SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 146
Baixar para ler offline
2556
บทความวิทยาศาสตร์น่ารู้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
The Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST)
บทความ
วิทยาศาสตร์น่ารู้ 2556
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
i
สารบัญ
กรดวิตามิน เอ ชนิดกิน แก้สิว อันตรายส่อแท้งลูก – พิการ.................................................................1
กะปิ (Shrimp paste หรือ Shrimp sauce)..............................................................................................4
กะเพรา (Holy basil หรือ Sacred basil)................................................................................................8
ขยะ ในตัวเรา.....................................................................................................................................12
คะน้า เกราะป้ องกันมะเร็ง.................................................................................................................15
คิดก่อนซือ นําส้ม แบบไหน ดืม.........................................................................................................18
คึนช่าย (Celery หรือ Smallage).......................................................................................................22
คุณค่าของ ผักปลัง..............................................................................................................................25
ชิงเฮา (Qinghao)................................................................................................................................27
เด็กกินนมผงเสียงป่วยมากกว่า กินนมแม่ 3 – 5 เท่า.........................................................................32
ตะไคร้ (Lemon grass)........................................................................................................................36
นํา อาร์ ซี เครืองดืมสุขภาพ..............................................................................................................40
นําดืมจากตู้หยอดเหรียญตกมาตรฐานจํานวนมาก มีเชือโรคอันตรายต่อสุขภาพ...............................43
นํามันทอดซํา มฤตยูเงียบก่อมะเร็ง.....................................................................................................46
บร็อคโคลี (Broccoli) .........................................................................................................................50
ผลไม้โครงการหลวง จากบนดอยสูงลิบ สู่ผู้บริโภค
ตอนที 2 ศูนย์พัฒนา โครงการหลวงแม่แฮ สตรอเบอร์รี......................................................53
ผลไม้ โครงการหลวง จากบนดอยสูงลิบ สู่ผู้บริโภค.......................................................................60
ตอนที 1 สถานีเกษตรหลวงปางดะ มะเดือฝรัง (Figs)......................................................................62
ผลไม้โครงการหลวง จากบนดอยสูงลิบ สู่ผู้บริโภค
ตอนที 3 ศูนย์วิจัยเกษตรหลวง เชียงใหม่ (ขุนวาง) พลัม (Plum)............................................68
ผลไม้ไทยมีสารต้านโรคมะเร็ง...........................................................................................................75
พริก (Chilli , Bird Chilli)...................................................................................................................80
ภายในปี ค.ศ. 2030 จะมีผู้ป่วยมะเร็งทัวโลก เพิมขึนมากกว่า ร้อยละ 78.........................................85
มกราคม – พฤษภาคม ปีนี ป่วย 400 ตาย 12..................................................................................89
ระวังโรคทีมาพร้อมกับหน้าหนาว......................................................................................................93
ii
โรคหัวใจ ของไทยยังเพิมสูงขึนตลอดเวลา.......................................................................................96
ลูกชิน ปลาเส้น ทําจากปลาปักเป้ า ระบาดอีกแล้ว..........................................................................101
เลือก ไข่ไก่ ทีปลอดโรค.................................................................................................................105
วันปอดบวมโลก (World Pneumonia Day)......................................................................................109
วันมะเร็งโลก (4 กุมภาพันธ์ 2556)...................................................................................................113
วันหัวใจโลก (World Heart Day).....................................................................................................116
วิตามิน อี กินให้ดีได้ประโยชน์สูงสุด .............................................................................................119
วิธีสังเกตตัวเราเองก่อนทีจะเป็น มะเร็ง............................................................................................122
สะระแหน่ (Kitchen Mint)...............................................................................................................126
สารอาหารต้านมะเร็งร้าย ตอนที 1.................................................................................................129
สารอาหารต้านมะเร็งร้าย ตอนที 2.................................................................................................133
โหระพา ประโยชน์เหลือหลาย (Sweet basil , Common basil).......................................................138
กรดวิตามิน เอ ชนิดกิน แก้สิว อันตรายส่อแท้งลูก – พิการ
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
ปัจจุบันมีคนนิยมนํายารักษาสิวชนิดกิน มาขายกันเกลือนกลาด หลายยีห้อมีการโฆษณาครึกโครม
คนทีมีปัญหาเกียวกับเรืองของสิว และอยากสวยอยากงาม ต่างพากันไปซือมาใช้กันแบบไม่ได้คิดให้
รอบคอบ เรียกว่า เห็นคนอืนซือก็ซือ ๆ ตาม ๆ กันไป หาซือได้ง่าย มีวางขายกันอย่างเปิดเผย ตามร้านยา
ต่าง ๆ โดยเฉพาะร้านขายยาตามหน้าโรงพยาบาลต่าง ๆ หรือแม้แต่ร้านเสริมสวย หรือร้านเสริมความงาม
ทีไม่มีแพทย์ประจํา ก็มีวางขายกันทัวไป และนอกจากนียังมีทังการขายตรง และขายผ่านทางเวบไซท์อีก
ด้วย มีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ โฆษณาชวนเชือต่าง ๆ ในด้านดี ๆ ของผลิตภัณฑ์รักษาสิว เพือขาย
ผลิตภัณฑ์รักษาสิวดังกล่าว โดยทีไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบหรือผลข้างเคียงทีเป็นผลร้ายต่อสุขภาพเลย
ทําให้ผู้บริโภคอยู่ในภาวะเสียงกับอันตรายโดยไม่รู้ตัว เนืองจากไม่ทราบถึงภาวะแทรกซ้อนหรือ
ข้อเท็จจริง ข้อจํากัด หรือข้อห้ามต่าง ๆ ในการใช้ยานี
ยาแก้สิวทีกําลังมาแรงตามการโฆษณา เป็นนิยมกันมากในขณะนีก็คือ กรดวิตามิน เอ ชนิดกิน
หรือมีชือสามัญทางยาว่า ไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) หรือ เรติโนอิค แอซิด (Retinoic Acid)
จาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2553 แพทย์หญิง หทยา เกียรติสารพิภพ แพทย์
ผู้เชียวชาญด้านผิวหนัง โรงพยาบาลกรุงเทพ ฯ ได้กล่าวว่า กรดวิตามิน เอ นีเป็นยากลุ่มหนึงทีรักษาสิว
ได้ผล ปัจจุบันในท้องตลาดมีจําหน่ายกันมาก แต่ทีสําคัญอีกอย่างหนึงทีผู้บริโภคไม่ได้ศึกษา คือ
ก. สิวทีบริเวณจมูก ข. สิวทีบริเวณโหนกแก้ม
ภาพ ก. http://www.manager.or.th/QOL/viewNews.aspx?NewsID=9530000132701
ข. http://www.pooyingnaka.com/content/content.php?No=3300
2
ผลกระทบข้างเคียง ทีต้องระวังอย่างมาก ทีสังเกตได้ชัดเจนจากการกินยานี คือ ทําให้ต่อมไขมัน
ในร่างกายทํางานลดลง ทําให้ผิวหน้าแห้ง ริมฝีปากแห้งและแตก เยือบุนัยน์ตาแห้ง และผมก็แห้งตามไป
ด้วย เพราะยาไปควบคุมการผลิตของต่อมไขมันทัวร่างกายให้ลดลง บางคนก็ทําให้ผมร่วงด้วย และยังมี
ผลกระทบข้างเคียงอืน ๆ อีก เช่น
1. จะทําให้ ตับ และไต ทํางานหนักมากขึน ซึงจะมีผลทําให้เกิดโรคตับและไตได้
2. อาจจะทําให้เด็กทีอยู่ในครรภ์มารดาทีกินยานีพิการได้ หรืออาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
3. อาจจะทําให้เกิดโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะผู้ทีเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว อาจจะทําให้เป็นโรคซึมเศร้า
มากขึน
แพทย์หญิง หทยา เกียรติสารพิภพ กล่าวว่า เนืองจากมีผลข้างเคียงมาก ก่อนใช้ยาชนิดนี ต้องอยู่ในความ
ควบคุมดูแลของแทย์ทุกครัง ไม่ควรจะซือยามากินเองอย่างเด็ดขาด
และจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 21 กันยายน 2553 ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศ
ไทย ได้แถลงเตือน เกียวกับการใช้ กรดวิตามิน เอ เพือใช้ในการรักษาสิว ทังชนิดกิน หรือ ทา จะต้องใช้
ยาทีสังโดยแพทย์เท่านัน เนืองจากเป็นยาควบคุมพิเศษและมีผลข้างเคียงมาก โดยเฉพาะทารกในครรภ์ ซึง
พบว่ายาประเภทนีทําให้ผู้ตังครรภ์เกิดการแท้งลูกถึงร้อยละ 20 หรือพิการแต่กําเนิดมากกว่าร้อยละ 40
นอกจากนียังทําให้ระดับไขมันในเลือดไม่คงที มีผลต่อการทํางานของตับ เสียงต่ออาการของตับอ่อน
อักเสบ
นิตยสารชีวจิต ฉบับที 290 ปีที 13 1 พฤศจิกายน 2553 หน้า 10 เกสัชกรหญิง วีรวรรณ
แดงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กล่าวถึงยารักษาสิว กลุ่มกรดวิตามิน เอ มี
ผลข้างเคียงทีสูงมาก ทําให้เกิดอาการซึมเศร้า จิตผิดปกติ การพยายามฆ่าตัวตาย ในหญิงตังครรภ์อาจทําให้
เด็กในครรภ์พิการ อีกทังยังมีผลข้างเคียงอืน ๆ อีก ห้ามใช้ยานีในผู้ป่วยโรคตับ โรคไต ผู้ทีมีไขมันในเลือด
สูง เนืองจากมีการโฆษณาสรรพคุณเรืองนีกันมาก จึงมีผู้รักสวยรักงามนิยมซือมาใช้กันมาก และต่อมาก็ทํา
ให้มีผลกระทบกับผู้ใช้เหล่านีกันมากมาย
ทาง คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีมาตรการจัดให้ยากลุ่มนีเป็นยาควบคุมพิเศษ จําหน่าย
ได้เฉพาะในโรงพยาบาลซึงมีผู้เชียวชาญทางด้านโรคผิวหนังดูแลอย่างใกล้ชิด รวมทังแนะนําให้ผู้บริโภคได้
ระมัดระวัง ไม่ใช้ยานีโดยไม่จําเป็น และไม่ควรซือยานีมากินเองโดยไม่ได้อยู่ในการดูแลของแพทย์ผิวหนัง
โดยเด็ดขาด
หากพบว่ามีการลักลอบจําหน่ายยารักษาสิวชนิด กรดวิตามิน เอ ตามช่องทางต่าง ๆ เช่น เวบไซท์
ร้านเสริมสวย และร้านค้าทัว ๆ ไป หรือทางช่องทางอืน จะถือเป็นความผิดข้อหาขายยาโดยไม่ได้รับ
อนุญาต
3
เวบไซท์ข้อมูลอ้างอิง
1. การรักษาสิวด้วย กรดวิตามิน เอ (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.okanation.net/
blog/print_php?id=682114 สืบค้น 14/01/2556
2. กรดวิตามิน เอ ใช้แก้สิว อันตรายหรือไม่ (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.
elib-online.com/doctors3/news_drug09.html สืบค้น 14/01/2556
3. กรดวิตามิน เอ ชนิดกิน (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.manager.co.th/
CelanOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9530000114301 สืบค้น 14/01/2556
4. รักษาสิวด้วย กรดวิตามิน เอ เสียงแท้งลูก เด็กพิการ (Onlne) เข้าถึงได้จาก
http://www.dst.or.th/news_detail.php?news_id=16&news_type=oth
สืบค้น 14/01/2556
กะปิ (Shrimp paste หรือ Shrimp sauce)
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
กะปิ นับได้ว่าเป็นเครืองปรุงรสอย่างหนึงของอาหารไทยมาตังแต่โบราณแล้ว เรียกได้ว่าอยู่คู่กับ
ครัวของไทยอย่างแพร่หลาย และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเครืองปรุงรสอาหารทีแพร่หลาย ในทวีปเอเซีย
ตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนใต้ของประเทศจีน คําว่ากะปิใช้กันแพร่หลายทังใน ไทย ลาว กัมภูชา
ส่วนในประเทศอินโดนีเซีย เรียกว่า เตอราซี (terasi) มาเลเซีย เรียกว่า เบลาจัน (belachan) ฟิลิปปินส์
เรียกว่า บากุง อราแมง (bagoong aramang) ภาษาจีนฮกเกียน เรียกว่า ฮอม ฮา (hom ha)
ในสมัยก่อนชายฝังทะเลทังด้านฝังอาดามัน และอ่าวไทย มีสัตว์นําต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะ
บริเวณชายฝังมีสัตว์นําทีชาวประมงบางท้องถินเรียกกันว่า เคย หรือกุ้งเคย มีขนาดเล็กมาก ตัวสีขาวใส มี
ตาเป็นจุดสีดํา และมีจํานวนมากมาย จะดํารงชีวิตอยู่ใกล้ ๆ กับผิวนําทะเล โดยไม่จมลงไปด้านล่าง อาจจะ
อยู่ในนําลึกประมาณ 1 ฟุต หรือ 3 ฟุต ลําตัวยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ๆ ตาม
ชายฝังทะเลและบริเวณป่าชายเลนชาวประมงทีจับสัตว์เหล่านีมาได้บางครังก็ต้องการทีจะเก็บไว้รับประทาน
ได้นาน ๆ จึงหาวิธีทีจะทําการแปรรูปเพือทีจะเก็บรักษากุ้งเคยเหล่านี ซึงเป็นทีมาของการทํากะปิในเวลา
ต่อมานันเอง
ก. กุ้งเคยสด ข. กุ้งเคยสดนํามารวมกัน ค. นํากุ้งเคยสดมาตํา
ง. นํากุ้งเคยสดทีตําแล้วตากแดด จ. หมักในโอ่งปิดฝาให้สนิท ฉ. กะปิหรือเคยทีพร้อมจําหน่าย
5
ภาพ ก. http://www.okanation.net/blog/pajondot.com/2011/11/12/entry-1
ข. http://www.panoramic.com/photo/30238994
ค. http://www.biotec.or.th/brt/index.php?option=com_content&view=article&id=
155:shrimp-sauce&catid=60:kanom
ง. http;//www.foodnetworksolution.com/upload/RIMG1445p.jpg
จ. http://www.rakbankerd.com/agriculture/page?id=928ts=tblanimal
ฉ. http://consumersouth.org/paper/page/76
การจับกุ้งเคย
การจับกุ้งเคยของแต่ละจังหวัดทีอยู่ริมฝังทะเลนันแตกต่างกันไปตามฤดูมรสุม เช่นทางฝังด้าน
ตะวันออกของอ่าวไทย ตังแต่จังหวัดระยองถึงตราด จะจับกุ้งเคยกันในช่วงเดือน พฤกษภาคม ถึง ธันวาคม
จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี จับกุ้งเคยกันเกือบตลอดปี ส่วนทาง
ภาคใต้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร กุ้งเคยจะมีมากชุกชุม ในเดือน มีนาคม ถึง เมษายน จังหวัดสุ
ราษฎร์ธานี จะมีชุกชุมในช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน และ ช่วงเดือน กรกฎาคม ถึง สิงหาคม และ
ตังแต่จังหวัด นครศรีธรรมราช ถึง นราธิวาส จะเริมจับกันตังแต่เดือน มกราคม ของทุกปี และกุ้งเคยมีชุกชุม
มากในเดือน เมษายน ถึง มีนาคม จนกระทังบางครังในตอนเย็นๆ จะมองเห็นทะเลบริเวณนําตืนออกเป็นสี
ชมพู ๆ
เครืองมือทีใช้ในการจับกุ้งเคย
ชาวประมงนิยมใช้อวนไนลอนทีมีสีฟ้า มีขนาดช่อง 1 – 2 มิลลิเมตร นํามาเย็บเป็นถุงขนาด
ใหญ่ ใช้ช้อนตักตัวกุ้งเคย หรือในขณะทีทําการประมงก็กางผืนอวนให้มีลักษณะเหมือนกับถุง เพือ
รวบรวมตัวเคยให้มาอยู่ในถุง ซึงชาวประมงแต่ละท้องถินนันอาจจะใช้เครืองมือแตกต่างกันไปก็ได้ขึนอยู่
กับสถานทีและความสะดวก ชาวบ้านมักจะออกช้อนตัวกุ้งเคยกันในตอนเช้า ๆ และช้อนได้ทุกวัน ช่วงทีมี
ตัวกุ้งเคยมาก ๆ และเมือได้ตัวกุ้งเคยมากพอสมควรก็นําไปทํากะปิต่อไป ตัวเคยหรือกุ้งเคยนันจะเรียก
ต่างกันออกไป ได้แก่
เคยนําแรก (กะปินําแรก) จะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม หรือเป็นช่วงแรก ๆ ตัวเคยทีจับได้จะมีความ
บริสุทธิสูง มีความสะอาด เป็นตัวเคยล้วน ๆ เพราะใช้ตักทีผิวนําแทนการรุนทีมักจะมีทรายเลนปนมากับตัว
เคย เคยนําแรกจะมีราคาสูง คุณภาพดีทีสุด
เคยนําสอง (เคยรุนหัว) อยู่ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป การเก็บช่วงนีใช้วิธีรุนเคย จึง
มีลูกปลาเล็ก ๆ ชนิดต่าง ๆปนมาด้วยด่อนข้างมาก เคยทีได้จะมีราคาปานกลาง คุณภาพปานกลาง
6
เคยนําสาม จะจับต่อกันมากับเคยนําสอง การเก็บใช้วิธีรุนเคยเช่นกัน ตัวเคยทีได้จะมีขนาดใหญ่
ขึน มักจะมีลูกปลาลูกหอยปนมาด้วย เคยนําสามจะมีราคาตําทีสุด
การทํากะปิ การทํากะปิของชาวประมงหรือชาวบ้านแต่ละท้องถินนันอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง ขึนอยู่กับ
ความนิยมของผู้บริโภค บางแห่งเนือกะปิละเอียด บางแห่งมีเนือหยาบ บางแห่งทําเป็นอุตสาหกรรมใน
ครอบครัว บางแห่งก็ทําไว้รับประทานเอง เป็นต้น วิธีการทํากะปินันก็มีวิธีการทีคล้าย ๆ กัน คือ
1. นํากุ้งเคยทีได้ล้างทําความสะอาด โดยมากใช้นําทะเลล้างเองไม่ให้เสียรสชาติ ใช้ตะแกรงร่อน
ตัวเคยทีมีขนาดเล็กก็จะลอดผ่านตะแกรงลงสู่ภาชนะทีรองรับ เศษใบไม้ต่าง ๆ ก็จะติดอยู่บนตะแกรง
2. นําตัวเคยสดทีได้คลุกเคล้ากับเกลือ ในอัตราส่วนทีแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิน โดยทัว ๆ
ไปใช้ตัวกุ้งเคย 10 ส่วน ต่อเกลือ 1 ส่วน ถ้าไม่ต้องการให้เค็มมากก็ใช้ตัวกุ้งเคย 12 ส่วน ต่อเกลือ 10
ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันให้ดี
3. นําตัวกุ้งเคยทีผสมแล้วไป เช (ตําพอแหลก) แล้วนําไปเกรอะ โดยห่อด้วยอวนตาถี ใช้วัสดุหนัก
ๆ ทับไว้เพือให้นําออกไปบางส่วน ทิงไว้ 1 – 2 วัน พอหมาด ๆ
4. นํากุ้งเคยนีไปตากแดด โดยปันเป็นก้อน ๆ หมันกลับข้าง ตากแดด 2 – 3 วัน เพือให้แห้งหมาด ๆ
5. นําไป เช ใหม่หรือ ตําหรือบดให้ละเอียด หมักไว้ 2 อาทิตย์ แล้วนํามา เช ใหม่อีกครังหนึง
6. นําเคยที เช หรือบดแล้วมาหมักโดยอัดใส่ในภาชนะ เช่น ไห โอ่ง ถังพลาสติก ให้แน่น คลุม
เนือเคยด้วยพลาสติกให้แน่น ปิดฝาให้สนิทกันแมลงต่าง ๆ ลงไป ใช้เวลาหมักนานประมาณ 45 วันขึนไป
(แต่ละท้องถินอาจใช้เวลาแตกต่างกัน)
7. หลังจากหมักแล้วนําเคยทีได้บรรจุในภาชนะหรือ บรรจุภัณฑ์ขนาดต่าง ๆ เพือจําหน่ายต่อไป
กรมประมงได้แนะนําเกียวกับหลักการผลิตกะปิ หรือเคยทีดี คือ
1. ควรใช้ตัวกุ้งเคย หรือตัวเคยทีสะอาด เลือกสิงเจือปนต่าง ๆ ออกให้หมด
2. การเคล้ากับเกลือควรเคล้าให้ทัวถึงกันตลอด
3. ควรใส่เกลือให้พอเพียงเพือกันไม่ให้เคยเน่าเสีย
4. เคยทีเคล้าเกลือแล้วจะต้องทําการเกรอะเพือทับเอานําออก และต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้
5. เคยทีเกรอะและบดแล้ว ควรจะต้องนําไปตากแดดก่อนนําไปหมัก
6. การอัดเคยในภาชนะเพือหมัก ต้องอัดให้แน่น พยายามอย่าให้มีช่องอากาศอยู่ภายใน เพราะ
อาจจะทําให้กลินไม่ดีได้
7. การหมักเคยหรือกะปิ ควรหมักในภาชนะดินเผา หรือในโอ่ง ไห ขัดปากภาชนะให้แน่นด้วยใบ
มะพร้าวหรือไม้ไผ่
8. กะปิหรือเคยทีดี ควรใช้เวลาหมักนานประมาณ 45 วันขึนไป
9. กะปิหรือเคยทีดีไม่ควรใส่สี ให้เป็นสีธรรมชาติจะดูดีกว่า
10. การบรรจุภัณฑ์เพือจําหน่าย ควรอัดให้แน่นอย่าให้มีช่องว่าง และควรมีขนาดบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ
ปิดฉลากให้เรียบร้อย
7
เวบไซท์ข้อมูลอ้างอิง
1. กะปิ (Online) เข้าถึงได้จาก http://kanchanapisek.ior.th/kp8/smk/smk501c.html
สืบค้น 13/12/2555
2. กะปิเคย กับภูมิปัญญาชาวบ้าน (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.biotec.or.th/brt/
Index.php?option=article&id=155:shrimp-sauce&catrd=60:kanom สืบค้น
13/12/2555
3. กะปิ สยาม (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.siamkapi.com/content/14-what-
Is-shrimp-paste-and-howtomake สืบค้น 12/12/2555
4. กะปิ ไทย ๆ (Online) เข้าถึงได้จาก http://workdeena.blogspot.com/2010/02/blog-
spot_28.html สืบค้น 12/12/2555
กะเพรา (Holy basil หรือ Sacred basil)
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
กะเพรา เป็นทังพืชผักและเครืองเทศ เป็นพืชทีเรารู้จักกันดีอยู่แล้ว ช่วยในการดับกลินคาวของ
อาหาร ช่วยปรุงแต่งกลินและรสของอาหารเพราะเรานํามาเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด เช่น
ข้าวผัดไก่กะเพรา ไข่ดาว กุ้งผัดกะเพรา แกงป่าปลาดุกใส่กะเพรา ฯลฯ กะเพรา มีชือวิทยาศาสตร์ว่า
Ocimum tenuiflorum Linn. มีชือพืนเมืองต่าง ๆ กัน เช่น กอมก้อ หรือ กอมก้อดง (เชียงใหม่) กระเพรา
ขน กระเพราะขาว กระเพราแดง (ภาคกลาง) ห่อกวอซู หรือ ห่อตูปลู (กะเหรียง แม่ฮ่องสอน) อีตู่ไทย
(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Holy basil หรือ Secred basil
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลําต้น จัดเป็นพืชล้มลุก มีลําต้นค่อนข้างแข็ง ตามลําต้น กิง ก้าน มีขนเล็ก ๆ ลําต้นสูง
ประมาณ 40 – 60 เซนติเมตร ส่วนโคนต้นค่อนข้างแข็ง ส่วนยอดเป็นเนือไม้ค่อนข้างอ่อน
มีกลินหอม
ใบ เป็นใบเดียว รูปรียาว กว้างประมาณ 1 – 3 เซนติเมตร ออกบนกิงตรงกันข้ามกันของ
แต่ละใบ ขอบใบยักเป็นฟันเลือย แผ่นใบไม่มีขน
ก. ต้นและดอกกะเพรา ข. มัดกิงก้านกะเพรา ง. กุ้งผัดกะเพรา
ภาพ ก http://thailand-an-field.blogspot.com/2009/11/
ocimum-sanotum-labiatae-4-5-3-5html
ข http://botanyschool.ning.com/group/m4/forum/topic/4049042:Topic:9244
ง. http://www.vcharkarn.com/vblog/107499
9
ดอก ออกเป็นช่อบริเวณส่วนปลายของยอดและปลายกิง แต่ละช่อเมือเจริญเต็มที
ยาวประมาณ 8 – 10 เซนติเมตร ก้านดอกเล็ก ๆ สัน ๆ ยาวประมาณ 2 – 3 เซนติเมตร กางออกตัง
ฉากกับแกนช่อ กลีบดอก มีทังสีขาว และ สีขาวปนแดง กลีบเลียง มีสีนําตาลแกมม่วง หรือสีเขียว
ผล เป็นแบบแห้งแล้วแตก เมล็ดมีขนาดเล็กรูปไข่สีนําตาล มีจุดสีเข้ม เมือนําไปแช่นํา
เปลือกหุ้มเมล็ดจะพองออกเป็นเมือก
พันธุ์ของกระเพรา
กะเพราะทีปลูกกันทัว ๆ ไปนัน มีอยู่ 2 ชนิด คือ กะเพราแดง เป็นกะเพราะทีมีก้านใบ
และก้านดอกเป็นสีแดง ๆ และ กะเพราขาว เป็นกะเพราทีมีก้านใบและก้านดอกออกสีขาว ๆ นันเอง
สรรพคุณ และ ข้อมูลทางด้านคลีนิค
กะเพรามีนํามันหอมระเหยทีมีสีเหลือง ๆ มีกลินหอมฉุนคล้ายกับกลินของนํามันกานพลู
มีทังในใบ ลําต้น ราก นอกจากนีในเมล็ดของกะเพราก็ยังมีนํามันหอมระเหยทีมีสีเหลืองอมเขียว มีกรด
ไขมันบางชนิด เช่น โอเลอิก ไลโนเลอิก ปาล์มมิติค สเตียริค กะเพรายังมีสรรพคุณทางยา เช่นแก้ท้องอืด
ท้องเฟ้อ จุกเสียด เป็นต้น กะเพรายังใช้กําจัดยุงได้ โดยตัดทังกิง ก้าน ใบ มาวางไว้ ซึงจะมีกลินของ
กะเพราออกมาทําให้ยุงบินหนีได้
นอกจากนีในกะเพรายังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส อยู่มากซึงช่วยบํารุงกระดูก มี เบต้า –
แคโรทีน ในปริมาณทีสูง ช่วยในการกําจัดอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้ องกันโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด
ด้วย
คุณค่าของอาหารส่วนทีกินได้ของกะเพราสด 100 กรัม
ก. กะเพราขาว
1. ให้พลังงาน 46 กิโลแคลอรี 2. โปรตีน 2.7 กรัม
3. ไขมัน 0.3 กรัม 4. คาร์โบไฮเดรต 8.0 กรัม
5. แคลเซียม 8.0 มิลลิกรัม 6. ฟอสฟอรัส 51.0 มิลลิกรัม
7. เหล็ก 2.2 มิลลิกรัม 8. วิตามิน บี 1 - มิลลิกรัม
9. วิตามิน บี 2 - มิลลิกรัม 10. ไนอาซีน - มิลลิกรัม
11. วิตามิน ซี 22.0* มิลลิกรัม 12. เบต้า – แคโรทีน 724.0* เรดินัล(RS)
13. ใยอาหาร 4.3 กรัม
10
ข. กะเพราแดง
1. ให้พลังงาน 41 กิโลแคลอรี 2. โปรตีน 4.2 กรัม
3. ไขมัน 0.5 กรัม 4. คาร์โบไฮเดรต 4.8 กรัม
5. แคลเซียม 25.0 มิลลิกรัม 6. ฟอสฟอรัส 287.0 มิลลิกรัม
7. เหล็ก 1.87 มิลลิกรัม 8. วิตามิน บี 1 0.04 มิลิกรัม
9. วิตามิน บี 2 0.34 มิลลิกรัม 10. ไนอาซีน 1.8 มิลลิกรัม
11. วิตามิน ซี 22.0* มิลิกรัม 12. เบต้า – แคโรทีน 1134.0 ไมโครกรัมเทียบ-
13. ใยอาหาร 4.3 กรัม หน่วยเรตินัล
ข้อมูล กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดพงคุณค่าทาง
โภชนาการของอาหารไทย 2535
- ไม่มีการวิเคราะห์
* วิเคราะห์โดย สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
RE ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
ข้อแนะนํา
กะเพราเป็นพืชทีเจริญเติบโตได้ทุกสภาวะของอากาศ เราสามารถปลูกกะเพราได้ง่าย ๆ
ในกรณีทีมีบริเวณบ้านสามารถทําแปลงเพาะปลูกเล็ก ๆ ใช้ปลูกกะเพรา พรวนดินให้ร่วนใส่ปุ๋ ยคอก
ใช้เมล็ดโรยบนแปลงรดนําให้ชุ่มอยู่เสมอ อีกไม่นานก็จะงอกเป็นต้นอ่อนเจริญเติบโตต่อไป หรือหลังจาก
ทีเราซือกะเพราะมาประกอบอาหาร ก็ให้เลือกกิงทีแก่ ๆ 2 – 3 กิง นําไปปักชําในแปลงทีเตรียมไว้ รดนํา
ให้ชุ่มอยู่เสมอ ไม่นานก็จะแตกกิงก้าน ใบ ให้เราใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
11
ข้อมูลอ้างอิง
1. คณะทํางานโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
และมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย (2541) มหัศจรรย์ผักสีเขียว 108 พิมพ์ครัง
ที 2 กรุงเทพฯ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย
2. กะเพราขาว (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.กะเพรา.com/2011/09/blog-post_
2647.html สืบค้น 28/11/2555
3. กะเพราแดง (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.กะเพรา.com/2011/09/blog-post_
4867.html สืบค้น 28/11/2555
4. กะเพรา (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.the-than.com/samunpai/sa_4.html
สืบค้น 28/11/2555
5. ผักผลไม้เพือสุขภาพ (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.adirek.com/stwork/
Fruitvet/kapoa.html สืบค้น 28/11/2555
ขยะ ในตัวเรา
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
ของเสียต่าง ๆ ทีอยู่นอกร่างกายทีเรียกกันทัว ๆ ไปว่าขยะ ซึงเราเห็นกันอยู่ทุก ๆ วันนันเรายัง
สามารถนําไปกําจัดทําลายได้ แต่ของเสียหรือสารเคมีต่าง ๆ ทีอยู่ในร่างกายของเรา ไม่สามารถเอาไปกําจัด
ทําลายได้ โดยของเสียหรือสารเคมีเหล่านันเข้าสู่ร่างกายของเราได้โดยติดไปกับการกินอาหาร พืชผักที
ชาวสวนหรือเกษตรกรใช้สารเคมีฉีดเพือป้ องกันแมลงหรือวัชพืชต่าง ๆ สารเคมีเหล่านันติดอยู่กับพืชผักที
ล้างไม่สะอาดและนํามาใช้ปรุงอาหาร สารพิษนัน ก็เข้าสู่ร่างกายของเราต่อไป ฝุ่นละอองเล็ก ๆ เขม่า ควัน
ไฟ แก๊สพิษต่าง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ เข้าสู่ร่างกายได้โดยการหายใจเอาสารพิษเหล่านันเข้าไป เป็นขยะอยู่
ในตัวเรา เรียกสารพิษเหล่านีว่าเป็นพวกท๊อกซิน จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที 300 ปีที 13 1 เมษายน
2554 หน้า 24 สาทิต อินทรกําแหง ได้กล่าวถึง ท๊อกซิน ในบทความเรือง ขยะ คือ
ท๊อกซิน (Toxin) ก็คือพิษ แต่ไม่ใช่ยาพิษ ท๊อกซินเป็นพิษต่อร่างกายของเรา เพราะเกิดปฏิกิริยา
ทาง ชีวเคมี ในร่างกาย และท๊อกซินนีเป็นตัวลําลาย ภูมิชีวิต หรือ อิมมูนซีสเต็ม (Immune System)
ของเราโดยตรง การทําลายภูมิชีวิตก็คือ การทําลายสุขภาพของเรา ทําลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทําให้เรา
ไม่แข็งแรง เจ็บป่ วยได้ง่าย และอายุสัน
ก กองขยะขนาดใหญ่ ข. กองขยะข้างถนน ค. เด็กน้อยกับกองขยะ
ก. http://health.kapook.com/view6905.html
ข. http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aso? NewsID=9550000062334
ค. http://www.okanation.net/blog/print.php?id269959
ในปัจจุบันบ้านเมืองได้พัฒนาเจริญมากขึน มีโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย บาง
แห่งก็ปล่อยสารพิษออกสู่สิงแวดล้อม ในเมืองต่าง ๆ บางแห่งก็มีกองขยะสูงเป็นภูเขา ทาง
13
บ้านเมืองจะกําจัดอย่างไรก็ไม่หมด นับวันจะมากขึน กองขยะเหล่านีเป็นแหล่งผลิตท๊อกซิน
ออกสู่สิงแวดล้อม ท๊อกซินเหล่านีทีสามารถทําลายสุขภาพและชีวิตของเราได้มาจากขยะหลาย กลุ่มต่าง ๆ
ได้แก่
1. ท๊อกซินจากภายนอกร่างกายของเรา จากอาหาร นํา อากาศ สิงแวดล้อมต่าง ๆ ทีอยู่รอบ ๆ ตัว
เรา ในด้านอาหาร ท๊อกซินมักจะเป็นพวกสารพิษจากยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช สารเคมีต่าง ๆ ที
นํามาใช้ในการอุสาหกรรม ปุ๋ ยวิทยาศาสตร์ใช้ในการเพาะปลูก ช่วยให้พืชเจริญเติบโต
สารพิษจาก ผัก ผลไม้ จะมีผลโดยตรงต่อร่างกาย และเมือเหลือเป็นเศษอาหารหรือของเหลือ
สกปรกก็กลายเป็นขยะ ขยะต่าง ๆ เหล่านีก็จะต้องมีสารพิษและท๊อกซินต่าง ๆ มากมายสะสมอยู่ในกองขยะ
ทีเป็นแก๊สพิษก็จะลอยอยู่ในอากาศถูกลมพัดไปสู่ทีต่าง ๆ ไปได้ไกล ๆ คนเราก็หายใจเอาสารพิษหรือท๊อก
ซินเหล่านีเข้าสู่ร่างกาย ยิงในฤดูฝนนําฝนก็จะชะล้างเอาสารพิษท๊อกซินจากกองขยะไปสู่พืนดิน คู คลอง
แม่นํา ทะเลต่อไป สัตว์นําต่าง ๆ ก็รับสารพิษเหล่านันเข้าสู่ร่างกาย ถ่ายทอดกันไปเป็นลูกโซ่ ในลักษณะ
ของโซ่อาหารในระบบนิเวศ
2. เศษขยะ หรือของเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆและ โรงงานอุตสาหกรรมเหล่านีก็มักจะ
อยู่ริมแม่นําลําคลอง ทะเล กากของเสีย (Waste Products) มักจะถูกทิงลงแหล่งนํา ซึงเรืองนีก็เคยมีข่าวอยู่
เสมอ ทําให้นําเสีย สัตว์นําต่าง ๆ โดยเฉพาะปลาตายมากมาย
นอกจากนีผลิตผลของใช้หลายอย่าง เช่น พลาสติก ไวนีล ไนลอน สี ฯลฯ ก็มักจะมีสารทีเป็น
อันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายประกอบอยู่ด้วย
เมือปี ค.ศ. 1995 องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริการ่วมกับ องค์การสิงแวดล้อม
(EPA) ได้สํารวจอาหารต่าง ๆ จากทัวโลกทีส่งเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกา พบอาหารต้องห้ามถึง 234
อย่าง ทีมีปริมาณของ ยาฆ่าแมลง สารเคมี ทีใช้ในอุตสาหกรรม และสารจากรังสีฆ่าเชือโรค
(Radionuclides) และได้สังห้ามอาหารเหล่านีเข้าประเทศอีก
กองขยะตามเมืองเล็กเมืองใหญ่ทีเป็นกองสูงเป็นภูเขาเหล่านัน เป็นบ่อเกิดของสารพิษหรือท๊อกซิ
นทีอยู่ในสิงแวดล้อมนอกร่างกายของเรา แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเข้าไปสู่ร่างกายของเราได้ตามทีได้
กล่าวมาแล้ว เปรียบคล้ายกับเป็นกองขยะหรือท๊อกซินอยู่ในร่างกายของเราด้วยนันเอง และมีผลเสียต่าง ๆ
ต่อสุขภาพของเราตามมา
นอกจากนี สาทิต อินทรกําแหง กล่าวว่าอาการป่วยของผู้ทีมีท๊อกซินจากสารพิษต่างๆ หรือจากขยะ
ทีมีสารพิษสะสมอยู่นี เช่น วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ คลืนไส้ อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาการที
เริมจะเป็นหนักขึนก็คือ อาการเกียวกับระบบทางเดินหายใจ โรคปอดเรือรัง ไอ หอบหืด ฯลฯ
และอาการทีน่าเป็นห่วงก็คือ สมองและประสาทเสือมโทรม ความจําเสือม ขาหรืออวัยวะส่วนล่าง
เป็นอัมพาต การเคลือนไหวทัวไปเชืองช้า อาการป่ วยเกียวกับสารพิษหรือท๊อกซินนัน เมือเป็นแล้วค่อนข้าง
ยากทีจะทําการรักษา
14
การแก้ไขทีสําคัญนันอยู่ทีการป้ องกัน พยายามหาต้นเหตุหรือต้นตอของสารพิษและขยะทีเป็นท๊อก
ซินในอาหาร นํา อากาศ และพยายามหลีกเลียงจากต้นเหตุนัน ๆ นอกจากนีแล้วเราควรจะกินวิตามิน
ประเภท แอนติออกซิแดนต์ เป็นประจํา คือ วิตามิน A C D E อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน
แต่การดํารงชีวิตของเราในปัจจุบันนีท่ามกลางมลพิษต่าง ๆ มากบ้างน้อยบ้างรอบตัวเรา ยากทีจะ
หลีกเลียง บางครังเราก็ต้องทําใจ กันนะครับ
เวบไซท์ข้อมูลอ้างอิง
1. ขยะและของเสียอันตราย (Online) เข้าถึงได้จาก http:://www.thaihealth.or.th/healthcontent/
article/27899 สืบค้น 8/10/2555
2. สาระพัดโรคร้ายจากภัยขยะ (Online) เข้าถึงได้จาก http://health.kapook.com/view6905.html
สืบค้น 8/10/2555
3. ปัญหาขยะมูลฝอย (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.tungsong.com/Environment/Garbags/
garbage_07.html สืบค้น 9/10/2555
คะน้า เกราะป้ องกันมะเร็ง
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
คะน้า (Chinese Kale) เป็นผักใบเขียวทีเรารู้จักกันดี เป็นผักทีมีขายอยู่ในตลาดทัว ๆ ไป หาซือได้ง่าย
นําไปประกอบอาหารได้หลาย ๆ อย่าง ราคาไม่แพง รสชาติดี เมือเริมเข้าหน้าหนาวผักคะน้าจะเจริญงอก
งามดีมาก เพราะคะน้าชอบอากาศเย็น ๆ เป็นผักทีปลูกได้ง่ายทุกท้องทีตลอดทังปี ช่วงเก็บเกียวสันคือ
ประมาณ 45 วันก็สามารถเก็บเกียวได้
คะน้า มีชือวิทยาศาสตร์ว่า บราสสิคา โอลีราซี (Brassica oleracea cv.) จัดอยู่ในวงศ์ บราสสิคาซี
อี (Brassicaceae) คะน้าจัดเป็นพืชล้มลุก ตระกูลเดียวกับพืชผักพวกกะหลํา ลําต้นอวบชุ่มนํา ใบมีสีเขียว
เข้ม คะน้าทีนิยมปลูกมีสองประเภท คือ คะน้าใบ ลําต้นและใบค่อนข้างใหญ่หน่า และ คะน้ายอด ซึงมี
ขนาดเล็กกว่าคะน้าใบ ชาวจีนเป็นผู้เข้ามาบุกเบิกทําสวนผักในประเทศไทยเป็นผู้นําผักคะน้าเข้ามาปลูก
และเป็นผักทีมีประโยชน์มากจริง ๆ
ก. แปลงปลูกคะน้า ข. ต้นคะน้า ค. คตะน้าผัดนํามันหอย
ภาพ ก. http://www.puibuatip.com/index.oho?lay=show&ac=article&
Id=538732583Ntype=18
ข http://easy=vegetables.blogspot.com/2010/05/collard.html
ค http://www.baanmaha.com/community/thread7905.html
สรรพคุณ หรือ ข้อมูลทางด้านคลินิค
ใบสีเขียวของคะน้าเป็นแหล่งรวบรวม แร่ธาตุ วิตามินต่าง ๆ หลายชนิด และทีสําคัญอย่างมากก็คือ
มีสาร เบต้า – แคโรทีน มากมาย ทีรวมอยู่ในกลุ่มของ แคโรทีนอย ซึงเมือเรากินผักคะน้า ต่อมาร่างกายก็
16
จะเปลียนไปเป็น วิตามิน เอ ซึงวิตามิน เอ สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระทีเป็นปัจจัยทีสําคัญอย่างหนึงทีทํา
ให้เกิดโรคมะเร็ง นันก็คือ เบต้า - แคโรทีน เป็นตัวทีไปยับยังการเกิดโรคมะเร็งด้วยนันเอง
ส่วนยอดของคะน้าสดมีวิตามิน ซี และ เกลือแร่จํานวนมาก โดยเฉพาะวิตามิน ซี ซึงมีส่วนช่วย
เสริมเนือเยือของร่างกายให้ชุ่มฉํา และทําให้ระบภูมิคุ้มกันโรคแข็งแรงสมบูรณ์
คุณค่าของสารอาหารส่วนทีกินได้ของคะน้าสด 100 กรัม
1. ให้พลังงาน 24 กิโลแคลอรี 2. โปรตีน 2.7 กรัม
3. ไขมัน 0.5 กรัม 4. คาร์โบไฮเดรต 2.2 กรัม
5. แคลเซียม 245.0 มิลลิกรัม 6. ฟอสฟอรัส 80.0 มิลลิกรัม
7. เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม 8. วิตามิน บี 1 0.05 มิลลิกรัม
9. วิตามิน บี 2 0.08 มิลลิกรัม 10. ไนอาซิน 1.0 มิลลิกรัม
11. วิตามิน ซี 141.0* มิลลิกรัม 12. เบต้า-แคโรทีน 2,512.0* ไมโครกรัม
13. ใยอาหาร 3.2* กรัม
ข้อมูล กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดงคุณค่าของอาหารไทย.
2535
* วิเคราะห์ โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ข้อแนะนํา เกษตรกรทีปลูกคะน้าเป็นแปลงใหญ่ ๆ มักจะฉีดยาฆ่าแมลงเพือฆ่าหนอนทีมีกัดกินใบคะน้า
ดังนันผู้บริโภคจําเป็นจะต้องล้างผักคะน้าให้สะอาดก่อนนําไปปรุงอาหาร ปกติทีใบคะน้าจะมีสารจําพวกไข
สีขาว ๆ เคลือบอยู่ด้วยตามธรรมชาติ เป็นสารทีไม่มีพิษแต่สารนีดูดซับเอายาฆ่าแมลงได้ ดังนันเวลาล้างใบ
คะน้าจึงควรลูบเอาสารนีออก หรือ อาจจะใส่ผงฟู 1 ช้อนชา หรือ นําส้มสายชู เล็กน้อยลงในนําทีล้าง
คะน้า ซึงจะสามารถกําจัดยาฆ่าแมลงได้ดีขึน
ในกรณีทีมีบริเวณข้างบ้านเป็นทีว่างเราสามารถทําเป็นแปลงปลูกคะน้าเล็ก ๆ ไว้เก็บใบกิน ทําได้
ดังนี ทําร่องพรวนดินใส่ปุ๋ ยหมักให้ทัว ใช้เมล็ดคะน้าซึงมีใส่ซองขายทัว ๆ ไป นําไปแช่นํา 1 คืน แล้ว
โรยลงบนแปลงทีเตรียมไว้ รดนําให้ชุ่มเสมอ ประมาณ 45 วัน ต้นคะน้าจะเจริญเต็มที ตัดยอดตัดใบไปกิน
ได้ ให้เหลือโคนต้นพอประมาณ ต่อมาต้นคะน้าจะแตกยอดใหม่ให้เก็บกินได้อีก.
17
ข้อมูลอ้างอิง
1. คณะทํางานโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และ
มูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศไทย (2541) มหัศจรรย์ผักสีเขียว 108 พิมพ์ครังที 2
กรุงเทพ มูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศไทย
2. คะน้า ผักธรรมดาทีไม่ธรรมดา (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.yourhealthguide.
com/article/an-kana.html สืบค้น 26/11/2555
3. สรรพคุณ และ ประโยชน์ของผักคะน้า (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.adirek.com/
Stwork/fruitwet/kana.html สืบค้น 26/11/2555
คิดก่อนซือ นําส้ม แบบไหน ดืม
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
ผู้บริโภคมักจะคิดกันว่านําผลไม้เป็นเครืองดืมเพือสุขภาพ เพราะต่างก็รู้ว่าผลไม้มีคุณค่าทาง
โภชนาการสูง โดยเฉพาะนําส้มคันเป็นนําผลไม้ทีนิยมกันมาก นําส้มคันทีคันสด ๆ แล้วนํามาดืมทันที
จัดเป็นนําส้มทีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน วิตามิน ในนําส้มนันจะเสือมคุณภาพ
อย่างเร็ว ดังนันเพือให้นําส้มคงคุณค่าทางด้านคุณภาพอยู่ได้นาน และสะดวกในการขนส่ง จึงได้มีการผลิต
นําส้มพร้อมดืม บรรจุในกล่องหรือภาชนะทีปิดสนิทออกมาจําหน่ายให้กับผู้บริโภค ซึงทีจริงแล้ว วิตามิน
ซี ได้สลายไปเหลือน้อยมากหรือไม่มีเหลือเลย สิงทีเหลือมากก็คือ นําตาล
ก. นําส้มและนํารสส้มบนชันในห้าง ข. นํารสส้มขวดใหญ่ สูตร 25 %
สรรพสินค้า มีฉลากปิดขวด ตามตลาดนัด ไม่มีฉลากปิดขวด
ค. น้ารสส้มขวดเล็กย่านชุมชนข้างถนนแยกเอกมัย ง. นํารสส้มขวดเล็กย่านชุมชนข้างถนนแยกบางกะปิ
กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ
ทังภาพ ค – ง ไม่มีฉลากปิดขวด อยู่ในตู้กระจก ใส่นําแข็งทับด้านบนเพือให้เย็น
ภาพ ก. http://www.okanation.net/blog/print.oho?id-33581
ข. http://www.a2bfood.com/orange.juice.html
19
ทุกวันนีเราจะเห็นว่าตามชันวางเครืองดืมในร้านสะดวกซือ ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ จะพบ
นําส้มพร้อมดืมมากมายหลายยีห้อ มีทังชนิดทีเป็น นําส้มแท้ 100 % นําส้มผสม
ทีมีปริมาณนําส้มตังแต่ 25 % ขึนไป และอีกหลายยีห้อทีวางขายตามร้านเล็กร้านใหญ่ ทีมีนําส้มผสมเป็น
หัวเชืออยู่ประมาณ 10 – 15 % เป็นนําทีมีการแต่ง กลิน สี รสทีสังเคราะห์ ให้คล้ายกับนําส้ม ซึงนําส้ม
ประเภทนี ทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่ให้เรียกว่า นําส้ม แต่ ให้เรียกว่า นํารสส้ม
ทีน่าเป็นห่วงอย่างมากก็ คือ ในปัจจุบันนีมีนํารสส้มขายกันเกร่อมากเป็นพิเศษ ทีใส่
รถเข็นขายตามข้างถนน ในย่านชุมชน ตามหมู่บ้าน หรือทําส่งตู้แช่ตามอพาทเมนท์ต่าง ๆ ตามตลาดสด
ใส่ขวดพลาสติกมีนําแข็งใส่อยู่ด้านบนขวดใส่นํารสส้ม เพือให้เย็น โดยเฉพาะตามตลาดนัดทัว ๆ ไปมีนํารส
ส้มขายอยู่หลาย ๆ เจ้า ขวดใส่นํารสส้มทีมีสีเหลืองแปร๊ด รสหวาน และขายดีด้วย และแต่ละเจ้ามีป้ าย
เขียนตัวใหญ่ติดอยู่ทีตู้ใส่นํารสส้มว่า นําส้มคัน หรือ นําส้มคันสด 100 %
ตามทีผมเฝ้าสังเกตดูทีตลาดนัดตอนเย็น และตามย่านชุมชนข้างถนน ทังเด็กและ ผู้ใหญ่
ก็ซือดืมกันและซือกลับบ้านด้วย ซึงนํารสส้มพวกนี ทํากันในบ้าน ในห้องแถว และเราไม่ทราบเลยว่า เป็น
นําก๊อก(นําประปา) หรือ นําต้ม นํามาใส่สีเหลืองแปร๊ด ใสสารแต่ง กลิน รส ให้คล้ายนําส้ม บรรจุขวด
พลาสติกเล็ก ๆ ขายขวดละ10 บาท ขายดีมากมีคนซือตลอดเวลา จะมี ความปลอดภัยจากเชือโรคหรือ
จุลินทรีย์หรือไม่ ผู้บริโภคต้องรับผิดชอบตัวเอง นํารสส้มเหล่านีไม่มีฉลากปิดทีขวดอย่างใดทังสิน
มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค โดยฉลาดซือ ได้เก็บตัวอย่างนําส้มและนํารสส้มพร้อมดืม ใน
ท้องตลาด และจากชันวางเครืองดืมในห้างสรรพสินค้า จํานวน 22 ยีห้อ มาทําการทดสอบหา ปริมาณ
นําตาล และ วิตามิน ซี ทีคนส่วนใหญ่คิดว่าส้มเป็นผลไม้ทีมีวิตามิน ซี สูง ดังนันเมือทําเป็นนําส้มแล้วก็
ยังมีวิตามิน ซี สูงเหมือนเดิม เป็นการเข้าใจทีคลาดเคลือน
ผลการทดสอบนําส้มและนํารสส้มพร้อมดืม จํานวน 22 ยีห้อ คือ
1. นําส้ม นํารสส้ม สามอันดับแรกทีมีปริมาณ นําตาลสูง ได้แก่
1.1 นํารสส้ม ฟรุ้ตฟิตฟอร์ฟัน มีปริมาณนําตาลถึง 12 ช้อนชาต่อขวด ขนาด 330
มิลลิลิตร ( 19.3 กรัม/100 มิลลิลิตร )
1.2 นํารสส้ม มาลี จุ๊ซ มิกซ์ มีปริมาณนําตาลถึง 13.5 ช้อนชาต่อขวด ขนาด 350
มิลลิลิตร (16.4 กรัม/ 100 มิลลิลิตร)
1.3 นําส้ม 30 % ทิบโก้ คูลฟิต มีปริมาณนําตาล 11.5 ช้อนชาต่อขวดขนาด 300
มิลลิลิตร (16.3 กรัม/100 มิลลิลิตร
20
2. นําส้ม 100 % ทีไม่เติมนําตาล จะมีปริมาณนําตาลประมาณ 5.5 ช้อนชาต่อ 200 มิลลิลิตร(1 แก้ว)
ส่วนนําส้มผสม จะมีปริมาณนําตาล โดยเฉลีย 12.8 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร หรือ
ประมาณ 6 ช้อนชาต่อ 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร)
3. นําส้ม นํารสส้ม ทีนํามาทดสอบวิตามิน ซี พบว่า ส่วนใหญ่ไม่มีวิตามิน ซี เหลืออยู่เลย หรือบางยีห้อ
เหลือน้อยมาก ๆ บางผลิตภัณฑ์ทีระบุว่า มีการเติมวิตามิน ซี การทดสอบก็ไม่พบวิตามิน ซี ได้แก่ นําส้ม
25 % ฟิวเจอร์ นํารสส้ม 20 % โอเอชิ เซกิ
4. มีผลิตภัณฑ์อยู่ 3 ยีห้อ ทีพบว่ามีวิตามิน ซี อยู่มากว่า 20 มิลลิกรัม/100 มิลลิลิตร คือ
4.1 นํารสส้ม แบร์รี ซันเบลสท์ มีปริมาณ วิตามิน ซี 24 มิลลิกรัม
4.2 นําส้ม 40 % ยูเอฟซี มีวิตามิน ซี 23 มิลลิกรัม
4.3 นํารสส้ม อะมิโน โอเค มีวิตามิน ซี 20 มิลลิกรัม
ข้อมูล 100 มิลลิลิตร เท่ากับ 106.9 กรัม (โดยประมาณ) 1 ช้อนชา เท่ากับ 4.2 กรัม
ข้อมูลทางวิชาการโดย สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
คําแนะนํา สําหรับผู้ทีจะดืมนําส้ม และ นํารสส้ม
1. ปริมาณนําตาลทีนักโภชนาการแนะนําให้กินต่อวัน อยู่ระหว่าง 6 – 8 ช้อนชา ดังนันนําส้มพร้อมดืมจึง
ไม่ควรเป็นเครืองดืมทางเลือกเพือสุขภาพ เพราะล้วนมีปริมาณนําตาลทีสูง เมือต้องการดืมก็ให้เลือกซือ
กล่องทีมีขนาดเล็ก หรือแบ่งดืมเพือป้ องกันไม่ให้ได้รับนําตาลมากเกินไป
2. ข้อแตกต่างระหว่างผลไม้สดกับนําผลไม้ คือ เส้นใยอาหาร นําผลไม้ทีสกัดออกมาจากผลไม้ กากหรือ
เส้นใยอาหารจะถูกแยกออกไป ทําให้ร่างกายดูดซึมนําตาลได้เร็วขึน แต่ไม่ช่วยเรืองการขับถ่าย ส่วนกิน
ผลไม้สด จะมีเส้นใยอาหารมาก การดูดซึมนําตาลในกระแสเลือดได้ช้ากว่า และยังช่วยในเรืองการขับถ่าย
อีกด้วย
3. นําส้ม เสือมคุณภาพได้ง่าย ดังนันควรเลือกซือจากผู้ผลิตทีได้มาตรฐาน มีเครืองหมาย อย. ทีได้รับรอง
จาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
4. วิตามิน ซี ในนําส้มถูกทําลายได้ง่าย กว่าทีเครืองดืมนําส้มมาถึงผู้บริโภค ผ่านการขนส่ง ผ่านความร้อน
การจัดเก็บในสถานทีต่าง ๆ อาจโดนทังแสง ความร้อน ทําให้ปริมาณวิตามิน ซี ลดลงเรือย ๆ จนอาจไม่
สามารถวัดค่าได้อีก
5.ไม่แนะนําสําหรับสาว ๆ ทีต้องการมีหุ่นทีงามแบบนางเอก ดืมนํารสส้มบ่อย ๆ เพราะว่าเป็นเครืองดืมทีมี
นําตาลค่อนข้างสูง เสียงต่อโรคเบาหวานและโรคอ้วน
21
ข้อมูลอ้างอิง
1. ทัศนีย์ แน่นอุดร เมือนําส้มจะทําร้ายนางเอก นิตยสารฉลาดซือ ฉบับที 89 ปีที 15
กรกฎาคม 2551 หน้า 29 – 31
2. ศูนย์ทดสอบฉลาดซือ ประเภทอาหาร/สุขภาพ (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.
chaladsue.com/index.php/Food-health/512-98-orange-juice.html สืบค้น
4/03/2556
3. LOW vitamin C - HI sugar (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.okanation.net/blog/
print.php?id=322550 สืบค้น 4/03/2556
คึนช่าย (Celery หรือ Smallage)
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
คึนช่าย เป็นพืชผักทีนํามากินได้ทังสดหรือปรุงอาหารก็ได้ ในขณะเดียวกันคึนช่ายก็เป็นทังอาหาร
และยาได้ด้วย คึนช่ายมีชือวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens Linn. และจัดอยู่ในวงศ์ Apiaceae คึนช่าย
จัดเป็นไม้ล้มลุก มีอายุอยู่ได้นาน 1 – 2 ปี มีชือพืนเมืองเรียกต่าง ๆ กัน เช่น ทางภาคเหนือเรียก ผักปืน
ผักข้าวปืน จีนกลางเรียกว่า ฮันฉิน ฉันฉ้าย แต้จิว เรียกว่า ฮังขึง ขึงช่าย ภาษาอังกฤษเรียกว่า Celery ,
Smallage คึนช่ายมีทังในยุโรปและเอเซียซึงในยุโรปนันจัดเป็นพืชพืนเมืองของยุโรปตอนใต้
ลําต้น มีลักษณะกลม มีช่องว่างกลวงข้างใน สูงประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร มีสีเขียวหรือ
เขียวอ่อน
ใบ เป็นใบรวมประกอบด้วยใบย่อย 2 – 3 คู่ ขอบใบมีลักษณะหยักเป็นแฉกลึก แต่ละแฉกมี
ลักษณะเป็นรูปสามเหลียม หรือห้าเหลียม ทังลําต้นและใบมีกลินหอมเฉพาะตัว
ดอก ออกเป็นช่อมีลักษณะคล้ายกับซีร่ม ตรงส่วนยอดของดอกแผ่เป็นรัศมี ดอกมีขนาดเล็กแบบ
สมบูรณ์เพศ
ผล มีขนาดเล็กมีลักษณะกลมรี มีสีนําตาล จะให้ผลเพียงครังเดียว ผลมีกลินหอมเหมือนกับลํา
ต้นและใบ
ก. แปลงปลูกคึนช่ายในถุงปลูก ข. ต้นคึนช่าย ง. ปลาช่อนผัดคึนช่าย.
ภาพ ก. http://www.bansuanporpeang.com/node/4484
ข. http://www.chatchawan.com/th/Productlist.aspx?id=1
ค. http://kiattisaklove.blogspot.com/2012/09/blog-spot_6973.htm
23
สรรพคุณ หรือ ขัอมูลทางด้านคลีนิค
1. คึนช่ายมีสรรพคุณจัดเป็นพืชสมุนไพรหรือเป็นยา ทําให้หลอดเลือดขยายตัว จึงช่วยลดความดัน
โลหิตได้
2. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
3. ช่วยทําให้นอนหลับได้ดี
4. ช่วยในการขับปัสสาวะได้ดี เหมาะสําหรับคนทีมีปัญหาเรืองไต เพราะคึนช่ายเป็นแหล่งทีมี
เกลือโซเดียมตํา
5. เมล็ดช่วยในการขับลม และระงับอาการปวด
6. รากช่วยในการปวดตามข้อหรือโรคเก้าท์
นํามันหอมระเหย
ลําต้นและใบของคึนช่ายมีกลินหอม เนืองจากมีนํามันหอมระเหย คือ ไลโมนีน (Limonene) ซิ
ลินีน (Silinene) ฟธาไลด์ (Phthalides) ดังนันเมือนําคึนช่ายไปปรุงอาหาร อาหารนันจึงมีกลินหอมชวน
รับประทาน
คุณค่าของอาหารส่วนทีกินได้ของคึนช่ายสด 100 กรัม
1. ให้พลังงาน 13 กิโลแคลอรี 2. โปรตีน 1.6 กรัม
3. ไขมัน 0.5 กรัม 4. คาร์โบไฮเดรท 0.5 กรัม
5. แคลเซียม 151.00 * มิลลิกรัม 6. ฟอสฟอรัส 40.0 มิลลิกรัม
7. เหล็ก 13.7 มิลลิกรัม 8. ไวตามิน บี 1 0.04 มิลลิกรัม
9. วิตามิน บี 2 0.18 มิลลิกรัม 10. ไนอาซีน 0.6 มิลลิกรัม
11. วิตามิน ซี 34.00 * มิลลิกรัม 12 ใยอาหาร 2.7 กรัม
ข้อมูล กองโภชนาการ กรมอ นามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดงคุณค่าของ
อาหารไทย. 2535
* วิเคราะห์โดย สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
24
วิธีเลือกและเก็บขึนฉ่ายให้อยู่ได้นาน
จากนิตยสาร ชีวจิต ฉบับที 295 ปีที 13 15 มกราคม 2554 หน้า 22 ผกาทิพย์ ขันติพงษ์
ได้แนะนําเรืองการเลือกและเก็บคึนช่ายไว้นาน ๆ จากเรือง คึนช่าย ยาความดันจากยุคโบราณ ว่า การ
เลือกคึนช่าย โดยดูทีต้นสด ๆ เนือเปราะ ไม่เหนียว ใบสีเขียวอ่อน ล้างนําให้สะอาด วางผึงลมให้แห้ง
แล้วนําใส่ในกล่องพลาสติกหรือใส่ถุงพลาสติกปิดปากถุงให้มิดชิด เก็บในตู้เย็นช่องแช่ผัก นอกจากนียัง
ได้แนะนําการคันนําจากคึนช่ายดืม โดยใช้คึนช่ายสดประมาณ 1 กํามือ ใส่ในเครืองบดและกรองด้วยผ้า
ขาวบางทีสะอาดใช้นําทีคันได้ดืม.
ข้อมูลอ้างอิง
1. คณะทํางานโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล และ
มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย (2541) มหัศจรรย์ผักสีเขียว 108, พิมพ์ครังที 2. กรุงเทพฯ
มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย.
2.คึนใช่(ขึนฉ่าย) (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.samunprithai.com/herbs/?p=262
สืบค้น 14/11/2555
3. คึนใช่ ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน (Online) เข้าถึงได้จาก
http://doctor.or.th/article/detail/6876 สืบค้น 14/11/2555
4. ใครอยากรู้ ตังโอ๋ กับ คึนช่าย ชนิดเดียวกันหรือเปล่า (Online)
เข้าถึงได้จาก http://talk.mthai.com/topic/101174 สืบค้น 14/11/2555
คุณค่าของ ผักปลัง
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
ผักปลัง เรียกได้ว่าเป็นพืชผักพืนบ้านของคนไทยมานานแล้ว มีอยู่ทุกภาคของประเทศ แต่ทีนิยม
ปลูกรับประทานกันมากก็คือทางภาคเหนือและภาคอิสาน โดยนํายอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน มา
รับประทานเป็นผักสด หรือนําไปต้น ลวก เป็นผักจิมกับนําพริก เป็นต้น
ถินกําเนอดของผักปลัง ผักปลังมีถินกําเนิดอยู่ในเอเซีย และ แอฟริกา ชอบสิงแวดล้อมทีมีความชุ่ม
ชืน โดยเฉพาะในฤดูฝนผักปลังจะจเริญงอกงามมาก
ลักษณทางพฤกษศาสตร์ ผักปลังจัดอยู่ในวงศ์ (Family) บาเซลลาซีอี (BASELLACEAE) มีอยู่ 2
ชนิด คือ ผักปลังขาว มีชือวิทยาศาสตร์ว่า Basella alba Linn. มีลักษณะสีเขียวหรือเขียวอ่อน ตามตลาด
ในต่างจังหวัดจะมีผักปลังขาวขายอยู่ทัว ๆ ไป และ ผักปลังแดง มีชือวิทยาศาสตร์ว่า Baseelala rubra
Linn. มีลักษณะสีแดง ๆ หรือแดงอมม่วง ทังผักปลังขาวและผักปลังแดงจัดเป็นไม้เลือย ลําต้นกลม อวบ
นํา ไม่มีขน ลําต้นสีเขียวหรือสีแดงอมม่วง
ใบ ดอก ผล
ภาพ http://www.prc.ac.th/lannagardrm/taowan0.5.html
ใบ มีลักษณะกลม ๆ รูปไข่ เรียงสลับกัน ตัวใบกว้าง 2 – 6 ซม. ยาว 2.4 – 7.5 ซม. ใบมีลัดษณะเป็น
มัน ไม่มีขน ส่วนทีเป็นลําต้นหรือเถาว์นันยาวได้หลายเมตร แตกกิงก้านสาขาได้มาก
ดอก ดอกมีลักษณะเป็นช่อตามซอกใบมีขนาดเล็ก ดอกของผักปลังขาวมีสีขาว ๆ ดอกของผักปลัง
แดงมีสีแดง ๆ หรือ สีขาวอมชมพู ดอกผักปลังทังสองชนิดมีขนาดเล็กขนาด 5 – 6 มม.
26
ผล เมือแก่เต็มทีจะมีสีม่วงอมดํา มีเนือนิมภายในผลมีนําสีม่วงดํา
คุณค่าทางโภชนาการ ผักปลัง 100 กรัม ให้คุณค่าทางโภชนาการ ดังนี
ให้พลังงาน 21 กิโลแคลอรี
โปรตีน 2.0 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม
แคลเซียม 4.0 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 50 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม
วิตามิน เอ 9316 IU
วิตามิน บี 1 0.07 มิลลิกรัม
วิตามิน บี 2 0.20 มิลลิกรัม
ไนอาซิน 1.1 มิลลิกรัม
วิตามิน ซี 26.0 มิลลิกรัม
นอกจากนีผลสุกของผักปลังทีมีสีม่วงแดง ยังประกอบด้วยสาร แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) :
ซึงสามารถสกัดโดยการบดให้ละเอียดคันเอานําทีมีสีม่วงแดง มาใช้แต่งสีอาหาร ประเภทของหวานได้ เช่น
ขนมบัวลอย ขนมเปียกปูน ขนมนําดอกไม้ หรือ สลิม ได้ และยังผสมนําสะอาดทําเป็นเครืองดืมได้อีก
ด้วย แต่สีทีสกัดได้จากผล นันยังมีปริมาณน้อย คือประมาณ 4.48 %
นอกจากนีในทางการแพทย์แผนไทย จัดว่าผักปลังเป็นพืชสมุนพรด้วย สามารถใช้ส่วนต่าง ๆ ของ
ผักปลังในการรักษาโรคบางชนิด เช่น ก้าน ลําต้น มีสรรพคุณแก้ท้องผูก ใช้เป็นยาระบายท้อง ใบ ใช้ขับ
ปัสสาวะ เป็นต้น
เวบไซท์ข้อมูลอ้างอิง
1. ผักปลัง บ้านสวนพอเพียง (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.bansuanporpeang.com/
Taxonomy/term/1232 สืบค้น 20/11/2555
2. ผักปลัง สารพันประโยชน์ต่อสุขภาพ (Online) เข้าถึงได้จาก http://kwangrice.
Bolgspot.com/2013/02/blog-post_314.html สืบค้น 20/11/2555
3. ผักปลัง (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.prc.ac.th/lannagardrm/taowan0.5.html
สืบค้น 23/11/2555
4. ผักปลัง พืชผักสวนครัว (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.aopdh06.doae.go.th/
Settakitporpeang.htm สืบค้น 23/11/2555
ชิงเฮา (Qinghao)
สุนทร ตรีนันทวัน
strin@ipst.ac.th
ชิงเฮา จัดเป็นพืชสมุนไพรทีมีสรรพคุณในการรักษาโรคมาลาเรีย ซึงสมุนไพรทีทีมีสรรพคุณใน
การรักษาโรคมาลาเรียนันมีหลายชนิด จาก นิตยสาร ชีวจิต ฉบับที 81 ปีที 4
16 กุมภาพันธ์ 25445 หน้า 92 แพทย์หญิง ดวงรัตน์ เชียวชาญวิทย์ ผู้อํานวยการ โรงพยาบาลบาง
กระทุ่ม จังหวัด พิษณุโลก กล่าวว่า พืชสมุนไพรทีใช้รักษาโรคมาลาเรียทีดีมากในขณะนีคือ สมุนไพรทีชือ
ชิงเฮา เป็นชือในภาษาจีน มีชือ วิทยาศาสตร์ว่า อาร์ทีมีเซีย แอนนูอา ( Artemesia annua L )
จัดอยู่ใน วงศ์ Compositae เป็นพวกไม้ล้มลุก อายุ 1 ปี หรือเป็นพืชในฤดูกาลเดียว (Annual plant)
ชิงเฮา เป็นพืชสมุนไพรมีถินกําเนิดในประเทศจีน พบมากตามเนินเขาและทีรกร้าง เป็นพืช
สมุนไพรทีชาวจีนใช้กันมานานแล้วประมาณ 2,000 ปี ในตํารายาจีนโบราณใช้สําหรับลดไข้ และรักษา
โรคมาลาเรีย และ ในปัจจุบันนีพบได้ในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม
ไซบีเรีย อินเดีย อเมริกาเหนือ ทวีปแอฟริกา สําหรับประเทศไทยก็มีการนําชิงเฮามาปลูกในทางภาคเหนือ
ของประเทศ
ก ต้นชิงเฮา ข ยอดต้นชิงเฮา
ภาพ ก http://www.myfirstbrain.com/thaidata/images.asp?ID1739654
ภาพ ข http://image.dek-d.com/23/825116/asp%3FID%3D17396548
ลักษณะของต้นชิงเฮา
ลําต้น ลําต้นสูงประมาณ 1 – 1.5 เมตร ลําต้นมีลักษณะกลม มีสีเขียวเหลือง กิงเปราะหักง่าย
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมีขนาดเล็กมาก ปลายใบแหลม ท้องใบมีสีเขียวเข้ม หลัง
ใบมีสีเขียวอ่อน มีขนสัน ๆ ทีใบทังสองด้าน
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้

Mais conteúdo relacionado

Destaque

Vai tu zini, kāds līderis gribi būt
Vai tu zini, kāds līderis gribi būtVai tu zini, kāds līderis gribi būt
Vai tu zini, kāds līderis gribi būtLaura Kursite
 
Integrity without it nothing works
Integrity without it nothing worksIntegrity without it nothing works
Integrity without it nothing worksAntonio Gálvez
 
Projectm6 2-2554 tom's
Projectm6 2-2554 tom'sProjectm6 2-2554 tom's
Projectm6 2-2554 tom'sTheyok Tanya
 
Chinese Automotive market
Chinese Automotive marketChinese Automotive market
Chinese Automotive marketShengyun LU
 
การสื่อสาร
การสื่อสารการสื่อสาร
การสื่อสารTuaLek Kitkoot
 
A day in the life of on utp
A day in the life of on utpA day in the life of on utp
A day in the life of on utpcata1623
 
Find Your Ideas, Inspirations, and Imaginations with Goodrich Global Indonesi...
Find Your Ideas, Inspirations, and Imaginations with Goodrich Global Indonesi...Find Your Ideas, Inspirations, and Imaginations with Goodrich Global Indonesi...
Find Your Ideas, Inspirations, and Imaginations with Goodrich Global Indonesi...Gunawan Tan
 
2012 2013 nfp presentation
2012 2013 nfp presentation2012 2013 nfp presentation
2012 2013 nfp presentationGeorge Blieka
 
Nutrilite business plan v9 2013 for downline
Nutrilite business plan v9 2013 for downlineNutrilite business plan v9 2013 for downline
Nutrilite business plan v9 2013 for downlineJack Tran
 

Destaque (14)

Modern Sofas & Chairs
Modern Sofas & ChairsModern Sofas & Chairs
Modern Sofas & Chairs
 
Vai tu zini, kāds līderis gribi būt
Vai tu zini, kāds līderis gribi būtVai tu zini, kāds līderis gribi būt
Vai tu zini, kāds līderis gribi būt
 
Integrity without it nothing works
Integrity without it nothing worksIntegrity without it nothing works
Integrity without it nothing works
 
Projectm6 2-2554 tom's
Projectm6 2-2554 tom'sProjectm6 2-2554 tom's
Projectm6 2-2554 tom's
 
Chinese Automotive market
Chinese Automotive marketChinese Automotive market
Chinese Automotive market
 
การสื่อสาร
การสื่อสารการสื่อสาร
การสื่อสาร
 
A day in the life of on utp
A day in the life of on utpA day in the life of on utp
A day in the life of on utp
 
Find Your Ideas, Inspirations, and Imaginations with Goodrich Global Indonesi...
Find Your Ideas, Inspirations, and Imaginations with Goodrich Global Indonesi...Find Your Ideas, Inspirations, and Imaginations with Goodrich Global Indonesi...
Find Your Ideas, Inspirations, and Imaginations with Goodrich Global Indonesi...
 
2012 2013 nfp presentation
2012 2013 nfp presentation2012 2013 nfp presentation
2012 2013 nfp presentation
 
Nutrilite business plan v9 2013 for downline
Nutrilite business plan v9 2013 for downlineNutrilite business plan v9 2013 for downline
Nutrilite business plan v9 2013 for downline
 
ว5
ว5ว5
ว5
 
integral
integralintegral
integral
 
El mundo
El mundoEl mundo
El mundo
 
cells
cellscells
cells
 

Mais de Weerachat Martluplao

โครงการสร้างสำนึกพลเมือง โรงเรียนโพนเมืองประชารัฐ
โครงการสร้างสำนึกพลเมือง โรงเรียนโพนเมืองประชารัฐโครงการสร้างสำนึกพลเมือง โรงเรียนโพนเมืองประชารัฐ
โครงการสร้างสำนึกพลเมือง โรงเรียนโพนเมืองประชารัฐWeerachat Martluplao
 
โครงงานสำรวจและปฏิบัติการ การประหยัดพลังงาน
โครงงานสำรวจและปฏิบัติการ การประหยัดพลังงานโครงงานสำรวจและปฏิบัติการ การประหยัดพลังงาน
โครงงานสำรวจและปฏิบัติการ การประหยัดพลังงานWeerachat Martluplao
 
งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40
งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40
งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40Weerachat Martluplao
 
การพัฒนาการคิดวิจารณญาณด้วย Social Media
การพัฒนาการคิดวิจารณญาณด้วย Social Mediaการพัฒนาการคิดวิจารณญาณด้วย Social Media
การพัฒนาการคิดวิจารณญาณด้วย Social MediaWeerachat Martluplao
 
พัฒนาการคิดด้วย
พัฒนาการคิดด้วย พัฒนาการคิดด้วย
พัฒนาการคิดด้วย Weerachat Martluplao
 
ข้อสอบโครงงาน ม 2
ข้อสอบโครงงาน ม 2ข้อสอบโครงงาน ม 2
ข้อสอบโครงงาน ม 2Weerachat Martluplao
 
โครงการครูพลังงาน 2556
โครงการครูพลังงาน 2556โครงการครูพลังงาน 2556
โครงการครูพลังงาน 2556Weerachat Martluplao
 
การออกข้อสอบวัดผล O net วิทย์ ม.ต้น
การออกข้อสอบวัดผล O net วิทย์ ม.ต้นการออกข้อสอบวัดผล O net วิทย์ ม.ต้น
การออกข้อสอบวัดผล O net วิทย์ ม.ต้นWeerachat Martluplao
 
แบบบันทึกความดีและรายงานผลการปฏิบัติงาน ประกอบการย้าย 57
แบบบันทึกความดีและรายงานผลการปฏิบัติงาน  ประกอบการย้าย 57แบบบันทึกความดีและรายงานผลการปฏิบัติงาน  ประกอบการย้าย 57
แบบบันทึกความดีและรายงานผลการปฏิบัติงาน ประกอบการย้าย 57Weerachat Martluplao
 
การจัดการความรู้ กับการใช้ Social media ในโรงเรียนซับบอนวิทยาคม
การจัดการความรู้ กับการใช้ Social media ในโรงเรียนซับบอนวิทยาคมการจัดการความรู้ กับการใช้ Social media ในโรงเรียนซับบอนวิทยาคม
การจัดการความรู้ กับการใช้ Social media ในโรงเรียนซับบอนวิทยาคมWeerachat Martluplao
 
ชุดข้อสอบแยกตามตัวชี้วัด หลักสูตรแกนกลาง 2551
ชุดข้อสอบแยกตามตัวชี้วัด หลักสูตรแกนกลาง 2551ชุดข้อสอบแยกตามตัวชี้วัด หลักสูตรแกนกลาง 2551
ชุดข้อสอบแยกตามตัวชี้วัด หลักสูตรแกนกลาง 2551Weerachat Martluplao
 
Storyboard การออกแบบ application
Storyboard การออกแบบ applicationStoryboard การออกแบบ application
Storyboard การออกแบบ applicationWeerachat Martluplao
 
หลักสูตรแกนกลาง สาระและตัวชี้วัดชั้นปี หลักสูตรแกนกลาง 2551
หลักสูตรแกนกลาง สาระและตัวชี้วัดชั้นปี หลักสูตรแกนกลาง 2551หลักสูตรแกนกลาง สาระและตัวชี้วัดชั้นปี หลักสูตรแกนกลาง 2551
หลักสูตรแกนกลาง สาระและตัวชี้วัดชั้นปี หลักสูตรแกนกลาง 2551Weerachat Martluplao
 
Stem education and 21st century skills development
Stem education and 21st century skills developmentStem education and 21st century skills development
Stem education and 21st century skills developmentWeerachat Martluplao
 
ประจุไฟฟ้า Electric charges
ประจุไฟฟ้า Electric chargesประจุไฟฟ้า Electric charges
ประจุไฟฟ้า Electric chargesWeerachat Martluplao
 
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ปลาย
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ปลายรางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ปลาย
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ปลายWeerachat Martluplao
 
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ต้น
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ต้นรางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ต้น
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ต้นWeerachat Martluplao
 

Mais de Weerachat Martluplao (20)

โครงการสร้างสำนึกพลเมือง โรงเรียนโพนเมืองประชารัฐ
โครงการสร้างสำนึกพลเมือง โรงเรียนโพนเมืองประชารัฐโครงการสร้างสำนึกพลเมือง โรงเรียนโพนเมืองประชารัฐ
โครงการสร้างสำนึกพลเมือง โรงเรียนโพนเมืองประชารัฐ
 
โครงงานสำรวจและปฏิบัติการ การประหยัดพลังงาน
โครงงานสำรวจและปฏิบัติการ การประหยัดพลังงานโครงงานสำรวจและปฏิบัติการ การประหยัดพลังงาน
โครงงานสำรวจและปฏิบัติการ การประหยัดพลังงาน
 
งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40
งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40
งานนำเสนอ การวิจัย การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สพม.40
 
การพัฒนาการคิดวิจารณญาณด้วย Social Media
การพัฒนาการคิดวิจารณญาณด้วย Social Mediaการพัฒนาการคิดวิจารณญาณด้วย Social Media
การพัฒนาการคิดวิจารณญาณด้วย Social Media
 
พัฒนาการคิดด้วย
พัฒนาการคิดด้วย พัฒนาการคิดด้วย
พัฒนาการคิดด้วย
 
ข้อสอบโครงงาน ม 2
ข้อสอบโครงงาน ม 2ข้อสอบโครงงาน ม 2
ข้อสอบโครงงาน ม 2
 
โครงการครูพลังงาน 2556
โครงการครูพลังงาน 2556โครงการครูพลังงาน 2556
โครงการครูพลังงาน 2556
 
การออกข้อสอบวัดผล O net วิทย์ ม.ต้น
การออกข้อสอบวัดผล O net วิทย์ ม.ต้นการออกข้อสอบวัดผล O net วิทย์ ม.ต้น
การออกข้อสอบวัดผล O net วิทย์ ม.ต้น
 
แบบบันทึกความดีและรายงานผลการปฏิบัติงาน ประกอบการย้าย 57
แบบบันทึกความดีและรายงานผลการปฏิบัติงาน  ประกอบการย้าย 57แบบบันทึกความดีและรายงานผลการปฏิบัติงาน  ประกอบการย้าย 57
แบบบันทึกความดีและรายงานผลการปฏิบัติงาน ประกอบการย้าย 57
 
Asean curriculum thai
Asean curriculum thaiAsean curriculum thai
Asean curriculum thai
 
การจัดการความรู้ กับการใช้ Social media ในโรงเรียนซับบอนวิทยาคม
การจัดการความรู้ กับการใช้ Social media ในโรงเรียนซับบอนวิทยาคมการจัดการความรู้ กับการใช้ Social media ในโรงเรียนซับบอนวิทยาคม
การจัดการความรู้ กับการใช้ Social media ในโรงเรียนซับบอนวิทยาคม
 
ชุดข้อสอบแยกตามตัวชี้วัด หลักสูตรแกนกลาง 2551
ชุดข้อสอบแยกตามตัวชี้วัด หลักสูตรแกนกลาง 2551ชุดข้อสอบแยกตามตัวชี้วัด หลักสูตรแกนกลาง 2551
ชุดข้อสอบแยกตามตัวชี้วัด หลักสูตรแกนกลาง 2551
 
Storyboard การออกแบบ application
Storyboard การออกแบบ applicationStoryboard การออกแบบ application
Storyboard การออกแบบ application
 
Stem workshop report
Stem workshop reportStem workshop report
Stem workshop report
 
หลักสูตรแกนกลาง สาระและตัวชี้วัดชั้นปี หลักสูตรแกนกลาง 2551
หลักสูตรแกนกลาง สาระและตัวชี้วัดชั้นปี หลักสูตรแกนกลาง 2551หลักสูตรแกนกลาง สาระและตัวชี้วัดชั้นปี หลักสูตรแกนกลาง 2551
หลักสูตรแกนกลาง สาระและตัวชี้วัดชั้นปี หลักสูตรแกนกลาง 2551
 
Stem education and 21st century skills development
Stem education and 21st century skills developmentStem education and 21st century skills development
Stem education and 21st century skills development
 
trigonometry
trigonometrytrigonometry
trigonometry
 
ประจุไฟฟ้า Electric charges
ประจุไฟฟ้า Electric chargesประจุไฟฟ้า Electric charges
ประจุไฟฟ้า Electric charges
 
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ปลาย
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ปลายรางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ปลาย
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ปลาย
 
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ต้น
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ต้นรางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ต้น
รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ม ต้น
 

เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้

  • 3. i สารบัญ กรดวิตามิน เอ ชนิดกิน แก้สิว อันตรายส่อแท้งลูก – พิการ.................................................................1 กะปิ (Shrimp paste หรือ Shrimp sauce)..............................................................................................4 กะเพรา (Holy basil หรือ Sacred basil)................................................................................................8 ขยะ ในตัวเรา.....................................................................................................................................12 คะน้า เกราะป้ องกันมะเร็ง.................................................................................................................15 คิดก่อนซือ นําส้ม แบบไหน ดืม.........................................................................................................18 คึนช่าย (Celery หรือ Smallage).......................................................................................................22 คุณค่าของ ผักปลัง..............................................................................................................................25 ชิงเฮา (Qinghao)................................................................................................................................27 เด็กกินนมผงเสียงป่วยมากกว่า กินนมแม่ 3 – 5 เท่า.........................................................................32 ตะไคร้ (Lemon grass)........................................................................................................................36 นํา อาร์ ซี เครืองดืมสุขภาพ..............................................................................................................40 นําดืมจากตู้หยอดเหรียญตกมาตรฐานจํานวนมาก มีเชือโรคอันตรายต่อสุขภาพ...............................43 นํามันทอดซํา มฤตยูเงียบก่อมะเร็ง.....................................................................................................46 บร็อคโคลี (Broccoli) .........................................................................................................................50 ผลไม้โครงการหลวง จากบนดอยสูงลิบ สู่ผู้บริโภค ตอนที 2 ศูนย์พัฒนา โครงการหลวงแม่แฮ สตรอเบอร์รี......................................................53 ผลไม้ โครงการหลวง จากบนดอยสูงลิบ สู่ผู้บริโภค.......................................................................60 ตอนที 1 สถานีเกษตรหลวงปางดะ มะเดือฝรัง (Figs)......................................................................62 ผลไม้โครงการหลวง จากบนดอยสูงลิบ สู่ผู้บริโภค ตอนที 3 ศูนย์วิจัยเกษตรหลวง เชียงใหม่ (ขุนวาง) พลัม (Plum)............................................68 ผลไม้ไทยมีสารต้านโรคมะเร็ง...........................................................................................................75 พริก (Chilli , Bird Chilli)...................................................................................................................80 ภายในปี ค.ศ. 2030 จะมีผู้ป่วยมะเร็งทัวโลก เพิมขึนมากกว่า ร้อยละ 78.........................................85 มกราคม – พฤษภาคม ปีนี ป่วย 400 ตาย 12..................................................................................89 ระวังโรคทีมาพร้อมกับหน้าหนาว......................................................................................................93
  • 4. ii โรคหัวใจ ของไทยยังเพิมสูงขึนตลอดเวลา.......................................................................................96 ลูกชิน ปลาเส้น ทําจากปลาปักเป้ า ระบาดอีกแล้ว..........................................................................101 เลือก ไข่ไก่ ทีปลอดโรค.................................................................................................................105 วันปอดบวมโลก (World Pneumonia Day)......................................................................................109 วันมะเร็งโลก (4 กุมภาพันธ์ 2556)...................................................................................................113 วันหัวใจโลก (World Heart Day).....................................................................................................116 วิตามิน อี กินให้ดีได้ประโยชน์สูงสุด .............................................................................................119 วิธีสังเกตตัวเราเองก่อนทีจะเป็น มะเร็ง............................................................................................122 สะระแหน่ (Kitchen Mint)...............................................................................................................126 สารอาหารต้านมะเร็งร้าย ตอนที 1.................................................................................................129 สารอาหารต้านมะเร็งร้าย ตอนที 2.................................................................................................133 โหระพา ประโยชน์เหลือหลาย (Sweet basil , Common basil).......................................................138
  • 5. กรดวิตามิน เอ ชนิดกิน แก้สิว อันตรายส่อแท้งลูก – พิการ สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th ปัจจุบันมีคนนิยมนํายารักษาสิวชนิดกิน มาขายกันเกลือนกลาด หลายยีห้อมีการโฆษณาครึกโครม คนทีมีปัญหาเกียวกับเรืองของสิว และอยากสวยอยากงาม ต่างพากันไปซือมาใช้กันแบบไม่ได้คิดให้ รอบคอบ เรียกว่า เห็นคนอืนซือก็ซือ ๆ ตาม ๆ กันไป หาซือได้ง่าย มีวางขายกันอย่างเปิดเผย ตามร้านยา ต่าง ๆ โดยเฉพาะร้านขายยาตามหน้าโรงพยาบาลต่าง ๆ หรือแม้แต่ร้านเสริมสวย หรือร้านเสริมความงาม ทีไม่มีแพทย์ประจํา ก็มีวางขายกันทัวไป และนอกจากนียังมีทังการขายตรง และขายผ่านทางเวบไซท์อีก ด้วย มีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ โฆษณาชวนเชือต่าง ๆ ในด้านดี ๆ ของผลิตภัณฑ์รักษาสิว เพือขาย ผลิตภัณฑ์รักษาสิวดังกล่าว โดยทีไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบหรือผลข้างเคียงทีเป็นผลร้ายต่อสุขภาพเลย ทําให้ผู้บริโภคอยู่ในภาวะเสียงกับอันตรายโดยไม่รู้ตัว เนืองจากไม่ทราบถึงภาวะแทรกซ้อนหรือ ข้อเท็จจริง ข้อจํากัด หรือข้อห้ามต่าง ๆ ในการใช้ยานี ยาแก้สิวทีกําลังมาแรงตามการโฆษณา เป็นนิยมกันมากในขณะนีก็คือ กรดวิตามิน เอ ชนิดกิน หรือมีชือสามัญทางยาว่า ไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) หรือ เรติโนอิค แอซิด (Retinoic Acid) จาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2553 แพทย์หญิง หทยา เกียรติสารพิภพ แพทย์ ผู้เชียวชาญด้านผิวหนัง โรงพยาบาลกรุงเทพ ฯ ได้กล่าวว่า กรดวิตามิน เอ นีเป็นยากลุ่มหนึงทีรักษาสิว ได้ผล ปัจจุบันในท้องตลาดมีจําหน่ายกันมาก แต่ทีสําคัญอีกอย่างหนึงทีผู้บริโภคไม่ได้ศึกษา คือ ก. สิวทีบริเวณจมูก ข. สิวทีบริเวณโหนกแก้ม ภาพ ก. http://www.manager.or.th/QOL/viewNews.aspx?NewsID=9530000132701 ข. http://www.pooyingnaka.com/content/content.php?No=3300
  • 6. 2 ผลกระทบข้างเคียง ทีต้องระวังอย่างมาก ทีสังเกตได้ชัดเจนจากการกินยานี คือ ทําให้ต่อมไขมัน ในร่างกายทํางานลดลง ทําให้ผิวหน้าแห้ง ริมฝีปากแห้งและแตก เยือบุนัยน์ตาแห้ง และผมก็แห้งตามไป ด้วย เพราะยาไปควบคุมการผลิตของต่อมไขมันทัวร่างกายให้ลดลง บางคนก็ทําให้ผมร่วงด้วย และยังมี ผลกระทบข้างเคียงอืน ๆ อีก เช่น 1. จะทําให้ ตับ และไต ทํางานหนักมากขึน ซึงจะมีผลทําให้เกิดโรคตับและไตได้ 2. อาจจะทําให้เด็กทีอยู่ในครรภ์มารดาทีกินยานีพิการได้ หรืออาจเป็นอันตรายถึงชีวิต 3. อาจจะทําให้เกิดโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะผู้ทีเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว อาจจะทําให้เป็นโรคซึมเศร้า มากขึน แพทย์หญิง หทยา เกียรติสารพิภพ กล่าวว่า เนืองจากมีผลข้างเคียงมาก ก่อนใช้ยาชนิดนี ต้องอยู่ในความ ควบคุมดูแลของแทย์ทุกครัง ไม่ควรจะซือยามากินเองอย่างเด็ดขาด และจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 21 กันยายน 2553 ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศ ไทย ได้แถลงเตือน เกียวกับการใช้ กรดวิตามิน เอ เพือใช้ในการรักษาสิว ทังชนิดกิน หรือ ทา จะต้องใช้ ยาทีสังโดยแพทย์เท่านัน เนืองจากเป็นยาควบคุมพิเศษและมีผลข้างเคียงมาก โดยเฉพาะทารกในครรภ์ ซึง พบว่ายาประเภทนีทําให้ผู้ตังครรภ์เกิดการแท้งลูกถึงร้อยละ 20 หรือพิการแต่กําเนิดมากกว่าร้อยละ 40 นอกจากนียังทําให้ระดับไขมันในเลือดไม่คงที มีผลต่อการทํางานของตับ เสียงต่ออาการของตับอ่อน อักเสบ นิตยสารชีวจิต ฉบับที 290 ปีที 13 1 พฤศจิกายน 2553 หน้า 10 เกสัชกรหญิง วีรวรรณ แดงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กล่าวถึงยารักษาสิว กลุ่มกรดวิตามิน เอ มี ผลข้างเคียงทีสูงมาก ทําให้เกิดอาการซึมเศร้า จิตผิดปกติ การพยายามฆ่าตัวตาย ในหญิงตังครรภ์อาจทําให้ เด็กในครรภ์พิการ อีกทังยังมีผลข้างเคียงอืน ๆ อีก ห้ามใช้ยานีในผู้ป่วยโรคตับ โรคไต ผู้ทีมีไขมันในเลือด สูง เนืองจากมีการโฆษณาสรรพคุณเรืองนีกันมาก จึงมีผู้รักสวยรักงามนิยมซือมาใช้กันมาก และต่อมาก็ทํา ให้มีผลกระทบกับผู้ใช้เหล่านีกันมากมาย ทาง คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีมาตรการจัดให้ยากลุ่มนีเป็นยาควบคุมพิเศษ จําหน่าย ได้เฉพาะในโรงพยาบาลซึงมีผู้เชียวชาญทางด้านโรคผิวหนังดูแลอย่างใกล้ชิด รวมทังแนะนําให้ผู้บริโภคได้ ระมัดระวัง ไม่ใช้ยานีโดยไม่จําเป็น และไม่ควรซือยานีมากินเองโดยไม่ได้อยู่ในการดูแลของแพทย์ผิวหนัง โดยเด็ดขาด หากพบว่ามีการลักลอบจําหน่ายยารักษาสิวชนิด กรดวิตามิน เอ ตามช่องทางต่าง ๆ เช่น เวบไซท์ ร้านเสริมสวย และร้านค้าทัว ๆ ไป หรือทางช่องทางอืน จะถือเป็นความผิดข้อหาขายยาโดยไม่ได้รับ อนุญาต
  • 7. 3 เวบไซท์ข้อมูลอ้างอิง 1. การรักษาสิวด้วย กรดวิตามิน เอ (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.okanation.net/ blog/print_php?id=682114 สืบค้น 14/01/2556 2. กรดวิตามิน เอ ใช้แก้สิว อันตรายหรือไม่ (Online) เข้าถึงได้จาก http://www. elib-online.com/doctors3/news_drug09.html สืบค้น 14/01/2556 3. กรดวิตามิน เอ ชนิดกิน (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.manager.co.th/ CelanOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9530000114301 สืบค้น 14/01/2556 4. รักษาสิวด้วย กรดวิตามิน เอ เสียงแท้งลูก เด็กพิการ (Onlne) เข้าถึงได้จาก http://www.dst.or.th/news_detail.php?news_id=16&news_type=oth สืบค้น 14/01/2556
  • 8. กะปิ (Shrimp paste หรือ Shrimp sauce) สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th กะปิ นับได้ว่าเป็นเครืองปรุงรสอย่างหนึงของอาหารไทยมาตังแต่โบราณแล้ว เรียกได้ว่าอยู่คู่กับ ครัวของไทยอย่างแพร่หลาย และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเครืองปรุงรสอาหารทีแพร่หลาย ในทวีปเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนใต้ของประเทศจีน คําว่ากะปิใช้กันแพร่หลายทังใน ไทย ลาว กัมภูชา ส่วนในประเทศอินโดนีเซีย เรียกว่า เตอราซี (terasi) มาเลเซีย เรียกว่า เบลาจัน (belachan) ฟิลิปปินส์ เรียกว่า บากุง อราแมง (bagoong aramang) ภาษาจีนฮกเกียน เรียกว่า ฮอม ฮา (hom ha) ในสมัยก่อนชายฝังทะเลทังด้านฝังอาดามัน และอ่าวไทย มีสัตว์นําต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะ บริเวณชายฝังมีสัตว์นําทีชาวประมงบางท้องถินเรียกกันว่า เคย หรือกุ้งเคย มีขนาดเล็กมาก ตัวสีขาวใส มี ตาเป็นจุดสีดํา และมีจํานวนมากมาย จะดํารงชีวิตอยู่ใกล้ ๆ กับผิวนําทะเล โดยไม่จมลงไปด้านล่าง อาจจะ อยู่ในนําลึกประมาณ 1 ฟุต หรือ 3 ฟุต ลําตัวยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ๆ ตาม ชายฝังทะเลและบริเวณป่าชายเลนชาวประมงทีจับสัตว์เหล่านีมาได้บางครังก็ต้องการทีจะเก็บไว้รับประทาน ได้นาน ๆ จึงหาวิธีทีจะทําการแปรรูปเพือทีจะเก็บรักษากุ้งเคยเหล่านี ซึงเป็นทีมาของการทํากะปิในเวลา ต่อมานันเอง ก. กุ้งเคยสด ข. กุ้งเคยสดนํามารวมกัน ค. นํากุ้งเคยสดมาตํา ง. นํากุ้งเคยสดทีตําแล้วตากแดด จ. หมักในโอ่งปิดฝาให้สนิท ฉ. กะปิหรือเคยทีพร้อมจําหน่าย
  • 9. 5 ภาพ ก. http://www.okanation.net/blog/pajondot.com/2011/11/12/entry-1 ข. http://www.panoramic.com/photo/30238994 ค. http://www.biotec.or.th/brt/index.php?option=com_content&view=article&id= 155:shrimp-sauce&catid=60:kanom ง. http;//www.foodnetworksolution.com/upload/RIMG1445p.jpg จ. http://www.rakbankerd.com/agriculture/page?id=928ts=tblanimal ฉ. http://consumersouth.org/paper/page/76 การจับกุ้งเคย การจับกุ้งเคยของแต่ละจังหวัดทีอยู่ริมฝังทะเลนันแตกต่างกันไปตามฤดูมรสุม เช่นทางฝังด้าน ตะวันออกของอ่าวไทย ตังแต่จังหวัดระยองถึงตราด จะจับกุ้งเคยกันในช่วงเดือน พฤกษภาคม ถึง ธันวาคม จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี จับกุ้งเคยกันเกือบตลอดปี ส่วนทาง ภาคใต้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร กุ้งเคยจะมีมากชุกชุม ในเดือน มีนาคม ถึง เมษายน จังหวัดสุ ราษฎร์ธานี จะมีชุกชุมในช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน และ ช่วงเดือน กรกฎาคม ถึง สิงหาคม และ ตังแต่จังหวัด นครศรีธรรมราช ถึง นราธิวาส จะเริมจับกันตังแต่เดือน มกราคม ของทุกปี และกุ้งเคยมีชุกชุม มากในเดือน เมษายน ถึง มีนาคม จนกระทังบางครังในตอนเย็นๆ จะมองเห็นทะเลบริเวณนําตืนออกเป็นสี ชมพู ๆ เครืองมือทีใช้ในการจับกุ้งเคย ชาวประมงนิยมใช้อวนไนลอนทีมีสีฟ้า มีขนาดช่อง 1 – 2 มิลลิเมตร นํามาเย็บเป็นถุงขนาด ใหญ่ ใช้ช้อนตักตัวกุ้งเคย หรือในขณะทีทําการประมงก็กางผืนอวนให้มีลักษณะเหมือนกับถุง เพือ รวบรวมตัวเคยให้มาอยู่ในถุง ซึงชาวประมงแต่ละท้องถินนันอาจจะใช้เครืองมือแตกต่างกันไปก็ได้ขึนอยู่ กับสถานทีและความสะดวก ชาวบ้านมักจะออกช้อนตัวกุ้งเคยกันในตอนเช้า ๆ และช้อนได้ทุกวัน ช่วงทีมี ตัวกุ้งเคยมาก ๆ และเมือได้ตัวกุ้งเคยมากพอสมควรก็นําไปทํากะปิต่อไป ตัวเคยหรือกุ้งเคยนันจะเรียก ต่างกันออกไป ได้แก่ เคยนําแรก (กะปินําแรก) จะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม หรือเป็นช่วงแรก ๆ ตัวเคยทีจับได้จะมีความ บริสุทธิสูง มีความสะอาด เป็นตัวเคยล้วน ๆ เพราะใช้ตักทีผิวนําแทนการรุนทีมักจะมีทรายเลนปนมากับตัว เคย เคยนําแรกจะมีราคาสูง คุณภาพดีทีสุด เคยนําสอง (เคยรุนหัว) อยู่ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป การเก็บช่วงนีใช้วิธีรุนเคย จึง มีลูกปลาเล็ก ๆ ชนิดต่าง ๆปนมาด้วยด่อนข้างมาก เคยทีได้จะมีราคาปานกลาง คุณภาพปานกลาง
  • 10. 6 เคยนําสาม จะจับต่อกันมากับเคยนําสอง การเก็บใช้วิธีรุนเคยเช่นกัน ตัวเคยทีได้จะมีขนาดใหญ่ ขึน มักจะมีลูกปลาลูกหอยปนมาด้วย เคยนําสามจะมีราคาตําทีสุด การทํากะปิ การทํากะปิของชาวประมงหรือชาวบ้านแต่ละท้องถินนันอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง ขึนอยู่กับ ความนิยมของผู้บริโภค บางแห่งเนือกะปิละเอียด บางแห่งมีเนือหยาบ บางแห่งทําเป็นอุตสาหกรรมใน ครอบครัว บางแห่งก็ทําไว้รับประทานเอง เป็นต้น วิธีการทํากะปินันก็มีวิธีการทีคล้าย ๆ กัน คือ 1. นํากุ้งเคยทีได้ล้างทําความสะอาด โดยมากใช้นําทะเลล้างเองไม่ให้เสียรสชาติ ใช้ตะแกรงร่อน ตัวเคยทีมีขนาดเล็กก็จะลอดผ่านตะแกรงลงสู่ภาชนะทีรองรับ เศษใบไม้ต่าง ๆ ก็จะติดอยู่บนตะแกรง 2. นําตัวเคยสดทีได้คลุกเคล้ากับเกลือ ในอัตราส่วนทีแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิน โดยทัว ๆ ไปใช้ตัวกุ้งเคย 10 ส่วน ต่อเกลือ 1 ส่วน ถ้าไม่ต้องการให้เค็มมากก็ใช้ตัวกุ้งเคย 12 ส่วน ต่อเกลือ 10 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันให้ดี 3. นําตัวกุ้งเคยทีผสมแล้วไป เช (ตําพอแหลก) แล้วนําไปเกรอะ โดยห่อด้วยอวนตาถี ใช้วัสดุหนัก ๆ ทับไว้เพือให้นําออกไปบางส่วน ทิงไว้ 1 – 2 วัน พอหมาด ๆ 4. นํากุ้งเคยนีไปตากแดด โดยปันเป็นก้อน ๆ หมันกลับข้าง ตากแดด 2 – 3 วัน เพือให้แห้งหมาด ๆ 5. นําไป เช ใหม่หรือ ตําหรือบดให้ละเอียด หมักไว้ 2 อาทิตย์ แล้วนํามา เช ใหม่อีกครังหนึง 6. นําเคยที เช หรือบดแล้วมาหมักโดยอัดใส่ในภาชนะ เช่น ไห โอ่ง ถังพลาสติก ให้แน่น คลุม เนือเคยด้วยพลาสติกให้แน่น ปิดฝาให้สนิทกันแมลงต่าง ๆ ลงไป ใช้เวลาหมักนานประมาณ 45 วันขึนไป (แต่ละท้องถินอาจใช้เวลาแตกต่างกัน) 7. หลังจากหมักแล้วนําเคยทีได้บรรจุในภาชนะหรือ บรรจุภัณฑ์ขนาดต่าง ๆ เพือจําหน่ายต่อไป กรมประมงได้แนะนําเกียวกับหลักการผลิตกะปิ หรือเคยทีดี คือ 1. ควรใช้ตัวกุ้งเคย หรือตัวเคยทีสะอาด เลือกสิงเจือปนต่าง ๆ ออกให้หมด 2. การเคล้ากับเกลือควรเคล้าให้ทัวถึงกันตลอด 3. ควรใส่เกลือให้พอเพียงเพือกันไม่ให้เคยเน่าเสีย 4. เคยทีเคล้าเกลือแล้วจะต้องทําการเกรอะเพือทับเอานําออก และต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้ 5. เคยทีเกรอะและบดแล้ว ควรจะต้องนําไปตากแดดก่อนนําไปหมัก 6. การอัดเคยในภาชนะเพือหมัก ต้องอัดให้แน่น พยายามอย่าให้มีช่องอากาศอยู่ภายใน เพราะ อาจจะทําให้กลินไม่ดีได้ 7. การหมักเคยหรือกะปิ ควรหมักในภาชนะดินเผา หรือในโอ่ง ไห ขัดปากภาชนะให้แน่นด้วยใบ มะพร้าวหรือไม้ไผ่ 8. กะปิหรือเคยทีดี ควรใช้เวลาหมักนานประมาณ 45 วันขึนไป 9. กะปิหรือเคยทีดีไม่ควรใส่สี ให้เป็นสีธรรมชาติจะดูดีกว่า 10. การบรรจุภัณฑ์เพือจําหน่าย ควรอัดให้แน่นอย่าให้มีช่องว่าง และควรมีขนาดบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ ปิดฉลากให้เรียบร้อย
  • 11. 7 เวบไซท์ข้อมูลอ้างอิง 1. กะปิ (Online) เข้าถึงได้จาก http://kanchanapisek.ior.th/kp8/smk/smk501c.html สืบค้น 13/12/2555 2. กะปิเคย กับภูมิปัญญาชาวบ้าน (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.biotec.or.th/brt/ Index.php?option=article&id=155:shrimp-sauce&catrd=60:kanom สืบค้น 13/12/2555 3. กะปิ สยาม (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.siamkapi.com/content/14-what- Is-shrimp-paste-and-howtomake สืบค้น 12/12/2555 4. กะปิ ไทย ๆ (Online) เข้าถึงได้จาก http://workdeena.blogspot.com/2010/02/blog- spot_28.html สืบค้น 12/12/2555
  • 12. กะเพรา (Holy basil หรือ Sacred basil) สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th กะเพรา เป็นทังพืชผักและเครืองเทศ เป็นพืชทีเรารู้จักกันดีอยู่แล้ว ช่วยในการดับกลินคาวของ อาหาร ช่วยปรุงแต่งกลินและรสของอาหารเพราะเรานํามาเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด เช่น ข้าวผัดไก่กะเพรา ไข่ดาว กุ้งผัดกะเพรา แกงป่าปลาดุกใส่กะเพรา ฯลฯ กะเพรา มีชือวิทยาศาสตร์ว่า Ocimum tenuiflorum Linn. มีชือพืนเมืองต่าง ๆ กัน เช่น กอมก้อ หรือ กอมก้อดง (เชียงใหม่) กระเพรา ขน กระเพราะขาว กระเพราแดง (ภาคกลาง) ห่อกวอซู หรือ ห่อตูปลู (กะเหรียง แม่ฮ่องสอน) อีตู่ไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Holy basil หรือ Secred basil ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ลําต้น จัดเป็นพืชล้มลุก มีลําต้นค่อนข้างแข็ง ตามลําต้น กิง ก้าน มีขนเล็ก ๆ ลําต้นสูง ประมาณ 40 – 60 เซนติเมตร ส่วนโคนต้นค่อนข้างแข็ง ส่วนยอดเป็นเนือไม้ค่อนข้างอ่อน มีกลินหอม ใบ เป็นใบเดียว รูปรียาว กว้างประมาณ 1 – 3 เซนติเมตร ออกบนกิงตรงกันข้ามกันของ แต่ละใบ ขอบใบยักเป็นฟันเลือย แผ่นใบไม่มีขน ก. ต้นและดอกกะเพรา ข. มัดกิงก้านกะเพรา ง. กุ้งผัดกะเพรา ภาพ ก http://thailand-an-field.blogspot.com/2009/11/ ocimum-sanotum-labiatae-4-5-3-5html ข http://botanyschool.ning.com/group/m4/forum/topic/4049042:Topic:9244 ง. http://www.vcharkarn.com/vblog/107499
  • 13. 9 ดอก ออกเป็นช่อบริเวณส่วนปลายของยอดและปลายกิง แต่ละช่อเมือเจริญเต็มที ยาวประมาณ 8 – 10 เซนติเมตร ก้านดอกเล็ก ๆ สัน ๆ ยาวประมาณ 2 – 3 เซนติเมตร กางออกตัง ฉากกับแกนช่อ กลีบดอก มีทังสีขาว และ สีขาวปนแดง กลีบเลียง มีสีนําตาลแกมม่วง หรือสีเขียว ผล เป็นแบบแห้งแล้วแตก เมล็ดมีขนาดเล็กรูปไข่สีนําตาล มีจุดสีเข้ม เมือนําไปแช่นํา เปลือกหุ้มเมล็ดจะพองออกเป็นเมือก พันธุ์ของกระเพรา กะเพราะทีปลูกกันทัว ๆ ไปนัน มีอยู่ 2 ชนิด คือ กะเพราแดง เป็นกะเพราะทีมีก้านใบ และก้านดอกเป็นสีแดง ๆ และ กะเพราขาว เป็นกะเพราทีมีก้านใบและก้านดอกออกสีขาว ๆ นันเอง สรรพคุณ และ ข้อมูลทางด้านคลีนิค กะเพรามีนํามันหอมระเหยทีมีสีเหลือง ๆ มีกลินหอมฉุนคล้ายกับกลินของนํามันกานพลู มีทังในใบ ลําต้น ราก นอกจากนีในเมล็ดของกะเพราก็ยังมีนํามันหอมระเหยทีมีสีเหลืองอมเขียว มีกรด ไขมันบางชนิด เช่น โอเลอิก ไลโนเลอิก ปาล์มมิติค สเตียริค กะเพรายังมีสรรพคุณทางยา เช่นแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด เป็นต้น กะเพรายังใช้กําจัดยุงได้ โดยตัดทังกิง ก้าน ใบ มาวางไว้ ซึงจะมีกลินของ กะเพราออกมาทําให้ยุงบินหนีได้ นอกจากนีในกะเพรายังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส อยู่มากซึงช่วยบํารุงกระดูก มี เบต้า – แคโรทีน ในปริมาณทีสูง ช่วยในการกําจัดอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้ องกันโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด ด้วย คุณค่าของอาหารส่วนทีกินได้ของกะเพราสด 100 กรัม ก. กะเพราขาว 1. ให้พลังงาน 46 กิโลแคลอรี 2. โปรตีน 2.7 กรัม 3. ไขมัน 0.3 กรัม 4. คาร์โบไฮเดรต 8.0 กรัม 5. แคลเซียม 8.0 มิลลิกรัม 6. ฟอสฟอรัส 51.0 มิลลิกรัม 7. เหล็ก 2.2 มิลลิกรัม 8. วิตามิน บี 1 - มิลลิกรัม 9. วิตามิน บี 2 - มิลลิกรัม 10. ไนอาซีน - มิลลิกรัม 11. วิตามิน ซี 22.0* มิลลิกรัม 12. เบต้า – แคโรทีน 724.0* เรดินัล(RS) 13. ใยอาหาร 4.3 กรัม
  • 14. 10 ข. กะเพราแดง 1. ให้พลังงาน 41 กิโลแคลอรี 2. โปรตีน 4.2 กรัม 3. ไขมัน 0.5 กรัม 4. คาร์โบไฮเดรต 4.8 กรัม 5. แคลเซียม 25.0 มิลลิกรัม 6. ฟอสฟอรัส 287.0 มิลลิกรัม 7. เหล็ก 1.87 มิลลิกรัม 8. วิตามิน บี 1 0.04 มิลิกรัม 9. วิตามิน บี 2 0.34 มิลลิกรัม 10. ไนอาซีน 1.8 มิลลิกรัม 11. วิตามิน ซี 22.0* มิลิกรัม 12. เบต้า – แคโรทีน 1134.0 ไมโครกรัมเทียบ- 13. ใยอาหาร 4.3 กรัม หน่วยเรตินัล ข้อมูล กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดพงคุณค่าทาง โภชนาการของอาหารไทย 2535 - ไม่มีการวิเคราะห์ * วิเคราะห์โดย สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล RE ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล ข้อแนะนํา กะเพราเป็นพืชทีเจริญเติบโตได้ทุกสภาวะของอากาศ เราสามารถปลูกกะเพราได้ง่าย ๆ ในกรณีทีมีบริเวณบ้านสามารถทําแปลงเพาะปลูกเล็ก ๆ ใช้ปลูกกะเพรา พรวนดินให้ร่วนใส่ปุ๋ ยคอก ใช้เมล็ดโรยบนแปลงรดนําให้ชุ่มอยู่เสมอ อีกไม่นานก็จะงอกเป็นต้นอ่อนเจริญเติบโตต่อไป หรือหลังจาก ทีเราซือกะเพราะมาประกอบอาหาร ก็ให้เลือกกิงทีแก่ ๆ 2 – 3 กิง นําไปปักชําในแปลงทีเตรียมไว้ รดนํา ให้ชุ่มอยู่เสมอ ไม่นานก็จะแตกกิงก้าน ใบ ให้เราใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
  • 15. 11 ข้อมูลอ้างอิง 1. คณะทํางานโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย (2541) มหัศจรรย์ผักสีเขียว 108 พิมพ์ครัง ที 2 กรุงเทพฯ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย 2. กะเพราขาว (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.กะเพรา.com/2011/09/blog-post_ 2647.html สืบค้น 28/11/2555 3. กะเพราแดง (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.กะเพรา.com/2011/09/blog-post_ 4867.html สืบค้น 28/11/2555 4. กะเพรา (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.the-than.com/samunpai/sa_4.html สืบค้น 28/11/2555 5. ผักผลไม้เพือสุขภาพ (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.adirek.com/stwork/ Fruitvet/kapoa.html สืบค้น 28/11/2555
  • 16. ขยะ ในตัวเรา สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th ของเสียต่าง ๆ ทีอยู่นอกร่างกายทีเรียกกันทัว ๆ ไปว่าขยะ ซึงเราเห็นกันอยู่ทุก ๆ วันนันเรายัง สามารถนําไปกําจัดทําลายได้ แต่ของเสียหรือสารเคมีต่าง ๆ ทีอยู่ในร่างกายของเรา ไม่สามารถเอาไปกําจัด ทําลายได้ โดยของเสียหรือสารเคมีเหล่านันเข้าสู่ร่างกายของเราได้โดยติดไปกับการกินอาหาร พืชผักที ชาวสวนหรือเกษตรกรใช้สารเคมีฉีดเพือป้ องกันแมลงหรือวัชพืชต่าง ๆ สารเคมีเหล่านันติดอยู่กับพืชผักที ล้างไม่สะอาดและนํามาใช้ปรุงอาหาร สารพิษนัน ก็เข้าสู่ร่างกายของเราต่อไป ฝุ่นละอองเล็ก ๆ เขม่า ควัน ไฟ แก๊สพิษต่าง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ เข้าสู่ร่างกายได้โดยการหายใจเอาสารพิษเหล่านันเข้าไป เป็นขยะอยู่ ในตัวเรา เรียกสารพิษเหล่านีว่าเป็นพวกท๊อกซิน จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที 300 ปีที 13 1 เมษายน 2554 หน้า 24 สาทิต อินทรกําแหง ได้กล่าวถึง ท๊อกซิน ในบทความเรือง ขยะ คือ ท๊อกซิน (Toxin) ก็คือพิษ แต่ไม่ใช่ยาพิษ ท๊อกซินเป็นพิษต่อร่างกายของเรา เพราะเกิดปฏิกิริยา ทาง ชีวเคมี ในร่างกาย และท๊อกซินนีเป็นตัวลําลาย ภูมิชีวิต หรือ อิมมูนซีสเต็ม (Immune System) ของเราโดยตรง การทําลายภูมิชีวิตก็คือ การทําลายสุขภาพของเรา ทําลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทําให้เรา ไม่แข็งแรง เจ็บป่ วยได้ง่าย และอายุสัน ก กองขยะขนาดใหญ่ ข. กองขยะข้างถนน ค. เด็กน้อยกับกองขยะ ก. http://health.kapook.com/view6905.html ข. http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aso? NewsID=9550000062334 ค. http://www.okanation.net/blog/print.php?id269959 ในปัจจุบันบ้านเมืองได้พัฒนาเจริญมากขึน มีโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย บาง แห่งก็ปล่อยสารพิษออกสู่สิงแวดล้อม ในเมืองต่าง ๆ บางแห่งก็มีกองขยะสูงเป็นภูเขา ทาง
  • 17. 13 บ้านเมืองจะกําจัดอย่างไรก็ไม่หมด นับวันจะมากขึน กองขยะเหล่านีเป็นแหล่งผลิตท๊อกซิน ออกสู่สิงแวดล้อม ท๊อกซินเหล่านีทีสามารถทําลายสุขภาพและชีวิตของเราได้มาจากขยะหลาย กลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ 1. ท๊อกซินจากภายนอกร่างกายของเรา จากอาหาร นํา อากาศ สิงแวดล้อมต่าง ๆ ทีอยู่รอบ ๆ ตัว เรา ในด้านอาหาร ท๊อกซินมักจะเป็นพวกสารพิษจากยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช สารเคมีต่าง ๆ ที นํามาใช้ในการอุสาหกรรม ปุ๋ ยวิทยาศาสตร์ใช้ในการเพาะปลูก ช่วยให้พืชเจริญเติบโต สารพิษจาก ผัก ผลไม้ จะมีผลโดยตรงต่อร่างกาย และเมือเหลือเป็นเศษอาหารหรือของเหลือ สกปรกก็กลายเป็นขยะ ขยะต่าง ๆ เหล่านีก็จะต้องมีสารพิษและท๊อกซินต่าง ๆ มากมายสะสมอยู่ในกองขยะ ทีเป็นแก๊สพิษก็จะลอยอยู่ในอากาศถูกลมพัดไปสู่ทีต่าง ๆ ไปได้ไกล ๆ คนเราก็หายใจเอาสารพิษหรือท๊อก ซินเหล่านีเข้าสู่ร่างกาย ยิงในฤดูฝนนําฝนก็จะชะล้างเอาสารพิษท๊อกซินจากกองขยะไปสู่พืนดิน คู คลอง แม่นํา ทะเลต่อไป สัตว์นําต่าง ๆ ก็รับสารพิษเหล่านันเข้าสู่ร่างกาย ถ่ายทอดกันไปเป็นลูกโซ่ ในลักษณะ ของโซ่อาหารในระบบนิเวศ 2. เศษขยะ หรือของเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆและ โรงงานอุตสาหกรรมเหล่านีก็มักจะ อยู่ริมแม่นําลําคลอง ทะเล กากของเสีย (Waste Products) มักจะถูกทิงลงแหล่งนํา ซึงเรืองนีก็เคยมีข่าวอยู่ เสมอ ทําให้นําเสีย สัตว์นําต่าง ๆ โดยเฉพาะปลาตายมากมาย นอกจากนีผลิตผลของใช้หลายอย่าง เช่น พลาสติก ไวนีล ไนลอน สี ฯลฯ ก็มักจะมีสารทีเป็น อันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายประกอบอยู่ด้วย เมือปี ค.ศ. 1995 องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริการ่วมกับ องค์การสิงแวดล้อม (EPA) ได้สํารวจอาหารต่าง ๆ จากทัวโลกทีส่งเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกา พบอาหารต้องห้ามถึง 234 อย่าง ทีมีปริมาณของ ยาฆ่าแมลง สารเคมี ทีใช้ในอุตสาหกรรม และสารจากรังสีฆ่าเชือโรค (Radionuclides) และได้สังห้ามอาหารเหล่านีเข้าประเทศอีก กองขยะตามเมืองเล็กเมืองใหญ่ทีเป็นกองสูงเป็นภูเขาเหล่านัน เป็นบ่อเกิดของสารพิษหรือท๊อกซิ นทีอยู่ในสิงแวดล้อมนอกร่างกายของเรา แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเข้าไปสู่ร่างกายของเราได้ตามทีได้ กล่าวมาแล้ว เปรียบคล้ายกับเป็นกองขยะหรือท๊อกซินอยู่ในร่างกายของเราด้วยนันเอง และมีผลเสียต่าง ๆ ต่อสุขภาพของเราตามมา นอกจากนี สาทิต อินทรกําแหง กล่าวว่าอาการป่วยของผู้ทีมีท๊อกซินจากสารพิษต่างๆ หรือจากขยะ ทีมีสารพิษสะสมอยู่นี เช่น วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ คลืนไส้ อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาการที เริมจะเป็นหนักขึนก็คือ อาการเกียวกับระบบทางเดินหายใจ โรคปอดเรือรัง ไอ หอบหืด ฯลฯ และอาการทีน่าเป็นห่วงก็คือ สมองและประสาทเสือมโทรม ความจําเสือม ขาหรืออวัยวะส่วนล่าง เป็นอัมพาต การเคลือนไหวทัวไปเชืองช้า อาการป่ วยเกียวกับสารพิษหรือท๊อกซินนัน เมือเป็นแล้วค่อนข้าง ยากทีจะทําการรักษา
  • 18. 14 การแก้ไขทีสําคัญนันอยู่ทีการป้ องกัน พยายามหาต้นเหตุหรือต้นตอของสารพิษและขยะทีเป็นท๊อก ซินในอาหาร นํา อากาศ และพยายามหลีกเลียงจากต้นเหตุนัน ๆ นอกจากนีแล้วเราควรจะกินวิตามิน ประเภท แอนติออกซิแดนต์ เป็นประจํา คือ วิตามิน A C D E อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน แต่การดํารงชีวิตของเราในปัจจุบันนีท่ามกลางมลพิษต่าง ๆ มากบ้างน้อยบ้างรอบตัวเรา ยากทีจะ หลีกเลียง บางครังเราก็ต้องทําใจ กันนะครับ เวบไซท์ข้อมูลอ้างอิง 1. ขยะและของเสียอันตราย (Online) เข้าถึงได้จาก http:://www.thaihealth.or.th/healthcontent/ article/27899 สืบค้น 8/10/2555 2. สาระพัดโรคร้ายจากภัยขยะ (Online) เข้าถึงได้จาก http://health.kapook.com/view6905.html สืบค้น 8/10/2555 3. ปัญหาขยะมูลฝอย (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.tungsong.com/Environment/Garbags/ garbage_07.html สืบค้น 9/10/2555
  • 19. คะน้า เกราะป้ องกันมะเร็ง สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th คะน้า (Chinese Kale) เป็นผักใบเขียวทีเรารู้จักกันดี เป็นผักทีมีขายอยู่ในตลาดทัว ๆ ไป หาซือได้ง่าย นําไปประกอบอาหารได้หลาย ๆ อย่าง ราคาไม่แพง รสชาติดี เมือเริมเข้าหน้าหนาวผักคะน้าจะเจริญงอก งามดีมาก เพราะคะน้าชอบอากาศเย็น ๆ เป็นผักทีปลูกได้ง่ายทุกท้องทีตลอดทังปี ช่วงเก็บเกียวสันคือ ประมาณ 45 วันก็สามารถเก็บเกียวได้ คะน้า มีชือวิทยาศาสตร์ว่า บราสสิคา โอลีราซี (Brassica oleracea cv.) จัดอยู่ในวงศ์ บราสสิคาซี อี (Brassicaceae) คะน้าจัดเป็นพืชล้มลุก ตระกูลเดียวกับพืชผักพวกกะหลํา ลําต้นอวบชุ่มนํา ใบมีสีเขียว เข้ม คะน้าทีนิยมปลูกมีสองประเภท คือ คะน้าใบ ลําต้นและใบค่อนข้างใหญ่หน่า และ คะน้ายอด ซึงมี ขนาดเล็กกว่าคะน้าใบ ชาวจีนเป็นผู้เข้ามาบุกเบิกทําสวนผักในประเทศไทยเป็นผู้นําผักคะน้าเข้ามาปลูก และเป็นผักทีมีประโยชน์มากจริง ๆ ก. แปลงปลูกคะน้า ข. ต้นคะน้า ค. คตะน้าผัดนํามันหอย ภาพ ก. http://www.puibuatip.com/index.oho?lay=show&ac=article& Id=538732583Ntype=18 ข http://easy=vegetables.blogspot.com/2010/05/collard.html ค http://www.baanmaha.com/community/thread7905.html สรรพคุณ หรือ ข้อมูลทางด้านคลินิค ใบสีเขียวของคะน้าเป็นแหล่งรวบรวม แร่ธาตุ วิตามินต่าง ๆ หลายชนิด และทีสําคัญอย่างมากก็คือ มีสาร เบต้า – แคโรทีน มากมาย ทีรวมอยู่ในกลุ่มของ แคโรทีนอย ซึงเมือเรากินผักคะน้า ต่อมาร่างกายก็
  • 20. 16 จะเปลียนไปเป็น วิตามิน เอ ซึงวิตามิน เอ สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระทีเป็นปัจจัยทีสําคัญอย่างหนึงทีทํา ให้เกิดโรคมะเร็ง นันก็คือ เบต้า - แคโรทีน เป็นตัวทีไปยับยังการเกิดโรคมะเร็งด้วยนันเอง ส่วนยอดของคะน้าสดมีวิตามิน ซี และ เกลือแร่จํานวนมาก โดยเฉพาะวิตามิน ซี ซึงมีส่วนช่วย เสริมเนือเยือของร่างกายให้ชุ่มฉํา และทําให้ระบภูมิคุ้มกันโรคแข็งแรงสมบูรณ์ คุณค่าของสารอาหารส่วนทีกินได้ของคะน้าสด 100 กรัม 1. ให้พลังงาน 24 กิโลแคลอรี 2. โปรตีน 2.7 กรัม 3. ไขมัน 0.5 กรัม 4. คาร์โบไฮเดรต 2.2 กรัม 5. แคลเซียม 245.0 มิลลิกรัม 6. ฟอสฟอรัส 80.0 มิลลิกรัม 7. เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม 8. วิตามิน บี 1 0.05 มิลลิกรัม 9. วิตามิน บี 2 0.08 มิลลิกรัม 10. ไนอาซิน 1.0 มิลลิกรัม 11. วิตามิน ซี 141.0* มิลลิกรัม 12. เบต้า-แคโรทีน 2,512.0* ไมโครกรัม 13. ใยอาหาร 3.2* กรัม ข้อมูล กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดงคุณค่าของอาหารไทย. 2535 * วิเคราะห์ โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ข้อแนะนํา เกษตรกรทีปลูกคะน้าเป็นแปลงใหญ่ ๆ มักจะฉีดยาฆ่าแมลงเพือฆ่าหนอนทีมีกัดกินใบคะน้า ดังนันผู้บริโภคจําเป็นจะต้องล้างผักคะน้าให้สะอาดก่อนนําไปปรุงอาหาร ปกติทีใบคะน้าจะมีสารจําพวกไข สีขาว ๆ เคลือบอยู่ด้วยตามธรรมชาติ เป็นสารทีไม่มีพิษแต่สารนีดูดซับเอายาฆ่าแมลงได้ ดังนันเวลาล้างใบ คะน้าจึงควรลูบเอาสารนีออก หรือ อาจจะใส่ผงฟู 1 ช้อนชา หรือ นําส้มสายชู เล็กน้อยลงในนําทีล้าง คะน้า ซึงจะสามารถกําจัดยาฆ่าแมลงได้ดีขึน ในกรณีทีมีบริเวณข้างบ้านเป็นทีว่างเราสามารถทําเป็นแปลงปลูกคะน้าเล็ก ๆ ไว้เก็บใบกิน ทําได้ ดังนี ทําร่องพรวนดินใส่ปุ๋ ยหมักให้ทัว ใช้เมล็ดคะน้าซึงมีใส่ซองขายทัว ๆ ไป นําไปแช่นํา 1 คืน แล้ว โรยลงบนแปลงทีเตรียมไว้ รดนําให้ชุ่มเสมอ ประมาณ 45 วัน ต้นคะน้าจะเจริญเต็มที ตัดยอดตัดใบไปกิน ได้ ให้เหลือโคนต้นพอประมาณ ต่อมาต้นคะน้าจะแตกยอดใหม่ให้เก็บกินได้อีก.
  • 21. 17 ข้อมูลอ้างอิง 1. คณะทํางานโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และ มูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศไทย (2541) มหัศจรรย์ผักสีเขียว 108 พิมพ์ครังที 2 กรุงเทพ มูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศไทย 2. คะน้า ผักธรรมดาทีไม่ธรรมดา (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.yourhealthguide. com/article/an-kana.html สืบค้น 26/11/2555 3. สรรพคุณ และ ประโยชน์ของผักคะน้า (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.adirek.com/ Stwork/fruitwet/kana.html สืบค้น 26/11/2555
  • 22. คิดก่อนซือ นําส้ม แบบไหน ดืม สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th ผู้บริโภคมักจะคิดกันว่านําผลไม้เป็นเครืองดืมเพือสุขภาพ เพราะต่างก็รู้ว่าผลไม้มีคุณค่าทาง โภชนาการสูง โดยเฉพาะนําส้มคันเป็นนําผลไม้ทีนิยมกันมาก นําส้มคันทีคันสด ๆ แล้วนํามาดืมทันที จัดเป็นนําส้มทีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน วิตามิน ในนําส้มนันจะเสือมคุณภาพ อย่างเร็ว ดังนันเพือให้นําส้มคงคุณค่าทางด้านคุณภาพอยู่ได้นาน และสะดวกในการขนส่ง จึงได้มีการผลิต นําส้มพร้อมดืม บรรจุในกล่องหรือภาชนะทีปิดสนิทออกมาจําหน่ายให้กับผู้บริโภค ซึงทีจริงแล้ว วิตามิน ซี ได้สลายไปเหลือน้อยมากหรือไม่มีเหลือเลย สิงทีเหลือมากก็คือ นําตาล ก. นําส้มและนํารสส้มบนชันในห้าง ข. นํารสส้มขวดใหญ่ สูตร 25 % สรรพสินค้า มีฉลากปิดขวด ตามตลาดนัด ไม่มีฉลากปิดขวด ค. น้ารสส้มขวดเล็กย่านชุมชนข้างถนนแยกเอกมัย ง. นํารสส้มขวดเล็กย่านชุมชนข้างถนนแยกบางกะปิ กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ ทังภาพ ค – ง ไม่มีฉลากปิดขวด อยู่ในตู้กระจก ใส่นําแข็งทับด้านบนเพือให้เย็น ภาพ ก. http://www.okanation.net/blog/print.oho?id-33581 ข. http://www.a2bfood.com/orange.juice.html
  • 23. 19 ทุกวันนีเราจะเห็นว่าตามชันวางเครืองดืมในร้านสะดวกซือ ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ จะพบ นําส้มพร้อมดืมมากมายหลายยีห้อ มีทังชนิดทีเป็น นําส้มแท้ 100 % นําส้มผสม ทีมีปริมาณนําส้มตังแต่ 25 % ขึนไป และอีกหลายยีห้อทีวางขายตามร้านเล็กร้านใหญ่ ทีมีนําส้มผสมเป็น หัวเชืออยู่ประมาณ 10 – 15 % เป็นนําทีมีการแต่ง กลิน สี รสทีสังเคราะห์ ให้คล้ายกับนําส้ม ซึงนําส้ม ประเภทนี ทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่ให้เรียกว่า นําส้ม แต่ ให้เรียกว่า นํารสส้ม ทีน่าเป็นห่วงอย่างมากก็ คือ ในปัจจุบันนีมีนํารสส้มขายกันเกร่อมากเป็นพิเศษ ทีใส่ รถเข็นขายตามข้างถนน ในย่านชุมชน ตามหมู่บ้าน หรือทําส่งตู้แช่ตามอพาทเมนท์ต่าง ๆ ตามตลาดสด ใส่ขวดพลาสติกมีนําแข็งใส่อยู่ด้านบนขวดใส่นํารสส้ม เพือให้เย็น โดยเฉพาะตามตลาดนัดทัว ๆ ไปมีนํารส ส้มขายอยู่หลาย ๆ เจ้า ขวดใส่นํารสส้มทีมีสีเหลืองแปร๊ด รสหวาน และขายดีด้วย และแต่ละเจ้ามีป้ าย เขียนตัวใหญ่ติดอยู่ทีตู้ใส่นํารสส้มว่า นําส้มคัน หรือ นําส้มคันสด 100 % ตามทีผมเฝ้าสังเกตดูทีตลาดนัดตอนเย็น และตามย่านชุมชนข้างถนน ทังเด็กและ ผู้ใหญ่ ก็ซือดืมกันและซือกลับบ้านด้วย ซึงนํารสส้มพวกนี ทํากันในบ้าน ในห้องแถว และเราไม่ทราบเลยว่า เป็น นําก๊อก(นําประปา) หรือ นําต้ม นํามาใส่สีเหลืองแปร๊ด ใสสารแต่ง กลิน รส ให้คล้ายนําส้ม บรรจุขวด พลาสติกเล็ก ๆ ขายขวดละ10 บาท ขายดีมากมีคนซือตลอดเวลา จะมี ความปลอดภัยจากเชือโรคหรือ จุลินทรีย์หรือไม่ ผู้บริโภคต้องรับผิดชอบตัวเอง นํารสส้มเหล่านีไม่มีฉลากปิดทีขวดอย่างใดทังสิน มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค โดยฉลาดซือ ได้เก็บตัวอย่างนําส้มและนํารสส้มพร้อมดืม ใน ท้องตลาด และจากชันวางเครืองดืมในห้างสรรพสินค้า จํานวน 22 ยีห้อ มาทําการทดสอบหา ปริมาณ นําตาล และ วิตามิน ซี ทีคนส่วนใหญ่คิดว่าส้มเป็นผลไม้ทีมีวิตามิน ซี สูง ดังนันเมือทําเป็นนําส้มแล้วก็ ยังมีวิตามิน ซี สูงเหมือนเดิม เป็นการเข้าใจทีคลาดเคลือน ผลการทดสอบนําส้มและนํารสส้มพร้อมดืม จํานวน 22 ยีห้อ คือ 1. นําส้ม นํารสส้ม สามอันดับแรกทีมีปริมาณ นําตาลสูง ได้แก่ 1.1 นํารสส้ม ฟรุ้ตฟิตฟอร์ฟัน มีปริมาณนําตาลถึง 12 ช้อนชาต่อขวด ขนาด 330 มิลลิลิตร ( 19.3 กรัม/100 มิลลิลิตร ) 1.2 นํารสส้ม มาลี จุ๊ซ มิกซ์ มีปริมาณนําตาลถึง 13.5 ช้อนชาต่อขวด ขนาด 350 มิลลิลิตร (16.4 กรัม/ 100 มิลลิลิตร) 1.3 นําส้ม 30 % ทิบโก้ คูลฟิต มีปริมาณนําตาล 11.5 ช้อนชาต่อขวดขนาด 300 มิลลิลิตร (16.3 กรัม/100 มิลลิลิตร
  • 24. 20 2. นําส้ม 100 % ทีไม่เติมนําตาล จะมีปริมาณนําตาลประมาณ 5.5 ช้อนชาต่อ 200 มิลลิลิตร(1 แก้ว) ส่วนนําส้มผสม จะมีปริมาณนําตาล โดยเฉลีย 12.8 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร หรือ ประมาณ 6 ช้อนชาต่อ 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) 3. นําส้ม นํารสส้ม ทีนํามาทดสอบวิตามิน ซี พบว่า ส่วนใหญ่ไม่มีวิตามิน ซี เหลืออยู่เลย หรือบางยีห้อ เหลือน้อยมาก ๆ บางผลิตภัณฑ์ทีระบุว่า มีการเติมวิตามิน ซี การทดสอบก็ไม่พบวิตามิน ซี ได้แก่ นําส้ม 25 % ฟิวเจอร์ นํารสส้ม 20 % โอเอชิ เซกิ 4. มีผลิตภัณฑ์อยู่ 3 ยีห้อ ทีพบว่ามีวิตามิน ซี อยู่มากว่า 20 มิลลิกรัม/100 มิลลิลิตร คือ 4.1 นํารสส้ม แบร์รี ซันเบลสท์ มีปริมาณ วิตามิน ซี 24 มิลลิกรัม 4.2 นําส้ม 40 % ยูเอฟซี มีวิตามิน ซี 23 มิลลิกรัม 4.3 นํารสส้ม อะมิโน โอเค มีวิตามิน ซี 20 มิลลิกรัม ข้อมูล 100 มิลลิลิตร เท่ากับ 106.9 กรัม (โดยประมาณ) 1 ช้อนชา เท่ากับ 4.2 กรัม ข้อมูลทางวิชาการโดย สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล คําแนะนํา สําหรับผู้ทีจะดืมนําส้ม และ นํารสส้ม 1. ปริมาณนําตาลทีนักโภชนาการแนะนําให้กินต่อวัน อยู่ระหว่าง 6 – 8 ช้อนชา ดังนันนําส้มพร้อมดืมจึง ไม่ควรเป็นเครืองดืมทางเลือกเพือสุขภาพ เพราะล้วนมีปริมาณนําตาลทีสูง เมือต้องการดืมก็ให้เลือกซือ กล่องทีมีขนาดเล็ก หรือแบ่งดืมเพือป้ องกันไม่ให้ได้รับนําตาลมากเกินไป 2. ข้อแตกต่างระหว่างผลไม้สดกับนําผลไม้ คือ เส้นใยอาหาร นําผลไม้ทีสกัดออกมาจากผลไม้ กากหรือ เส้นใยอาหารจะถูกแยกออกไป ทําให้ร่างกายดูดซึมนําตาลได้เร็วขึน แต่ไม่ช่วยเรืองการขับถ่าย ส่วนกิน ผลไม้สด จะมีเส้นใยอาหารมาก การดูดซึมนําตาลในกระแสเลือดได้ช้ากว่า และยังช่วยในเรืองการขับถ่าย อีกด้วย 3. นําส้ม เสือมคุณภาพได้ง่าย ดังนันควรเลือกซือจากผู้ผลิตทีได้มาตรฐาน มีเครืองหมาย อย. ทีได้รับรอง จาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) 4. วิตามิน ซี ในนําส้มถูกทําลายได้ง่าย กว่าทีเครืองดืมนําส้มมาถึงผู้บริโภค ผ่านการขนส่ง ผ่านความร้อน การจัดเก็บในสถานทีต่าง ๆ อาจโดนทังแสง ความร้อน ทําให้ปริมาณวิตามิน ซี ลดลงเรือย ๆ จนอาจไม่ สามารถวัดค่าได้อีก 5.ไม่แนะนําสําหรับสาว ๆ ทีต้องการมีหุ่นทีงามแบบนางเอก ดืมนํารสส้มบ่อย ๆ เพราะว่าเป็นเครืองดืมทีมี นําตาลค่อนข้างสูง เสียงต่อโรคเบาหวานและโรคอ้วน
  • 25. 21 ข้อมูลอ้างอิง 1. ทัศนีย์ แน่นอุดร เมือนําส้มจะทําร้ายนางเอก นิตยสารฉลาดซือ ฉบับที 89 ปีที 15 กรกฎาคม 2551 หน้า 29 – 31 2. ศูนย์ทดสอบฉลาดซือ ประเภทอาหาร/สุขภาพ (Online) เข้าถึงได้จาก http://www. chaladsue.com/index.php/Food-health/512-98-orange-juice.html สืบค้น 4/03/2556 3. LOW vitamin C - HI sugar (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.okanation.net/blog/ print.php?id=322550 สืบค้น 4/03/2556
  • 26. คึนช่าย (Celery หรือ Smallage) สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th คึนช่าย เป็นพืชผักทีนํามากินได้ทังสดหรือปรุงอาหารก็ได้ ในขณะเดียวกันคึนช่ายก็เป็นทังอาหาร และยาได้ด้วย คึนช่ายมีชือวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens Linn. และจัดอยู่ในวงศ์ Apiaceae คึนช่าย จัดเป็นไม้ล้มลุก มีอายุอยู่ได้นาน 1 – 2 ปี มีชือพืนเมืองเรียกต่าง ๆ กัน เช่น ทางภาคเหนือเรียก ผักปืน ผักข้าวปืน จีนกลางเรียกว่า ฮันฉิน ฉันฉ้าย แต้จิว เรียกว่า ฮังขึง ขึงช่าย ภาษาอังกฤษเรียกว่า Celery , Smallage คึนช่ายมีทังในยุโรปและเอเซียซึงในยุโรปนันจัดเป็นพืชพืนเมืองของยุโรปตอนใต้ ลําต้น มีลักษณะกลม มีช่องว่างกลวงข้างใน สูงประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร มีสีเขียวหรือ เขียวอ่อน ใบ เป็นใบรวมประกอบด้วยใบย่อย 2 – 3 คู่ ขอบใบมีลักษณะหยักเป็นแฉกลึก แต่ละแฉกมี ลักษณะเป็นรูปสามเหลียม หรือห้าเหลียม ทังลําต้นและใบมีกลินหอมเฉพาะตัว ดอก ออกเป็นช่อมีลักษณะคล้ายกับซีร่ม ตรงส่วนยอดของดอกแผ่เป็นรัศมี ดอกมีขนาดเล็กแบบ สมบูรณ์เพศ ผล มีขนาดเล็กมีลักษณะกลมรี มีสีนําตาล จะให้ผลเพียงครังเดียว ผลมีกลินหอมเหมือนกับลํา ต้นและใบ ก. แปลงปลูกคึนช่ายในถุงปลูก ข. ต้นคึนช่าย ง. ปลาช่อนผัดคึนช่าย. ภาพ ก. http://www.bansuanporpeang.com/node/4484 ข. http://www.chatchawan.com/th/Productlist.aspx?id=1 ค. http://kiattisaklove.blogspot.com/2012/09/blog-spot_6973.htm
  • 27. 23 สรรพคุณ หรือ ขัอมูลทางด้านคลีนิค 1. คึนช่ายมีสรรพคุณจัดเป็นพืชสมุนไพรหรือเป็นยา ทําให้หลอดเลือดขยายตัว จึงช่วยลดความดัน โลหิตได้ 2. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด 3. ช่วยทําให้นอนหลับได้ดี 4. ช่วยในการขับปัสสาวะได้ดี เหมาะสําหรับคนทีมีปัญหาเรืองไต เพราะคึนช่ายเป็นแหล่งทีมี เกลือโซเดียมตํา 5. เมล็ดช่วยในการขับลม และระงับอาการปวด 6. รากช่วยในการปวดตามข้อหรือโรคเก้าท์ นํามันหอมระเหย ลําต้นและใบของคึนช่ายมีกลินหอม เนืองจากมีนํามันหอมระเหย คือ ไลโมนีน (Limonene) ซิ ลินีน (Silinene) ฟธาไลด์ (Phthalides) ดังนันเมือนําคึนช่ายไปปรุงอาหาร อาหารนันจึงมีกลินหอมชวน รับประทาน คุณค่าของอาหารส่วนทีกินได้ของคึนช่ายสด 100 กรัม 1. ให้พลังงาน 13 กิโลแคลอรี 2. โปรตีน 1.6 กรัม 3. ไขมัน 0.5 กรัม 4. คาร์โบไฮเดรท 0.5 กรัม 5. แคลเซียม 151.00 * มิลลิกรัม 6. ฟอสฟอรัส 40.0 มิลลิกรัม 7. เหล็ก 13.7 มิลลิกรัม 8. ไวตามิน บี 1 0.04 มิลลิกรัม 9. วิตามิน บี 2 0.18 มิลลิกรัม 10. ไนอาซีน 0.6 มิลลิกรัม 11. วิตามิน ซี 34.00 * มิลลิกรัม 12 ใยอาหาร 2.7 กรัม ข้อมูล กองโภชนาการ กรมอ นามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดงคุณค่าของ อาหารไทย. 2535 * วิเคราะห์โดย สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • 28. 24 วิธีเลือกและเก็บขึนฉ่ายให้อยู่ได้นาน จากนิตยสาร ชีวจิต ฉบับที 295 ปีที 13 15 มกราคม 2554 หน้า 22 ผกาทิพย์ ขันติพงษ์ ได้แนะนําเรืองการเลือกและเก็บคึนช่ายไว้นาน ๆ จากเรือง คึนช่าย ยาความดันจากยุคโบราณ ว่า การ เลือกคึนช่าย โดยดูทีต้นสด ๆ เนือเปราะ ไม่เหนียว ใบสีเขียวอ่อน ล้างนําให้สะอาด วางผึงลมให้แห้ง แล้วนําใส่ในกล่องพลาสติกหรือใส่ถุงพลาสติกปิดปากถุงให้มิดชิด เก็บในตู้เย็นช่องแช่ผัก นอกจากนียัง ได้แนะนําการคันนําจากคึนช่ายดืม โดยใช้คึนช่ายสดประมาณ 1 กํามือ ใส่ในเครืองบดและกรองด้วยผ้า ขาวบางทีสะอาดใช้นําทีคันได้ดืม. ข้อมูลอ้างอิง 1. คณะทํางานโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล และ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย (2541) มหัศจรรย์ผักสีเขียว 108, พิมพ์ครังที 2. กรุงเทพฯ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย. 2.คึนใช่(ขึนฉ่าย) (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.samunprithai.com/herbs/?p=262 สืบค้น 14/11/2555 3. คึนใช่ ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน (Online) เข้าถึงได้จาก http://doctor.or.th/article/detail/6876 สืบค้น 14/11/2555 4. ใครอยากรู้ ตังโอ๋ กับ คึนช่าย ชนิดเดียวกันหรือเปล่า (Online) เข้าถึงได้จาก http://talk.mthai.com/topic/101174 สืบค้น 14/11/2555
  • 29. คุณค่าของ ผักปลัง สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th ผักปลัง เรียกได้ว่าเป็นพืชผักพืนบ้านของคนไทยมานานแล้ว มีอยู่ทุกภาคของประเทศ แต่ทีนิยม ปลูกรับประทานกันมากก็คือทางภาคเหนือและภาคอิสาน โดยนํายอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน มา รับประทานเป็นผักสด หรือนําไปต้น ลวก เป็นผักจิมกับนําพริก เป็นต้น ถินกําเนอดของผักปลัง ผักปลังมีถินกําเนิดอยู่ในเอเซีย และ แอฟริกา ชอบสิงแวดล้อมทีมีความชุ่ม ชืน โดยเฉพาะในฤดูฝนผักปลังจะจเริญงอกงามมาก ลักษณทางพฤกษศาสตร์ ผักปลังจัดอยู่ในวงศ์ (Family) บาเซลลาซีอี (BASELLACEAE) มีอยู่ 2 ชนิด คือ ผักปลังขาว มีชือวิทยาศาสตร์ว่า Basella alba Linn. มีลักษณะสีเขียวหรือเขียวอ่อน ตามตลาด ในต่างจังหวัดจะมีผักปลังขาวขายอยู่ทัว ๆ ไป และ ผักปลังแดง มีชือวิทยาศาสตร์ว่า Baseelala rubra Linn. มีลักษณะสีแดง ๆ หรือแดงอมม่วง ทังผักปลังขาวและผักปลังแดงจัดเป็นไม้เลือย ลําต้นกลม อวบ นํา ไม่มีขน ลําต้นสีเขียวหรือสีแดงอมม่วง ใบ ดอก ผล ภาพ http://www.prc.ac.th/lannagardrm/taowan0.5.html ใบ มีลักษณะกลม ๆ รูปไข่ เรียงสลับกัน ตัวใบกว้าง 2 – 6 ซม. ยาว 2.4 – 7.5 ซม. ใบมีลัดษณะเป็น มัน ไม่มีขน ส่วนทีเป็นลําต้นหรือเถาว์นันยาวได้หลายเมตร แตกกิงก้านสาขาได้มาก ดอก ดอกมีลักษณะเป็นช่อตามซอกใบมีขนาดเล็ก ดอกของผักปลังขาวมีสีขาว ๆ ดอกของผักปลัง แดงมีสีแดง ๆ หรือ สีขาวอมชมพู ดอกผักปลังทังสองชนิดมีขนาดเล็กขนาด 5 – 6 มม.
  • 30. 26 ผล เมือแก่เต็มทีจะมีสีม่วงอมดํา มีเนือนิมภายในผลมีนําสีม่วงดํา คุณค่าทางโภชนาการ ผักปลัง 100 กรัม ให้คุณค่าทางโภชนาการ ดังนี ให้พลังงาน 21 กิโลแคลอรี โปรตีน 2.0 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม แคลเซียม 4.0 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 50 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามิน เอ 9316 IU วิตามิน บี 1 0.07 มิลลิกรัม วิตามิน บี 2 0.20 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.1 มิลลิกรัม วิตามิน ซี 26.0 มิลลิกรัม นอกจากนีผลสุกของผักปลังทีมีสีม่วงแดง ยังประกอบด้วยสาร แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) : ซึงสามารถสกัดโดยการบดให้ละเอียดคันเอานําทีมีสีม่วงแดง มาใช้แต่งสีอาหาร ประเภทของหวานได้ เช่น ขนมบัวลอย ขนมเปียกปูน ขนมนําดอกไม้ หรือ สลิม ได้ และยังผสมนําสะอาดทําเป็นเครืองดืมได้อีก ด้วย แต่สีทีสกัดได้จากผล นันยังมีปริมาณน้อย คือประมาณ 4.48 % นอกจากนีในทางการแพทย์แผนไทย จัดว่าผักปลังเป็นพืชสมุนพรด้วย สามารถใช้ส่วนต่าง ๆ ของ ผักปลังในการรักษาโรคบางชนิด เช่น ก้าน ลําต้น มีสรรพคุณแก้ท้องผูก ใช้เป็นยาระบายท้อง ใบ ใช้ขับ ปัสสาวะ เป็นต้น เวบไซท์ข้อมูลอ้างอิง 1. ผักปลัง บ้านสวนพอเพียง (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.bansuanporpeang.com/ Taxonomy/term/1232 สืบค้น 20/11/2555 2. ผักปลัง สารพันประโยชน์ต่อสุขภาพ (Online) เข้าถึงได้จาก http://kwangrice. Bolgspot.com/2013/02/blog-post_314.html สืบค้น 20/11/2555 3. ผักปลัง (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.prc.ac.th/lannagardrm/taowan0.5.html สืบค้น 23/11/2555 4. ผักปลัง พืชผักสวนครัว (Online) เข้าถึงได้จาก http://www.aopdh06.doae.go.th/ Settakitporpeang.htm สืบค้น 23/11/2555
  • 31. ชิงเฮา (Qinghao) สุนทร ตรีนันทวัน strin@ipst.ac.th ชิงเฮา จัดเป็นพืชสมุนไพรทีมีสรรพคุณในการรักษาโรคมาลาเรีย ซึงสมุนไพรทีทีมีสรรพคุณใน การรักษาโรคมาลาเรียนันมีหลายชนิด จาก นิตยสาร ชีวจิต ฉบับที 81 ปีที 4 16 กุมภาพันธ์ 25445 หน้า 92 แพทย์หญิง ดวงรัตน์ เชียวชาญวิทย์ ผู้อํานวยการ โรงพยาบาลบาง กระทุ่ม จังหวัด พิษณุโลก กล่าวว่า พืชสมุนไพรทีใช้รักษาโรคมาลาเรียทีดีมากในขณะนีคือ สมุนไพรทีชือ ชิงเฮา เป็นชือในภาษาจีน มีชือ วิทยาศาสตร์ว่า อาร์ทีมีเซีย แอนนูอา ( Artemesia annua L ) จัดอยู่ใน วงศ์ Compositae เป็นพวกไม้ล้มลุก อายุ 1 ปี หรือเป็นพืชในฤดูกาลเดียว (Annual plant) ชิงเฮา เป็นพืชสมุนไพรมีถินกําเนิดในประเทศจีน พบมากตามเนินเขาและทีรกร้าง เป็นพืช สมุนไพรทีชาวจีนใช้กันมานานแล้วประมาณ 2,000 ปี ในตํารายาจีนโบราณใช้สําหรับลดไข้ และรักษา โรคมาลาเรีย และ ในปัจจุบันนีพบได้ในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม ไซบีเรีย อินเดีย อเมริกาเหนือ ทวีปแอฟริกา สําหรับประเทศไทยก็มีการนําชิงเฮามาปลูกในทางภาคเหนือ ของประเทศ ก ต้นชิงเฮา ข ยอดต้นชิงเฮา ภาพ ก http://www.myfirstbrain.com/thaidata/images.asp?ID1739654 ภาพ ข http://image.dek-d.com/23/825116/asp%3FID%3D17396548 ลักษณะของต้นชิงเฮา ลําต้น ลําต้นสูงประมาณ 1 – 1.5 เมตร ลําต้นมีลักษณะกลม มีสีเขียวเหลือง กิงเปราะหักง่าย ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมีขนาดเล็กมาก ปลายใบแหลม ท้องใบมีสีเขียวเข้ม หลัง ใบมีสีเขียวอ่อน มีขนสัน ๆ ทีใบทังสองด้าน