียนคาสั่งควบคุมตามลาดับ การทางานที่ได้วิเคราะห์ไว้ในกระบวนการ วางแผน ลาดับการทางาน ขั้นตอนนี้ต้องใช้ คาสั่งให้ถูกต้องตามรูปแบบกฎเกณฑ์ ไวยากรณ์การใช้งานคาสั่ง ที่แต่ ละภาษาได้ กาหนดไว้
  • 30. 4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม กรณีผู้สร้างระบบงานและผู้ใช้ระบบงานเป็น คนเดียวกัน การทดสอบจึงมีขั้นตอนเดียวคือ ทดสอบไวยากรณ์คาสั่งงาน และทดสอบโดย ใช้ข้อมูลจริงเพื่อตรวจสอบค่าผลลัพธ์ แต่กรณี ที่ผู้สร้าง ระบบงานและผู้ใช้ระบบงานมิใช้คน เดียวกัน การทดสอบระบบจะมี 2 ช่วงคือ ทดสอบโดยใช้ผู้สร้าง ระบบงาน เมื่อไม่มี ข้อผิดพลาดใด จึงส่งให้ผู้ใช้ระบบงานเป็นผู้ ทดสอบ หากมีข้อผิดพลาดใดจะถูก ส่งกลับไป ให้ผู้สร้างระบบงานแก้ไข และตรวจสอบ จนกว่าจะถูกต้องแล้วจึงสงมอบระบบงาน
  • 31. 5. ขั้นเขียนเอกสารประกอบ เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบให้ผลลัพธ์การ ทางานถูกต้อง ต้องจัดทาเอกสารประกอบการ ใช้ โปรแกรมด้วย คู่มือระบบงานที่งายที่สุดคือ รวมรวมเอกสารที่จัดทาจาก 1 – 4 มารวมเล่ม นอกนั้น อาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีใช้ โปรแกรมระบบงาน เช่น วิธีปอนข้อมูล หรือ อาจมีวิธีติดตั้งโปรแกรม ระบบงาน รวมทั้ง คุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถนา โปรแกรมไปใช้งาน เป็นต้น
  • 32. การลาดับขั้นตอนงานด้วยผังงาน การลาดับขั้นตอนงานด้วยผังงาน ผังงานเป็น ขั้นตอนวางแผนการทางานของคอมพิวเตอร์ อย่างหนึ่ง มีจุดประสงค์เพื่อแสดงลาดับ การ ควบคุมการทางาน โดยใช้สัญลักษณที่กาหนด ความหมายใช้งานเป็นมาตรฐาน เชื่อมโยงการ ทางาน ด้วยลูกศร ในที่นี้กล่าวถึงการลาดับ ขั้นตอนการทางานด้วยผังงานประเภทผังงาน โปรแกรม ดังนี้ 1.สัญลักษณ์ของผังงาน ใน ที่นี้กล่าวถึงเฉพาะสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียน ผังงานโปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ ดังน
  • 33.
  • 34. 2. หลักในการเขียนผังงาน ข้อแนะนาในการเขียนผังงานเพื่อให้ผู้อานระบบงาน ใช้ศึกษา ตรวจสอบลาดับการทางานได้งาย ไม่สับสน มีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ 1. ทิศทางการทางานต้องเรียงลาดับตามขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้ 2. ใช้ชื่อหนวยความจา เช่น ตัวแปร ให้ตรงกับขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้ 3. ลูกศรกากับทิศทางใช้หัวลูกศรตรงปลายทางเทานั้น 4. เส้นทางการทางานหามมีจุดตัดการทางาน 5. ต้องไม่มีลูกศรลอย ๆ โดยไม่มีการตอจุดการทางานใด ๆ 6. ใช้สัญลักษณ์ให้ตรงกับความหมายการใช้งาน 7. หากมีคาอธิบาย เพิ่มเติมให้เขียนไว้ด้านขวาของสัญลักษณ์นั้น
  • 35. 3. ประโยชน์ของผังงาน การเขียนผังงานโปรแกรมของคอมพิวเตอร์นั้นมีประโยชน ดังนี้ 1. ทาให้องเห็นรูปแบบของงานได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่มาก 2. การเขียนผังงานเป็นสากล สามารถนาไปเขียนคาสั่งได้ทุก ภาษา 3. สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว 4. รูปแบบการเขียนผังงาน การเขียนผังงานแสดงลาดับการ ทางานของระบบงานไม่มีรูปแบบการเขียนตายตัว เพราะเป็น เรื่องการออกแบบระบบงานของแต่ละบุคคล ในส่วนนี้เป็นการ นาเสนอรูปแบบการเขียนผังงานโปรแกรม ดังนี้
  • 36. 1.) การเขียนผังงานแบบเรียงลาดับ แสดงขั้นตอนการทางาน ตามลาดับ โดยไม่มีทางแยกการ ทางานแต่อย่างใด เ 2. ) การเขียนผังงานแบบมีทางเลือกการทางาน แสดงขั้นตอนการ ทางานที่มีลักษณะกาหนด เงื่อนไขทางตรรกะ ให้ระบบสรุปว่าจริงหรือ เท็จ เพื่อเลือกทิศทางประมวลผลคาสั่งที่ได้ กาหนดไว้ เช่น รวบรวมโดย นางพวงพรรณ สุพิพัฒนโมลี ตาแหน่ง ผู้ชานาญการ โรงเรียนชัยภูมิ ภักดีชุมพล 3. ) การเขียนผังงานตรวจสอบเงื่อนไขก่อนวนซ้าแสดงขั้นตอนการ ทางานที่มีลักษณะกาหนด เงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบก่อน เพื่อเลือกทิศทางการวนซ้าหรือออกจากการวน ซ้าเช่น 4. ) การเขียน ผังงานแบบตรวจสอบเงื่อนไขหลังวนซ้าแสดงขั้นตอนการทางานที่มี ลักษณะ ทางานก่อน 1 รอบ แล้วจึงกาหนดเงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบ ตรวจสอบ เพื่อเลือกทิศ ทางการวนซ้าหรือออกจากการวนซ้า
  • 37. จัดทาโดย นาย พงศธร ดอนเจดีย์ เลขที่ 3 นาย ภาณุพงศ์ ปัจศรี เลขที่ 4 นาย ภาณุรุจ ไสยดี เลขที่ 5 นาย อดิศักดิ์ กระต่าย เลขที่ 7 นาย เอกกมล จันทร์สุขเกษม เลขที่ 8 นาย นัธพงค์ วิชาชาญ เลขที่ 10 นาย นราวิชญ์ ดีจัด เลขที่ 11 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เสนอ อาจารย์ ทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม รายวิชาการเขียนโปรแกรมเพื่องานอาชีพ (ง30212) โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี