SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 24
Baixar para ler offline
ซุปเปอร์แมน
กับพระธุดงค์
พิมพ์ครั้งแรก
นวนิยายขนาดสั้น เรื่องสั้นขนาดยาว ซีรี่จบในตอน
ชื่อหนังสือ ซุปเปอร์แมน กับพระธุดงค์
ผู้แต่ง วังเวง วิเวกวุ่น
ปีที่พิมพ์ 19 กรกฎาคม 2556
โดยสานักพิมพ์ อโศกอาศรม
เลขมาตรฐานสากลประจาหนังสือ (ISBN) 947-7032-99-9

ราคา 10 บาท
บทนา
ฉันบังเอิญเหาะได้
เมื่อครูยังอยู่แถวปิ่นเกล้า เหนือถนนบรมราชชนนี ตอนนี้มาอยู่เหนือถนนปู่เจ้า
่
สมิงพราย แถวสาโรงใต้
ลัดนิ้วมือเดียวเท่านันในด้านเวลา แต่ลดข้ามฝังของเมืองหลวงในด้านระยะทาง
้
ั
่
เพียงแค่ใจนึกอยาก จะมาสัมผัสรับรู้ถึงอารมณ์เก่าๆเมื่อกาลก่อน เพียงแค่อยาก
มาย้อนดูภาพของอดีตจากสถานที่ของอนาคต เพียงอยากจะมาระลึกนึกถึงคนๆหนึง
่
ซึ่งยังแอบซุกอยู่ในร่องของสมอง ทังๆที่มันก็นานมามากแล้ว มันลางเลือนเหมือนภาพ
้
ในความฝัน และเนินนานเหมือนความทรงจาในคุก
่
เพียงแค่ใจนึกอยาก ร่างกายของฉันก็ลิ่วลอยพุ่งไป เหมือนร่างกายโดนกระชาก
ไป กระชากไปด้วยแรงแสนพิเศษ เปรียบดังไปด้วยแรงกระพือของปีกพญาครุฑ เพียง
่
แค่ฉันมีปีก ฉันก็จะเป็นดั่งพญาครุฑ พญาครุฑที่แม้พญานาคตั้งพันตัวก็มิอาจหยุดฉัน
ได้ ถ้าอยู่บนอากาศฉันก็เป็นเจ้าแห่งฟ้า แต่ยังดีที่ฉันไม่มีจงอยปาก เหมือนนก นาง
กินรียกไม่มีจงอยปาก แต่ทว่าฉันเป็นผูชาย อย่างไรเสียขาของฉันก็ยังเป็นคน ไม่ใช่
์็
้
ขานกอย่างที่นางกินรียนั้นเป็น ฉันไม่อยากมีปก แต่ฉันพอใจมากที่ฉนบินได้ ฉันไม่
์
ี
ั
อยากมีขาเป็นกรงเล็บเหมือนเหยี่ยว แต่ฉันก็อยากมีเท้าอันแข็งแรงไว้ขยุ้มกิ่งไม้ ฉันมี
ความอยาก และไม่อยากที่ขัดกันอยู่
เพียงแค่ใจนึกอยากจะไปไหน ฉันก็จะไป ไม่ตองเดินย่าต๊อกต๋อย ต่าต้อยเหมือน
้
กาลก่อน จะกล่าวไปไยกับการเหาะเหิรเดินอากาศ เมื่อก่อนแม้ไม่มีค่ารถ ฉันก็ไม่สน
ถ้าฉันอยากไป ฉันก็ไป บางทีต้องเดินหลายๆกิโลเพื่อแค่ได้ไปนั่งเรือข้ามไปฟากโน้น
ฉันก็พอใจแล้ว อีกฟากที่ฉันไม่ได้อาศัยอยู่
จากมุมนีฉันเห็นแม่น้าเจ้าพระยาเหมือนงูตัวใหญ่สีตม ไหลเลื้อยลงมาโอบล้อม
้
เมืองนี้ไว้ เพียงแค่มันไม่หลีกหนีไปไหนมาไหนเลยเท่านัน เพียงแต่มันอาจจะตัวใหญ่
้
ขึ้น แต่นึกดูอีกทีลาน้าที่เคยอยู่ตรงนี้ มันก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว มันไหลไปทุกวัน-เวลา
เหมือนมีชีวิต ก่อนที่งูใหญ่ตัวนี้จะมุดหัวลงไปในทะเลตรงปากน้าเมืองสมุทรปราการ
ไอหมอกจากแม่นาลอยเอื่อขึ้นปะปนกับละอองฝุ่นควันในอากาศชั้นบน แต่กลินอ็อกซิ
้
่
เยนก็ยังเหมือนเก่า กลินแม่น้าเจือลมทะเลที่โชยอ่อนเหมือนจะคอยพัดผิวหัวใจของ
่
คนงานทีหน่ายร้อนเหนื่อยล้าจากงานโรงงานให้คลายผ่อนยังเหมือนเก่า ดวงอาทิตย์
่
กลมโตสีส้มทีกาลังเข้มขึ้นเพื่อที่จะจางจบแสงสุดท้ายก่อนลับตาในม่านเมฆสะท้อน
่
แสงลงบนผืนน้าสีดาทีมีระลอกคลื่นจากแรงเรือทาให้เกิดแสงระยิบระยับยังเหมือนเก่า
่
หลายสิ่งหลายอย่างได้แปรเปลี่ยนไปแต่บรรยากาศโดยรวมแล้วยังเหมือนเก่า คนเรา
มองโลกด้วยปัจจัยอันเก่า ดวงตาดวงเก่า ดวงใจดวงเก่า ก็ไม่แปลกที่จะเห็นสิ่งๆเดิม
เหมือนเก่า ด้วยลมหายใจเก่าๆ และมโนวิญญาณเก่าๆ ทาให้ภาพความจาในอดีตมันฟุ้ง
ขึ้นมาเหมือนตะกอนในน้าที่ถูกกวน
ฉันเล็งหาที่เหมาะๆ เพือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ ตอนเหาะขึ้นไม่
่
ยากเท่าไหร่ มันยากอีตอนลง ในเขตชุมชนมันยากที่จะดิ่งลงไปบนพืนดินอย่างรวดเร็ว
้
กว่าที่ใครจะทันได้สังเกตเห็น อีกอย่างฉันก็ไม่มีความสามารถพอที่จะเหยียบลงพืน
้
โดยนิ่มนวลเหมือนผีเสื้อ หรือแมลงปอได้ ผีเสื้อมันใช้ปีกทีพามันไปนั่นแหละเป็นกระ
่
บังต้านลมและความโน้มถ่วงของโลก ขณะที่แมลงปอจะลงจับกิ่งไม้ดวยขาที่แข็งแรง
้
และ
ยืดหยุ่นพอที่จะรับน้าหนักตัวไม่ให้เกิดการกระแทกเสียง แต่ถึงแม้ถามีใครทาได้อย่าง
้
เงียบเชียบเช่นนั้นจริงๆ ความเร็วและการหยุดลงกะทันหันนั้นแหละ ที่จะฟ้องตัวมัน
เองออกมาเป็นสายลมกระชาก
มันจะไม่มีผลดีอะไรแน่ถ้ามีคนเห็นฉันเหาะ มันจะไม่มีผลดีอะไรกับโลก และ
สังคมมากนัก และมันจะไม่มีผลดีอะไรกับฉันเลย มากไปกว่ายอดขายของข่าว
หนังสือพิมพ์ ที่ลงภาพของนางงามคนใหม่ หรือมนุษย์ประหลาดน่าสมเพศ มากไป
กว่ายอดวิวเข้าชมคลิปหลุดดารา หรือนักเรียนตีกัน มากไปกว่าเรื่องคุยตอนเช้าของ
นักข่าวเล่าเรื่อง หรือแม่ค้าร้านตลาด ผู้คนอาจจะคุยกันในแง่เป็นเรื่องแปลกลึกลับ
ประมาณเห็นผีกระสือมากกว่า
ฉันเล็งหาที่ลงแถวชายดงพงป่านั่นแหล่ะเหมาะที่สุด เพียงระวังไม่ให้แขนเสื้อ
สะบัดไปเกี่ยวกิ่งไม้เพราะจะทาให้เสียหลัก แต่แถวนี้เป็นดงโรงงานจะหาดงป่าไม้ที่
ไหนได้ ลานกว้างๆเช่นสนามฟุตบอล หรือทุงร้างกลางนาก็เป็นที่จับสังเกตได้ทั้งใน
่
มุมกว้างและระยะไกล กระนั้นเมื่อฉันหยุดเหาะแล้วก็ไม่ต่างกับเป้านิง ที่ฉันกลัวที่สุด
่
คือมือถือ สมัยที่โทรศัพท์บ้านใกล้กาลสูญพันธุ์ คนสมัยนี้ก็ติดเชืออะไรสักอย่าง ทีทา
้
่
ให้เกิดอาการคือ ไม่อยากให้อะไรผ่านไปเปล่าๆง่ายๆ ชอบถ่ายอะไรๆเก็บไว้ และชืน
่
ชอบกับการที่มีผู้มาเชยชมสื่อที่เจ้าตัวเผยแพร่ ยิ่งมากยิ่งภาคภูมิ ผิวเผินคล้ายการ
แบ่งปัน เผยแผ่คล้ายเป็นศาสนา แต่อาการเหมือนติดโรคระบาด ใครโดนเชื้อทางตา
แล้วต้องแพร่ภาพต่อๆกันไปให้เพื่อนฝูงเหมือนตาแดง ยิ่งคลิปโดนแอบถ่ายตอนเผลอ
ยิ่งโดนโรคกับคนพวกนี้ จึงมีพวกหัวหมอตั้งใจทาให้เหมือนเผลอ แล้วตั้งใจหลุดมาก็มี
ที่ฉันไม่เข้าใจคือ ภาพกิจ-กาม, กิจกรรมธรรมดาสัตว์ ที่คนเราควรทากันในที่ลับตา ที่
คนเราควรทากันตามลาพัง ที่คนเราควรทากันโดยไม่หลับเผลอ กลับเป็นกิจกรรมที่
เปิดเผย และแพร่ภาพนากลับมาฉายซ้าแล้วซ้าเล่า กลายเป็นสินค้าไร้ราคา กร่อนคุณค่า
ในปัจจุบันของเจ้าของภาพ และแทบจะอุปมานได้ว่ากรรม-กามเก่านัน จะต้องตามต้อย
้
ติดถึงภพหน้า ถึงรุ่นลูก รุ่นหลานไม่ผิด คนที่ทาเช่นนั้นเขาคิดอย่างไรกันนะ คิดว่าอดีต
เป็นของควรเก็บจา หรือควรปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าความทรงจาทีดีใน
่
อดีต มันอาจย้อนมาทาร้ายเราในอนาคตได้ แต่ก็เป็นความจริงที่ศาสนาก็สอนให้ปล่อย
วางกันทังนัน และอันทีจริง คนเราก็เป็นสัตว์ชนิดหนึงไม่ใช่เหรอ ผิดที่ไหนที่จะร่วม
้ ้
่
่
เพศกันแบบเปิดเผยได้บ้างเหมือนสัตว์
ฉันเล็งเห็นดาดฟ้าของห้างใหญ่แห่งหนึ่งแถวสาโรงเหนือเป็นจุดเล็กๆสีขาว
เห็นเหมือนภาพที่เราดูในกูเกิ้ลเอิร์ท และเกือบเท่าความคิดฉันก็ลงมายืนอยู่บนดาดฟ้า
ห้างนั้นแล้ว พอดีที่บนห้างแห่งนันเคยเป็นสวนน้า เคยเป็นสวนสนุก ฉันเคยพาลูกๆมา
้
เดินเที่ยวอยู่ครั้งหรือสองครั้ง ก็จาไม่ได้ แต่บางทีฉันก็อยากลืมๆไปว่าฉันเคยมีลูก บาง
ทีฉันก็ลืมไปแล้วว่าฉันเคยมีลูก แต่ตอนนี้ผ่านมา ไม่ความบังเอิญก็ความรู้สึกอยากรื้อ
ฟื้น ความทรงจามันวาบเข้ามาขณะหนึง เป็นขณะเดียวกับตอนหาลานลงจากฟ้า เป็น
่
ขณะเดียวกับที่เห็นป้ายโฆษณาชุดนักเรียนตราสมอ เป็นขณะ เดียวกับที่เกิดภาพ
เด็กผู้หญิงหัวเราะร่วนกาลังวิง-กระโดดเข้าหาพ่ออยู่ในหัว เป็นขณะเดียวกับที่เห็นภาพ
่
เด็กผู้ชายในชุดหมีสีเขียวนอนคว่ากามือในท่าเหาะบนเบาะฟองน้า และเป็นขณะ
นั้นเอง ที่ขาทังสองข้างกระแทกพื้น การลงอย่ารวดเร็วรุนแรงไม่สามารถหยุดได้
้
กะทันหัน แม้เกิดการกระทบกระเทือนหัวสมองในกระโหลกแต่เท้าก็ยังสืบต่อตั้งหลัก
แม้จะสะเทือนไปทั้งตัว แต่มือไม้ก็ยังป่ายเปาะปะหาที่ค้าประคอง ได้ราวกั้นสระน้า
เป็นที่พยุงตัว ก่อนล้มลงนั่งตรงขั้นบันได เท้าถึงกับชา ขาถึงกับสั่น พักเรี่ยวแรงและ
ตรึกคิด ความทรงจาเกิดก่อนจะมาถึง หรือพึ่งเกิดตอนที่มาถึงแล้วก็ยากที่จะรื้อฟื้น มัน
คงเกิดขึ้นพร้อมๆกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เพราะจิตคิดเห็นภาพ-ร่างกายจึง
มาถึง เพราะร่างกายมาถึง-จิตจึงเห็นภาพ ภาพแห่งความสุข ผู้คนกาลังยิ้มแย้มระเริงร่า
อากาศแจ่มใส ไอแดดร้อนเร่าแต่ทว่าร่าเริง เป็นภาพซ้อนอยู่ในสายตา เคยมีน้าเปี่ยม
ปริ่มอยู่ในสระตรงหน้า แสงแดดไสวสว่างส่องทะลุนาใสๆถึงพื้น บ้างสะท้อนกลับใส่
้
หน้าผู้ที่แหวกว่ายเล่นอยู่ระยิบระยับ แสงแดดอุ่นสดใส สายน้าเย็นสดชื่นทุกอณู ในน้า
หลากสระ สระน้าหลากสีสัน เล่นระดับลวดลายกันเบื้องหน้า บนไสลเดอร์หลายเส้น
หลากสี มีการแสดงลีลาของผู้กล้าท้าแรงโน้มถ่วงเวียนวนไหลกายลืนลู่ลงสู่สระ แม่ผม
่
เปียกยาวลู่ไหล่-ลูกชายตัวน้อยสะบัดวิดน้าใส่กัน พ่อแกล้งปล่อยลูกสาวตัวน้อยที่กาลัง
จะร้องไห้บนห่วงยางแต่แค่หยอกแล้วก็โอ๋ พีชาย-น้องสาวกาลังวิงแข่งกันไปปีนสไล
่
่
เดอร์ของเด็ก ภาพใบหน้าของแต่ละคนวนเวียนเข้ามาซ้อนอยู่ตรงหน้าแจ่มชัดเหมือน
พึ่งจะเกิดเมื่อวาน ชั่วขณะที่หัวใจมันเหม่อเพ้อดิ่งพุ่งสู่ความทรงจานัน ในด้านเหตุผล
้
บอกว่าน่าจะลืมเพราะเรื่องมันนานนมเนมาแล้ว แต่ส่วนเหนือเหตุผลนั่นแหละที่เฝ้า
ตรึกฝืนตรองอยากให้มนชัดขึ้นยิงกว่าเดิม ทันใดนั้นหูก็แว่วยินเสียงเด็กผู้ชายแว่วอยู่ใน
ั
่
หู "พ่อๆอยากเล่นสไลลื่นครับ"
หูมันได้ยินอย่างนั้นก็จริง แต่ใช่ว่าเสียงมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อเสียงมัน
กระทบประสาทเข้ามาในสมองแล้ว เสียงนั้นมันก็สลายตัวผ่านไป แต่ในสมองนี้กลับ
จดจาเสียงนั้นเป็นรูปแบบใหม่ ซึ่งมีการปรุงแต่ง อาจมีการประทับด้วยความทรงจา
ใหม่ก่อนที่ความทรงจาเก่าๆจะผุดขึ้นมาเข้าร่วมเป็นการประสานเสียงภายในของวงออ
เครตต้าที่ไม่ใช้เสียง เมือเหลียวมองรอบด้านไม่มีใคร มีแต่ความว่างเปล่า ฉันจึงคิดเอา
่
ว่า หูคงแว่วไปเองหรือความจาเก่ามันผุดขึ้นมา แต่มนผุดขึ้นมาแรงเกินไปจนเกิดเป็น
ั
เสียงในสมอง
ฉันเดินสารวจสวนน้าเก่าเปล่าร้างไร้ผู้คนและอารมณ์ พื้นแห้งๆและมีฝุ่นจับ
เป็นคราบ อุปกรณ์เครื่องเล่นถูกปล่อยไว้ไร้ประโยชน์ ม้าโยกที่เคยสร้างความสุขให้
เด็กๆเมื่อยามขึ้นขย่ม สร้างรอยยิ้มของพ่อแม่เมือเห็นลูกหัวเราะ เป็นแค่ที่เกาะโยงของ
่
ใยแมงมุมร้างๆ เจ้าของใยคงขาดแคลนจัดจนต้องทิ้งถินฐาน เคลื่องชูตลูกบ๊าตฯ ตั้งอยู่
่
อย่างโดดเดี่ยว ของทีพอใช้การได้ถูกย้ายออกไปหมด เหลือเพียงของที่ทิ้งร้างเพราะถูก
่
ใช้งานจนคุ้มควรและหมดความหมาย ความรูสึกเสียวซ่านแล่นไปตามสันหลัง ขนลุก
้
วาบขึ้นจนถึงหัว เหมือนอารมณ์ของคนในอดีตที่เคยผ่านมาที่แห่งนี้นนมันรวมกันเป็น
ั้
กระแสและไหลวูบเข้าสูเ่ ส้นประสาทของฉัน พลันคิดว่าคนเหล่านั้นไปอยู่ไหนกันบ้าง
เป็นอย่างไรกันบ้าง อะไรๆที่สร้างความสุขของคนเมื่อครั้งโน้น อาจไม่ได้สร้าง
ความสุขให้คนในยุคนี้ และ อะไรๆที่สร้างความสุขให้คนยุคนี้ อาจไม่สามารถสร้าง
ความสุขให้กับคนรุ่นถัดไป
ฉันเห็นประตูกระจกบานหนึ่งถูกคล้องด้วยสายโซ่ด้านในนัน พลางสอดส่องหา
้
ช่องทางที่จะเข้าไปด้านใน ไม่มีความจาเป็นที่จะต้องจ้างยามมาเฝ้าสถานที่แบบนี้
สถานทีซึ่งกลายเป็นอดีต มียามเคยยืนเปิดประตูอยู่แถวนี้ ฉันก็เคยเป็นแบบยาม ทา
่
หน้าที่ของยาม สัญลักษณ์ของความปลอดภัย แม้ยามส่วนใหญ่จะไม่ได้ทาหน้าที่รักษา
ความปลอดภัยอะไร เป็นเพียงหน้าฉากของงานบริการเท่านั้น ฉันก็เหมือนกัน ฉันมา
ในรูปลักษณ์ที่นาปลอดภัย ชุดฟอร์มดูคล้ายๆตารวจแต่มองดูแล้วอบอุ่นใจและสนิทใจ
่
กว่า อาจเป็นสังคมที่ฉนเคยอยู่ทาให้คิดนึกอย่างนี้ เพราะเราหลอกตัวเองไม่ได้ ตัวเรา
ั
เองนั่นแหละที่โดนหลอกอยู่ ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราโดนหลอกอยู่ เราก็จะโดนหลอกอยู่
ร่าไป ชุดยามที่ฉันสวมใส่มามีสีน้าตาลอ่อนแบบชุดลูกเสือ แต่เข้มกว่าหน่อย คล้ายสี
กากีแต่ไม่ใช่แบบของตารวจ ฉันจงใจให้ใครต่อใครเห็นฉันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้อยาก
ปิดบังตัวตนที่แท้จริง แต่เพื่อความกลมกลืนทางจิตใจต่อผู้ที่พบเห็น ไม่อยากโอ่อา
่
โดดเด่นดึงดูดสายตาด้วยชุดฉูดฉาด คนอวดไม่จาเป็นต้องเก่ง ฉันไม่เก่งและไม่อวด
มันขัดความเป็นจริงทางธรรมชาติที่คนเก่งและคนโง่จะอยู่ในตัวคนเดียว ชุด
ประหลาดๆทาให้ฮีโร่ดโง่ ฉันไม่ได้อับอายในความแปลกเหนือมนุษย์แต่ก็ไม่อยาก
ู
เปิดเผย พวก ร.ป.ภ. รู้ดกว่า ถึงแม้ว่าจะหลอกตัวเองอยู่ทุกวันว่านี่เป็นอาชีพสุจริต แต่ก็
ี
หลอกได้แค่จิตส่วนคิดหาเหตุผล เพราะลึกๆกว่านั้นมันก็ยังค้านตัวเองว่าเราไม่ได้เป็น
ผู้รักษาความปลอดภัยโดยกาเนิด เราทาแค่ชั่วคราว ทาแค่รอโอกาส ทาแค่รอเวลาสัก
วัน รอแค่ใครสักคนจะมองเห็นศักยภาพแท้จริงอันซ่อนอยู่ในตัวเรา
ชุดยามอันกลมกลืนกับความปลอดภัย พาฉันผ่านมาถึงถนนด้านล่างได้อย่าง
สบายๆ ถนนภายนอกมืดค่าแล้ว ไฟสปอร์ตไลท์สีส้มถูกเปิดตามถนน แสงไฟจาก
รถยนต์ส่องผู้คนเป็นเงาเคลื่อนไหว ตามสะพานลอยคนข้ามก็เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่
พวกเขาข้ามจากฝังหนึงไปอีกฝั่งหนึง ข้ามจากขาไป-มาสู่ขากลับ ข้ามจากความเหนื่อย
่ ่
่
ล้ามาสู่ความผ่อนคลาย บ้างข้ามจากวัยเด็กสู่วัยหนุ่ม-สาว บ้างข้ามสู่วัยหนุ่มสาวสู่วัย
ชรา เป็นช่วง
ต่อของการเปลี่ยนเวรยาม สัตว์พวกหนึ่งกลับสู่รวงรัง แต่สัตว์อีกพวกกาลังออกโลม
โลก ผีเสื้อราตรีเตรียมพร้อมที่จะเริงระบา แต่ผีเสื้อทิวาเตรียมตัวพักผ่อนแผ่นปีกที
ระบัดระบายมาทั้งวัน ฉันขึ้นรถในตลาดเพือจะไปต่อเรือที่ท่าน้า
่
ผ่านหอพักที่เคยเช่าอยู่ตอนเป็นยาม น้องชายเจ้าของหอเป็นลูกค้าโรงพยาบาล
ประสาท ผ่านโรงงานทีเ่ คยประจาการเป็นยามเฝ้า ยามคนหนึ่งกาลังเลือนแผงกันรถ
่
ออกให้รถผู้บริหารคันหรูผ่านไป ผ่านทัศนียภาพโรงงานอันคุ้นตา ผ่านร้านสะดวกซื้อ
ที่โทรมลง ผ่านห้างทีพงสร้างขึ้นใหม่ พอผ่านร้านเหล้าที่เคยร่ารินกินดื่ม เมื่อเห็นแสง
่ ึ่
สีชมพูกับโถแก้วใสบรรจุน้าสีเหลืองเข้มสี่โถเรียงรายเท่านันฉันก็กดกริ่ง โชเฟอร์
้
เหยียบคันเบรกรุนแรงเหมือนรู้ใจ
ฉันไม่รู้ว่าความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ของฉันนั้นมีมาได้ด้วยเหตุไร จริงอยู่
ฉันเคยดูหนังเกี่ยวกับยอดมนุษย์ แต่พวกฮีโร่พวกนั้นต้องมีเหตุสักอย่างให้เขาเหาะได้
พวกเขาจึงมีพลังเหนือมนุษย์ อย่างน้อยพวกเขาต้องมี
คุณธรรมบางอย่าง และบังเอิญไปถูกตัวอะไรกัดหรือโดนสารอะไรบางอย่าง หรือมา
จากดาวดวงอืน หรือว่าฉันมาจากดาวดวงอื่น และจริงอยู่ ฉันเคยได้ยินแต่เรื่องราวของ
่
พระสงฆ์บางรูปที่มีคนเห็นท่านบนอากาศ แต่พอมีคนไปถามท่านก็ตอบปฏิเสธ ว่า
ท่านไม่ใช่ผี จะไปเหาะได้อย่างไร ท่านต้องปฏิเสธเพราะว่าเป็นพระหรือ พระท่านห้าม
อวดฤทธิ์ อวดเดชนี่นะ แต่ว่ามีใครหลายคนที่เห็นอย่างนั้นว่าท่านเหาะแปลว่าคน
่
เหล่านั้นตาฝาดพร้อมๆกันใช่ไหม หรือว่าท่านโกหก คงไม่ใช่ แต่ท่านไม่ได้บอกความ
จริงทั้งหมด ก็ท่านบอกไม่ได้นี่ การไม่ได้บอกทั้งหมดไม่ได้ปิดบังอะไร ไม่ใช่การ
โกหกหลอกลวง การเป็นพระหากจะพูดอะไรนี่มันก็ยากจริงๆนะ ฉันก็เคยอยากเป็น
พระเหมือนกัน และก็เคยใฝ่ฝันว่า ถ้าเหาะได้เหมือนในหนังก็นาจะดี แต่พอเหาะได้
่
ขึ้นมาจริงๆแล้วกลับรูสึกเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อโลกนี้ขึ้นแต่อย่างไร เพราะ
้
ฉันไม่ได้เรียกร้องอะไรนี่ แต่มอะไรบ้างนะที่ฉนต้องเสียไป มีอะไรบ้างที่ฉันต้องแลก
ี
ั
กับการเหาะได้มานี่
แต่แปลกเหมือนกัน พอแตะต้องเหล้าไปเพียงนิดหน่อย แค่เพียงสักเป๊กเดียวเท่า
นั้นเอง ฤทธิ์เหาะของฉันจะสลายไปเหมือนไอน้าบนกระทะเปียกที่ยกตั้งเตาไฟ ไม่รู้ว่า
ฤทธิ์เหล้ามันรุนแรงขนาดไหน แต่ทาให้ความพิเศษเหนือมนุษย์ของฉันเสื่อมสภาพไป
แต่ฉันก็ยังคงดื่มมัน มีหลายคนที่ยังดื่มมัน ฉันยอมเดินกลับบ้าน ขึ้นรถ ลงเรือ เหมือน
กาลเก่าก่อนกลับบ้าน แค่ขอให้ได้กินเหล้า เหล้าไม่ได้ทาให้โลกสวยขึ้น แต่ทาให้
สายตามองไม่เห็นความทรามของโลก เหล้าไม่ได้ทาให้คนมีความสุข แต่ทาให้คนลืม
ความทุกข์
ทันทีที่น้าสีอาพันใสได้ถูกราดลงลาคอ ตามกระเพาะถึงลาไส้ก็ร้อนผ่าว หด
เกร็ง เส้นประสาทถูกกระตุ้นเป็นกระแสซาบซ่านไปตามสรรพางกาย ก่อนที่จะซุ่มงึม
เงียบ
ทันทีที่น้าสีอาพันใสได้ถูกราดลงลาคอ ความมุงมาดปรารถนาทะยานอยากสิ่ง
่
ใดๆในโลกก็เหมือนไม่มีอีกแต่บ้างก็กลับจะตีฟุ้งขึ้นมามากกว่าเดิม
ทันทีที่น้าสีอาพันใสได้ถูกราดลงลาคอ ความทรงจาก็ผุดขึ้นมาตีกับความคิด
และหมอบมุดลงเหมือนหมาซึมๆนอนเลียแผลโดนรุม
แม้รสชาติจะไม่ค่อยจะคุ้นลิ้น กลิ่นไม่คุ้นจมูก แต่ก็ไม่ใช่กลิ่นและรสที่ทาให้คน
มานั่งอยู่ในซุ้มเล็กๆที่เรียกว่าร้านยาดองนี้ พอๆกับไม่ใช่แม่ค้าหน้าหวาน หรือลูกค้า
อัธยาศัยดีที่นั่งอยู่ก่อนนั้นดอก น้าจัณฑ์ตัวเดียวนั่นแหละทีดึงดูดผู้คนเข้ามานัง ณ ที่
่
่
เล็กๆมุมหนึ่งของโลกแห่งนี้ แม้บรรยากาศต่างๆก็ดูเหมือนจะโดนกลบเป็นเรื่องรองลง
ไป เหมือนพระรองที่โดนรัศมีของพระเอกกลบเสียสิ้น ซึ่งพระเอกในที่นี้คือดีกรีที่
ร้อนแรงในราคาที่ย่อมเยา พระรองก็คือบรรยากาศรายรอบ เป็นใครก็เมาได้ไม่ว่าจะ
เป็นยามโรงงาน มอเตอร์ไซด์รับจ้าง คนงานก่อสร้าง หรือแม้แต่ขอทานตาบอด เวลา
เหล้าเข้าปากแล้วเราจะคุยกับใครก็ได้ เป็นอันเข้าใจกันหมด ไม่วาคุณจะทาอาชีพอะไร
่
มีพื้นเพมาจากไหน ฐานะเป็นอย่างไร รากฐานการศึกษาแค่ไหน เพราะเหล้ามันปลอก
เปลือกความเป็นคนของเรา ละลายอัตตา เวลาคุณเมาคุณจะไม่มีจริตที่จะเสแสร้งให้
ตัวเองดูดีอะไรหรอก จนบางครังมันแสดงสัญชาติญาณดิบเถือนเกินไปจนห้ามตัวเอง
้
่
ไม่อยู่หรือที่เรียกว่าขาดสตินั่นแหละ ก็ความพอไม่เป็นของคนกินเหล้านี่แหละที่เป็น
ปัญหา ถ้าเกินพอดีแล้วเขาเรียกว่าเมา จากคุยกันดีจะเริ่มเป็นคุยกันไม่รู้เรื่อง จากไร้
อัตตาก็จะฟุงไปด้วยอัตตา น้ายาที่เรียกว่าเหล้าทาอะไรได้สารพัดเกินจะสารพันนามา
้
เล่าให้หมดได้ บทกวีและนิยายหลายเรื่องเขียนด้วยน้าหมึกที่ปนด้วยเหล้า เหล้าทาคนดี
ให้เป็นคนร้าย ทาคนตระหนี่ให้ใจกว้าง ทาคนแปลกหน้าให้คุ้นเคย ทาคนเย็นชาให้
เป็นคนอ่อนไหว ทาคนใจแข็งให้ยอมใจอ่อน ทาคนใจอ่อนให้ทนแข็งใจ และทาให้
ซุปเปอร์แมนเป็นคนเมาธรรมดา และที่สุดของความไม่มีเหตุผลของเหล้า มันอาจจะ
เปลี่ยนจากคนเมาเป็นพระก็ได้เมื่อถึงเวลาจาเป็น...
บทตาม
ฉันเป็นพระธุดงค์

เมื่อคืนฉันพักอยู่ที่สานักสงฆ์แห่งหนึ่งบนเขาคอหงส์ ไม่ไกลจากเมืองหาดใหญ่
นัก ยามค่าคืนมองลงมาจากบนนั้นแล้วเห็นไฟสีส้มสาดส่องฉาบฉายท้องฟ้าสีดาเหนือ
เมืองหาดใหญ่จนจ้า มองแล้วเพลิดเพลินตาพาใจเตลิด ตัดสินใจออกมาเมื่อเริ่มมีความ
พอใจในสถานที่ หากอยู่ที่ใดนานๆแล้วก็เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดการติดใจ พอจิตมันเริ่ม
คุ้นเคย มันก็เหมือนกับความใคร่ที่จะอยู่ต่อเพราะติดความสะดวก-สบาย จริงอยู่วามัน
่
สงบดี แต่ปณิธานที่เราออกจากวัดป่าบ้านภูดงไร่มาก็เพื่อละความพอใจในสถานที่ออก
เสีย ก่อนที่กาลเข้าพรรษาจะมาถึง แม้จะกลับไปอยู่ที่วัดป่าบ้านภูดงไร่ที่เดิมก็ไม่เป็นไร
แต่ให้ไปอยู่ในฐานะทีสมควรไปอยู่ตามพุทธบัญญัติ ไม่ใช่ไปอยู่เพราะไม่มีที่อนให้อยู่
่
ื่
ไม่ใช่ไปอยู่เพราะคุ้นเคยสถานที่ที่นั่น ไม่ใช่ไปอยู่เพราะคุ้นเคยญาติโยมที่นั่น ไม่ใช่ไป
อยู่เพราะคุ้นเคยอาหารการกินที่นั่น จริงอยู่ที่ท่านให้หาสถานที่สับปายะ-สะดวกสบาย
อยู่ แต่ความสับปายะ-สะดวกสบายของการปฏิบัติ กับ ความสับปายะสะดวกสบายของ
กิเลส มันอาจก้ากึ่งกันอยู่บางส่วน เมือเริ่มจะยึดติดยินดีในสถานทีนี้ คล้ายมีเงาความขี้
่
่
เกียจผ่านพาดเข้ามาในจิต ฉันก็สมควรจะเดินทางจากไป
เดินมาทางจังหวัดพัทลุง ประมาณสิบกิโลแล้ว หลักกิโลบอกว่า พัทลุง88 สตูล
88 เลขสวยดี จึงเอาโทรศัพท์ถ่ายรูปไว้หน่อย จะเป็นกิเลสหรือเปล่านะที่ถ่ายรูป ช่าง
มันเถอะ เลขสวยดีและประจวบเหมาะ จากหลักนี้ไปสองจังหวัดนั้น เท่ากันพอดี มัน
ช่างบังเอิญจริงๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง แดดที่แผดกล้าเมื่อชั่วโมงก่อนเริ่มราแรงลงแล้ว
แต่ขาที่ดูเหมือนแข็งแรงเมื่อแรกเริ่มเดินก็เริ่มล้าลง ฝ่าตีนที่มั่นใจว่าด้านพอทนได้กับ
พื้นถนนลาดยางกลางแดดก็เริ่มออกอาการสาออย กรวดหินก้อนเล็กก้อนน้อยที่ตน
ี
เหยียบลงเหมือนฝังตัวติดตีนขึ้นมาด้วย
ต้องคอยหยุดปัดแปะออกอยู่เรื่อยๆ ฝ่าตีนนีแสบเหมือนกับว่ามันไม่มีหนังตีนรองอยู่
้
ชั้นนอก สายตาก็พลางมองหารองเท้าสักคู่ตามไหล่ทางที่เผื่อใครจะสลัดทิ้งไว้ ไหล่
ขวาที่สะพายย่ามบาตรบริขารก็เริ่มถลอก เปลียนเอาไปพาดไหล่ซ้ายบ้าง เอามุงกรด
่
้
ไหล่ซ้ายซึ่งเบากว่ามาพาดไหล่ขวา ในตอนแรกกะว่าจะเดินให้ได้สามกิโลเมตรต่อ
ชั่วโมง ตามหลักสถิตถาเราเดินสามกิโลเมตรต่อชั่วโมง แปดชั่วโมงต่อวัน เราก็จะเดิน
ิ้
ได้วันละ ๒๔กิโลเมตร ซึ่งหากจะเดินจากหาดใหญ่ไปขอนแก่นด้วยความเร็วเท่านีแล้ว
้
ระยะทาง๑๘๐๐กิโลเมตรน่าจะพิชตได้โดยใช้เวลา๖๕วัน นั่นมันทันถมเถไปหากจะให้
ิ
ถึงก่อนวันเข้าพรรษา แต่ฉันต้องเดินทุกวันไม่มีวันหยุดพัก ซึ่งปณิธานอย่างนั้นมันออก
จะคล้ายเป็นไปด้วยความโลภและมานะ แต่ก็นนแหละอย่างที่บอกนั่นมันในตอนแรก
ั่
พอเท้าเริ่มพองและแสบร้อน ความอยากบรรดามีก็เหือดหาย ไปพร้อมกับเหงื่อที่แห้ง
ไปทิ้งไว้เพียงความเหนอะหนะ ความมุมานะกับกิเลส มันกาลังดึงตัว และฉุดจิตใจ
ของเรานีอยู่ เหมือนกับเราเป็นเชือกที่พวกมันใช้ดึงชักเย่อแข่งขันกัน
้
ความมุมานะอันแรกเป็นสิ่งดีเพราะมันบริสุทธิ์มาก ฉันเพียงอยากเดินไปเรื่อยๆ
ไร้จุดมุ่งหมายเหมือนคนไร้บ้าน พอค่าก็พักกางมุ้งกลดพอได้พักผ่อนหลับนอน ตอนนี้
ฉันว่าการหยุดเดินนันแหละเป็นกิเลสเพราะเป็นความขี้เกียจ
่
ความมุมานะต่อมามันเกิดขึ้นตอนเมือมีผู้หวังดี จอดรถเพื่อจะรับไปบ้าง จอดรถ
่
เพื่อถวายน้าหรืออาหารบ้าง จอดรถเพื่อถวายปัจจัยเป็นเงินบ้าง ฉันปฏิเสธเพียงการขึ้น
รถเท่านั้น ส่วนอย่างอืนฉันไม่ได้ขัด ศรัทธาทีญาติโยมมีจิตอยากถวายฉันขอรับไว้ก่อน
่
่
ข้อที่ว่าไม่ควรจับเงินเพราะเป็นวัตถุอนามาตนันฉันเข้าใจเพราะมันเป็นเหตุผิดวินัย แต่
้
ฉันก็คิดว่าท่านห้ามด้วยเหตุกลัวว่าพุทธบุตรผูยังมีอินทรีย์อ่อนจะยึดติด มุงในธรรม
้
่
วินัยนี้เพื่อลาภสักการะสะสมเงินทอง ถ้าจะผิดก็ต่อเมื่อเราจับเงินด้วยจิตทีมีควาพอใจ
่
กับมัน ปรารภมันเป็นเหตุให้ทาการกสิกรรมปศุสัตว์ ยกมันให้มีอานาจเหนือจิตใจ
ต่างหาก หากไม่ใฝ่หาด้วยใจที่เป็นทาสราคะอยากสะสมแล้ว ท่านคงไม่ห้ามแต่อย่างใด
ก็เหมือนพระอรหันต์จกงนั่นแหละที่ทานกินเหล้าเพราะท่านไม่ติดยึด ก็เหมือนพระอุป
ี้
่
คุตนั่นแหละที่ทานฉันข้าวในเวลาวิกาล แต่แม้ดวงตะวันยังย้อนผันคืนมาตรงหัว
่
เหมือนตอนเที่ยงวัน ถ้ากิเลสมันละได้จริงมันก็ต้องละได้ด้วยเหตุผลทางใจ ไม่ใช่มัน
จะละลงให้กับการโดนบังคับกดห้ามไว้ เมือมีใครต่อใครจอดรับมากขึ้น มีการสนทนา
่
รายทางกับศรัทธาที่จอดรับ คาตอบของฉันก็เป็นไปในทางปรารภญาติโยมว่าจะเดิน
ไปให้ถึงขอนแก่นบ้าง จะไม่ขึ้นรถจนถึงขอนแก่นบ้าง แม้ไม่ได้พูดตรงๆว่าจะทาอย่าง
นั้น แต่ด้วยเนื้อหาแล้วมันสื่อให้เข้าใจอย่างนัน และภาพสีหน้าของบรรดาญาติโยมที่
้
น่าฉงนระคนการอนุโมทนาต่อการเดินของฉัน มันยิ่งเป็นการย้าปณิธานและเป็นการ
ตั้งอธิฐานะบารมีขึ้นในใจโดยปริยาย ว่าฉันจะเดินให้ได้จริงๆ ถ้าหากทาได้จริงๆแล้ว
จะเป็นสัจจะบารมีอีกด้วย
ความมุมานะที่เป็นกิเลสมันเริ่มเกิดตรงนีนี่เอง ฉันจะทาให้ได้ ฉันจะเดินไปให้
้
ถึงขอนแก่น ฉันจะมีประวัติไว้ภาคภูมิใจชั่วชีวิตฉัน ฉันจะทะนงตนได้เวลาใครต่อใคร
พูดถึงฉันว่า พระองค์นแหละเดินที่คนเดียวจากหาดใหญ่ถงขอนแก่น ญาติโยมจะพา
ี้
ึ
กันมาต้อนรับฉันเหมือนการกลับมาของพระโพธิสัตว์ หนังสือพิมพ์อาจจะมาทาข่าว
นักข่าวจะมาสัมภาษณ์ ฉันจะลงภาพการเดินในเฟซบุ๊คแบบเรียวไทม์ ฉันจะถ่ายภาพ
ตัวเอง
ผ่านมือถือออนไลน์ให้ผู้คนอนุโมทนา ฉันจะทาอย่างนั้น ฉันจะดัง ฉันจะ ฉัน ฉัน ฉัน
...
ในการปฏิบัติธรรมนัน อันดับแรกสุดต้องมีความเห็นแก่ตัวก่อน เห็นแก่ตัวยังไง
้
การเห็นแก่ตัวมันความหมายไม่ดีนี่ แน่ล่ะที่วาใครๆก็ต้องเห็นแก่ตัวกันทั้งนัน แต่
่
้
ชาวโลกนันเห็นแก่ตัวเอง แต่ไปเอาเปรียบคนอื่น การเห็นแก่ตัวต้องไม่เอาเปรียบเขา
้
ไม่เอาดีเข้าแต่ตัว โยนความชั่วให้คนอืน คนทุกคนก็อยากได้ดีกันทังนั้นแหละ ผิดแต่
่
้
ว่าไม่อยากทาดี เพราะทาดีมันต้องฝืน ที่เราต้องฝืนเพราะเรามีกิเลสไง เราไม่ได้ฝืน
ตัวเองอะไรหรอก เพราะตัวเองจริงๆไม่มี ที่เราทาดีไม่ได้เพราะเราแพ้ตัวกิเลส คนที่
เริ่มเห็นว่าการละความชั่วเป็นสิ่งที่ควรทา นั้นแปลว่าเขาเริ่มเห็นแก่ตวแล้ว แต่เห็นแก่
ั
ตัวแบบมีปัญญา เห็นแก่ตัวแบบจะต้องเอาความดีเข้าตัว เห็นแก่ตัวแบบนี้เริ่มเข้าทาง
แห่งศีล ถ้าเห็นแก่ตัวแบบไปทาชั่วนั้น เรียกว่าเห็นแก่ตัวแบบหวังจะได้ผลดี แต่
กลับไปทาชั่ว การกระทาจึงขัดกับความหวัง การเห็นแก่ตัวแบบผิดๆนั้นน่าจะเรียกว่า
การเห็นแก่กิเลสมากกว่า คือเห็นมันเป็นเจ้าเหนือหัวต้องทาตามใจมัน ไม่เห็นว่ามัน
เป็นกาฝากที่แฝงมาในร่างกายเรา จิตในเรา กาฝากไม่ใช่ต้นไม้แต่เราดูไม่ออก ถ้าใคร
มองเห็นแล้วจะรู้ว่ามันเกาะอาศัยเรากิน มันเกาะอาศัยเราเกิด การเห็นแก่ได้ เห็นแก่จะ
เอาก็เป็นเหตุให้ผิดศีลธรรมต่างๆนาๆ เช่น เห็นแก่ร่างกายเขาเราจะเอาเนื้อเขามากิน
บ้าง เอางาเขามาขายบ้าง เอาลูกเขามาเลี้ยงบ้าง เอาขนเขามาทาเสื้อบ้าง เอาอวัยวะเขามา
ทายาบ้าง เอาเขามาประดับบ้านบ้าง เราก็ฆ่าเขา บางทีก็ฆ่าเขาทิ้งเฉยๆ เพราะเขามาทา
ร้ายเราก็มี นี่ฆาด้วยโทสะ บางทีก็ฆ่าเขาทิ้งเฉยๆ ด้วยถือเป็นเกมก็มี นี่ฆ่าด้วยโลภะ
่
บางทีก็ฆาเขาทิงเฉยๆ เพราะทาจนเคยชินก็มี นี่ฆ่าด้วยโมหะ นี่พวกนี้เห็นแก่ตัวแบบ
่
้
ผิดๆ ถ้าเห็นแก่ตัวแบบเอาดี ท่านต้องถือศีล ข้อแรก ปาณาฯ นี่เจตนางดเว้นจากการฆ่า
นี่ละความเห็นแก่ตัวข้อแรก แล้วข้อที่สองนี่เอ้า นี่เราเผลอแล้ว เผลอคิดไปไกล เผลอ
เทศน์ในใจ บ้าเอ๊ย กูเทศน์ให้ตัวเองฟัง ใจนี่มนเทศน์ไปเอง อยากบอกอยากสอนญาติ
ั
โยม นี่หรือเปล่านะที่เรียกวิปัสนูกิเลส เกิดปัญญา แต่วารู้ไม่เท่าทันมัน แต่กดีไม่ใช่หรือ
่
็
เป็นการพิจารณาธรรม ตามดูมันไปดี หรือว่าจะห้ามมันดี หรือจะดึงจิตกลับมาที่เท้า
ตัวเองดี ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ดูตัวเองมันเดินไป ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย เอ เมื่อกี๊คิดถึงไหนนะ
ห้ามฆ่าสัตว์ แล้วก็ ห้ามลักทรัพย์ ลักทรัพย์เขามันก็เห็นแก่ตัวเองอยากได้ของเขา แน่ะ
คิดอีกแล้ว มันอยากคิดก็ให้มันคิดไปเถอะ ตามดูจิตที่มันคิดก็ได้นี่นา แต่ว่าคิดแล้วมัน
่
เหนื่อยว่ะ แต่มันห้ามมันไม่ได้ มันจะคิดก็เผลอไปคิดของมันเอง นีแหละน้า สังขารมัน
่
ไม่ใช่ตัวตนอะไร มันจึงห้ามไม่ได้ นี่จิตมันแสดงอนัตตา แน่ะ คิดไปเรื่องใหม่อีกล่ะ
เดี๋ยวมันอยากคิด เดี๋ยวมันหยุดคิด เดี๋ยวมันก็เบื่อที่จะคิด นี่มนทนไม่ได้ เป็นทุกขัง พอ
ั
คิดไปคิดไปจิตมันเหนื่อยเองมันก็หยุดเอง จิตก็แสดงอนิจจัง โห นี่เราคิดเองจริงๆหรือ
จาเขามาว่ะ น่าจะเคยฟังพระเทศน์มา คนเราทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดได้ถึงจะหมด
ทุกข์ แต่ท่านก็วา อัตตะนาโจตะยะตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง ถ้าเตือนตัวเองไม่ได้
่
แล้วจะไปเตือนใคร แล้วใครจะมาเตือนเราได้ ใครๆก็สอนคนอื่นได้ทงนั้นแหละ แต่
ั้
ตัวเองมันสอนยาก ตอนคิดมันก็คิดแต่ดๆทั้งนั้นแหละ แต่ตอนทามันไม่ค่อยเอาไหน
ี
เลยเรา ช่วยตัวเองให้พนทุกข์ก่อนเถอะ ค่อยคิดจะไปสอนชาวบ้านเขา ค่อยคิดจะไป
้
ช่วยใครๆ นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะสึกเมื่อไหร่ พึ่งได้พรรษาเดียว
รถปิกอัพตีไฟชิดซ้ายชลอจอดข้างทาง คนขับลงมาเป็นผู้หญิง นิมนต์รับอะไร
สักอย่างถวายมาในถุง ฉันรับแล้วก็ยืนให้พรอยู่ข้างถนน นั่นแหละ การให้พรนี่ท่านว่า
เป็นการแสดงธรรมหรือเปล่านะ พระวินัยห้ามไม่ให้แสดงธรรมกับผู้หญิงสองต่อสอง
เกิน 6คา ต้องมีผชายอยูด้วยเป็นเด็กก็ได้ขอให้รู้เดียงสา หรือบ้างก็ว่า ไม่ให้ยืนแสดง
ู้
่
ธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ผู้นั่งอยู่ ประมาณนี้หรือเปล่าวะ บาลีแปลยังไงก็สุดปัญญาที่จะ
ท่องจาล่ะ ถ้าไม่ให้พรโยมเขาจะไม่เข้าใจอีกล่ะ ช่างเถอะให้ไปแล้วก็แล้ว สนองศรัทธา
ญาติโยมแค่นี้จะเป็นอะไร นี่เราคิดมากเกินไปหรือเปล่านี่ เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าเป็นทุกข์
เรามาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มาท่องจาตาราให้ปวดสมอง การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องที่ตอง
้
จามาก แต่ต้องทามากๆไม่ใช่เหรอ รู้แล้ววาง รูแล้ววาง สัญญาความจานั้นมันก็ไม่
้
แน่นอนหรอก วันนี้จาได้ พรุงนี้อาจจะลืม อย่าไปใส่ใจกับตารามากเลย พวกเซ็นนี่เขา
่
สอนกันยังไงนะ ฉันว่ารู้เท่าที่รู้ก็พอแล้วสาหรับการปฏิบัติธรรม นี่เราจะคิดไปถึงไหน
นี่ เมื่อไหร่มันจะเหนื่อย แต่คิดจนเหนือยแล้วมันก็ยังไม่หยุดนี่ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่าง
่
หนอ เวลาเดินอยู่นี่จิตใจฉันคิดเยอะมาก เดี๋ยวคิดไปนู่น เดี๋ยววกมานี่ อันที่จริงไม่อยาก
คิดแต่มันคิดของมันเอง ห้ามมันไม่ได้ มันคิดจนฉันราคาญตังเอง อยากหยุดคิด อยาก
มองท้องฟ้าอย่างที่ไม่มการพากย์ในใจ มองต้นไม้ใบไม้ด้วยจิตอันว่าง มองโลกด้วย
ี
ความปล่อยวาง ปล่อยในฐานะที่มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ ให้จิตใจเข้าถึงธรรมชาติ
ที่แท้ ว่างเปล่าไร้การปรุงแต่ง เอ๊ะนั่นตัวอะไรผ่านท้องฟ้าไปแว๊บๆ นกอะไรวะบิน
โคตรจะเร็ว จะเป็นเครืองบินหรือก็ไม่น่าใช่ เครื่องบินมันไม่บินอย่างนี้ ต้องมีไอพ่น
่
ตาไม่ฝาดหรอก ฉันเห็นมันบินพาดท้องฟ้าผ่านเมฆขาวก้อนนั้นจริงๆ หรือจะเป็น
เทวดา ฮือ เราท่าจะได้ตาทิพย์เห็นเทวดา หรือว่ามีใครบินได้ผ่านมาทางนี้ ช่างมันเถอะ
่
ว้า ใครจะบินใครจะเหาะก็เรื่องของเขา เรามาบวชไม่ใช่เพือจะมาเอาของพวกนันนี่ แต่
่
้
ถ้าได้จริงๆก็นาจะดี ดีกว่าไม่ได้ เขาว่ามันจะทาให้ก้าวต่อไปยาก ทาให้มีการยึดใน
่
อัตตาตัวตนว่า เราเก่งกว่าเขา เราไม่ธรรมดา เรามีธรรมวิเศษ แล้วมันจะติดใจ หลงใหล
ในฤทธิ์ หากวันใดหมดฤทธิ์แล้วจะทุกข์ใจ เพราะฤทธิมันก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจังตาม
์
หลักไตรลักษณ์ นู่นมึงก็ว่าไปนู่น ฤทธิ์หาอะไรของมึงเดินให้รอดก่อนเถอะแล้วค่อย
่
ห่วงเรื่องฤทธิ์
บางทีเราก็พดกับตัวเองว่า เราบ้าง ฉันบ้างแทนตัวเองอย่างนั้น มันไม่แน่ ที่บางที
ู
เราก็พูด มึงๆ กูๆกับตัวเอง พูดอยู่ในใจนี่เรียกว่าคิด การคิดเป็นมโนกรรม ถ้าเราไม่พูด
ออกมาก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่ถาคิดจนปกติก็เป็นความเคยชิน จะก่อให้เกิดเป็นนิสัยติด
้
คิด นานๆไปไม่รู้ทันมัน ความคิดเราจะออกมาเป็นวาจา ถ้าคิดหยาบคายคุณก็จะพูด
หยาบ ฉันนี่ก็คิดหยาบๆบ้างเหมือนกัน สาเนียงภาษาสมัยนี้ยิ่งเหมาะชอบสาหรับคนที่
มีจริตพูดหยาบ มองเหียไร สัตว์เอ๊ย แม่ง กวนตีน มองหาพ่อมึงเหรอ คาสบถทานองนี้
้
มีเกลื่อนในภาษาสมัยนี้ มันพัฒนาในด้านลบ มันออกมาจากความคิดของคนโดยตรง ดู
เหมือนว่าใครคิดได้หยาบมากก็จะได้รับความยอมรับมากในหมู่ของเพื่อนฝูงที่ยก
กันเองในกลุ่ม เรียกว่าแนวว่างันนะ มันถูกถ่ายทอดออกมาในหนัง ในทีวี ในเพลง
้
เกลื่อนไปจนกลายเป็นปกติ ใครไม่พูดแนวนี้ เขาว่าเชย ฉันว่ามีธรรมมะของ
พระพุทธเจ้านี่แหละที่ไม่เชย ธรรมมะไม่ใช่ของใหม่ เป็นของเก่ามีอยูคู่โลก แต่ว่าไม่
่
เชย ไม่ใช่ของใหม่แต่กไม่เชย ฉันจึงพอใจที่พอรู้ธรรมมะกับเขาบ้าง อยากให้คนอื่นๆรู้
็
ธรรมมะอย่างฉันบ้าง แต่ฉันก็ไม่เบื่อที่จะรู้ยังจะค้นหาธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งๆไปอีกตราบ
เท่าที่มีวาสนา อะไรที่ทาให้พระ14พรรษาสึกนะ และอะไรที่ทาให้คนที่เมาเหล้าอย่าง
ฉันได้มาบวช
จากสี่แยกใหญ่บนถนนเพชรเกษมที่พงหยุดพักครั้งล่าสุดนันผ่านมาประมาณ
ึ่
้
สามกิโล แต่ก็ยงไม่เจอที่พัก ผู้คนจอดรถประสงค์ที่จะรับก็มีอยู่ ใช่วาจะมีแต่คนใต้ คน
ั
่
ภาคอืนที่มาตั้งหลักปักฐานที่นี่ก็มี แต่ก็ปฏิเสธไปหมด ยังนึกว่าน่าจะขึ้นรถสักคัน
่
เพราะตีนมันระบมแล้ว เหมือนเดินอยู่บนทรายที่เขาคั่วเกาลัด เดินแต่ละก้าวอย่าง
เชื่องช้า และหนักหน่วง เดินช้ายิ่งกว่าเดินจงกรม ขวาย่างหนอเจ็บหนอ ซ้ายย่างหนอ
แสบหนอ หยุดหนอ เจ็บหนอ แสบหนอ เท่าทีจับเวลาเดินตอนแรกๆน่าจะได้สี่กิโลต่อ
่
ชั่วโมงสบายๆ แต่ตอนนี้สักกิโลต่อชั่วโมงก็ยังยาก นึกถึงคาโยมคนน้าพองขอนแก่น
ที่ว่า "ขึ้นรถแหน่ก็ได้ดอก หม่อม"แล้วก็นึกเห็นด้วย ในตอนนี้ฉันคิดได้ว่าการหยุดเดิน
อาจจะไม่ใช่กิเลสอีกต่อไป แต่การเดินต่อไปนั่นแหล่ะที่เป็นกิเลส ความมุมานะแบบ
ผิดๆนั่นแหละที่เป็นกิเลส การธุดงค์ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเดินหรอก การปฏิบัติข้อวัตรของ
ธุดงค์คือการขัดเกลากิเลส ถ้าฉันทาแล้วมีมานะอัตตามากขึ้นก็แสดงว่าฉันทาผิด การ
เดินของฉันก็ไม่ได้เรียกว่าเดินธุดงค์ แต่เป็นการเดินเพื่อสนองกิเลส วัตรธุดงค์มีอยู่ 13
ข้อ ต้องสมาทานรับเอา แต่ใครกันนะที่เริ่มต้นใช้การเดินรอนแรมของพระว่าการเดิน
ธุดงค์ น่าจะเรียกว่าการจาริกถึงเหมาะ เพราะธุดงค์วัตรที่ฉันศึกษาจากไหนๆ ก็ไม่เห็น
ว่าจะมีการสมาทานเดิน จะมีก็แต่พวกตังใจว่าจะไม่ใช้ผ้าที่คนทาถวายจะใช้แต่ผา
้
้
บังสุกุลชักมาจากศพ จะไม่ใช้จีวรผืนที่สี่จะถือผ้าเพียงสามผืน จะบิณฑบาตเลี้ยงชีพ จะ
บิณฑบาตไปเป็นแถว จะไม่นั่งฉันอาสนะที่สองคือฉันมื้อเดียว จะไม่ใช้ภาชนะในการ
ฉันอื่นนอกจากในบาตร จะอยู่ตามแต่ท่านจะจัดให้ จะอยูตามโคนไม้ จะอยู่ตามที่แจ้ง
่
แล้วก็มีอะไรๆอีกที่ฉันนึกไม่ออก ไม่เห็นมีการเดินที่ตรงไหน เคยได้ยินแต่การเดิน
จงกรมเท่านันแหละ แต่จงกรมก็แปลว่าเดินนันแหละ ท่านให้เดินกลับไปกลับมาเพื่อ
้
่
ไม่ให้เผลอสติออกนอกตัว ถ้าสติอยู่กับตัวได้แล้วระยะทางก็ไม่เห็นสาคัญ สถานที่ก็ไม่
เห็นสาคัญ พืนผิวที่ตีนเหยียบย่างไปก็ไม่เห็นสาคัญ ฉะนั้นตอนตังปณิธานนั้นฉันจะ
้
้
เอาทางสายนี้แหละเป็นทางจงกรมของฉัน หาดใหญ่-ขอนแก่น
แต่ในตอนนี้ฉันคิดหาเหตุผลที่จะหยุดเดินมากมาย นักกีฬาสองพวกที่ชักเย่ออยู่
ในใจฉัน คือพวกที่หาเหตุผลให้เหมาะสมที่จะหยุดเดิน และพวกที่คอยเตือนว่า "ถ้า
หยุดเดินมึงก็แพ้ เป็นไอ้ขี้แพ้ เพราะมึงมันแพ้มาตลอดชีวิต และมึงก็จะแพ้ไปตลอด
ชาติ มึงมันไอ้ไก่อ่อน สัจจะวาจาตัวเองไม่มียังเสือกจะตั้ง ต่อไปจะมีใครเชื่อมึง พูด
อะไรจะไม่มีใครเชื่อ หลอกลวงเอาเงินเขาเข้าพก พอลับหลังก็ขึ้นรถกลับวัด ไอ้โล้นขี้
โกหก ไอ้โล้นหลอกข้าวชาวบ้านเขากิน หลอกชาวบ้านว่าจะเดินธุดงค์ ให้เขาส่งค่ารถ
ค่ารถชาวบ้านส่งมาคงสูญไปเปล่าๆปลี้ๆ ไม่ได้บุญได้กุศลอะไรกับมึงเลย เสียดายค่า
ข้าวชาวบ้านเขา กว่าเขาจะหามาได้แทบตาย เขาแบ่งข้าวลูกข้าวหลานมาให้มงแดก"
ึ
และอีกมากมายที่ฉันจะนึกออก แต่เป็นไปในทานองนี้
ตะวันยื้อแสงสุดท้ายไว้ไม่อยู่แล้ว ก็พอดีพบวัดที่จะนอนพักผ่อนคืนนี้ เวลาผ่าน
วัดส่วนมากจะสังเกตเห็นก่อนก็คือปล่องควันของเมรุ ไอ้ปล่องที่ไว้ระบายควันไฟขึ้น
สู่อากาศนี่มนไม่ได้สูงโดดเด่นอะไรหรอกแต่มนเป็นเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตย์ที่ไม่
ั
ั
มีในสถานที่อน สถานที่ๆเอาไว้ชาระล้างร่างไร้วิญญาณของคนให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ
ื่
คืนสู่ธาตุดิน น้า ลม โดยใช้ไฟเป็นตัวชาระ ฉันมองเห็นมันเป็นเงาดามืดพาดท้องฟ้า
ตรงข้ามฝั่งถนน นั่นคือที่ๆฉันจะไปพักคืนนี้ นอกจากป่าแล้วก็ไม่มีที่ไหนเหมาะกับ
พระเท่ากับวัดอีก
หลังจากเข้ากราบนมัสการเรียนขอพักกับเจ้าอาวาส และสรงน้าผลัดผ้าเป็นที่
สบายตัวแล้ว จึงได้คิดวางแผนว่า หากจะเดินต่อต้องหารองเท้าสักคู่ จะต้องหาผ้ามายัด
สายย่ามให้หนาขึ้น สารวจพบว่ามีนาซึมอยู่ใต้หนังฝ่าตีนใต้นิ้วชี้จนเห็นหนังตีนบริเวณ
้
นั้นเป็นสีขาว จะให้หายไวเราต้องหาเข็มเย็บผ้าสักอัน สนด้ายที่รูเข็มแล้วแทงหนังตีน
ให้ทะลุเพือรีดน้าออก ทิ้งด้ายคาไว้ใต้หนังตีนอย่างนันแหละเอาไว้ดงรั้งรูให้น้าไหล
่
้
ึ
ออกเวลามีน้าซึมออกมาอีก ทีนี้ก็จุดเทียนไข แล้วหยดน้าตาเทียนลงไปที่หนังส่วนที่
พองนั่น ทั้งแสบและร้อนปนกัน เสียวและคันนิดหน่อย พวกซาดิสซ์ คงชอบอารมณ์
แบบนี้ พอเจาะน้าออกจากหนังแล้วฉันก็ไปที่ร้านค้าของชาหลังวัด ติดกับรั้ววัดมี
ร้านค้าขายของชาที่ตั้งขึ้นอย่างชั่วคราว ตีด้วยเศษไม้ที่เหลือใช้ในงานก่อสร้าง ล้อม
ด้วยสักกะสี มีลูกค้าที่มองปราดก็รู้ว่าเป็นคนงานก่อสร้างนั่งอยู่ พวกเขาอยู่ในบริเวณที่
พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้าง เวลาหัวค่าเป็นเวลาของการผ่อนคลาย และวงสนทนา
ที่ถูกตั้งขึ้นมาง่ายๆ ด้วยแรงดึงดูดของน้าสีใสๆในขวดสีชา มีตรากระดาษรูปรวงข้าว
แปะอยู่ สุราผสมสี่สิบดีกรีนี่มันมีมนต์ขลังอะไรนี่นะ แม้ฉันจะจากมันมานานเป็นปี
แล้ว แต่บางเวลาฉันก็ยงนึกถึงสิงที่มันทากับอารมณ์ของฉันอยู่ และ ที่มันทากับร่างกาย
ั
่
ของฉันด้วย แต่มันไม่สาคัญเท่ากับสิ่งที่มันทากับครอบครัวของฉัน
แม่ค้าร้านชามีศรัทธาให้รองเท้าแตะแก่ฉัน ฉันพลางเดินกลับวัดพร้อมน้าปานะ
ในมือเพือฉันบรรเทาความกระหายหิว แต่ในใจของฉันนี่มันดันถือบรรยากาศในวง
่
เหล้าติดกลับมาด้วย สัญญาความทรงจานึกถึงเพลงที่ฉันเคยแต่งเล่นๆตอนเป็นโยม
“เหล้าต่างสีแต่ไมตรีไม่ต่างกัน” นึกถึงบรรยากาศที่ร้านสุราหลากหลายสถานที่ ใน
ซอยสีน้าเงิน ซอยเรวดี ถนนประชานิเวศน์ ถนนประชาสงเคราะห์ ซอยหลังสถานทูต
จีน ซอยวัดกาแพง ซอยวัดดีดวด ซอยอิสรภาพ และอีกหลายๆที่ ฉันไม่ได้ตั้งใจนึก
ขึ้นมาหรอก แต่บรรยากาศมันพาพัดจิตใจลอยไป มันเหมือนจิตพัดพาออกไปข้างนอก
สู่อดีตอันอ้างว้างในอากาศเวิ้งหวิว แต่อนที่จริงจิตใจมันโดนฉุดชากให้จมลงสู่ความ
ั
ทรงจาอันแจ่มชัดในห้วงใจอันจ่อมลึกต่างหาก ฉันพยายามสลัดมันทิ้ง แต่มนสลัดไม่
ั
หลุด กลับสู่กุฎีแล้วฉันยังคงไม่ลืมจึงปิดหลอดไฟนีออนและนั่งเพ่งแสงเทียน
เพลงมันเริ่มว่ายังไงนะ...ขวดต่างสีแม้ดีกรีต่างกัน แต่เธอมีฉันร่วมกันรินกิน มี
โศกทุกข์กาย ระบายมลายสิ้น...
จาได้เท่านี้กดีแล้วนะ อย่าไปนึกมันเลย ไม่ใช่ดที่นึกไม่ออกหรอก แต่มันจะ
็
ี
ดีกว่าที่จะไม่ต้องจามัน สัญญามันทาให้คนเราเป็นทุกข์นี่ พระพุทธองค์ตรัสว่า สัพเพ
ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่เรา ความจานี่ก็เหมือนกันที่ไม่ใช่เรา บางครั้ง
อยากจะจาก็จาไม่ได้นกไม่ออกเช่นเวลาท่องบ่นบทสวดมนต์ แต่บางครั้งอยากจะลืมก็
ึ
ลืมไม่ลงเช่นช่วงเวลาทีเ่ รามีความสุขกับคนที่เคยรักกัน ทั้งๆเขามีครอบครัวใหม่ไป
แล้ว แต่ตอนไหนนะที่เราแต่งเพลงนี้ อาจจะเป็นซอยโชคชัยสี่ ก็ตอนนั้นเราพึ่งเลิกกับ
แฟนนีนะ ทาใจยากอยู่เหมือนกัน ถึงได้ไปหาเหล้ากิน หาอะไรก็ได้ทจะช่วยแงะเธอ
่
ี่
คนนั้นออกจากจิตใจ ตอนนั้นมันคงคิดได้แค่นั้นหล่ะนะ ถ้าย้อนกลับไปได้ก็คงทา
เหมือนเดิมนั่นแหละ ฉันเคยได้ยินใครบางคนพูดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะทาอย่างนี้
จะไม่ทาอย่างนั้น หรือจะทาอย่างนัน จะไม่ทาอย่างนี้ ฉันคิดว่าเขาคงไม่รู้หรอก ว่าถ้า
้
เขาย้อนเวลากลับไปได้จริง เขาก็จะทาอย่างเดิมนั่นแหละ เพราะเวลาย้อนกลับไปได้
จริงๆแล้วเขาก็จะคิดเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ เพราะประสบการณ์ของเขาก็จะย้อนกลับ
ไปมีเท่าเดิมด้วย คนเราตัดสินใจด้วยสัญญาความจาได้หมายรู้ในขณะนั้น แต่ถ้าเราไม่
เข้าไปรู้จักการเมาเหล้า การดื่มแล้วเราจะเป็นอย่างไรนะตอนนี้ เราจะได้มาบวชไหม
ถ้าฉันไม่เมาจนเกือบตายเพราะหมดสติก็คงไม่ได้มาบวชนีนะ แต่มาบวชแล้วเราก็
่
ไม่ได้กลับไปแตะต้องมันอีกนี่ สุราเวระมะณีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ ที่ให้ญาติโยมนี่
เราจะไปทาเองไม่ได้เลย แม้พระวินัยจะระบุไว้ว่าอนุญาตให้ใช้เป็นยาได้ไม่เกินหนึง
่
องคุลีหรือ หนึงนิ้วมือจุมนั้นเถอะ ใครจะฉันก็ช่างท่านเถอะ เรารู้ฤทธิของมันดี มันเป็น
่
่
์
เหมือนเพือนเราในตอนแรก แต่มนจะหักหลังเราในตอนหลัง มันช่วยปลอบประโลม
่
ั
จิตที่โศกเศร้าและบรรเทาร่างกายที่โทรมทราม ในตอนแรก แต่มันจะซ้าจิตใจให้ซบ
เซา และสอยร่างกายให้ทรุดโทรมในตอนหลัง แต่ก็แน่หล่ะนะที่ตอนนี้ฉันยังอยู่ใน
ผ้าเหลืองนี่ ยังขอข้าวชาวบ้านฉัน ยังโกนหัวโล้น ห่มผ้าเหลืองอยู่นี่ ก็ยังพอทนอยู่ได้
ให้ศีลพระประคองตัวตนรักษาจิตใจอยู่ อนาคตก็ไม่แน่หรอก ถ้าผ้าเหลืองร้อนมา
เมื่อใดก็ไม่แน่ พระท่านก็บอกอยู่ว่า มันไม่แน่ อะไรๆมันก็ไม่แน่ทงนันหล่ะ พระที่
ั้ ้
บวชมานานๆก็สึกออกไปมีครอบครัวมากมายนี่นะ จะแน่นอนอะไรกับพระใหม่อย่าง
เรา ท่านมหาสารวยซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็สึกไปแล้วนี่ ได้ยินว่า บวชมาแล้ว 14
พรรษา เราจะมีวาสนาบวชได้นานขนาดนั้นหรือเปล่านะ อย่าพึงคิดถึงอนาคตเลยอยู่
่
กับปัจจุบันดีกว่า เอาพรรษานี้ให้รอดก่อนเถอะ แต่ถ้าเราต้องสึกจริงๆแล้วเราจะอด
เหล้าได้เหรอ เราจะกินมันอีกไหม เราไม่ไว้ใจตัวเองเลย ศีลของเราต้องพึงคนอืนอยู่
่
่
ไหมหนอ ตอนนี้ก็ตองพึ่งผ้า เหลือง ถ้าใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์คงไม่พนถือมาสักกั๊กแน่ๆ
้
้
เฮ้อ หนทางนี้ชางอีกยางไกลหนอ เหมือนการเดินทางที่ไร้จุดหมาย เหมือนเรือที่มอง
่
ไม่เห็นฝั่งจริงๆเรา นอนเถอะ นอนนะ พยายามนอนให้หลับ เอากรรมฐานข้อไหนมา
ใช้ดีหนอ ก่อนนอน คงต้อง มรณานุสติสินะ ถ้าเราตายวันนี้ขออย่าได้มีอะไรที่ต้องห่วง
เพราะเราต้องตายอยู่แล้วจึงขอทาใจให้ยอมรับกับความตายให้ได้ ในคืนนี้ เราไม่มีห่วง
อะไร หากจะตายก็ขอให้ไปพระนิพพาน ไม่หวงพ่อและแม่ ลูกและหลาน ทรัพย์สมบัติ
่
ไม่มีอะไรต้องห่วง หลับหนอ ตายหนอ หายใจเข้า พุท...หายใจออก โธ...พุท...โธ...
ภาพพ่อแม่ผุดขึ้น...คิด...พ่อแม่จะนอนหรือยังหนอ คิดหนอ...พุท...โธ...ภาพลูกสาว/
ชายผุดขึ้น...คิด...ลูกๆของเราจะเป็นอย่างไรหนอ...คิดหนอ...พุท...โธ...ภาพเมียในอดีต
ผุดขึ้น...คิด...เขาคงนอนกอดอยู่กับผัวใหม่เขาสบายหนอ...เฮ้อ...ทุกข์หนอ...พุท...โธ...
ภาพวงเหล้าผุดขึ้น...เฮ้อ...ผุดลุกขึ้นท่ามกลางความมืด...เริ่มพิจารณา...มันอยากเหล้า
เหรอ...ร่างกายอยากหรือว่าใจอยาก ร่างกายคงไม่ใช่มันไม่ได้กินมาเป็นปีก็อยู่ได้นี่ ใจ
อยากก็เพราะมันทุกข์ก็เลยอยากเหล้าดับอารมณ์ นอนไม่หลับด้วย เพราะอะไร เพราะ
คิดถึงอดีตอยากกลับไปเหรอ ไม่อยากกลับไปแล้วคิดทาไม ก็มันคิดมันนึกเอง เหรอ ใจ
นึกเองเหรอ หรือว่าอะไร ไม่น่าใช่ เวทนามันนึกเอง น่าจะเป็นความรู้สึกที่มันนึกเอง
เห็นวงเหล้าแล้วมันก็นกไป หรือว่าเป็นอาการที่เหนื่อยล้าที่มนนึกไป หรือว่าเสียง
ึ
ั
ตุ๊กแกที่ร้องมาให้ได้ยินที่มันทาให้นึกไป สัญญาผุดขึ้นเองหรือที่ทาให้มันนึกไป หรือ
ว่าลูกสาวแม่ค้าคนนั้นหรือที่ทาให้มันนึกไป หรืออาจจะเป็นทั้งหมดนั้นที่ทาให้มนนึก
ั
ไป น่าจะเป็นบรรยากาศในวงเหล้าที่ทาให้เรานึกไปถึงอดีตกับเมียเก่า ก็เพราะเหล้านี่
แหละที่เป็นต้นเหตุให้เรานึกถึงเขา แต่ก็เพราะเหล้านี่เองไม่ใช่เหรอทีทาให้เขาทิ้งเรา
่
ไป ทุกอย่างเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน เมียเลิกเพราะเหล้า เมื่อเห็นเหล้าจึงนึกถึงเขา
เมื่อคิดถึงเขาจึงอยากกินเหล้า เหตุผลของอะไรกันแน่ เป็นเหตุผลที่ไม่มีเหตุผลเอา
เสียเลย เป็นความทรงจา เป็นความรู้สึก เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นอนัตตา เป็นอดีต
เป็นไม่เที่ยง คงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นอะไรที่ไม่ใช่ของเรา เป็นทุกข์ บีบคั้น
เป็นการหลอกลวง เป็นต่อมน้า เป็นการเสแสร้ง เป็นเงาสะท้อน เป็นของไม่จริง มีอยู่
ตามเหตุตามปัจจัย และไม่นานก็จะหายไปเอง หลับเถอดใจจ๋า พรุงนี้ตองเดินต่อ หลับ
่ ้
เถิดกายจ๋า พรุงนี้จะได้มีแรง เดินมาทังวันไกลกว่าเดินเล่นในห้าง ในห้างก็เดินไกลแต่
่
้
ไม่เหนื่อยหรอกมันเพลิน แต่ก็คิดมาทั้งวัน คงไกลกว่าการเดินหลายเท่านัก ถ้า
ความคิดวัดได้เป็นระยะทาง ตอนนี้เราคงเดินไกลกว่าดวงจันทร์หลายเท่านัก อาจจะไป
ซุปเปอร์แมนพระธุดงค์เล่ม1บทนำ
ซุปเปอร์แมนพระธุดงค์เล่ม1บทนำ
ซุปเปอร์แมนพระธุดงค์เล่ม1บทนำ
ซุปเปอร์แมนพระธุดงค์เล่ม1บทนำ

Mais conteúdo relacionado

Mais procurados

FWD MAIL ...คิดไม่ถึง
FWD MAIL ...คิดไม่ถึงFWD MAIL ...คิดไม่ถึง
FWD MAIL ...คิดไม่ถึงtaweesak supanan
 
วรรณกรรมท้องถิ่นตำนานผาชู้
วรรณกรรมท้องถิ่นตำนานผาชู้วรรณกรรมท้องถิ่นตำนานผาชู้
วรรณกรรมท้องถิ่นตำนานผาชู้Nongkran_Jarurnphong
 
เนื้อหาทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับการ์ตูน
เนื้อหาทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับการ์ตูนเนื้อหาทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับการ์ตูน
เนื้อหาทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับการ์ตูนcampzzz
 
นางนาคพระโขนง
นางนาคพระโขนงนางนาคพระโขนง
นางนาคพระโขนงtommy
 
K+2(vol2)
K+2(vol2)K+2(vol2)
K+2(vol2)Peung92
 
กวีพเนจร เล่มที่ 1
กวีพเนจร เล่มที่ 1กวีพเนจร เล่มที่ 1
กวีพเนจร เล่มที่ 1Kalasin University
 
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตติดปีกด้วย ศิลปะแห่งการช่างแม่ง
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตติดปีกด้วย ศิลปะแห่งการช่างแม่งตัวอย่างหนังสือ ชีวิตติดปีกด้วย ศิลปะแห่งการช่างแม่ง
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตติดปีกด้วย ศิลปะแห่งการช่างแม่งPiyapong Sirisutthanant
 
หนังสือส่งเสริมการอ่าน 2555
หนังสือส่งเสริมการอ่าน 2555หนังสือส่งเสริมการอ่าน 2555
หนังสือส่งเสริมการอ่าน 2555Kob Ying Ya
 
นิราศจันทร์ ระยอง ชล
นิราศจันทร์ ระยอง ชลนิราศจันทร์ ระยอง ชล
นิราศจันทร์ ระยอง ชลManit Wongmool
 
Rongse
RongseRongse
Rongsetommy
 
เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑jpamok
 
ไพรมหากาฬ2
ไพรมหากาฬ2ไพรมหากาฬ2
ไพรมหากาฬ2krutew Sudarat
 

Mais procurados (20)

อิเหนา
อิเหนาอิเหนา
อิเหนา
 
อนิจจา วัตสังขารา
อนิจจา วัตสังขาราอนิจจา วัตสังขารา
อนิจจา วัตสังขารา
 
FWD MAIL ...คิดไม่ถึง
FWD MAIL ...คิดไม่ถึงFWD MAIL ...คิดไม่ถึง
FWD MAIL ...คิดไม่ถึง
 
วรรณกรรมท้องถิ่นตำนานผาชู้
วรรณกรรมท้องถิ่นตำนานผาชู้วรรณกรรมท้องถิ่นตำนานผาชู้
วรรณกรรมท้องถิ่นตำนานผาชู้
 
อิเหนา
อิเหนาอิเหนา
อิเหนา
 
เนื้อหาทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับการ์ตูน
เนื้อหาทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับการ์ตูนเนื้อหาทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับการ์ตูน
เนื้อหาทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับการ์ตูน
 
นางนาคพระโขนง
นางนาคพระโขนงนางนาคพระโขนง
นางนาคพระโขนง
 
เล่าขานบ้านคำชะอี
เล่าขานบ้านคำชะอีเล่าขานบ้านคำชะอี
เล่าขานบ้านคำชะอี
 
K+2(vol2)
K+2(vol2)K+2(vol2)
K+2(vol2)
 
กวีพเนจร เล่มที่ 1
กวีพเนจร เล่มที่ 1กวีพเนจร เล่มที่ 1
กวีพเนจร เล่มที่ 1
 
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตติดปีกด้วย ศิลปะแห่งการช่างแม่ง
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตติดปีกด้วย ศิลปะแห่งการช่างแม่งตัวอย่างหนังสือ ชีวิตติดปีกด้วย ศิลปะแห่งการช่างแม่ง
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตติดปีกด้วย ศิลปะแห่งการช่างแม่ง
 
หนังสือส่งเสริมการอ่าน 2555
หนังสือส่งเสริมการอ่าน 2555หนังสือส่งเสริมการอ่าน 2555
หนังสือส่งเสริมการอ่าน 2555
 
งานนำเสนอ1222
งานนำเสนอ1222งานนำเสนอ1222
งานนำเสนอ1222
 
พระอภัยมณี
พระอภัยมณีพระอภัยมณี
พระอภัยมณี
 
นิราศจันทร์ ระยอง ชล
นิราศจันทร์ ระยอง ชลนิราศจันทร์ ระยอง ชล
นิราศจันทร์ ระยอง ชล
 
Rongse
RongseRongse
Rongse
 
ดงมรณะ6
ดงมรณะ6ดงมรณะ6
ดงมรณะ6
 
เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑
 
แหล่ลา
แหล่ลาแหล่ลา
แหล่ลา
 
ไพรมหากาฬ2
ไพรมหากาฬ2ไพรมหากาฬ2
ไพรมหากาฬ2
 

ซุปเปอร์แมนพระธุดงค์เล่ม1บทนำ

  • 2. นวนิยายขนาดสั้น เรื่องสั้นขนาดยาว ซีรี่จบในตอน ชื่อหนังสือ ซุปเปอร์แมน กับพระธุดงค์ ผู้แต่ง วังเวง วิเวกวุ่น ปีที่พิมพ์ 19 กรกฎาคม 2556 โดยสานักพิมพ์ อโศกอาศรม เลขมาตรฐานสากลประจาหนังสือ (ISBN) 947-7032-99-9 ราคา 10 บาท
  • 3. บทนา ฉันบังเอิญเหาะได้ เมื่อครูยังอยู่แถวปิ่นเกล้า เหนือถนนบรมราชชนนี ตอนนี้มาอยู่เหนือถนนปู่เจ้า ่ สมิงพราย แถวสาโรงใต้ ลัดนิ้วมือเดียวเท่านันในด้านเวลา แต่ลดข้ามฝังของเมืองหลวงในด้านระยะทาง ้ ั ่ เพียงแค่ใจนึกอยาก จะมาสัมผัสรับรู้ถึงอารมณ์เก่าๆเมื่อกาลก่อน เพียงแค่อยาก มาย้อนดูภาพของอดีตจากสถานที่ของอนาคต เพียงอยากจะมาระลึกนึกถึงคนๆหนึง ่ ซึ่งยังแอบซุกอยู่ในร่องของสมอง ทังๆที่มันก็นานมามากแล้ว มันลางเลือนเหมือนภาพ ้ ในความฝัน และเนินนานเหมือนความทรงจาในคุก ่ เพียงแค่ใจนึกอยาก ร่างกายของฉันก็ลิ่วลอยพุ่งไป เหมือนร่างกายโดนกระชาก ไป กระชากไปด้วยแรงแสนพิเศษ เปรียบดังไปด้วยแรงกระพือของปีกพญาครุฑ เพียง ่ แค่ฉันมีปีก ฉันก็จะเป็นดั่งพญาครุฑ พญาครุฑที่แม้พญานาคตั้งพันตัวก็มิอาจหยุดฉัน ได้ ถ้าอยู่บนอากาศฉันก็เป็นเจ้าแห่งฟ้า แต่ยังดีที่ฉันไม่มีจงอยปาก เหมือนนก นาง กินรียกไม่มีจงอยปาก แต่ทว่าฉันเป็นผูชาย อย่างไรเสียขาของฉันก็ยังเป็นคน ไม่ใช่ ์็ ้ ขานกอย่างที่นางกินรียนั้นเป็น ฉันไม่อยากมีปก แต่ฉันพอใจมากที่ฉนบินได้ ฉันไม่ ์ ี ั อยากมีขาเป็นกรงเล็บเหมือนเหยี่ยว แต่ฉันก็อยากมีเท้าอันแข็งแรงไว้ขยุ้มกิ่งไม้ ฉันมี ความอยาก และไม่อยากที่ขัดกันอยู่ เพียงแค่ใจนึกอยากจะไปไหน ฉันก็จะไป ไม่ตองเดินย่าต๊อกต๋อย ต่าต้อยเหมือน ้ กาลก่อน จะกล่าวไปไยกับการเหาะเหิรเดินอากาศ เมื่อก่อนแม้ไม่มีค่ารถ ฉันก็ไม่สน ถ้าฉันอยากไป ฉันก็ไป บางทีต้องเดินหลายๆกิโลเพื่อแค่ได้ไปนั่งเรือข้ามไปฟากโน้น ฉันก็พอใจแล้ว อีกฟากที่ฉันไม่ได้อาศัยอยู่
  • 4. จากมุมนีฉันเห็นแม่น้าเจ้าพระยาเหมือนงูตัวใหญ่สีตม ไหลเลื้อยลงมาโอบล้อม ้ เมืองนี้ไว้ เพียงแค่มันไม่หลีกหนีไปไหนมาไหนเลยเท่านัน เพียงแต่มันอาจจะตัวใหญ่ ้ ขึ้น แต่นึกดูอีกทีลาน้าที่เคยอยู่ตรงนี้ มันก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว มันไหลไปทุกวัน-เวลา เหมือนมีชีวิต ก่อนที่งูใหญ่ตัวนี้จะมุดหัวลงไปในทะเลตรงปากน้าเมืองสมุทรปราการ ไอหมอกจากแม่นาลอยเอื่อขึ้นปะปนกับละอองฝุ่นควันในอากาศชั้นบน แต่กลินอ็อกซิ ้ ่ เยนก็ยังเหมือนเก่า กลินแม่น้าเจือลมทะเลที่โชยอ่อนเหมือนจะคอยพัดผิวหัวใจของ ่ คนงานทีหน่ายร้อนเหนื่อยล้าจากงานโรงงานให้คลายผ่อนยังเหมือนเก่า ดวงอาทิตย์ ่ กลมโตสีส้มทีกาลังเข้มขึ้นเพื่อที่จะจางจบแสงสุดท้ายก่อนลับตาในม่านเมฆสะท้อน ่ แสงลงบนผืนน้าสีดาทีมีระลอกคลื่นจากแรงเรือทาให้เกิดแสงระยิบระยับยังเหมือนเก่า ่ หลายสิ่งหลายอย่างได้แปรเปลี่ยนไปแต่บรรยากาศโดยรวมแล้วยังเหมือนเก่า คนเรา มองโลกด้วยปัจจัยอันเก่า ดวงตาดวงเก่า ดวงใจดวงเก่า ก็ไม่แปลกที่จะเห็นสิ่งๆเดิม เหมือนเก่า ด้วยลมหายใจเก่าๆ และมโนวิญญาณเก่าๆ ทาให้ภาพความจาในอดีตมันฟุ้ง ขึ้นมาเหมือนตะกอนในน้าที่ถูกกวน ฉันเล็งหาที่เหมาะๆ เพือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ ตอนเหาะขึ้นไม่ ่ ยากเท่าไหร่ มันยากอีตอนลง ในเขตชุมชนมันยากที่จะดิ่งลงไปบนพืนดินอย่างรวดเร็ว ้ กว่าที่ใครจะทันได้สังเกตเห็น อีกอย่างฉันก็ไม่มีความสามารถพอที่จะเหยียบลงพืน ้ โดยนิ่มนวลเหมือนผีเสื้อ หรือแมลงปอได้ ผีเสื้อมันใช้ปีกทีพามันไปนั่นแหละเป็นกระ ่ บังต้านลมและความโน้มถ่วงของโลก ขณะที่แมลงปอจะลงจับกิ่งไม้ดวยขาที่แข็งแรง ้ และ ยืดหยุ่นพอที่จะรับน้าหนักตัวไม่ให้เกิดการกระแทกเสียง แต่ถึงแม้ถามีใครทาได้อย่าง ้ เงียบเชียบเช่นนั้นจริงๆ ความเร็วและการหยุดลงกะทันหันนั้นแหละ ที่จะฟ้องตัวมัน เองออกมาเป็นสายลมกระชาก มันจะไม่มีผลดีอะไรแน่ถ้ามีคนเห็นฉันเหาะ มันจะไม่มีผลดีอะไรกับโลก และ สังคมมากนัก และมันจะไม่มีผลดีอะไรกับฉันเลย มากไปกว่ายอดขายของข่าว หนังสือพิมพ์ ที่ลงภาพของนางงามคนใหม่ หรือมนุษย์ประหลาดน่าสมเพศ มากไป กว่ายอดวิวเข้าชมคลิปหลุดดารา หรือนักเรียนตีกัน มากไปกว่าเรื่องคุยตอนเช้าของ
  • 5. นักข่าวเล่าเรื่อง หรือแม่ค้าร้านตลาด ผู้คนอาจจะคุยกันในแง่เป็นเรื่องแปลกลึกลับ ประมาณเห็นผีกระสือมากกว่า ฉันเล็งหาที่ลงแถวชายดงพงป่านั่นแหล่ะเหมาะที่สุด เพียงระวังไม่ให้แขนเสื้อ สะบัดไปเกี่ยวกิ่งไม้เพราะจะทาให้เสียหลัก แต่แถวนี้เป็นดงโรงงานจะหาดงป่าไม้ที่ ไหนได้ ลานกว้างๆเช่นสนามฟุตบอล หรือทุงร้างกลางนาก็เป็นที่จับสังเกตได้ทั้งใน ่ มุมกว้างและระยะไกล กระนั้นเมื่อฉันหยุดเหาะแล้วก็ไม่ต่างกับเป้านิง ที่ฉันกลัวที่สุด ่ คือมือถือ สมัยที่โทรศัพท์บ้านใกล้กาลสูญพันธุ์ คนสมัยนี้ก็ติดเชืออะไรสักอย่าง ทีทา ้ ่ ให้เกิดอาการคือ ไม่อยากให้อะไรผ่านไปเปล่าๆง่ายๆ ชอบถ่ายอะไรๆเก็บไว้ และชืน ่ ชอบกับการที่มีผู้มาเชยชมสื่อที่เจ้าตัวเผยแพร่ ยิ่งมากยิ่งภาคภูมิ ผิวเผินคล้ายการ แบ่งปัน เผยแผ่คล้ายเป็นศาสนา แต่อาการเหมือนติดโรคระบาด ใครโดนเชื้อทางตา แล้วต้องแพร่ภาพต่อๆกันไปให้เพื่อนฝูงเหมือนตาแดง ยิ่งคลิปโดนแอบถ่ายตอนเผลอ ยิ่งโดนโรคกับคนพวกนี้ จึงมีพวกหัวหมอตั้งใจทาให้เหมือนเผลอ แล้วตั้งใจหลุดมาก็มี ที่ฉันไม่เข้าใจคือ ภาพกิจ-กาม, กิจกรรมธรรมดาสัตว์ ที่คนเราควรทากันในที่ลับตา ที่ คนเราควรทากันตามลาพัง ที่คนเราควรทากันโดยไม่หลับเผลอ กลับเป็นกิจกรรมที่ เปิดเผย และแพร่ภาพนากลับมาฉายซ้าแล้วซ้าเล่า กลายเป็นสินค้าไร้ราคา กร่อนคุณค่า ในปัจจุบันของเจ้าของภาพ และแทบจะอุปมานได้ว่ากรรม-กามเก่านัน จะต้องตามต้อย ้ ติดถึงภพหน้า ถึงรุ่นลูก รุ่นหลานไม่ผิด คนที่ทาเช่นนั้นเขาคิดอย่างไรกันนะ คิดว่าอดีต เป็นของควรเก็บจา หรือควรปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าความทรงจาทีดีใน ่ อดีต มันอาจย้อนมาทาร้ายเราในอนาคตได้ แต่ก็เป็นความจริงที่ศาสนาก็สอนให้ปล่อย วางกันทังนัน และอันทีจริง คนเราก็เป็นสัตว์ชนิดหนึงไม่ใช่เหรอ ผิดที่ไหนที่จะร่วม ้ ้ ่ ่ เพศกันแบบเปิดเผยได้บ้างเหมือนสัตว์ ฉันเล็งเห็นดาดฟ้าของห้างใหญ่แห่งหนึ่งแถวสาโรงเหนือเป็นจุดเล็กๆสีขาว เห็นเหมือนภาพที่เราดูในกูเกิ้ลเอิร์ท และเกือบเท่าความคิดฉันก็ลงมายืนอยู่บนดาดฟ้า ห้างนั้นแล้ว พอดีที่บนห้างแห่งนันเคยเป็นสวนน้า เคยเป็นสวนสนุก ฉันเคยพาลูกๆมา ้ เดินเที่ยวอยู่ครั้งหรือสองครั้ง ก็จาไม่ได้ แต่บางทีฉันก็อยากลืมๆไปว่าฉันเคยมีลูก บาง ทีฉันก็ลืมไปแล้วว่าฉันเคยมีลูก แต่ตอนนี้ผ่านมา ไม่ความบังเอิญก็ความรู้สึกอยากรื้อ ฟื้น ความทรงจามันวาบเข้ามาขณะหนึง เป็นขณะเดียวกับตอนหาลานลงจากฟ้า เป็น ่
  • 6. ขณะเดียวกับที่เห็นป้ายโฆษณาชุดนักเรียนตราสมอ เป็นขณะ เดียวกับที่เกิดภาพ เด็กผู้หญิงหัวเราะร่วนกาลังวิง-กระโดดเข้าหาพ่ออยู่ในหัว เป็นขณะเดียวกับที่เห็นภาพ ่ เด็กผู้ชายในชุดหมีสีเขียวนอนคว่ากามือในท่าเหาะบนเบาะฟองน้า และเป็นขณะ นั้นเอง ที่ขาทังสองข้างกระแทกพื้น การลงอย่ารวดเร็วรุนแรงไม่สามารถหยุดได้ ้ กะทันหัน แม้เกิดการกระทบกระเทือนหัวสมองในกระโหลกแต่เท้าก็ยังสืบต่อตั้งหลัก แม้จะสะเทือนไปทั้งตัว แต่มือไม้ก็ยังป่ายเปาะปะหาที่ค้าประคอง ได้ราวกั้นสระน้า เป็นที่พยุงตัว ก่อนล้มลงนั่งตรงขั้นบันได เท้าถึงกับชา ขาถึงกับสั่น พักเรี่ยวแรงและ ตรึกคิด ความทรงจาเกิดก่อนจะมาถึง หรือพึ่งเกิดตอนที่มาถึงแล้วก็ยากที่จะรื้อฟื้น มัน คงเกิดขึ้นพร้อมๆกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เพราะจิตคิดเห็นภาพ-ร่างกายจึง มาถึง เพราะร่างกายมาถึง-จิตจึงเห็นภาพ ภาพแห่งความสุข ผู้คนกาลังยิ้มแย้มระเริงร่า อากาศแจ่มใส ไอแดดร้อนเร่าแต่ทว่าร่าเริง เป็นภาพซ้อนอยู่ในสายตา เคยมีน้าเปี่ยม ปริ่มอยู่ในสระตรงหน้า แสงแดดไสวสว่างส่องทะลุนาใสๆถึงพื้น บ้างสะท้อนกลับใส่ ้ หน้าผู้ที่แหวกว่ายเล่นอยู่ระยิบระยับ แสงแดดอุ่นสดใส สายน้าเย็นสดชื่นทุกอณู ในน้า หลากสระ สระน้าหลากสีสัน เล่นระดับลวดลายกันเบื้องหน้า บนไสลเดอร์หลายเส้น หลากสี มีการแสดงลีลาของผู้กล้าท้าแรงโน้มถ่วงเวียนวนไหลกายลืนลู่ลงสู่สระ แม่ผม ่ เปียกยาวลู่ไหล่-ลูกชายตัวน้อยสะบัดวิดน้าใส่กัน พ่อแกล้งปล่อยลูกสาวตัวน้อยที่กาลัง จะร้องไห้บนห่วงยางแต่แค่หยอกแล้วก็โอ๋ พีชาย-น้องสาวกาลังวิงแข่งกันไปปีนสไล ่ ่ เดอร์ของเด็ก ภาพใบหน้าของแต่ละคนวนเวียนเข้ามาซ้อนอยู่ตรงหน้าแจ่มชัดเหมือน พึ่งจะเกิดเมื่อวาน ชั่วขณะที่หัวใจมันเหม่อเพ้อดิ่งพุ่งสู่ความทรงจานัน ในด้านเหตุผล ้ บอกว่าน่าจะลืมเพราะเรื่องมันนานนมเนมาแล้ว แต่ส่วนเหนือเหตุผลนั่นแหละที่เฝ้า ตรึกฝืนตรองอยากให้มนชัดขึ้นยิงกว่าเดิม ทันใดนั้นหูก็แว่วยินเสียงเด็กผู้ชายแว่วอยู่ใน ั ่ หู "พ่อๆอยากเล่นสไลลื่นครับ" หูมันได้ยินอย่างนั้นก็จริง แต่ใช่ว่าเสียงมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อเสียงมัน กระทบประสาทเข้ามาในสมองแล้ว เสียงนั้นมันก็สลายตัวผ่านไป แต่ในสมองนี้กลับ จดจาเสียงนั้นเป็นรูปแบบใหม่ ซึ่งมีการปรุงแต่ง อาจมีการประทับด้วยความทรงจา ใหม่ก่อนที่ความทรงจาเก่าๆจะผุดขึ้นมาเข้าร่วมเป็นการประสานเสียงภายในของวงออ เครตต้าที่ไม่ใช้เสียง เมือเหลียวมองรอบด้านไม่มีใคร มีแต่ความว่างเปล่า ฉันจึงคิดเอา ่
  • 7. ว่า หูคงแว่วไปเองหรือความจาเก่ามันผุดขึ้นมา แต่มนผุดขึ้นมาแรงเกินไปจนเกิดเป็น ั เสียงในสมอง ฉันเดินสารวจสวนน้าเก่าเปล่าร้างไร้ผู้คนและอารมณ์ พื้นแห้งๆและมีฝุ่นจับ เป็นคราบ อุปกรณ์เครื่องเล่นถูกปล่อยไว้ไร้ประโยชน์ ม้าโยกที่เคยสร้างความสุขให้ เด็กๆเมื่อยามขึ้นขย่ม สร้างรอยยิ้มของพ่อแม่เมือเห็นลูกหัวเราะ เป็นแค่ที่เกาะโยงของ ่ ใยแมงมุมร้างๆ เจ้าของใยคงขาดแคลนจัดจนต้องทิ้งถินฐาน เคลื่องชูตลูกบ๊าตฯ ตั้งอยู่ ่ อย่างโดดเดี่ยว ของทีพอใช้การได้ถูกย้ายออกไปหมด เหลือเพียงของที่ทิ้งร้างเพราะถูก ่ ใช้งานจนคุ้มควรและหมดความหมาย ความรูสึกเสียวซ่านแล่นไปตามสันหลัง ขนลุก ้ วาบขึ้นจนถึงหัว เหมือนอารมณ์ของคนในอดีตที่เคยผ่านมาที่แห่งนี้นนมันรวมกันเป็น ั้ กระแสและไหลวูบเข้าสูเ่ ส้นประสาทของฉัน พลันคิดว่าคนเหล่านั้นไปอยู่ไหนกันบ้าง เป็นอย่างไรกันบ้าง อะไรๆที่สร้างความสุขของคนเมื่อครั้งโน้น อาจไม่ได้สร้าง ความสุขให้คนในยุคนี้ และ อะไรๆที่สร้างความสุขให้คนยุคนี้ อาจไม่สามารถสร้าง ความสุขให้กับคนรุ่นถัดไป ฉันเห็นประตูกระจกบานหนึ่งถูกคล้องด้วยสายโซ่ด้านในนัน พลางสอดส่องหา ้ ช่องทางที่จะเข้าไปด้านใน ไม่มีความจาเป็นที่จะต้องจ้างยามมาเฝ้าสถานที่แบบนี้ สถานทีซึ่งกลายเป็นอดีต มียามเคยยืนเปิดประตูอยู่แถวนี้ ฉันก็เคยเป็นแบบยาม ทา ่ หน้าที่ของยาม สัญลักษณ์ของความปลอดภัย แม้ยามส่วนใหญ่จะไม่ได้ทาหน้าที่รักษา ความปลอดภัยอะไร เป็นเพียงหน้าฉากของงานบริการเท่านั้น ฉันก็เหมือนกัน ฉันมา ในรูปลักษณ์ที่นาปลอดภัย ชุดฟอร์มดูคล้ายๆตารวจแต่มองดูแล้วอบอุ่นใจและสนิทใจ ่ กว่า อาจเป็นสังคมที่ฉนเคยอยู่ทาให้คิดนึกอย่างนี้ เพราะเราหลอกตัวเองไม่ได้ ตัวเรา ั เองนั่นแหละที่โดนหลอกอยู่ ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราโดนหลอกอยู่ เราก็จะโดนหลอกอยู่ ร่าไป ชุดยามที่ฉันสวมใส่มามีสีน้าตาลอ่อนแบบชุดลูกเสือ แต่เข้มกว่าหน่อย คล้ายสี กากีแต่ไม่ใช่แบบของตารวจ ฉันจงใจให้ใครต่อใครเห็นฉันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้อยาก ปิดบังตัวตนที่แท้จริง แต่เพื่อความกลมกลืนทางจิตใจต่อผู้ที่พบเห็น ไม่อยากโอ่อา ่ โดดเด่นดึงดูดสายตาด้วยชุดฉูดฉาด คนอวดไม่จาเป็นต้องเก่ง ฉันไม่เก่งและไม่อวด มันขัดความเป็นจริงทางธรรมชาติที่คนเก่งและคนโง่จะอยู่ในตัวคนเดียว ชุด ประหลาดๆทาให้ฮีโร่ดโง่ ฉันไม่ได้อับอายในความแปลกเหนือมนุษย์แต่ก็ไม่อยาก ู
  • 8. เปิดเผย พวก ร.ป.ภ. รู้ดกว่า ถึงแม้ว่าจะหลอกตัวเองอยู่ทุกวันว่านี่เป็นอาชีพสุจริต แต่ก็ ี หลอกได้แค่จิตส่วนคิดหาเหตุผล เพราะลึกๆกว่านั้นมันก็ยังค้านตัวเองว่าเราไม่ได้เป็น ผู้รักษาความปลอดภัยโดยกาเนิด เราทาแค่ชั่วคราว ทาแค่รอโอกาส ทาแค่รอเวลาสัก วัน รอแค่ใครสักคนจะมองเห็นศักยภาพแท้จริงอันซ่อนอยู่ในตัวเรา ชุดยามอันกลมกลืนกับความปลอดภัย พาฉันผ่านมาถึงถนนด้านล่างได้อย่าง สบายๆ ถนนภายนอกมืดค่าแล้ว ไฟสปอร์ตไลท์สีส้มถูกเปิดตามถนน แสงไฟจาก รถยนต์ส่องผู้คนเป็นเงาเคลื่อนไหว ตามสะพานลอยคนข้ามก็เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ พวกเขาข้ามจากฝังหนึงไปอีกฝั่งหนึง ข้ามจากขาไป-มาสู่ขากลับ ข้ามจากความเหนื่อย ่ ่ ่ ล้ามาสู่ความผ่อนคลาย บ้างข้ามจากวัยเด็กสู่วัยหนุ่ม-สาว บ้างข้ามสู่วัยหนุ่มสาวสู่วัย ชรา เป็นช่วง ต่อของการเปลี่ยนเวรยาม สัตว์พวกหนึ่งกลับสู่รวงรัง แต่สัตว์อีกพวกกาลังออกโลม โลก ผีเสื้อราตรีเตรียมพร้อมที่จะเริงระบา แต่ผีเสื้อทิวาเตรียมตัวพักผ่อนแผ่นปีกที ระบัดระบายมาทั้งวัน ฉันขึ้นรถในตลาดเพือจะไปต่อเรือที่ท่าน้า ่ ผ่านหอพักที่เคยเช่าอยู่ตอนเป็นยาม น้องชายเจ้าของหอเป็นลูกค้าโรงพยาบาล ประสาท ผ่านโรงงานทีเ่ คยประจาการเป็นยามเฝ้า ยามคนหนึ่งกาลังเลือนแผงกันรถ ่ ออกให้รถผู้บริหารคันหรูผ่านไป ผ่านทัศนียภาพโรงงานอันคุ้นตา ผ่านร้านสะดวกซื้อ ที่โทรมลง ผ่านห้างทีพงสร้างขึ้นใหม่ พอผ่านร้านเหล้าที่เคยร่ารินกินดื่ม เมื่อเห็นแสง ่ ึ่ สีชมพูกับโถแก้วใสบรรจุน้าสีเหลืองเข้มสี่โถเรียงรายเท่านันฉันก็กดกริ่ง โชเฟอร์ ้ เหยียบคันเบรกรุนแรงเหมือนรู้ใจ ฉันไม่รู้ว่าความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ของฉันนั้นมีมาได้ด้วยเหตุไร จริงอยู่ ฉันเคยดูหนังเกี่ยวกับยอดมนุษย์ แต่พวกฮีโร่พวกนั้นต้องมีเหตุสักอย่างให้เขาเหาะได้ พวกเขาจึงมีพลังเหนือมนุษย์ อย่างน้อยพวกเขาต้องมี คุณธรรมบางอย่าง และบังเอิญไปถูกตัวอะไรกัดหรือโดนสารอะไรบางอย่าง หรือมา จากดาวดวงอืน หรือว่าฉันมาจากดาวดวงอื่น และจริงอยู่ ฉันเคยได้ยินแต่เรื่องราวของ ่ พระสงฆ์บางรูปที่มีคนเห็นท่านบนอากาศ แต่พอมีคนไปถามท่านก็ตอบปฏิเสธ ว่า ท่านไม่ใช่ผี จะไปเหาะได้อย่างไร ท่านต้องปฏิเสธเพราะว่าเป็นพระหรือ พระท่านห้าม อวดฤทธิ์ อวดเดชนี่นะ แต่ว่ามีใครหลายคนที่เห็นอย่างนั้นว่าท่านเหาะแปลว่าคน ่
  • 9. เหล่านั้นตาฝาดพร้อมๆกันใช่ไหม หรือว่าท่านโกหก คงไม่ใช่ แต่ท่านไม่ได้บอกความ จริงทั้งหมด ก็ท่านบอกไม่ได้นี่ การไม่ได้บอกทั้งหมดไม่ได้ปิดบังอะไร ไม่ใช่การ โกหกหลอกลวง การเป็นพระหากจะพูดอะไรนี่มันก็ยากจริงๆนะ ฉันก็เคยอยากเป็น พระเหมือนกัน และก็เคยใฝ่ฝันว่า ถ้าเหาะได้เหมือนในหนังก็นาจะดี แต่พอเหาะได้ ่ ขึ้นมาจริงๆแล้วกลับรูสึกเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อโลกนี้ขึ้นแต่อย่างไร เพราะ ้ ฉันไม่ได้เรียกร้องอะไรนี่ แต่มอะไรบ้างนะที่ฉนต้องเสียไป มีอะไรบ้างที่ฉันต้องแลก ี ั กับการเหาะได้มานี่ แต่แปลกเหมือนกัน พอแตะต้องเหล้าไปเพียงนิดหน่อย แค่เพียงสักเป๊กเดียวเท่า นั้นเอง ฤทธิ์เหาะของฉันจะสลายไปเหมือนไอน้าบนกระทะเปียกที่ยกตั้งเตาไฟ ไม่รู้ว่า ฤทธิ์เหล้ามันรุนแรงขนาดไหน แต่ทาให้ความพิเศษเหนือมนุษย์ของฉันเสื่อมสภาพไป แต่ฉันก็ยังคงดื่มมัน มีหลายคนที่ยังดื่มมัน ฉันยอมเดินกลับบ้าน ขึ้นรถ ลงเรือ เหมือน กาลเก่าก่อนกลับบ้าน แค่ขอให้ได้กินเหล้า เหล้าไม่ได้ทาให้โลกสวยขึ้น แต่ทาให้ สายตามองไม่เห็นความทรามของโลก เหล้าไม่ได้ทาให้คนมีความสุข แต่ทาให้คนลืม ความทุกข์ ทันทีที่น้าสีอาพันใสได้ถูกราดลงลาคอ ตามกระเพาะถึงลาไส้ก็ร้อนผ่าว หด เกร็ง เส้นประสาทถูกกระตุ้นเป็นกระแสซาบซ่านไปตามสรรพางกาย ก่อนที่จะซุ่มงึม เงียบ ทันทีที่น้าสีอาพันใสได้ถูกราดลงลาคอ ความมุงมาดปรารถนาทะยานอยากสิ่ง ่ ใดๆในโลกก็เหมือนไม่มีอีกแต่บ้างก็กลับจะตีฟุ้งขึ้นมามากกว่าเดิม ทันทีที่น้าสีอาพันใสได้ถูกราดลงลาคอ ความทรงจาก็ผุดขึ้นมาตีกับความคิด และหมอบมุดลงเหมือนหมาซึมๆนอนเลียแผลโดนรุม แม้รสชาติจะไม่ค่อยจะคุ้นลิ้น กลิ่นไม่คุ้นจมูก แต่ก็ไม่ใช่กลิ่นและรสที่ทาให้คน มานั่งอยู่ในซุ้มเล็กๆที่เรียกว่าร้านยาดองนี้ พอๆกับไม่ใช่แม่ค้าหน้าหวาน หรือลูกค้า อัธยาศัยดีที่นั่งอยู่ก่อนนั้นดอก น้าจัณฑ์ตัวเดียวนั่นแหละทีดึงดูดผู้คนเข้ามานัง ณ ที่ ่ ่ เล็กๆมุมหนึ่งของโลกแห่งนี้ แม้บรรยากาศต่างๆก็ดูเหมือนจะโดนกลบเป็นเรื่องรองลง ไป เหมือนพระรองที่โดนรัศมีของพระเอกกลบเสียสิ้น ซึ่งพระเอกในที่นี้คือดีกรีที่ ร้อนแรงในราคาที่ย่อมเยา พระรองก็คือบรรยากาศรายรอบ เป็นใครก็เมาได้ไม่ว่าจะ
  • 10. เป็นยามโรงงาน มอเตอร์ไซด์รับจ้าง คนงานก่อสร้าง หรือแม้แต่ขอทานตาบอด เวลา เหล้าเข้าปากแล้วเราจะคุยกับใครก็ได้ เป็นอันเข้าใจกันหมด ไม่วาคุณจะทาอาชีพอะไร ่ มีพื้นเพมาจากไหน ฐานะเป็นอย่างไร รากฐานการศึกษาแค่ไหน เพราะเหล้ามันปลอก เปลือกความเป็นคนของเรา ละลายอัตตา เวลาคุณเมาคุณจะไม่มีจริตที่จะเสแสร้งให้ ตัวเองดูดีอะไรหรอก จนบางครังมันแสดงสัญชาติญาณดิบเถือนเกินไปจนห้ามตัวเอง ้ ่ ไม่อยู่หรือที่เรียกว่าขาดสตินั่นแหละ ก็ความพอไม่เป็นของคนกินเหล้านี่แหละที่เป็น ปัญหา ถ้าเกินพอดีแล้วเขาเรียกว่าเมา จากคุยกันดีจะเริ่มเป็นคุยกันไม่รู้เรื่อง จากไร้ อัตตาก็จะฟุงไปด้วยอัตตา น้ายาที่เรียกว่าเหล้าทาอะไรได้สารพัดเกินจะสารพันนามา ้ เล่าให้หมดได้ บทกวีและนิยายหลายเรื่องเขียนด้วยน้าหมึกที่ปนด้วยเหล้า เหล้าทาคนดี ให้เป็นคนร้าย ทาคนตระหนี่ให้ใจกว้าง ทาคนแปลกหน้าให้คุ้นเคย ทาคนเย็นชาให้ เป็นคนอ่อนไหว ทาคนใจแข็งให้ยอมใจอ่อน ทาคนใจอ่อนให้ทนแข็งใจ และทาให้ ซุปเปอร์แมนเป็นคนเมาธรรมดา และที่สุดของความไม่มีเหตุผลของเหล้า มันอาจจะ เปลี่ยนจากคนเมาเป็นพระก็ได้เมื่อถึงเวลาจาเป็น...
  • 11. บทตาม ฉันเป็นพระธุดงค์ เมื่อคืนฉันพักอยู่ที่สานักสงฆ์แห่งหนึ่งบนเขาคอหงส์ ไม่ไกลจากเมืองหาดใหญ่ นัก ยามค่าคืนมองลงมาจากบนนั้นแล้วเห็นไฟสีส้มสาดส่องฉาบฉายท้องฟ้าสีดาเหนือ เมืองหาดใหญ่จนจ้า มองแล้วเพลิดเพลินตาพาใจเตลิด ตัดสินใจออกมาเมื่อเริ่มมีความ พอใจในสถานที่ หากอยู่ที่ใดนานๆแล้วก็เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดการติดใจ พอจิตมันเริ่ม คุ้นเคย มันก็เหมือนกับความใคร่ที่จะอยู่ต่อเพราะติดความสะดวก-สบาย จริงอยู่วามัน ่ สงบดี แต่ปณิธานที่เราออกจากวัดป่าบ้านภูดงไร่มาก็เพื่อละความพอใจในสถานที่ออก เสีย ก่อนที่กาลเข้าพรรษาจะมาถึง แม้จะกลับไปอยู่ที่วัดป่าบ้านภูดงไร่ที่เดิมก็ไม่เป็นไร แต่ให้ไปอยู่ในฐานะทีสมควรไปอยู่ตามพุทธบัญญัติ ไม่ใช่ไปอยู่เพราะไม่มีที่อนให้อยู่ ่ ื่ ไม่ใช่ไปอยู่เพราะคุ้นเคยสถานที่ที่นั่น ไม่ใช่ไปอยู่เพราะคุ้นเคยญาติโยมที่นั่น ไม่ใช่ไป อยู่เพราะคุ้นเคยอาหารการกินที่นั่น จริงอยู่ที่ท่านให้หาสถานที่สับปายะ-สะดวกสบาย อยู่ แต่ความสับปายะ-สะดวกสบายของการปฏิบัติ กับ ความสับปายะสะดวกสบายของ กิเลส มันอาจก้ากึ่งกันอยู่บางส่วน เมือเริ่มจะยึดติดยินดีในสถานทีนี้ คล้ายมีเงาความขี้ ่ ่ เกียจผ่านพาดเข้ามาในจิต ฉันก็สมควรจะเดินทางจากไป เดินมาทางจังหวัดพัทลุง ประมาณสิบกิโลแล้ว หลักกิโลบอกว่า พัทลุง88 สตูล 88 เลขสวยดี จึงเอาโทรศัพท์ถ่ายรูปไว้หน่อย จะเป็นกิเลสหรือเปล่านะที่ถ่ายรูป ช่าง มันเถอะ เลขสวยดีและประจวบเหมาะ จากหลักนี้ไปสองจังหวัดนั้น เท่ากันพอดี มัน ช่างบังเอิญจริงๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง แดดที่แผดกล้าเมื่อชั่วโมงก่อนเริ่มราแรงลงแล้ว แต่ขาที่ดูเหมือนแข็งแรงเมื่อแรกเริ่มเดินก็เริ่มล้าลง ฝ่าตีนที่มั่นใจว่าด้านพอทนได้กับ พื้นถนนลาดยางกลางแดดก็เริ่มออกอาการสาออย กรวดหินก้อนเล็กก้อนน้อยที่ตน ี เหยียบลงเหมือนฝังตัวติดตีนขึ้นมาด้วย
  • 12. ต้องคอยหยุดปัดแปะออกอยู่เรื่อยๆ ฝ่าตีนนีแสบเหมือนกับว่ามันไม่มีหนังตีนรองอยู่ ้ ชั้นนอก สายตาก็พลางมองหารองเท้าสักคู่ตามไหล่ทางที่เผื่อใครจะสลัดทิ้งไว้ ไหล่ ขวาที่สะพายย่ามบาตรบริขารก็เริ่มถลอก เปลียนเอาไปพาดไหล่ซ้ายบ้าง เอามุงกรด ่ ้ ไหล่ซ้ายซึ่งเบากว่ามาพาดไหล่ขวา ในตอนแรกกะว่าจะเดินให้ได้สามกิโลเมตรต่อ ชั่วโมง ตามหลักสถิตถาเราเดินสามกิโลเมตรต่อชั่วโมง แปดชั่วโมงต่อวัน เราก็จะเดิน ิ้ ได้วันละ ๒๔กิโลเมตร ซึ่งหากจะเดินจากหาดใหญ่ไปขอนแก่นด้วยความเร็วเท่านีแล้ว ้ ระยะทาง๑๘๐๐กิโลเมตรน่าจะพิชตได้โดยใช้เวลา๖๕วัน นั่นมันทันถมเถไปหากจะให้ ิ ถึงก่อนวันเข้าพรรษา แต่ฉันต้องเดินทุกวันไม่มีวันหยุดพัก ซึ่งปณิธานอย่างนั้นมันออก จะคล้ายเป็นไปด้วยความโลภและมานะ แต่ก็นนแหละอย่างที่บอกนั่นมันในตอนแรก ั่ พอเท้าเริ่มพองและแสบร้อน ความอยากบรรดามีก็เหือดหาย ไปพร้อมกับเหงื่อที่แห้ง ไปทิ้งไว้เพียงความเหนอะหนะ ความมุมานะกับกิเลส มันกาลังดึงตัว และฉุดจิตใจ ของเรานีอยู่ เหมือนกับเราเป็นเชือกที่พวกมันใช้ดึงชักเย่อแข่งขันกัน ้ ความมุมานะอันแรกเป็นสิ่งดีเพราะมันบริสุทธิ์มาก ฉันเพียงอยากเดินไปเรื่อยๆ ไร้จุดมุ่งหมายเหมือนคนไร้บ้าน พอค่าก็พักกางมุ้งกลดพอได้พักผ่อนหลับนอน ตอนนี้ ฉันว่าการหยุดเดินนันแหละเป็นกิเลสเพราะเป็นความขี้เกียจ ่ ความมุมานะต่อมามันเกิดขึ้นตอนเมือมีผู้หวังดี จอดรถเพื่อจะรับไปบ้าง จอดรถ ่ เพื่อถวายน้าหรืออาหารบ้าง จอดรถเพื่อถวายปัจจัยเป็นเงินบ้าง ฉันปฏิเสธเพียงการขึ้น รถเท่านั้น ส่วนอย่างอืนฉันไม่ได้ขัด ศรัทธาทีญาติโยมมีจิตอยากถวายฉันขอรับไว้ก่อน ่ ่ ข้อที่ว่าไม่ควรจับเงินเพราะเป็นวัตถุอนามาตนันฉันเข้าใจเพราะมันเป็นเหตุผิดวินัย แต่ ้ ฉันก็คิดว่าท่านห้ามด้วยเหตุกลัวว่าพุทธบุตรผูยังมีอินทรีย์อ่อนจะยึดติด มุงในธรรม ้ ่ วินัยนี้เพื่อลาภสักการะสะสมเงินทอง ถ้าจะผิดก็ต่อเมื่อเราจับเงินด้วยจิตทีมีควาพอใจ ่ กับมัน ปรารภมันเป็นเหตุให้ทาการกสิกรรมปศุสัตว์ ยกมันให้มีอานาจเหนือจิตใจ ต่างหาก หากไม่ใฝ่หาด้วยใจที่เป็นทาสราคะอยากสะสมแล้ว ท่านคงไม่ห้ามแต่อย่างใด ก็เหมือนพระอรหันต์จกงนั่นแหละที่ทานกินเหล้าเพราะท่านไม่ติดยึด ก็เหมือนพระอุป ี้ ่ คุตนั่นแหละที่ทานฉันข้าวในเวลาวิกาล แต่แม้ดวงตะวันยังย้อนผันคืนมาตรงหัว ่ เหมือนตอนเที่ยงวัน ถ้ากิเลสมันละได้จริงมันก็ต้องละได้ด้วยเหตุผลทางใจ ไม่ใช่มัน จะละลงให้กับการโดนบังคับกดห้ามไว้ เมือมีใครต่อใครจอดรับมากขึ้น มีการสนทนา ่
  • 13. รายทางกับศรัทธาที่จอดรับ คาตอบของฉันก็เป็นไปในทางปรารภญาติโยมว่าจะเดิน ไปให้ถึงขอนแก่นบ้าง จะไม่ขึ้นรถจนถึงขอนแก่นบ้าง แม้ไม่ได้พูดตรงๆว่าจะทาอย่าง นั้น แต่ด้วยเนื้อหาแล้วมันสื่อให้เข้าใจอย่างนัน และภาพสีหน้าของบรรดาญาติโยมที่ ้ น่าฉงนระคนการอนุโมทนาต่อการเดินของฉัน มันยิ่งเป็นการย้าปณิธานและเป็นการ ตั้งอธิฐานะบารมีขึ้นในใจโดยปริยาย ว่าฉันจะเดินให้ได้จริงๆ ถ้าหากทาได้จริงๆแล้ว จะเป็นสัจจะบารมีอีกด้วย ความมุมานะที่เป็นกิเลสมันเริ่มเกิดตรงนีนี่เอง ฉันจะทาให้ได้ ฉันจะเดินไปให้ ้ ถึงขอนแก่น ฉันจะมีประวัติไว้ภาคภูมิใจชั่วชีวิตฉัน ฉันจะทะนงตนได้เวลาใครต่อใคร พูดถึงฉันว่า พระองค์นแหละเดินที่คนเดียวจากหาดใหญ่ถงขอนแก่น ญาติโยมจะพา ี้ ึ กันมาต้อนรับฉันเหมือนการกลับมาของพระโพธิสัตว์ หนังสือพิมพ์อาจจะมาทาข่าว นักข่าวจะมาสัมภาษณ์ ฉันจะลงภาพการเดินในเฟซบุ๊คแบบเรียวไทม์ ฉันจะถ่ายภาพ ตัวเอง ผ่านมือถือออนไลน์ให้ผู้คนอนุโมทนา ฉันจะทาอย่างนั้น ฉันจะดัง ฉันจะ ฉัน ฉัน ฉัน ... ในการปฏิบัติธรรมนัน อันดับแรกสุดต้องมีความเห็นแก่ตัวก่อน เห็นแก่ตัวยังไง ้ การเห็นแก่ตัวมันความหมายไม่ดีนี่ แน่ล่ะที่วาใครๆก็ต้องเห็นแก่ตัวกันทั้งนัน แต่ ่ ้ ชาวโลกนันเห็นแก่ตัวเอง แต่ไปเอาเปรียบคนอื่น การเห็นแก่ตัวต้องไม่เอาเปรียบเขา ้ ไม่เอาดีเข้าแต่ตัว โยนความชั่วให้คนอืน คนทุกคนก็อยากได้ดีกันทังนั้นแหละ ผิดแต่ ่ ้ ว่าไม่อยากทาดี เพราะทาดีมันต้องฝืน ที่เราต้องฝืนเพราะเรามีกิเลสไง เราไม่ได้ฝืน ตัวเองอะไรหรอก เพราะตัวเองจริงๆไม่มี ที่เราทาดีไม่ได้เพราะเราแพ้ตัวกิเลส คนที่ เริ่มเห็นว่าการละความชั่วเป็นสิ่งที่ควรทา นั้นแปลว่าเขาเริ่มเห็นแก่ตวแล้ว แต่เห็นแก่ ั ตัวแบบมีปัญญา เห็นแก่ตัวแบบจะต้องเอาความดีเข้าตัว เห็นแก่ตัวแบบนี้เริ่มเข้าทาง แห่งศีล ถ้าเห็นแก่ตัวแบบไปทาชั่วนั้น เรียกว่าเห็นแก่ตัวแบบหวังจะได้ผลดี แต่ กลับไปทาชั่ว การกระทาจึงขัดกับความหวัง การเห็นแก่ตัวแบบผิดๆนั้นน่าจะเรียกว่า การเห็นแก่กิเลสมากกว่า คือเห็นมันเป็นเจ้าเหนือหัวต้องทาตามใจมัน ไม่เห็นว่ามัน เป็นกาฝากที่แฝงมาในร่างกายเรา จิตในเรา กาฝากไม่ใช่ต้นไม้แต่เราดูไม่ออก ถ้าใคร
  • 14. มองเห็นแล้วจะรู้ว่ามันเกาะอาศัยเรากิน มันเกาะอาศัยเราเกิด การเห็นแก่ได้ เห็นแก่จะ เอาก็เป็นเหตุให้ผิดศีลธรรมต่างๆนาๆ เช่น เห็นแก่ร่างกายเขาเราจะเอาเนื้อเขามากิน บ้าง เอางาเขามาขายบ้าง เอาลูกเขามาเลี้ยงบ้าง เอาขนเขามาทาเสื้อบ้าง เอาอวัยวะเขามา ทายาบ้าง เอาเขามาประดับบ้านบ้าง เราก็ฆ่าเขา บางทีก็ฆ่าเขาทิ้งเฉยๆ เพราะเขามาทา ร้ายเราก็มี นี่ฆาด้วยโทสะ บางทีก็ฆ่าเขาทิ้งเฉยๆ ด้วยถือเป็นเกมก็มี นี่ฆ่าด้วยโลภะ ่ บางทีก็ฆาเขาทิงเฉยๆ เพราะทาจนเคยชินก็มี นี่ฆ่าด้วยโมหะ นี่พวกนี้เห็นแก่ตัวแบบ ่ ้ ผิดๆ ถ้าเห็นแก่ตัวแบบเอาดี ท่านต้องถือศีล ข้อแรก ปาณาฯ นี่เจตนางดเว้นจากการฆ่า นี่ละความเห็นแก่ตัวข้อแรก แล้วข้อที่สองนี่เอ้า นี่เราเผลอแล้ว เผลอคิดไปไกล เผลอ เทศน์ในใจ บ้าเอ๊ย กูเทศน์ให้ตัวเองฟัง ใจนี่มนเทศน์ไปเอง อยากบอกอยากสอนญาติ ั โยม นี่หรือเปล่านะที่เรียกวิปัสนูกิเลส เกิดปัญญา แต่วารู้ไม่เท่าทันมัน แต่กดีไม่ใช่หรือ ่ ็ เป็นการพิจารณาธรรม ตามดูมันไปดี หรือว่าจะห้ามมันดี หรือจะดึงจิตกลับมาที่เท้า ตัวเองดี ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ดูตัวเองมันเดินไป ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย เอ เมื่อกี๊คิดถึงไหนนะ ห้ามฆ่าสัตว์ แล้วก็ ห้ามลักทรัพย์ ลักทรัพย์เขามันก็เห็นแก่ตัวเองอยากได้ของเขา แน่ะ คิดอีกแล้ว มันอยากคิดก็ให้มันคิดไปเถอะ ตามดูจิตที่มันคิดก็ได้นี่นา แต่ว่าคิดแล้วมัน ่ เหนื่อยว่ะ แต่มันห้ามมันไม่ได้ มันจะคิดก็เผลอไปคิดของมันเอง นีแหละน้า สังขารมัน ่ ไม่ใช่ตัวตนอะไร มันจึงห้ามไม่ได้ นี่จิตมันแสดงอนัตตา แน่ะ คิดไปเรื่องใหม่อีกล่ะ เดี๋ยวมันอยากคิด เดี๋ยวมันหยุดคิด เดี๋ยวมันก็เบื่อที่จะคิด นี่มนทนไม่ได้ เป็นทุกขัง พอ ั คิดไปคิดไปจิตมันเหนื่อยเองมันก็หยุดเอง จิตก็แสดงอนิจจัง โห นี่เราคิดเองจริงๆหรือ จาเขามาว่ะ น่าจะเคยฟังพระเทศน์มา คนเราทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดได้ถึงจะหมด ทุกข์ แต่ท่านก็วา อัตตะนาโจตะยะตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง ถ้าเตือนตัวเองไม่ได้ ่ แล้วจะไปเตือนใคร แล้วใครจะมาเตือนเราได้ ใครๆก็สอนคนอื่นได้ทงนั้นแหละ แต่ ั้ ตัวเองมันสอนยาก ตอนคิดมันก็คิดแต่ดๆทั้งนั้นแหละ แต่ตอนทามันไม่ค่อยเอาไหน ี เลยเรา ช่วยตัวเองให้พนทุกข์ก่อนเถอะ ค่อยคิดจะไปสอนชาวบ้านเขา ค่อยคิดจะไป ้ ช่วยใครๆ นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะสึกเมื่อไหร่ พึ่งได้พรรษาเดียว รถปิกอัพตีไฟชิดซ้ายชลอจอดข้างทาง คนขับลงมาเป็นผู้หญิง นิมนต์รับอะไร สักอย่างถวายมาในถุง ฉันรับแล้วก็ยืนให้พรอยู่ข้างถนน นั่นแหละ การให้พรนี่ท่านว่า เป็นการแสดงธรรมหรือเปล่านะ พระวินัยห้ามไม่ให้แสดงธรรมกับผู้หญิงสองต่อสอง
  • 15. เกิน 6คา ต้องมีผชายอยูด้วยเป็นเด็กก็ได้ขอให้รู้เดียงสา หรือบ้างก็ว่า ไม่ให้ยืนแสดง ู้ ่ ธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ผู้นั่งอยู่ ประมาณนี้หรือเปล่าวะ บาลีแปลยังไงก็สุดปัญญาที่จะ ท่องจาล่ะ ถ้าไม่ให้พรโยมเขาจะไม่เข้าใจอีกล่ะ ช่างเถอะให้ไปแล้วก็แล้ว สนองศรัทธา ญาติโยมแค่นี้จะเป็นอะไร นี่เราคิดมากเกินไปหรือเปล่านี่ เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าเป็นทุกข์ เรามาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มาท่องจาตาราให้ปวดสมอง การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องที่ตอง ้ จามาก แต่ต้องทามากๆไม่ใช่เหรอ รู้แล้ววาง รูแล้ววาง สัญญาความจานั้นมันก็ไม่ ้ แน่นอนหรอก วันนี้จาได้ พรุงนี้อาจจะลืม อย่าไปใส่ใจกับตารามากเลย พวกเซ็นนี่เขา ่ สอนกันยังไงนะ ฉันว่ารู้เท่าที่รู้ก็พอแล้วสาหรับการปฏิบัติธรรม นี่เราจะคิดไปถึงไหน นี่ เมื่อไหร่มันจะเหนื่อย แต่คิดจนเหนือยแล้วมันก็ยังไม่หยุดนี่ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่าง ่ หนอ เวลาเดินอยู่นี่จิตใจฉันคิดเยอะมาก เดี๋ยวคิดไปนู่น เดี๋ยววกมานี่ อันที่จริงไม่อยาก คิดแต่มันคิดของมันเอง ห้ามมันไม่ได้ มันคิดจนฉันราคาญตังเอง อยากหยุดคิด อยาก มองท้องฟ้าอย่างที่ไม่มการพากย์ในใจ มองต้นไม้ใบไม้ด้วยจิตอันว่าง มองโลกด้วย ี ความปล่อยวาง ปล่อยในฐานะที่มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ ให้จิตใจเข้าถึงธรรมชาติ ที่แท้ ว่างเปล่าไร้การปรุงแต่ง เอ๊ะนั่นตัวอะไรผ่านท้องฟ้าไปแว๊บๆ นกอะไรวะบิน โคตรจะเร็ว จะเป็นเครืองบินหรือก็ไม่น่าใช่ เครื่องบินมันไม่บินอย่างนี้ ต้องมีไอพ่น ่ ตาไม่ฝาดหรอก ฉันเห็นมันบินพาดท้องฟ้าผ่านเมฆขาวก้อนนั้นจริงๆ หรือจะเป็น เทวดา ฮือ เราท่าจะได้ตาทิพย์เห็นเทวดา หรือว่ามีใครบินได้ผ่านมาทางนี้ ช่างมันเถอะ ่ ว้า ใครจะบินใครจะเหาะก็เรื่องของเขา เรามาบวชไม่ใช่เพือจะมาเอาของพวกนันนี่ แต่ ่ ้ ถ้าได้จริงๆก็นาจะดี ดีกว่าไม่ได้ เขาว่ามันจะทาให้ก้าวต่อไปยาก ทาให้มีการยึดใน ่ อัตตาตัวตนว่า เราเก่งกว่าเขา เราไม่ธรรมดา เรามีธรรมวิเศษ แล้วมันจะติดใจ หลงใหล ในฤทธิ์ หากวันใดหมดฤทธิ์แล้วจะทุกข์ใจ เพราะฤทธิมันก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจังตาม ์ หลักไตรลักษณ์ นู่นมึงก็ว่าไปนู่น ฤทธิ์หาอะไรของมึงเดินให้รอดก่อนเถอะแล้วค่อย ่ ห่วงเรื่องฤทธิ์ บางทีเราก็พดกับตัวเองว่า เราบ้าง ฉันบ้างแทนตัวเองอย่างนั้น มันไม่แน่ ที่บางที ู เราก็พูด มึงๆ กูๆกับตัวเอง พูดอยู่ในใจนี่เรียกว่าคิด การคิดเป็นมโนกรรม ถ้าเราไม่พูด ออกมาก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่ถาคิดจนปกติก็เป็นความเคยชิน จะก่อให้เกิดเป็นนิสัยติด ้ คิด นานๆไปไม่รู้ทันมัน ความคิดเราจะออกมาเป็นวาจา ถ้าคิดหยาบคายคุณก็จะพูด
  • 16. หยาบ ฉันนี่ก็คิดหยาบๆบ้างเหมือนกัน สาเนียงภาษาสมัยนี้ยิ่งเหมาะชอบสาหรับคนที่ มีจริตพูดหยาบ มองเหียไร สัตว์เอ๊ย แม่ง กวนตีน มองหาพ่อมึงเหรอ คาสบถทานองนี้ ้ มีเกลื่อนในภาษาสมัยนี้ มันพัฒนาในด้านลบ มันออกมาจากความคิดของคนโดยตรง ดู เหมือนว่าใครคิดได้หยาบมากก็จะได้รับความยอมรับมากในหมู่ของเพื่อนฝูงที่ยก กันเองในกลุ่ม เรียกว่าแนวว่างันนะ มันถูกถ่ายทอดออกมาในหนัง ในทีวี ในเพลง ้ เกลื่อนไปจนกลายเป็นปกติ ใครไม่พูดแนวนี้ เขาว่าเชย ฉันว่ามีธรรมมะของ พระพุทธเจ้านี่แหละที่ไม่เชย ธรรมมะไม่ใช่ของใหม่ เป็นของเก่ามีอยูคู่โลก แต่ว่าไม่ ่ เชย ไม่ใช่ของใหม่แต่กไม่เชย ฉันจึงพอใจที่พอรู้ธรรมมะกับเขาบ้าง อยากให้คนอื่นๆรู้ ็ ธรรมมะอย่างฉันบ้าง แต่ฉันก็ไม่เบื่อที่จะรู้ยังจะค้นหาธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งๆไปอีกตราบ เท่าที่มีวาสนา อะไรที่ทาให้พระ14พรรษาสึกนะ และอะไรที่ทาให้คนที่เมาเหล้าอย่าง ฉันได้มาบวช จากสี่แยกใหญ่บนถนนเพชรเกษมที่พงหยุดพักครั้งล่าสุดนันผ่านมาประมาณ ึ่ ้ สามกิโล แต่ก็ยงไม่เจอที่พัก ผู้คนจอดรถประสงค์ที่จะรับก็มีอยู่ ใช่วาจะมีแต่คนใต้ คน ั ่ ภาคอืนที่มาตั้งหลักปักฐานที่นี่ก็มี แต่ก็ปฏิเสธไปหมด ยังนึกว่าน่าจะขึ้นรถสักคัน ่ เพราะตีนมันระบมแล้ว เหมือนเดินอยู่บนทรายที่เขาคั่วเกาลัด เดินแต่ละก้าวอย่าง เชื่องช้า และหนักหน่วง เดินช้ายิ่งกว่าเดินจงกรม ขวาย่างหนอเจ็บหนอ ซ้ายย่างหนอ แสบหนอ หยุดหนอ เจ็บหนอ แสบหนอ เท่าทีจับเวลาเดินตอนแรกๆน่าจะได้สี่กิโลต่อ ่ ชั่วโมงสบายๆ แต่ตอนนี้สักกิโลต่อชั่วโมงก็ยังยาก นึกถึงคาโยมคนน้าพองขอนแก่น ที่ว่า "ขึ้นรถแหน่ก็ได้ดอก หม่อม"แล้วก็นึกเห็นด้วย ในตอนนี้ฉันคิดได้ว่าการหยุดเดิน อาจจะไม่ใช่กิเลสอีกต่อไป แต่การเดินต่อไปนั่นแหล่ะที่เป็นกิเลส ความมุมานะแบบ ผิดๆนั่นแหละที่เป็นกิเลส การธุดงค์ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเดินหรอก การปฏิบัติข้อวัตรของ ธุดงค์คือการขัดเกลากิเลส ถ้าฉันทาแล้วมีมานะอัตตามากขึ้นก็แสดงว่าฉันทาผิด การ เดินของฉันก็ไม่ได้เรียกว่าเดินธุดงค์ แต่เป็นการเดินเพื่อสนองกิเลส วัตรธุดงค์มีอยู่ 13 ข้อ ต้องสมาทานรับเอา แต่ใครกันนะที่เริ่มต้นใช้การเดินรอนแรมของพระว่าการเดิน ธุดงค์ น่าจะเรียกว่าการจาริกถึงเหมาะ เพราะธุดงค์วัตรที่ฉันศึกษาจากไหนๆ ก็ไม่เห็น ว่าจะมีการสมาทานเดิน จะมีก็แต่พวกตังใจว่าจะไม่ใช้ผ้าที่คนทาถวายจะใช้แต่ผา ้ ้ บังสุกุลชักมาจากศพ จะไม่ใช้จีวรผืนที่สี่จะถือผ้าเพียงสามผืน จะบิณฑบาตเลี้ยงชีพ จะ
  • 17. บิณฑบาตไปเป็นแถว จะไม่นั่งฉันอาสนะที่สองคือฉันมื้อเดียว จะไม่ใช้ภาชนะในการ ฉันอื่นนอกจากในบาตร จะอยู่ตามแต่ท่านจะจัดให้ จะอยูตามโคนไม้ จะอยู่ตามที่แจ้ง ่ แล้วก็มีอะไรๆอีกที่ฉันนึกไม่ออก ไม่เห็นมีการเดินที่ตรงไหน เคยได้ยินแต่การเดิน จงกรมเท่านันแหละ แต่จงกรมก็แปลว่าเดินนันแหละ ท่านให้เดินกลับไปกลับมาเพื่อ ้ ่ ไม่ให้เผลอสติออกนอกตัว ถ้าสติอยู่กับตัวได้แล้วระยะทางก็ไม่เห็นสาคัญ สถานที่ก็ไม่ เห็นสาคัญ พืนผิวที่ตีนเหยียบย่างไปก็ไม่เห็นสาคัญ ฉะนั้นตอนตังปณิธานนั้นฉันจะ ้ ้ เอาทางสายนี้แหละเป็นทางจงกรมของฉัน หาดใหญ่-ขอนแก่น แต่ในตอนนี้ฉันคิดหาเหตุผลที่จะหยุดเดินมากมาย นักกีฬาสองพวกที่ชักเย่ออยู่ ในใจฉัน คือพวกที่หาเหตุผลให้เหมาะสมที่จะหยุดเดิน และพวกที่คอยเตือนว่า "ถ้า หยุดเดินมึงก็แพ้ เป็นไอ้ขี้แพ้ เพราะมึงมันแพ้มาตลอดชีวิต และมึงก็จะแพ้ไปตลอด ชาติ มึงมันไอ้ไก่อ่อน สัจจะวาจาตัวเองไม่มียังเสือกจะตั้ง ต่อไปจะมีใครเชื่อมึง พูด อะไรจะไม่มีใครเชื่อ หลอกลวงเอาเงินเขาเข้าพก พอลับหลังก็ขึ้นรถกลับวัด ไอ้โล้นขี้ โกหก ไอ้โล้นหลอกข้าวชาวบ้านเขากิน หลอกชาวบ้านว่าจะเดินธุดงค์ ให้เขาส่งค่ารถ ค่ารถชาวบ้านส่งมาคงสูญไปเปล่าๆปลี้ๆ ไม่ได้บุญได้กุศลอะไรกับมึงเลย เสียดายค่า ข้าวชาวบ้านเขา กว่าเขาจะหามาได้แทบตาย เขาแบ่งข้าวลูกข้าวหลานมาให้มงแดก" ึ และอีกมากมายที่ฉันจะนึกออก แต่เป็นไปในทานองนี้ ตะวันยื้อแสงสุดท้ายไว้ไม่อยู่แล้ว ก็พอดีพบวัดที่จะนอนพักผ่อนคืนนี้ เวลาผ่าน วัดส่วนมากจะสังเกตเห็นก่อนก็คือปล่องควันของเมรุ ไอ้ปล่องที่ไว้ระบายควันไฟขึ้น สู่อากาศนี่มนไม่ได้สูงโดดเด่นอะไรหรอกแต่มนเป็นเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตย์ที่ไม่ ั ั มีในสถานที่อน สถานที่ๆเอาไว้ชาระล้างร่างไร้วิญญาณของคนให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ ื่ คืนสู่ธาตุดิน น้า ลม โดยใช้ไฟเป็นตัวชาระ ฉันมองเห็นมันเป็นเงาดามืดพาดท้องฟ้า ตรงข้ามฝั่งถนน นั่นคือที่ๆฉันจะไปพักคืนนี้ นอกจากป่าแล้วก็ไม่มีที่ไหนเหมาะกับ พระเท่ากับวัดอีก หลังจากเข้ากราบนมัสการเรียนขอพักกับเจ้าอาวาส และสรงน้าผลัดผ้าเป็นที่ สบายตัวแล้ว จึงได้คิดวางแผนว่า หากจะเดินต่อต้องหารองเท้าสักคู่ จะต้องหาผ้ามายัด สายย่ามให้หนาขึ้น สารวจพบว่ามีนาซึมอยู่ใต้หนังฝ่าตีนใต้นิ้วชี้จนเห็นหนังตีนบริเวณ ้ นั้นเป็นสีขาว จะให้หายไวเราต้องหาเข็มเย็บผ้าสักอัน สนด้ายที่รูเข็มแล้วแทงหนังตีน
  • 18. ให้ทะลุเพือรีดน้าออก ทิ้งด้ายคาไว้ใต้หนังตีนอย่างนันแหละเอาไว้ดงรั้งรูให้น้าไหล ่ ้ ึ ออกเวลามีน้าซึมออกมาอีก ทีนี้ก็จุดเทียนไข แล้วหยดน้าตาเทียนลงไปที่หนังส่วนที่ พองนั่น ทั้งแสบและร้อนปนกัน เสียวและคันนิดหน่อย พวกซาดิสซ์ คงชอบอารมณ์ แบบนี้ พอเจาะน้าออกจากหนังแล้วฉันก็ไปที่ร้านค้าของชาหลังวัด ติดกับรั้ววัดมี ร้านค้าขายของชาที่ตั้งขึ้นอย่างชั่วคราว ตีด้วยเศษไม้ที่เหลือใช้ในงานก่อสร้าง ล้อม ด้วยสักกะสี มีลูกค้าที่มองปราดก็รู้ว่าเป็นคนงานก่อสร้างนั่งอยู่ พวกเขาอยู่ในบริเวณที่ พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้าง เวลาหัวค่าเป็นเวลาของการผ่อนคลาย และวงสนทนา ที่ถูกตั้งขึ้นมาง่ายๆ ด้วยแรงดึงดูดของน้าสีใสๆในขวดสีชา มีตรากระดาษรูปรวงข้าว แปะอยู่ สุราผสมสี่สิบดีกรีนี่มันมีมนต์ขลังอะไรนี่นะ แม้ฉันจะจากมันมานานเป็นปี แล้ว แต่บางเวลาฉันก็ยงนึกถึงสิงที่มันทากับอารมณ์ของฉันอยู่ และ ที่มันทากับร่างกาย ั ่ ของฉันด้วย แต่มันไม่สาคัญเท่ากับสิ่งที่มันทากับครอบครัวของฉัน แม่ค้าร้านชามีศรัทธาให้รองเท้าแตะแก่ฉัน ฉันพลางเดินกลับวัดพร้อมน้าปานะ ในมือเพือฉันบรรเทาความกระหายหิว แต่ในใจของฉันนี่มันดันถือบรรยากาศในวง ่ เหล้าติดกลับมาด้วย สัญญาความทรงจานึกถึงเพลงที่ฉันเคยแต่งเล่นๆตอนเป็นโยม “เหล้าต่างสีแต่ไมตรีไม่ต่างกัน” นึกถึงบรรยากาศที่ร้านสุราหลากหลายสถานที่ ใน ซอยสีน้าเงิน ซอยเรวดี ถนนประชานิเวศน์ ถนนประชาสงเคราะห์ ซอยหลังสถานทูต จีน ซอยวัดกาแพง ซอยวัดดีดวด ซอยอิสรภาพ และอีกหลายๆที่ ฉันไม่ได้ตั้งใจนึก ขึ้นมาหรอก แต่บรรยากาศมันพาพัดจิตใจลอยไป มันเหมือนจิตพัดพาออกไปข้างนอก สู่อดีตอันอ้างว้างในอากาศเวิ้งหวิว แต่อนที่จริงจิตใจมันโดนฉุดชากให้จมลงสู่ความ ั ทรงจาอันแจ่มชัดในห้วงใจอันจ่อมลึกต่างหาก ฉันพยายามสลัดมันทิ้ง แต่มนสลัดไม่ ั หลุด กลับสู่กุฎีแล้วฉันยังคงไม่ลืมจึงปิดหลอดไฟนีออนและนั่งเพ่งแสงเทียน เพลงมันเริ่มว่ายังไงนะ...ขวดต่างสีแม้ดีกรีต่างกัน แต่เธอมีฉันร่วมกันรินกิน มี โศกทุกข์กาย ระบายมลายสิ้น... จาได้เท่านี้กดีแล้วนะ อย่าไปนึกมันเลย ไม่ใช่ดที่นึกไม่ออกหรอก แต่มันจะ ็ ี ดีกว่าที่จะไม่ต้องจามัน สัญญามันทาให้คนเราเป็นทุกข์นี่ พระพุทธองค์ตรัสว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่เรา ความจานี่ก็เหมือนกันที่ไม่ใช่เรา บางครั้ง อยากจะจาก็จาไม่ได้นกไม่ออกเช่นเวลาท่องบ่นบทสวดมนต์ แต่บางครั้งอยากจะลืมก็ ึ
  • 19. ลืมไม่ลงเช่นช่วงเวลาทีเ่ รามีความสุขกับคนที่เคยรักกัน ทั้งๆเขามีครอบครัวใหม่ไป แล้ว แต่ตอนไหนนะที่เราแต่งเพลงนี้ อาจจะเป็นซอยโชคชัยสี่ ก็ตอนนั้นเราพึ่งเลิกกับ แฟนนีนะ ทาใจยากอยู่เหมือนกัน ถึงได้ไปหาเหล้ากิน หาอะไรก็ได้ทจะช่วยแงะเธอ ่ ี่ คนนั้นออกจากจิตใจ ตอนนั้นมันคงคิดได้แค่นั้นหล่ะนะ ถ้าย้อนกลับไปได้ก็คงทา เหมือนเดิมนั่นแหละ ฉันเคยได้ยินใครบางคนพูดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะทาอย่างนี้ จะไม่ทาอย่างนั้น หรือจะทาอย่างนัน จะไม่ทาอย่างนี้ ฉันคิดว่าเขาคงไม่รู้หรอก ว่าถ้า ้ เขาย้อนเวลากลับไปได้จริง เขาก็จะทาอย่างเดิมนั่นแหละ เพราะเวลาย้อนกลับไปได้ จริงๆแล้วเขาก็จะคิดเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ เพราะประสบการณ์ของเขาก็จะย้อนกลับ ไปมีเท่าเดิมด้วย คนเราตัดสินใจด้วยสัญญาความจาได้หมายรู้ในขณะนั้น แต่ถ้าเราไม่ เข้าไปรู้จักการเมาเหล้า การดื่มแล้วเราจะเป็นอย่างไรนะตอนนี้ เราจะได้มาบวชไหม ถ้าฉันไม่เมาจนเกือบตายเพราะหมดสติก็คงไม่ได้มาบวชนีนะ แต่มาบวชแล้วเราก็ ่ ไม่ได้กลับไปแตะต้องมันอีกนี่ สุราเวระมะณีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ ที่ให้ญาติโยมนี่ เราจะไปทาเองไม่ได้เลย แม้พระวินัยจะระบุไว้ว่าอนุญาตให้ใช้เป็นยาได้ไม่เกินหนึง ่ องคุลีหรือ หนึงนิ้วมือจุมนั้นเถอะ ใครจะฉันก็ช่างท่านเถอะ เรารู้ฤทธิของมันดี มันเป็น ่ ่ ์ เหมือนเพือนเราในตอนแรก แต่มนจะหักหลังเราในตอนหลัง มันช่วยปลอบประโลม ่ ั จิตที่โศกเศร้าและบรรเทาร่างกายที่โทรมทราม ในตอนแรก แต่มันจะซ้าจิตใจให้ซบ เซา และสอยร่างกายให้ทรุดโทรมในตอนหลัง แต่ก็แน่หล่ะนะที่ตอนนี้ฉันยังอยู่ใน ผ้าเหลืองนี่ ยังขอข้าวชาวบ้านฉัน ยังโกนหัวโล้น ห่มผ้าเหลืองอยู่นี่ ก็ยังพอทนอยู่ได้ ให้ศีลพระประคองตัวตนรักษาจิตใจอยู่ อนาคตก็ไม่แน่หรอก ถ้าผ้าเหลืองร้อนมา เมื่อใดก็ไม่แน่ พระท่านก็บอกอยู่ว่า มันไม่แน่ อะไรๆมันก็ไม่แน่ทงนันหล่ะ พระที่ ั้ ้ บวชมานานๆก็สึกออกไปมีครอบครัวมากมายนี่นะ จะแน่นอนอะไรกับพระใหม่อย่าง เรา ท่านมหาสารวยซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็สึกไปแล้วนี่ ได้ยินว่า บวชมาแล้ว 14 พรรษา เราจะมีวาสนาบวชได้นานขนาดนั้นหรือเปล่านะ อย่าพึงคิดถึงอนาคตเลยอยู่ ่ กับปัจจุบันดีกว่า เอาพรรษานี้ให้รอดก่อนเถอะ แต่ถ้าเราต้องสึกจริงๆแล้วเราจะอด เหล้าได้เหรอ เราจะกินมันอีกไหม เราไม่ไว้ใจตัวเองเลย ศีลของเราต้องพึงคนอืนอยู่ ่ ่ ไหมหนอ ตอนนี้ก็ตองพึ่งผ้า เหลือง ถ้าใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์คงไม่พนถือมาสักกั๊กแน่ๆ ้ ้ เฮ้อ หนทางนี้ชางอีกยางไกลหนอ เหมือนการเดินทางที่ไร้จุดหมาย เหมือนเรือที่มอง ่
  • 20. ไม่เห็นฝั่งจริงๆเรา นอนเถอะ นอนนะ พยายามนอนให้หลับ เอากรรมฐานข้อไหนมา ใช้ดีหนอ ก่อนนอน คงต้อง มรณานุสติสินะ ถ้าเราตายวันนี้ขออย่าได้มีอะไรที่ต้องห่วง เพราะเราต้องตายอยู่แล้วจึงขอทาใจให้ยอมรับกับความตายให้ได้ ในคืนนี้ เราไม่มีห่วง อะไร หากจะตายก็ขอให้ไปพระนิพพาน ไม่หวงพ่อและแม่ ลูกและหลาน ทรัพย์สมบัติ ่ ไม่มีอะไรต้องห่วง หลับหนอ ตายหนอ หายใจเข้า พุท...หายใจออก โธ...พุท...โธ... ภาพพ่อแม่ผุดขึ้น...คิด...พ่อแม่จะนอนหรือยังหนอ คิดหนอ...พุท...โธ...ภาพลูกสาว/ ชายผุดขึ้น...คิด...ลูกๆของเราจะเป็นอย่างไรหนอ...คิดหนอ...พุท...โธ...ภาพเมียในอดีต ผุดขึ้น...คิด...เขาคงนอนกอดอยู่กับผัวใหม่เขาสบายหนอ...เฮ้อ...ทุกข์หนอ...พุท...โธ... ภาพวงเหล้าผุดขึ้น...เฮ้อ...ผุดลุกขึ้นท่ามกลางความมืด...เริ่มพิจารณา...มันอยากเหล้า เหรอ...ร่างกายอยากหรือว่าใจอยาก ร่างกายคงไม่ใช่มันไม่ได้กินมาเป็นปีก็อยู่ได้นี่ ใจ อยากก็เพราะมันทุกข์ก็เลยอยากเหล้าดับอารมณ์ นอนไม่หลับด้วย เพราะอะไร เพราะ คิดถึงอดีตอยากกลับไปเหรอ ไม่อยากกลับไปแล้วคิดทาไม ก็มันคิดมันนึกเอง เหรอ ใจ นึกเองเหรอ หรือว่าอะไร ไม่น่าใช่ เวทนามันนึกเอง น่าจะเป็นความรู้สึกที่มันนึกเอง เห็นวงเหล้าแล้วมันก็นกไป หรือว่าเป็นอาการที่เหนื่อยล้าที่มนนึกไป หรือว่าเสียง ึ ั ตุ๊กแกที่ร้องมาให้ได้ยินที่มันทาให้นึกไป สัญญาผุดขึ้นเองหรือที่ทาให้มันนึกไป หรือ ว่าลูกสาวแม่ค้าคนนั้นหรือที่ทาให้มันนึกไป หรืออาจจะเป็นทั้งหมดนั้นที่ทาให้มนนึก ั ไป น่าจะเป็นบรรยากาศในวงเหล้าที่ทาให้เรานึกไปถึงอดีตกับเมียเก่า ก็เพราะเหล้านี่ แหละที่เป็นต้นเหตุให้เรานึกถึงเขา แต่ก็เพราะเหล้านี่เองไม่ใช่เหรอทีทาให้เขาทิ้งเรา ่ ไป ทุกอย่างเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน เมียเลิกเพราะเหล้า เมื่อเห็นเหล้าจึงนึกถึงเขา เมื่อคิดถึงเขาจึงอยากกินเหล้า เหตุผลของอะไรกันแน่ เป็นเหตุผลที่ไม่มีเหตุผลเอา เสียเลย เป็นความทรงจา เป็นความรู้สึก เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นอนัตตา เป็นอดีต เป็นไม่เที่ยง คงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นอะไรที่ไม่ใช่ของเรา เป็นทุกข์ บีบคั้น เป็นการหลอกลวง เป็นต่อมน้า เป็นการเสแสร้ง เป็นเงาสะท้อน เป็นของไม่จริง มีอยู่ ตามเหตุตามปัจจัย และไม่นานก็จะหายไปเอง หลับเถอดใจจ๋า พรุงนี้ตองเดินต่อ หลับ ่ ้ เถิดกายจ๋า พรุงนี้จะได้มีแรง เดินมาทังวันไกลกว่าเดินเล่นในห้าง ในห้างก็เดินไกลแต่ ่ ้ ไม่เหนื่อยหรอกมันเพลิน แต่ก็คิดมาทั้งวัน คงไกลกว่าการเดินหลายเท่านัก ถ้า ความคิดวัดได้เป็นระยะทาง ตอนนี้เราคงเดินไกลกว่าดวงจันทร์หลายเท่านัก อาจจะไป